
“Reading is to discover the outside world and recover the inner world.”
การอ่านคือการค้นพบโลกภายนอก และการเยียวยาโลกภายใน
DISCOVERY
บนหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-17 ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ยุคสมัยแห่งการค้นพบ’ (Age of Discovery) ในห้วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่รู้ว่าอีกฟากฝั่งของทะเลกว้างใหญ่คืออะไร และประโยค ‘โลกของเราเป็นทรงกลม’ ของนิโคลัส โคเปอร์นิคัส เป็นจริงหรือไม่ สิ่งที่เราทำ – หรืออย่างน้อย คนสเปนและโปรตุเกสเลือกที่จะทำ – คือการออกเดินเรือข้ามน้ำข้ามทวีปเพื่อค้นหาแผ่นดินใหม่
ปี 1487 บาร์โธโลมิว ดีอัส นักสำรวจชาวโปรตุเกส ล่องเรือออกจากเมืองลิสบอน ใช้เวลาหนึ่งปีแล่นเลียบชายฝั่งทวีปแอฟริกาไปถึงแหลมกู๊ดโฮป นำร่องเส้นทางสู่ภูมิภาคเอเชีย ซึ่งในอีกสิบปีต่อมา วาสโก ดา กามา นักเดินเรือสัญชาติเดียวกัน จะสานต่อความฝันของดีอัส ด้วยการเดินทางอ้อมแหลมกู๊ดโฮป ไปถึงประเทศอินเดียได้เป็นผลสำเร็จเมื่อปี 1498
อีกฟากหนึ่ง คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสได้รับการสนับสนุนจากกษัตริย์แห่งสเปน กระโจนลงสำรวจเวิ้งสมุทรแอตแลนติกไปทางทิศตะวันตก จนขึ้นฝั่งที่เกาะบาฮามาสในปี 1492 กลายเป็นนักสำรวจคนแรกที่ค้นพบดินแดนทวีปอเมริกา ต่อมา เฟอร์ดินานด์ มาเจลลันและกองเรือของเขาก็ได้ทำการพิสูจน์ว่าโลกเป็นทรงกลม หลังใช้เวลากว่าสามปีเต็มในช่วง ค.ศ.1519-1521 แล่นเรือผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิกกลับมาสู่จุดเดิม
แม้การออกค้นหาดินแดนใหม่จะเป็นไปเพื่อขยายอำนาจและความมั่งคั่งของมาตุภูมิเป็นหลัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านักผจญสมุทรเหล่านี้สร้างรากฐานสำคัญไว้ให้ผู้คน การค้นพบของพวกเขามีความหมายลึกซึ้งยิ่งกว่าการเจอแผ่นดินทางกายภาพ มันคือการพบองค์ความรู้ใหม่ สังคมใหม่ วิทยาการใหม่ ไปจนถึงการมอบจินตนาการใหม่ในสมัยที่โลกยังขาดการเชื่อมต่อถึงกัน
คำว่า ‘ยุคสมัยแห่งการค้นพบ’ บนหน้าประวัติศาสตร์อาจจบลงหลังสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่เราเชื่อว่าสปิริตของมันไม่เคยจางหายไปไหน ในเมื่อธรรมชาติของมนุษย์อุดมด้วยความอยากรู้อยากเห็นและตื่นเต้นกับการค้นพบสิ่งใหม่ตลอดเวลา หลายร้อยปีที่ผ่านมาเราจึงยังออกเดินทางอยู่เสมอ – แต่ด้วยพาหนะที่แตกต่างไปจากดีอัส โคลัมบัส หรือมาเจลลัน
เราออกเดินทางด้วยการอ่านหนังสือ
จะว่าไปหนังสือก็ถือเป็นนวัตกรรมพลิกโลกอย่างหนึ่ง มันทำให้คนตัวเล็กอย่างเราๆ สามารถท่องเที่ยวในดินแดนแห่งใหม่ได้สะดวกดายแม้ปราศจากเรือกลไฟ อีกทั้งยังสามารถออกแบบเส้นทางและจุดหมายได้หลากหลาย ในอาณาจักรที่กว้างไกลจนเรียกได้ว่าไร้ขอบเขต
เราอาจเลือกเดินทางตามรอยองค์ความรู้ของนักคิด นักวิชาการในแต่ละแขนงวิชา อ่านประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคมการเมืองของแต่ละประเทศ ไปจนถึงเรื่องราวของธรรมชาติ สัตว์ และสรรพสิ่งในดาวเคราะห์สีน้ำเงิน เพื่อทำความรู้จักโลกที่เราอาศัยให้ดียิ่งขึ้น
หรือจะเลือกเดินทางสู่โลกแห่งจินตนาการ ที่มีทั้งแม่มด เวทมนตร์ มังกร หนอนทะเลทราย ข้ามเวลาไปยังอนาคตที่มีไซบอร์ก เอเลี่ยน มนุษย์หลากเผ่าพันธุ์ท่ามกลางจักรวาลกว้างใหญ่ ก็ย่อมได้
และถึงแม้ว่าการอ่านหนังสือจบสักเล่มคงไม่ถือเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่ถึงขนาดได้รับการจารึกชื่อ
แต่ทุกครั้งที่เราค้นพบสิ่งใหม่ – สิ่งที่เปลี่ยนโลกของนักอ่านคนหนึ่งให้แตกต่างจากเมื่อวาน – ก็มีความหมายต่อชีวิตไม่ใช่หรือ
RECOVERY
คริสต์ศตวรรษที่ 21 ขึ้นชื่อว่าเป็นยุคสมัยแห่งเทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสาร เราเพลิดเพลินไปกับเครื่องมืออำนวยความสะดวกสารพัดอย่าง ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกเหนื่อยอ่อนต่อการเร่งเสพข้อมูลข่าวสารให้เท่าทันกระแสความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็ว ชนิดที่ถ้าตัวเอกจากการ์ตูนเรื่อง ‘บลีช เทพมรณะ’ ใช้ชีวิตร่วมยุคเดียวกัน คงได้รำพึงรำพันประโยคเด็ดอย่าง “ฉันจะไล่ตามทันไหมนะ ความเร็วของโลกใบนี้ที่ไม่มีเธออยู่” หลายสิบรอบเป็นแน่
ตั้งแต่ความเปลี่ยนแปลงในระดับภาพใหญ่ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีวันนี้เป็นอย่างไร โรคระบาดใหม่จะเข้ามาเยือนและพลิกชีวิตเราเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 หรือเปล่า การกลับมาของฝั่งอนุรักษนิยม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือสงครามที่ยังดำเนินอยู่และที่เพิ่งปะทุขึ้นมาใหม่ล่ะ จะส่งผลต่อคนทั้งโลกในรูปแบบไหน แล้วเราจะเอาตัวรอดท่ามกลางความแปรปรวนของสภาพอากาศและอุณหภูมิที่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้ไหม
ไปจนถึงความเปลี่ยนแปลงในระดับชีวิตประจำวัน เงินดิจิทัลจะได้รับเมื่อไหร่ รัฐบาลทำอะไรไปแล้วบ้าง สังคมกำลังตื่นตัวต่อประเด็นไหน หนังเรื่องใดเพิ่งเข้าโรง เพลงของใครกำลังฮิต อินฟลูฯ คนไหนกำลังดัง แล้วไอ้ศัพท์แสงอย่าง ‘rizz’ หรือ ‘skibidi’ นี่แปลว่าอะไร
เราถูกเรียกร้องให้รู้ หรืออย่างน้อยที่สุด เราก็คิดว่าตนเองควรจะรู้ ส่วนหนึ่งนอกจากเราจำเป็นต้องติดอาวุธทางความคิด เพื่อเร่งปรับตัวให้ทันยุคทันสมัย ไม่ก็วางแผนเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตที่ไม่แน่นอน อีกส่วนหนึ่งคือเราคงหวาดเกรงความเหงา กลัวว่าจะเคว้งคว้างเหว่ว้า หากไม่ได้พูดภาษาเดียวกันกับคนอื่น
ไม่รู้ว่าอย่างแรกหรืออย่างหลังทรงพลังยิ่งกว่า แต่ที่แน่ๆ คือการกระเสือกกระสนท่ามกลางทะเลข่าวสาร ต้องรู้ให้รอบด้านทั้งข่าวดีและข่าวร้าย ทั้งเรื่องน่าตื่นตะลึงและเรื่องน่าเบื่อหน่ายในแต่ละวัน บางครั้งก็สูบกินพลังจากตัวเรา ชวนให้หัวจิตหัวใจเราเหี่ยวเฉาไม่ใช่น้อย ดังนั้นจึงไม่แปลกและไม่ผิด ที่หลายครั้งหลายหน คนจะอยากปลีกตัวออกจากความแปรปรวนของโลกสักห้วงหนึ่ง กลับมาอยู่เพียงลำพังสักครู่หนึ่ง
กระนั้น คำถามมีอยู่ว่าเราจะต่อสู้กับความรู้สึกโดดเดี่ยวเมื่ออยู่ตัวคนเดียวได้ไหม จะจัดการกับความรู้สึกกลัวถูกทิ้งไว้ข้างหลังคนอื่นๆ อย่างไร
บางทีคำตอบอาจมาในรูปแบบของการให้หนังสือสักเล่มอยู่เป็นเพื่อน
เพราะการอ่านหนังสือ คือหนึ่งในกิจกรรมที่ทำคนเดียวแล้วไม่รู้สึกเปลี่ยวดาย เราเปิดรับความรู้จากโลกภายนอก ไปพร้อมๆ กับการพักผ่อนในความสงบเงียบ ปลดปล่อยความเครียดไปกับเรื่องราวจากสารพันปลายปากกา บ้างเรียบเรียงอย่างประณีตด้วยลีลาทางภาษา บ้างสนุกหวือหวาด้วยพล็อตเรื่องยากจะคาดเดา บ้างก็ทำหน้าที่เปรียบเหมือนกระจกเงาที่เราใช้ส่องสะท้อนสำรวจโลกภายในตนเอง ว่าเราคิดเห็นต่อเรื่องต่างๆ อย่างไร รู้สึกสนใจ หลงใหล หรือจับใจกับอะไร
และถึงที่สุดแล้ว เรา -ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง – แท้จริงเป็นคนแบบไหน
จึงไม่เกินเลยหากจะกล่าวว่าการอ่านช่วยเยียวยาเราจากความเหงา ความเขลา และความกลัว ท่ามกลางยุคสมัยที่ทุกคนต้องไล่ตามความเร็วของโลกให้ทัน
READCOVERY
การอ่านเป็นทั้งการค้นพบโลกใหม่และการเยียวยาโลกภายใน คือหัวใจของความน่าจะอ่านครั้งนี้ เราผสมผสานคำว่า ‘read’ เข้ากับ ‘discovery’ และ ‘recovery’ กลายเป็นคอนเซปต์ ‘Readcovery’ ที่เชื่อมร้อยด้วยเครื่องหมายอินฟินิตี้ (∞) สื่อถึงประโยชน์ทั้งสองอย่างจากการอ่านหนังสือที่เป็นอมตะเหนือยุคสมัย พร้อมนัยถึงโปรเจกต์ความน่าจะอ่านที่ดำเนินมาอย่างยาวนานถึงครั้งที่ 8 แล้ว
ก่อนมาถึงจุดนี้ เราเริ่มต้นเดินทางตั้งแต่ปี 2017 ประเดิมด้วยวงสนทนาของนักเขียน นักอ่าน และบรรณาธิการจำนวน 5 คน ที่มาร่วมป้ายยาหนังสือในความน่าจะอ่านสองครั้งแรก แล้วค่อยขยับขยายไปเชื้อเชิญคนในวงการสำนักพิมพ์ ทั้งบรรณาธิการ ร้านหนังสือ และนักวาดภาพประกอบ จำนวน 50 คนมาร่วมแนะนำหนังสือคนละ 3 เล่มในความน่าจะอ่านครั้งที่ 3 (2019) เพราะขัดใจที่การเมืองช่วงนั้นช่างไม่มีความเป็นประชาธิปไตย – โดยเฉพาะในการเลือกนายกฯ – เอาเสียเลย (ซึ่งใครจะรู้ว่าหลังจากนั้น ประชาธิปไตยไทยก็ยังคงลุ่มๆ ดอนๆ มาจนถึงตอนนี้)
ขณะเดียวกัน ความน่าจะอ่านค่อยๆ เติบโตมากขึ้นในครั้งที่ 4 (2020) แม้จะอยู่ในปี ‘แสนสาหัส’ เพราะต้องเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 ทุกหย่อมหญ้า ด้วยการเปิดให้นักอ่านทั่วไปโหวตหนังสือในดวงใจผ่าน ‘ความน่าจะอ่านขวัญใจมหาชน’ เพิ่มเติมขึ้นมา และกลายเป็นธรรมเนียมที่เราสืบต่อในความน่าจะอ่านครั้งที่ 5 (2021) ในปีที่ ‘แสนสาหัสยิ่งกว่า’ ว่าจะนำเสนอรายชื่อหนังสือแนะนำจากบรรดาสำนักพิมพ์ เคียงคู่ไปกับหนังสือยอดฮิตจากการโหวตของนักอ่านตัวยง
คราวนั้น เราได้หนังสือดีเรื่อง ‘ในแดนวิปลาส: บันทึกบาดแผลสามัญชนบนโลกคู่ขนาน’ ของ รัช จากการแนะนำของคนในแวดวงสำนักพิมพ์ และ ‘เมื่อโลกซึมเศร้า: Mark Fisher โลกสัจนิยมแบบทุน และลัดดาแลนด์’ ของ สรวิศ ชัยนาม เป็นขวัญใจนักอ่าน ประจำปี 2021
ขณะที่ ความน่าจะอ่านครั้งที่ 6 (2022) ซึ่งมาพร้อมคอนเซปต์ปลุกไฟฝันและความหวัง หลังชีวิตแห้งเหี่ยวเฉื่อยชาเพราะโรคระบาด (และการเมืองไทย) อย่าง ‘โลกใบนี้น่ะ ยังไม่สิ้นความหวังหรอก!’ เสียงส่วนใหญ่จากคนในแวดวงหนังสือเลือก ‘ต้องเนรเทศ’ ของวัฒน์ วรรลยางกูร เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความหวังอันดับหนึ่ง ตามด้วย ‘กว่าจะครองอำนาจนำ’ ของ อาสา คำภา จากการลงมติของนักอ่าน
ล่าสุด ความน่าจะอ่านครั้งที่ 7 (2023) เราค้นหาหนังสือที่ครบรสหลากอารมณ์ จนไม่ว่าจะอ่านกี่ที ก็ดีทุกหน ในคอนเซปต์ ‘อ่าน 7 ที ดี 7 หน’ ผลปรากฏว่า ‘เจ้าชีวิต เจ้าสรรพสิ่ง’ ของเมาริตซิโอ เปเลจจี คว้าตำแหน่งหนังสือที่เหล่าสำนักพิมพ์แนะนำมากที่สุดไปครอง คู่กับ ‘ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย’ (ฉบับปรับปรุง) ของคริส เบเคอร์ และผาสุก พงษ์ไพจิตร ที่ชนะใจมหาชนถึงขั้นการันตีด้วยการตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 14 และขาดตลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สำหรับปีนี้ เรายังคงเชื้อเชิญเจ้าของสำนักพิมพ์ บรรณาธิการ ร้านหนังสือ และนักวาดภาพประกอบ มาร่วมคัดสรรหนังสือมากมายที่ตีพิมพ์ในปี 2023-2024 ทั้งการเมือง ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สังคมวิทยา วรรณกรรมไทยและเทศ ไปจนถึงการ์ตูน เพื่อค้นหาหนังสือแห่งปีแนะนำสู่ผู้อ่าน และแน่นอน เร็วๆ นี้ เราจะเชิญชวนนักอ่านมาร่วมโหวตหนังสือในดวงใจผ่านกิจกรรม ‘ความน่าจะอ่าน ขวัญใจมหาชน’ อีกเช่นเคย
จริงอยู่ที่วิธีการของเราอาจฟังดูไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ โลกของหนังสือก็ยังคงน่าตื่นตาตื่นใจไร้ที่สิ้นสุดเสมอ
คุณว่าจริงไหมล่ะ
รู้จัก ความน่าจะอ่าน มากขึ้น ที่นี่

:: ความน่าจะอ่าน ขวัญใจมหาชน 2024 ::
ขอเชิญนักอ่านทุกท่าน ร่วมสนุกกับกิจกรรม ‘ความน่าจะอ่าน ขวัญใจมหาชน’ เพื่อค้นหาหนังสือยอดนิยมประจำปีนี้ ที่ช่วยเปิดโลกใบใหม่ ไปพร้อมๆ กับเยียวยาหัวใจให้นักอ่าน
ทั้งเปิดโลกแห่งความรู้และโลกแห่งจินตนาการ ทั้งเติมพลังให้ผ่านความสนุกสนาน ลีลาภาษาอันน่าประทับใจ – ไม่ว่าหนังสือขวัญใจของคุณเป็นแบบไหน มาแนะนำหนังสือเล่มโปรดพร้อมความในใจได้ที่ : https://bit.ly/popularvote2024
กติกา
1. โหวตหนังสือที่คุณคิดว่า ‘น่าอ่าน’ ที่สุดแห่งปี จำนวน 1 เล่ม โดยต้องเป็นหนังสือที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ของไทย ตีพิมพ์ภายในปี 2566-2567 (เป็นฉบับพิมพ์ซ้ำก็ได้) และไม่จำกัดประเภทหนังสือ
2. เขียนเหตุผลสั้นๆ ว่าทำไมจึงเลือกหนังสือเล่มนี้
เจ้าของความเห็นถูกใจทีมงาน จะได้รับเซ็ตหนังสือ Top Highlights – หนังสือที่ได้รับการแนะนำจากสำนักพิมพ์ บรรณาธิการ ร้านหนังสือ รวมถึงนักวาดภาพประกอบ ของโปรเจกต์ความน่าจะอ่าน 2024 จำนวน 1 ชุด (จำกัด 1 รางวัล)
โหวตได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567