อ่อนแอก็สูญพันธุ์! มหาวิทยาลัยกับการปรับตัวอย่างสร้างสรรค์ต่อ ChatGPT

ตอนที่ 1 มหาวิทยาลัยมีไว้ทำไม? เมื่อ ChatGPT และ AI ทำให้เราเรียนจบได้เหมือนกัน

ตอนที่ 2 แนวโน้มการโกงข้อสอบด้วย ChatGPT: แม้ไม่รู้ แต่ทำไมเราต้องกังวล?

ตอนที่ 3 ChatGPT ทำอะไรได้บ้างและมีจุดอ่อนตรงไหน?: สิ่งที่ต้องรู้ก่อนปรับตัวรับมือ

ตอนที่ 4 มหาวิทยาลัยชั้นนำกับยุทธศาสตร์รับมือ ChatGPT ด้วยการกระจายอำนาจ: ตอบโจทย์ แต่ยังไม่พอ

ตอนที่ 5 ‘เครื่องคิดเลข’ – ‘ChatGPT’ และการปรับตัวอย่างสร้างสรรค์

สมมติว่ามหาวิทยาลัยต้องการปรับตัวรับเอา ChatGPT เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน เขาต้องทำอะไรบ้าง?

ตอนก่อนผมเล่าไปว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลกพยายามปรับตัวในเรื่องนี้อยู่ แต่เท่าที่สังเกตแล้วในปัจจุบันน่าจะยังไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันได้ เพราะเขาเน้นปรับตัวด้วยการกระจายอำนาจให้ผู้สอนรายวิชาทบทวนหาทางใช้ ChatGPT ในวิชาที่ตัวเองสอน ซึ่งคาดหวังผลลัพธ์ได้ลำบาก

อย่างตอนนี้ผมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนของหนึ่งในมหาวิทยาลัยท็อป 40 ของโลกอยู่ ทางมหาวิทยาลัยก็มีนโยบายแบบนี้เหมือนกัน แต่ในทางปฏิบัติแล้วก็เหมือนทุกองค์กร คือผู้สอนแต่ละคนก็เลือกทำเหมือนเดิมต่อไปตามความเคยชิน พอสอนเหมือนเดิม ChatGPT ก็ยังคงเป็นสิ่งแปลกปลอม โจทย์ของอาจารย์ก็กลับสู่แนวทาง ‘ต่อต้าน’ คือหาทางป้องปรามหรือแบนไม่ให้เด็กใช้เทคโนโลยี

อาจารย์บางคนถึงกับกลับไปใช้การสอบข้อเขียนในห้องเลยทีเดียว

ถ้ามหาวิทยาลัยจะไปให้ถึงฝั่งฝันการปรับตัวอย่างที่เคยทำได้เช่นเมื่อโลกต้องรับมือการเข้ามาของเครื่องคิดเลขหรือ Google Search ก็มีอยู่สองวิธีครับ หนึ่งคือนิ่งเฉยไปเรื่อยๆ อีกสักสิบปีพอเทคโนโลยีกลายเป็นเรื่องปกติ เด็กรุ่นต่อไปที่คุ้นชินกับ ‘โลกใหม่’ จบมาเป็นอาจารย์แล้วก็จะเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนเอง แต่ผมก็ไม่เห็นว่ามีความจำเป็นใดที่เราต้องรอนานขนาดนั้น โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงต้นทุนที่เกิดขึ้นกว่าจะถึงเวลานั้น เด็กเป็นสิบรุ่นต้องเสียโอกาสการใช้ ChatGPT อย่างมีคุณค่าไป กว่าจะถึงเวลานั้นมหาวิทยาลัยอาจหมดความจำเป็นไปก่อนก็ได้ ใครจะรู้

อีกทางที่อยากเสนอคือ มหาวิทยาลัยนี่แหละที่ต้องลงมือเพิ่มเติมด้วยตัวเอง การลงมือที่ว่าก็คือการที่มหาวิทยาลัยส่วนกลางแสดงภาวะผู้นำ ออกนโยบายผลักดันการปรับตัวอย่างเป็นทางการ

มหาวิทยาลัยอย่าง National University of Singapore และ Imperial College London เขาเลือกไปทางนี้ครับ ส่วนจะสำเร็จแค่ไหนก็ต้องแก้กันไปในระดับปฏิบัติ แต่โดยแนวคิดของพวกเขาคือมหาวิทยาลัยต้องออกกฎเกณฑ์และต้องลงมาตรวจสอบการปรับตัวในระดับรายวิชา สำหรับสิงคโปร์นั้นล่าสุดจะมีการออกนโยบายเรื่องนี้โดยรัฐเลยด้วย

หากเลือกที่จะรับมือในแนวทางที่มหาวิทยาลัยมีบทบาทนำและออกนโยบายนั้น ผมประมวลเรื่องที่ต้องทำออกมาเป็น 3 เรื่อง ดังนี้

1. รายละเอียดเนื้อหาว่าจะปรับตัวอย่างไรต้องมาจากระดับปฏิบัติงาน ‘รากหญ้า’ เรื่องนี้จะคิดเหมือนยุทธศาสตร์การกระจายอำนาจของมหาวิทยาลัยชั้นนำ คือคนซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในรายวิชาย่อมรู้ดีที่สุดว่าแก่นวิชาและรายละเอียดเนื้อหาวิชาของเขาคืออะไร ไม่มีใครสามารถกำหนดรายละเอียดการปรับตัวในเรื่องดังกล่าวทั้งหมดได้แบบบนลงล่าง แต่ต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ของผู้สอนในรายวิชาเป็นหลัก

2. ผู้บริหารหลักสูตรที่มีหน้าที่ออกแบบรายวิชาในภาพรวมจำเป็นต้องทบทวนเป้าหมายหลักสูตร แล้วประสานงานให้ผู้สอนปรับตัวไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้สนับสนุนเป้าหมายของหลักสูตร จุดสำคัญของการปรับตัวในระดับหลักสูตรดังกล่าวคือการตระหนักว่าต่อไป ChatGPT หรือเทคโนโลยีทำนองเดียวกันจะกลายเป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน ก่อนคิดทบทวนตัวเองว่าหลักสูตรต้องการสร้างบัณฑิตให้มีทักษะหรือความรู้แบบไหนในโลกที่เทคโนโลยีใหม่กำลังจะกลายเป็นเรื่องปกติเช่นนี้ ซึ่งการปรับตัวในระดับหลักสูตรและระดับมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่ยังไม่ค่อยมีการพูดคุยในวงการการศึกษาเท่าที่ควร

หลังจากนี้ผู้บริหารหลักสูตรต้องเริ่มคิดว่า หากนักศึกษาเรียนจบไปโดยใช้ ChatGPT ไม่เป็นเลย ก็จะเหมือนกับกรณีนักศึกษาที่เรียนจบไปโดยไม่เคยใช้เครื่องคิดเลขหรือ search engine ซึ่งจะหางานในตลาดไม่ได้และไม่เป็นประโยชน์กับสังคมแน่นอน เราอาจต้องตระหนักว่าเอาเข้าจริงหากพิจารณาจากเหตุผลเรื่องตลาดแรงงานเพียงลำพัง สถานศึกษาไม่มีเหตุผลต้องตรวจสอบหรือจำกัดการใช้โมเดลดังกล่าวเลยด้วยซ้ำ ครูรอพิจารณาตัดเกรดให้รางวัลผลลัพธ์งานสุดท้ายของผู้เรียน เพราะบริษัทในตลาดเขาก็ต้องการเพียงผู้เล่นที่สามารถส่งมอบสินค้าหรือบริการสุดท้ายที่มีคุณภาพได้ จะสร้างมายังไงก็เถอะ

ในทางกลับกันผู้บริหารหลักสูตรก็ต้องทบทวนว่าจะเอา ChatGPT เข้ามาในหลักสูตรอย่างไร ในเมื่อโมเดลมีข้อจำกัดในตัวเองอยู่  อย่างเรื่องอาการหลอน อคติทางสังคม และความเป็นส่วนตัว ซึ่งกระบวนการนำเข้าก็ต้องสร้างความตระหนักรู้เรื่องนี้ให้นักศึกษาด้วย นอกจากนี้ หลักสูตรอาจให้ความสำคัญกับการสร้างพลเมืองที่มี ‘คุณภาพขั้นต่ำ’ ในฐานะมนุษย์และสมาชิกทางสังคม สามารถร่วมคิดและถกเถียงในประเด็นสาธารณะได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งจะสร้างสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องให้นักศึกษาอ่าน-เขียนด้วยตัวเองอยู่ คำถามจึงอยู่ที่ว่าหลักสูตรจะปรับรายละเอียดอย่างไรที่สร้างสมดุลให้กับเป้าหมายเหล่านี้ทั้งหมด

อย่างหลักสูตรการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของ MIT ล่าสุดเขาหารือและปรับตัวกันแล้ว โดยตัดสินใจให้นักศึกษา ‘ป้อน’ รายละเอียดให้ ChatGPT เขียนโครงเรื่องร่างแรกให้ได้ แล้วให้นักศึกษาทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ความสมเหตุสมผล แล้วพัฒนาข้อเขียนให้มีมิติ ลึก สะท้อนวิธีคิด และสวยงามขึ้น ภายใต้ความช่วยเหลือของเทคโนโลยีไปเรื่อยๆ เขาเชื่อว่าในโลกที่ทุกคนใช้ ChatGPT บุคลากรที่ใช้เทคโนโลยีโดยผสมผสานความนึกคิดและความสร้างสรรค์ของตนเข้าไปจะไปได้ไกลกว่าคนอื่น รวมถึงนักศึกษาก็ยังรักษาทักษะที่จำเป็นไว้ได้ แถมยังผลิตงานได้มากขึ้น 

3. สถานศึกษาต้องทบทวนเป้าหมายการศึกษาและจัดระเบียบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับเป้าหมายในโลกใหม่ทั้งหมด ก่อนเข้ามาสนับสนุนแนวคิดและวัฒนธรรมการปรับตัวอย่างสร้างสรรค์ภายในมหาวิทยาลัย

จากที่ผมไปสำรวจกิจกรรมของมหาวิทยาลัยชั้นนำมา พบว่าการสนับสนุนการปรับตัวในภาพรวมของสถานศึกษาเกิดขึ้นในสองลักษณะ ลักษณะแลกคือการเปิดบทสนทนาในประเด็นเรื่อง ChatGPT เช่นผ่านการส่งจดหมายเวียน บันทึกข้อความในประเด็นเรื่อง ChatGPT เพื่อชวนสมาชิกในชุมชนคิดและสนทนาต่อในเรื่องดังกล่าว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำได้คือการจัดทีมผู้เชี่ยวชาญคอยติดตามศึกษาประเด็นดังกล่าว ด้วยการรวบรวมเอกสารหรือตัวอย่างการปรับตัวจริงที่เกิดขึ้นในห้องเรียนทั่วโลก เอาไว้ให้ผู้สอนขอคำปรึกษาและปรับใช้

มากกว่านั้นก็เป็นเรื่องการสร้างระบบสนับสนุนการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม เพราะปัญหาหนึ่งคือเด็กเข้าถึงเทคโนโลยีได้ไม่เท่ากัน เช่น บางคนอาจไม่พร้อมจ่ายเพื่อเป็นสมาชิก ChatGPT แบบพรีเมียม บางคนบกพร่องทางกายภาพ ซึ่งบางมหาวิทยาลัยเสนอให้แก้ด้วยการให้อาจารย์สร้างวิธีการประเมินผลที่หลากหลายรองรับคนทุกรูปแบบ มากกว่านั้นคือ University of Hongkong ลงทุนสร้าง ChatGPT เวอร์ชันมหาวิทยาลัยตัวเองที่ทุกคนใช้ได้เท่ากัน นอกจากนี้มีประเด็นเรื่องการสร้างระบบตรวจสอบควบคุมความโปร่งใส เช่น แบบฟอร์มให้นักเรียนกรอกว่าจะใช้ ChatGPT แค่ไหน อย่างไรบ้าง รวมถึงสร้างระบบอ้างอิงการใช้ ChatGPT มาตรฐานขึ้นมา นอกจากนี้ก็มีการสร้างมาตรฐานเพื่อพิทักษ์สิทธิความเป็นส่วนตัว เช่น ห้ามไม่ให้ผู้สอนบังคับนักศึกษาถ่ายวิดีโอหน้าจอตอนใช้ ChatGPT หรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับผู้เรียนเป็นข้อมูลสนทนากับโมเดล

ทั้งหมดนี้ สิ่งสำคัญคือมหาวิทยาลัยต้องเข้าไปประเมินว่าผู้สอนและหลักสูตรรายวิชาตระหนักและทำสิ่งเหล่านี้หรือยัง โดยมีระบบจูงใจหรือลงโทษตามความเหมาะสมกับบริบทชุมชนนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อยืนยันว่าการปรับตัวอย่างสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นจริง

คนสอนอาจจะลำบากและรำคาญหน่อย แต่นั่นเป็นเรื่องระดับปฏิบัติการที่มหาวิทยาลัยต้องไปหาแนวทางผลักดันในลักษณะที่ไม่สร้างภาระงานให้คนสอนมากเกินไป ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรคงต้องว่ากันไปตามบริบท

และก็นั่นแหละครับ ถึงที่สุดแล้วการปรับตัวเป็นต้นทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของอารยธรรม

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save