Trolley problem #8: Kantian solution ‘อย่าใช้คนอื่นเป็นเพียงเครื่องมือ’ คือคำตอบของปัญหารถราง?

สมมติว่า ก. กับ ข. มาขอยืมเงินคุณไปลงทุนคนละหนึ่งล้านบาทและสัญญาคืนเงินทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยภายในหนึ่งปี เมื่อครบกำหนดเวลาคุณจึงโทรหาทั้งสอง แต่กลับติดต่อไม่ได้ พอเวลาผ่านไปคุณเริ่มตระหนักว่าพวกเขาหายไปและคุณไม่มีวันได้เงินคืนตลอดกาล

โกรธไหมครับ? (ไม่น่าต้องถาม)

แต่ทีนี้ตอนหลังคุณได้ข้อเท็จจริงเพิ่มจากนักสืบที่จ้างมาตามไอ้สองตัวนี้ว่า เหตุที่คุณติดต่อ ก. ไม่ได้ เพราะไอ้ตัวแสบนี้วางแผนหลอกเอาเงิน บิดคุณ แล้วหนีไปอยู่ต่างประเทศอย่างแยบยล

ส่วน ข. นั้นตั้งใจที่จะทำตามสัญญา แต่วันที่แบกเงินสดมาคืนดันโดนฟ้าผ่า ร่างไร้วิญญาณและกระเป๋าเงินร่วงลงเขา ไม่มีใครหาเจอ ไม่มีใครติดตาม ไม่มีใครแจ้งข่าว เพราะ ข. ไม่มีมิตรสหายญาติพี่น้อง

คุณอาจโกรธ ข. น้อยลง เป็นผมคงไม่โกรธเลย อย่างน้อยคุณก็คงรู้สึกเหมือนผมว่า ข. ไม่ได้ทำอะไรผิด

อิมมานูเอล คานต์ (Immanuel Kant) หนึ่งในนักปรัชญาคนสำคัญตลอดกาลของโลกอธิบายว่า เบื้องหลังความเห็นทางศีลธรรมของคุณและผมเกิดจากการเห็นว่า ในกรณี ก. นั้นเป็นการหลอกใช้มนุษย์คนอื่น (ซึ่งในกรณีนี้คือเรา) ในฐานะเครื่องมือ ในขณะที่ ข. ไม่ได้ทำ

ตั้งต้นจากคำอธิบายดังกล่าว นักจริยศาสตร์จำนวนหนึ่งเห็นว่าแนวคิดดังกล่าวสามารถให้คำตอบกับปัญหารถรางได้

วันนี้ผมขอเล่าสูตรแก้ปัญหาชื่อดังที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดประยุกต์ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน และส่วนตัวผมเชื่อว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะแก้ปัญหารถราง

ทวนการบ้านก่อนก้าวสู่โลกของคานต์

ผมจบเนื้อหารถรางคราวก่อนไว้ที่ข้อถกเถียงเรื่องที่ว่า ‘จำนวนชีวิต’ ควรถูกนำมาพิจารณาในการตัดสินใจหันหรือไม่หันรถรางหรือไม่ โดยตั้งประเด็นว่านักจริยศาสตร์นำโดยลุงท่านหนึ่งเห็นว่าจำนวนไม่เกี่ยว รถรางจะวิ่งไปทางไหน ซ้าย-ขวา ตายห้า ตายหนึ่ง ตายล้าน เราล้วนสามารถตัดสินใจได้ด้วยการโยนหัวก้อย ข้อถกเถียงนี้สำคัญ เพราะเราไม่สามารถหักล้างมันลงได้อย่างสมบูรณ์ แม้สามัญสำนึกจะบอกเราว่า “บ้าไปแล้ว”

ระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายในข้อถกเถียงนี้ยังไม่รู้จะขยี้อีกฝ่ายให้ราบคาบได้อย่างไร มีข้อสรุปหนึ่งที่สามารถประนีประนอมได้โดยคร่าวก็คือ จำนวนชีวิตไม่ได้เป็นปัจจัยชี้ขาดเสมอไปหรือไม่ได้เป็นปัจจัยชี้ขาดเพียงประการเดียว แต่อย่างไรก็ตาม (ขีดเส้นใต้) หากจำนวนชีวิตในแต่ละทางเลือกต่างกันมากพอ เช่น กรณีที่ต้องเลือกระหว่างช่วยคนห้าคนหรือคนเดียว ซึ่งต่างกันห้าเท่า เช่นนี้แล้วจำนวนก็มีน้ำหนักพอจะเคาะให้เราตัดสินใจช่วยคนมากกว่าได้ (อ่านข้อถกเถียงนี้ได้ใน Trolley problem ตอนที่ 5-7)

เมื่อคำตอบเป็นเช่นนี้ ปัญหารถรางมาตรฐานก็กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง  

และแล้วเราจึงกลับสู่ภารกิจค้นหาคำตอบให้กับปัญหารถรางกันต่อ เหมือนที่เคยเล่าไปแล้วว่าโจทย์หลักของปัญหารถรางคือการสร้างหลักทางจริยศาสตร์ที่บรรลุสองเงื่อนไข

1. เป็นหลักบนฐานแนวคิดแบบหน้าที่นิยม (deontology) ที่ว่าเราสามารถตัดสินว่าการกระทำใดถูกผิดได้โดยดูจากเนื้อหาของการกระทำนั้นเอง ผลลัพธ์ที่ตามมาไม่เกี่ยว

2. หลักดังกล่าวกลับต้องให้คำตอบที่สอดคล้องกับสามัญสำนึกของเรา คืออนุญาตให้ช่วยคนจำนวนมากกว่าท่ามกลางทางเลือกที่จำกัด อย่างน้อยก็ในกรณีที่เหมาะสม (อ่านเหตุผลได้ในตอนที่ 1)

ก่อนหน้านี้ผมเล่าถึงความพยายามสร้างคำตอบดังกล่าวผ่านการขีดเส้นแบ่งระหว่าง ‘การฆ่า-ปล่อยให้ตาย’ (อ่านได้ในตอนที่ 2 และตอนที่ 3) ซึ่งค่อนข้างได้รับการยอมรับว่าไม่เวิร์กทั้งในแง่ผลลัพธ์คำตอบและเหตุผลเบื้องหลัง

วันนี้มาลองสูตรของคานต์กันครับ

กฎสากลเรื่องการไม่ใช้คนเป็นเพียง ‘เครื่องมือ’

หากคุณเลือกเรียนสาขาจริยศาสตร์ในตะวันตก คุณมีโอกาสสูงมากที่จะถูกอาจารย์บังคับให้อ่านและถกเถียงเกี่ยวกับกฎสากลสี่ข้อของคานต์

โดยพื้นฐานแล้วคานต์นำเสนอกฎเหล่านี้จากความเชื่อที่ว่า เราสามารถค้นพบระบบกฎเกณฑ์ทางจริยศาสตร์ที่ถูกต้องสมบูรณ์ได้ เหตุที่เชื่อเช่นนี้ก็เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่เกิดมาพร้อมสำนึกทางศีลธรรมบางอย่าง เช่น รู้ว่าการตื่นมาแล้วเดินไปเตะหมาเล่นอย่างไม่มีเหตุผลหรือข่มขืนทารกนั้นผิด

ผมไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นคนมีศีลธรรมไม่เตะหมาไม่ฆ่าคน แต่คือต่อให้คนคนนั้นชอบทำและไม่รู้สึกผิด เขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องตามมาตรฐานศีลธรรมของสังคมมนุษย์ สำนึกผิดชอบชั่วดีของคนอาจไม่ตรงกัน แต่คานต์ก็เชื่อว่ามีกฎบางอย่างที่เป็นสากลอยู่ในใจ สามารถอธิบายได้ว่าสำนึกศีลธรรมของคนที่ว่ามาจากไหน และเป็นเข็มทิศให้คนตีความหรือถกเถียงกันเรื่องทางเลือกต่างๆ เพื่อหาทางเลือกที่ถูกต้องทางจริยศาสตร์

ว่าไปแล้วก็คล้ายระบบไวยากรณ์ทางภาษาที่ฝังลึกอยู่ในหัวคนโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามและเราต้องแปลมันออกมาเป็นกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเท่าที่จะทำได้ เพื่อใช้ตัดสินความถูกผิดทางไวยากรณ์ในกรณีที่ไม่แน่ใจ

คานต์บอกว่ากฎสากลดังกล่าวมีอยู่สี่ข้อ ข้อที่นำมาสู่แนวทางแก้ปัญหารถรางคือกฎสากลข้อที่สอง ใจความคือ

“ไม่ปฏิบัติต่อความเป็นมนุษย์ที่สถิตย์อยู่ในตนเองและผู้อื่นเพียงในฐานะเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมาย แต่เป็นเป้าหมายในตัวเอง”

พูดง่ายๆ คืออย่าใช้ใครรวมถึงตัวเองเป็นเพียงเครื่องมือเหมือนไอ้ ก. ที่ไม่คืนเงินเรา

กลับกัน การปฏิสัมพันธ์ระหว่างเราและคนอื่นจำเป็นต้องเป็นไปในลักษณะที่เห็นคุณค่าและเคารพต่อความเป็นมนุษย์ของเขาในฐานะ ‘เป้าหมายในตัวเอง’ คำดังกล่าวตีความได้หลากหลายและเป็นหนึ่งในประเด็นถกเถียงหลักของผู้ที่ให้ความสนใจในหลักดังกล่าว บ้างว่าหมายถึงการที่เป้าหมายสุดท้ายที่เราต้องการบรรลุต้องเป็นเป้าหมายซึ่งคนที่ถูกปฏิบัติเห็นชอบด้วย ผ่านการให้ความยินยอมอย่างชัดเจน หรือคาดการณ์ได้ด้วยเหตุผลว่าเขาจะเห็นดีเห็นงามด้วย แต่ข้อถกเถียงหลังไม่ใช่ประเด็นหลัก ณ ที่นี้ เพราะในกรณีรถรางไม่มีใครอยู่ในเงื่อนไขที่จะยินยอมหรือคาดหวังผลลัพธ์อันดีงามใดจากสถานการณ์

ถ้ายึดเอาเฉพาะท่อนแรกเป็นหลัก ฟังดูยังไงก็ไม่น่าผิด (ใช่ครับ อย่างที่บอกไปว่าคานต์พยายามตั้งต้นจากการหาจุดอ้างอิงเชิงหลักการที่แน่นอน ยากที่จะผิด แล้วใช้มันถอดรหัสหาหลักที่ซับซ้อนขึ้น)

เอาเข้าจริงมีนักมานุษยวิทยาเคยไปสำรวจหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมสังคมวัฒนธรรมรอบโลกก็พบว่าทุกสังคมที่เขาไปล้วนมีแนวคิดที่ถอดออกมาแล้วตรงกับที่คานต์ว่าไว้

เมื่อตั้งต้นจากสูตรนี้ เขาก็ตอบปัญหารถรางว่า ทางเลือกไหนที่ใช้ชีวิตคนเป็นเครื่องมือนั้นถือว่าทำไม่ได้

สับรางนะ แต่อย่าผลักคนอ้วน

รูปแบบมาตรฐาน (รูปแบบที่ 3)
กรณีคนอ้วน (รูปแบบที่ 2)

หลักดังกล่าวช่วยแก้ปัญหารถรางอย่างไร?

การจะเข้าใจเรื่องดังกล่าวต้องกลับสู่รถรางรูปแบบมาตรฐาน (รูปแบบที่ 3) และกรณีคนอ้วน (รูปแบบที่ 2) อย่างที่เคยเล่าไป เรารู้แน่ชัดว่าหลักการคำตอบต่อปัญหารถรางอย่างน้อยที่สุดต้องให้คำตอบที่ถูกต้องในสองกรณีนี้ คือโยกสวิตช์หันหัวรถรางไปทางคนหนึ่งคนในรูปแบบที่ 3 กับไม่ผลักคนอ้วนลงไปหยุดรถไฟในรูปแบบที่ 2

กฎของคานต์ข้างบนให้ความหวังก็เพราะมันตอบถูกทั้งสองกรณี

อธิบายแบบง่ายๆ เร็วๆ เลยก็คือในกรณีคนอ้วน มันชัดเจนว่าเราใช้คนอ้วนเป็นเครื่องมือในการหยุดรถไฟ

ขณะที่ในกรณีสับสวิตช์ เราเพียงสับสวิตช์รถรางเพื่อช่วยคนห้าคน ไม่ได้ใช้ใครเป็นเครื่องมือ แต่ปัญหาคือมันดันมีคนหนึ่งคนไปอยู่ตรงนั้น!

พอให้คำตอบที่ถูกปุ๊บก็เริ่มมีความหวัง

วิธีแยกแยะการใช้-ไม่ใช้คนเป็นเครื่องมือ

ถึงตรงนี้บางคนอาจถามว่าเราสามารถแยกแยะระหว่างการใช้-ไม่ใช้คนเป็นเครื่องมือได้ชัดเจนจริงหรือ?

เรื่องนี้นักจริยศาสตร์บอกว่าไม่ยากเท่าไหร่ เขาบอกให้เราถามตัวเองว่าการประสบภัยของคนหนึ่ง ‘เป็นเงื่อนไขจำเป็น’ ในเป้าหมายการช่วยชีวิตคนจำนวนมากกว่าหรือไม่ ถ้าจำเป็นก็แปลว่าผู้ประสบภัยกำลังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือให้กับเป้าหมายเราอยู่

ในกรณีสับสวิตช์เปลี่ยนราง หนึ่งคนที่ตายไม่สำคัญ ไม่ใช่เงื่อนไขของผลลัพธ์การช่วยชีวิต เขาไม่อยู่ตรงนั้นเราก็สามารถช่วยคนห้าคนได้ มากกว่านั้นคือถ้าเรามีเวลาพอหลังสับราง เราจะพยายามวิ่งไปช่วยปลดเชือกคนหนึ่งคนด้วยซ้ำ

แต่ในกรณีคนอ้วนนั้นจะไม่มีเขาไม่ได้ การผลักเขาลงไปและน้ำหนักตัวของเขาคือเงื่อนไขในการหยุดรถรางและช่วยคนห้าคน

กรณีหลังนี่แหละครับ คือการใช้คนเป็นเครื่องมือ

ปัญหารถรางรูปแบบที่ 7: Loop Case

ปัญหาของสูตรที่ว่าไปก็คือมันดันให้คำตอบที่เขาว่ากันว่าผิดในกรณีปัญหารถรางรูปแบบที่ 7 ซึ่งถูกยกขึ้นมาเพื่อแย้งคำตอบบนฐานคิดคานต์โดยเฉพาะ

ลองจินตนาการว่าคุณขับรถอยู่บนถนนแล้วเบรกแตก ถนนข้างหน้าแคบและมีคนงานกำลังก่อสร้างถนนอยู่ คนงานไม่ได้ยินเสียงรถของคุณเพราะถูกเสียงเครื่องจักรกลบ ต่อให้ได้ยินก็ไม่มีทางหลบ ทันใดนั้นคุณเหลือบไปเห็นคนหนึ่งคนยืนอยู่ริมถนนก่อนถึงกลุ่มคนงาน คุณคิดขึ้นได้ว่าถ้าคุณขับรถชนคนคนนี้ เขาจะตาย แต่น้ำหนักตัวของเขาจะช่วยชะลอความเร็วพอให้รถหยุดก่อนถึงคนงานห้าคนข้างหน้า

คุณจะชนคนหนึ่งคนหรือไม่?

กรณีดังกล่าวลดรูปมาเป็นดังภาพได้ตามนี้

ทางเลือกที่หนึ่ง – ไม่สับราง ปล่อยรถรางวิ่งชนคนห้าคนตาย

ทางเลือกที่สอง – สับรางให้รถรางชนคนหนึ่งคน ใช้น้ำหนักตัวเขาหยุดรถ

loop case ต่างกับกรณีมาตรฐานคือ สับรางไปแล้วถ้าไม่มีหนึ่งคนโดนชนเพื่อให้รถรางหยุดลง รถรางจะวิ่งวนต่อกลับมาทับคนห้าคนตาย

หลักของคานต์ฟันธงเรื่องนี้ได้ทันทีว่าทำไม่ได้ เพราะในกรณีนี้การตายของคนหนึ่งคนเป็นเงื่อนไขจำเป็นสำหรับเป้าหมายการช่วยชีวิตคนจำนวนมากกว่า ดังนั้นเรากำลังใช้เขาเป็นเครื่องมือ!

นักจริยศาสตร์จำนวนมากฟันธงกลับทันทีว่าถ้างั้นข้อเสนอของ Kant ก็ใช้ไม่ได้ เพราะให้คำตอบขัดสามัญสำนึกในเรื่องนี้ชัดเจนว่าเราต้องสับสวิตช์

นักจริยศาสตร์สายทดลองจำนวนหนึ่งลองสำรวจความเห็นคนจำนวนมาก เขาก็บอกว่าต้องสับสวิตช์ ใช้หนึ่งชีวิตแลกห้า คำตอบของสูตรคานต์จึงยิ่งดูขัดแย้งกับคำตอบที่ถูกต้อง

เมื่อคำตอบไม่ถูกต้องข้อเสนอนี้จึงถูกปัด แต่ก็ไม่หมดจดเสียทีเดียว หลายคนรวมถึงผมคนหนึ่งแหละที่รู้สึกว่าในกรณีนี้ผมจะไม่สับสวิตช์ ปล่อยคนห้าคนตาย ดังนั้นหลักของคานต์จึงยังให้คำตอบที่ถูกอยู่ แต่ผมก็คิดไม่ออก อธิบายไม่ได้ว่าทำไมผมจึงมีสามัญสำนึกขัดกับกระแสหลัก พออธิบายไม่ได้ก็ไม่รู้จะชักจูงคนเห็นต่างอย่างไร

เอาเป็นว่าเขาว่ากันตามนี้นะครับ (ใครคิดออกช่วยบอกผมหน่อย!)

ให้ห้าตายแลกหนึ่ง: อีกหนึ่งปัญหาจุดตาย

อีกจุดตายของข้อเสนอข้างต้นนั้นผมว่าโหดกว่า loop case

ฝ่ายค้านเขาว่า ถ้าเราใช้หลักคานต์ที่ว่าสมมติถ้าเป็นกรณีรถรางกำลังวิ่งใส่คนหนึ่งคน เราสามารถสับสวิตช์เปลี่ยนรางได้ แต่อีกรางดันมีคนห้าคน ถ้าเราสับเขาจะตาย เราจะถูกบังคับให้สับสวิตช์ ด้วยเหตุผลว่าเราไม่ได้ใช้คนห้าคนเป็นเครื่องมือในการช่วยคนหนึ่งคน เหตุผลก็ตามเดิมครับ ห้าคนนั้นจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ใช่เงื่อนไขของผลลัพธ์การช่วยชีวิต เขาไม่อยู่ตรงนั้นเราก็สามารถช่วยคนหนึ่งคนได้ มากกว่านั้นคือถ้าเรามีเวลาพอหลังสับราง เราจะพยายามวิ่งไปช่วยปลดเชือกคนห้าคนที่ว่าด้วยซ้ำ (ผมก็อปปี้ประโยคข้างบนมาเลย แค่แก้ตัวเลข)

ถึงจุดนี้หลายคนก็จะอุทานว่า “จะบ้าเหรอ”

“ไม่เมกเซนส์เลย”

และ “พอเหอะ”

แต่นั่นแหละครับ นี่คือข้อเสนอบนฐานคิดแบบคานต์ในเบื้องต้น ตอนต่อไปผมจะมาเล่าหลักการของผลลัพธ์สองด้าน (doctrine of double effect) ซึ่งสามารถสร้างขึ้นบนฐานคิดแบบคานต์ในตอนนี้  หลักนี้ซับซ้อนกว่าและหลบปัญหาที่ผมเพิ่งเล่าไปได้

แต่ก็นั่นแหละครับ หลักต่อไปก็เจอปัญหาที่ซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

4 Aug 2020

การสืบราชสันตติวงศ์โดยราชสกุล “มหิดล”

กษิดิศ อนันทนาธร เขียนถึงเรื่องราวการขึ้นครองราชสมบัติของกษัตริย์ราชสกุล “มหิดล” ซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้สืบราชสันตติวงศ์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร 2475

กษิดิศ อนันทนาธร

4 Aug 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save