มหาวิทยาลัยชั้นนำกับยุทธศาสตร์รับมือ ChatGPT ด้วยการกระจายอำนาจ: ตอบโจทย์ แต่ยังไม่พอ

ตอนที่ 1 มหาวิทยาลัยมีไว้ทำไม? เมื่อ ChatGPT และ AI ทำให้เราเรียนจบได้เหมือนกัน

ตอนที่ 2 แนวโน้มการโกงข้อสอบด้วย ChatGPT: แม้ไม่รู้ แต่ทำไมเราต้องกังวล?

ตอนที่ 3 ChatGPT ทำอะไรได้บ้างและมีจุดอ่อนตรงไหน?: สิ่งที่ต้องรู้ก่อนปรับตัวรับมือ

ตอนก่อนหน้าผมเล่าถึงปฏิกิริยาตามธรรมชาติที่มหาวิทยาลัยมีต่อ ChatGPT ว่า ถ้าไม่นิ่งเฉยก็ต่อต้านไปเลย ซึ่งทางเลือกทั้งสองนำไปสู่จุดจบแห่งความล้มเหลวเหมือนกัน ดังนั้นการรับมือกับเทคโนโลยีจึงอาจจำเป็นต้องอาศัยกรอบคิดใหม่ที่ก้าวข้ามปฏิกิริยา ‘ขาว-ดำ’ แบบนี้

อันที่จริง มหาวิทยาลัยชั้นนำก็รู้เรื่องนี้ครับ พอเวลาผ่านไปและสถานการณ์เริ่ม ‘นิ่ง’ ในระดับหนึ่ง คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ทบทวนตัวเองก่อนเริ่มปรับท่าที การสำรวจมหาวิทยาลัย 40 อันดับแรกของโลกตามการจัดอันดับของ QS Ranking (ผมเลือกการจัดอันดับโดยสถาบันนี้ เนื่องจากมีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์โลกมากกว่าที่อื่น) พบว่า มหาวิทยาลัยเหล่านี้เริ่มตกผลึกไปในทางเดียวกันแล้ว กล่าวคือพวกเขาเลิกความคิดที่จะต่อต้านหรือคิดหาวิธีจับผิด ChatGPT แล้ว (ส่วนใหญ่มหาวิทยาลัยเหล่านี้ไม่ค่อยนิ่งเฉยสักเท่าไหร่) แต่หันไปจัดตั้งคณะกรรมการศึกษาศักยภาพ ข้อดี ข้อเสีย และแนวทางการประยุกต์ใช้ ChatGPT แทน

กรอบคิดเช่นนี้นำไปสู่แนวนโยบายจำนวนหนึ่ง ซึ่งโดยหลักแล้วเราอาจเรียกได้ว่าเป็นท่าทีแบบ ‘กระจายอำนาจ’ ก็ได้ กล่าวคือ ผู้บริหารอนุญาตให้ผู้สอนแต่ละรายวิชาตัดสินใจว่า ชั้นเรียนที่ตนเองสอนเกี่ยวข้องกับการใช้ ChatGPT หรือไม่ อย่างไร ส่วนมหาวิทยาลัยส่วนกลางก็ถอยไปทำหน้าที่กำกับดูแลภาพรวม ออกกฎเกณฑ์หรือมาตรฐานควบคุมกิจกรรมการใช้เทคโนโลยี

นอกจากการตระหนักว่า การต่อต้านเทคโนโลยี (หรือนิ่งเฉย) ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแล้ว ยังมีอีกสองปัจจัยหลักที่ผลักดันมหาวิทยาลัยสู่เส้นทางนี้

1. มหาวิทยาลัยตระหนักดีว่า ตัวสถานศึกษาก็ยังฝุ่นตลบ เทคโนโลยียังพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และยังมีช่องว่างทางความรู้ที่อยู่ระหว่างการศึกษาทำความเข้าใจอีกมาก ดังนั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ การให้อาจารย์ระดับปฏิบัติการสอน ซึ่งรู้จักวิชาตนเองดีที่สุด ไปลองเล่นลองใช้โมเดลแล้วเลือกประยุกต์ตามความเหมาะสม

2. มหาวิทยาลัยเหล่านี้มีฉันทมติแล้วว่า แม้ ChatGPT อาจเป็นภัยต่อการศึกษาในบางแง่มุม แต่ก็มีศักยภาพที่จะใช้ในการเรียนรู้ได้สูงมากหากมีการประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม สถาบัน MIT เป็นมหาวิทยาลัยแรกๆ ที่นำเสนอประเด็นนี้อย่างจริงจัง โดยอาจารย์จากคณะ Rhetoric และ Digital Media ให้ความเห็นว่า ไม่แน่ว่า ณ จุดหนึ่ง “การฝึกสอนให้นักเรียนเขียนงานภายใต้การช่วยเหลือของ AI อาจกลายเป็นกระบวนการมาตรฐาน” ในเวลาอันใกล้

ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลกลาง มหาวิทยาลัยแต่ละที่ก็มีคำแนะนำให้คณาจารย์ของตนแตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วข้อแนะนำเหล่านี้มีส่วนซ้อนทับคล้ายกัน ซึ่งผมขอสรุปเป็น 4 ข้อ ได้แก่

1. ในชั้นเรียนครั้งแรก ผู้สอนต้องสื่อสารอย่างชัดเจนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้และบทบาทของ ChatGPT ในเนื้อหาและวิชาเรียนดังกล่าว บอกกฎกติกาให้ชัดเจนว่าสามารถใช้ได้แค่ไหน อย่างไร รวมถึงต้องอธิบายให้นักเรียนและนักศึกษาฟังถึงเหตุและผลของกฎกติกาดังกล่าว

2. ผู้สอนต้องย้ำเตือนให้นักเรียน-นักศึกษาในชั้นเรียนรู้เท่าทันถึงจุดเด่นและข้อจำกัดของ ChatGPT โดยเฉพาะในประเด็นเรื่อง ข้อจำกัดการสร้างความรู้ใหม่ อาการหลอน อคติทางสังคม และปัญหาเรื่องข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งหากสามารถทดลองให้คนในชั้นเรียนเห็นเป็นรูปธรรมได้เลยยิ่งดี

3. ผู้สอนต้องบอกกฎแก่นักเรียนให้ชัดเจนว่า การใช้ ChatGPT ควรต้องเขียนชี้แจงไว้ในงานด้วยว่า ใช้แค่ไหนและอย่างไร โดยเรื่องนี้มหาวิทยาลัยจะเข้ามามีบทบาทสนับสนุนผ่านการออกแบบวิธีการอ้างอิงงานเขียนในกรณีที่ผู้เรียนได้รับอนุญาตให้ใช้ ChatGPT ช่วยหรือร่วมเขียนงาน ในระยะเริ่มแรก มหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งเช่น มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (UCL) และอิมพีเรียลคอลเลจได้ทดลองออกกฎเกณฑ์การอ้างอิงของตัวเองก่อน แต่ในปัจจุบันได้มีความพยายามพัฒนาระบบมาตรฐานระดับโลก เช่น มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและวิทยาลัย MLA ก็ออกกฎเกณฑ์ในเรื่องนี้แล้ว ซึ่งสืบค้นดูได้ไม่ยาก

4. ผู้สอนต้องออกแบบหลักสูตรและวิธีวัดผลให้สอดคล้องต่อเนื่องกัน เช่น หากอนุญาตให้ใช้ ChatGPT ได้ ข้อสอบก็ควรจะเป็นข้อสอบแบบนำกลับบ้านไปทำ หรือใช้คอมพิวเตอร์ หากไม่ให้ใช้ในส่วนไหน ผู้สอนก็ต้องประยุกต์ใช้เครื่องมือหรือแนวทางการตรวจจับหรือออกแบบข้อสอบวัดผลที่ไม่สามารถให้ ChatGPT ทำแทนได้ในส่วนนั้นได้ โดยแผนทั้งหมดนี้ต้องสอดคล้องกับความคาดหวังรายวิชาที่วางไว้และชี้แจงกับผู้เรียนไปตั้งแต่ต้น

บางมหาวิทยาลัยอาจพัฒนาแนวทางที่ละเอียดและมีความเฉพาะตัว เช่น มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ที่ซีเรียสกับเรื่องการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลก็ตั้งกรรมการขึ้นมาออกกฎเกณฑ์เพื่อป้องกันปัญหานี้โดยเฉพาะ แนวปฏิบัติที่ออกมาแล้ว เช่น การห้ามไม่ให้อาจารย์สั่งงานที่ทำให้ผู้เรียนต้องกรอกข้อมูลส่วนบุคคลใส่ ChatGPT รวมถึงทุกรายวิชาที่จะใช้โมเดลในการเรียนการสอนต้องมาคุยกับเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ (ซึ่งทำงานภายใต้คณะกรรมการฯ) เพื่อประเมินว่าแนวทางการใช้งานที่ผู้สอนออกแบบไว้นั้นคิดและวางแผนป้องกันเรื่องข้อมูลรั่วไหลเพียงพอหรือยัง

นอกจากนี้ บางมหาวิทยาลัยก็คำนึงถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำด้วย โดยระบุในคำแนะนำว่า ผู้สอนที่จะสนับสนุนให้ใช้ ChatGPT ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเด็กบางคนไม่ได้เข้าถึงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพา และไม่ใช่ทุกคนที่สามารถสมัครสมาชิก ChatGPT แบบพรีเมียมได้ ซึ่งการออกแบบการประเมินต้องยืดหยุ่นให้เด็กตามความได้เปรียบเสียเปรียบเหล่านี้ด้วย อีกกรณีที่ต้องคิดคือผู้บกพร่องทางร่างกายที่ใช้โมเดลไม่ได้ ผู้สอนก็ต้องหามาตรการมารองรับให้เขาตามทันและไม่เสียเปรียบเพื่อนด้วย

ทั้งนี้ทั้งนั้น จุดแข็งที่สำคัญที่สุดของแนวทางกระจายอำนาจให้อาจารย์ตัดสินใจคือ การก้าวข้ามมายาคติความกลัว และก้าวข้ามกรอบคิดแบบ ‘ขาว-ดำ’ ซึ่งนำไปสู่การเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนและยกระดับการเรียนรู้

อย่างไรก็ตาม ผมมีข้อสังเกตุว่าแนวทางดังกล่าวมีข้อจำกัดสำคัญคือ เมื่อกระจายอำนาจแล้วยังไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า ผู้สอนซึ่งเป็นคนตัดสินใจปลายน้ำจะสามารถปรับตัวเข้าหาเทคโนโลยีได้ เมื่อมีอิสระในการตัดสินใจ ก็เป็นไปได้ว่า ผู้สอนบางคนอาจเลือกแบนหรือนิ่งเฉยเหมือนเดิม (เพราะต้นทุนในการปรับตัวต่ำ) ซึ่งก็ทำให้ปัญหาในระดับปฏิบัติการวนกลับไปที่ปัญหาตั้งต้นอีกครั้ง

ข้อสังเกตของผมยังไม่มีการสำรวจอย่างจริงจังหรอกนะครับ แต่จากประสบการณ์มีส่วนร่วมในการสอนในโลกตะวันตก ผมคิดว่าอาจารย์และนักวิชาการส่วนใหญ่ก็ไม่สู้ปรับตัวกันเท่าไหร่ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะถึงที่สุดแล้ว ChatGPT ก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเขาด้วยเหมือนกัน การปรับตัวย่อมหมายถึงการทำความเข้าใจศักยภาพของ ChatGPT ที่มีต่อโลกความรู้ในสาขาตัวเอง ยังไม่นับการทบทวนเป้าหมายของหลักสูตร การออกแบบและปรับใช้เทคโนโลยีเข้ามาอย่างเป็นระบบ ฯลฯ นอกจากนี้ ช่วงวัยก็มีผลต่อการใช้เทคโนโลยีอย่างมีนัยสำคัญ ลองนึกหน้าคนอายุ 50-60 การปรับตัวในเรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ไม่น้อย หากเลือกได้ก็มีแนวโน้มที่พวกเขาจะไม่มานั่งทำอะไรแบบนี้

ข้อสังเกตข้างต้นนำไปสู่คำถามที่ว่า แล้วมหาวิทยาลัยจะต้องทำอย่างไร เพื่อรับประกันว่าการปรับตัวจะเกิดขึ้นกับทั้งระบบจริงๆ ผมจะกลับมาเล่าให้ฟังในตอนหน้าครับ


บทความนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง สถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (STIPI) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ The101.world

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save