สวัสดีค่ะคุณลุง ช่วงที่ผ่านมา ‘หมูเด้ง’ กลายเป็นกระแสอย่างมากเลย พอสังเกตดีๆ แล้วสัตว์หรือมาสคอตที่มักได้รับความนิยมบนโลกออนไลน์มักเป็น ‘สัตว์ตัวอ้วน’ ทำไมคนเราถึงชอบสัตว์ตัวอ้วนคะ – จอย
ตอบคุณจอย
ตอบยังไงดีเรื่อง ‘สัตว์ตัวอ้วน’ กับ ‘ความชอบ’ เพราะลุงยังไม่ชอบตัวเองตอนน้ำหนักขึ้นเลย ก็แปลกดีที่สมัยนี้ความอ้วนพีเป็นลักษณะด้านลบถ้ามันอยู่กับคน แต่สำหรับตัวอะไรต่อมิอะไร รวมทั้งมาสคอตและฮิปโปแคระ ความอ้วนตุ๊ต๊ะกลับกลายเป็นเสน่ห์ อ้วนเท่ากับน่ารัก
ในความจริงแล้วมาสคอตกับความอ้วนเป็นของคู่กัน อย่างมาสตอตตัวแรกๆ ของโลก ‘บีเบนดัม’ หรือ ‘มิชลินแมน’ มาสคอตของยางรถยนต์มิชลินนี่ก็จัดได้ว่าอ้วน สมัยนั้นเขาเอาไว้ช่วยโฆษณาขายยาง โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี 1894 รวมแล้วก็เกินร้อยปี สมัยนี้ ‘บีเบนดัม’ ก็ยังเป็นที่ติดอกติดใจของบรรดาสิบล้อเมืองไทยไว้ใช้แต่งรถ หรือแม้แต่ซานต้าฯ ที่เราคุ้นเคย ก่อนจะแต่งชุดซานต้าฯ ออกมาให้ความสำราญแก่ผู้คนในช่วงคริสต์มาส จะให้ดีก็ควรจะยัดหมอนให้พุงพลุ้ยเสียก่อน เพราะหากซานตาคลอสตัวผอมสูงนี่คงไม่ใช่แบบที่เราคุ้นเคย (เผลอๆ จะน่ากลัวเสียด้วยซ้ำ) หรือเจ้าหมีคุมะมงแห่งจังหวัดคุมะโมะโตะที่สามารถแสดงลีลาที่โดดเด้งได้คล่องแคล่วจนเป็นที่รักของคนทั่วโลก ก็มีพุงย้วย
ทางจิตวิทยานั้น ความอ้วน เจ้าเนื้อ จ้ำม่ำ ตุ๊ต๊ะ ปุ๊กลุก มักสื่อถึงความรู้สึกที่เป็นบวก แต่ความนิยมในตัวมาสตอตไม่ได้เกิดเพราะมาสคอตตัวนั้นอ้วนเท่านั้นนะ หากดูจากบรรดาพี่น้องมาสคอตหลายตัวของ ‘หมีเนย’ ซึ่งเต้นไปเต้นมาอยู่หน้าห้างมาด้วยกันสมัยห้างเปิดใหม่ๆ ตอนนี้ไม่ทราบหายหน้าไปไหนกันหมดแล้วเหลือเพียง ‘หมีเนย’ ผู้เดียวที่ยังยืนหยัด
คือไม่ใช่ว่าอ้วนแล้วใครๆ ก็จะรัก มันต้องมีลีลามีจริตที่ถูกใจคนด้วย
สิ่งที่ลุงชอบสุดในตัว ‘หมีเนย’ คือท่าเต้นอ่อนๆ สบายๆ สมตัว เข้าใจง่าย มีความเป็นเด็กน้อยผู้อ่อนโยน หัวโตๆ หันไม่ได้ ก้มไม่ได้ แต่เปี่ยมอารมณ์ เสื้อผ้าที่ขยันเปลี่ยนกับใบหน้ายิ้มใสตลอดกาลนั้นก็มีส่วน คุณคนที่อยู่ในชุดหมีนี่ไม่ธรรมดาเลย นอกจากใส่ใจทำงานแล้วยังมีความ choreographer คือรู้ว่าเต้นยังไงเต้นแค่ไหนจึงจะดีและเต้นอย่างไรให้เข้ากับชุดหมีที่ใส่อยู่
แต่ก็นั่นแหละ ถ้า ‘หมีเนย’ เต้นอยู่หน้าห้างโดยที่ไม่มีใครเห็น เขาก็คงน่ารักอยู่ของเขาคนเดียว และคงอยู่ไปแบบนั้นจนกว่าจะมีคน ‘ค้นพบ’ เข้าใจว่าทางเจ้าของคงลงทุนกับการเผยแพร่คลิปหมีเนยไม่น้อย ลุงเข้าใจว่าต้นทุนความน่ารักอย่างเดียวคงไม่พอ จำเป็นต้องมีทุนที่เป็นเงินจริงๆ มาจ่ายให้พี่มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก คราวนี้ความน่ารักก็มีคนพบเห็น จนมาถึงยุคที่มีมัมหมีเป็นกลุ่มแฟนที่เหนียวแน่นแล้ว
‘หมูเด้ง’ มีพี่ชื่อหมูตุ๋น บางคนก็บอกว่าหมูตุ๋นก็เด้งดึ๋งไม่แพ้หมู้เด้ง แต่เขาไม่ได้ถ่ายมาลงคลิปจึงไม่มีใครเห็น
สำหรับผมนั้น หมูเด้งมีอะไรมากกว่าความอ้วน แต่มีความซุกซน ความ ‘สวบ’ ความคึก รวมทั้งตาแป๋วขนตางอนนั้น ก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ และอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันคือการเผยแพร่ทางสื่อโซเชียล
ในแง่มุมหนึ่งของปรากฎการณ์ ‘หมูเด้ง’ ที่น่าสนใจมากคือความเป็นอินเตอร์ถึงขนาดเป็นข่าวตามสำนักข่าวต่างประเทศมากมาย ที่พีคสุดๆ คือรายการ SNL (Saturday Night Live) เอาไปทำสเก๊ตช์ล้อเลียน มีโบเวน หยาง เล่นเป็น ‘หมูเด้ง’ ที่ว่าพีคก็น่าจะเป็นเพราะเทียบกับคนเอเชียแล้วฝรั่งไม่ค่อยอินกับความน่ารักเท่ากับชาวเรา อะไรที่มันน่ารักเกิ๊นจึงสามารถเอามาเล่นให้เป็นประเด็นได้ ตั้งแต่ ‘บาร์บี้’ มาจนถึง ‘หมูเด้ง’
สวัสดีครับคุณลุง งานหนังสือเพิ่งจบลงไป คุณลุงมีหนังสือเล่มไหนที่คิดว่ามีอิทธิพลต่อคุณลุงในฐานะผู้อ่านบ้างหรือเปล่าครับ – ก้อง
ตอบคุณก้อง
เรื่องหนังสือที่มีอิทธิพลต่อเรานั้นมันแสนจะกว้างใหญ่ หนังสือชื่อ หนังสือ 100 หัวเรื่องซึ่งมีอิทธิพลที่สุดในโลก เขียนโดยคุณมาร์ติน ซีมอร์ สมิท ให้รายชื่อหนังสือไว้ชุดหนึ่ง เป็นหนังสือ ‘ใหญ่ๆ’ ทั้งนั้น เช่น เขาเริ่มจากพระคริสต์ธรรมคัมภีร์, คัมภีร์อัลกุรอาน, กำเนิดสปีชีส์ ของชาร์ลส์ ดาร์วิน, 1984, รีพับลิก บิดาของปรัชญาการเมือง, ดาสแคปปิตอล ของคาร์ล มาร์กซ์, อุปนิษัท หลักธรรมสูงสุดของคัมภีร์พระเวทของฮินดู, สงครามและสันติภาพ ของลีโอ ตอยสตอย, ดอนกิโฆเต้ หางลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน, โอเดสซี ของโฮเมอร์ และอื่นๆ
ส่วนของประเทศไทยเองก็ไม่เบา มีการจัดทำรายชื่อหนังสือ 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน ซึ่งเริ่มตั้งแต่ประชุมโคลงโลกนิติ, นิราศหนองคาย, สามัคคีเภทคำฉันท์, บทกวีของอังคาร กัลป์ยาณพงศ์, ละครแห่งชีวิต, แลไปข้างหน้า, สี่แผ่นดิน,โฉมหน้าศักดินาไทย, เจ้าชีวิต, สาสน์สมเด็จ ฯลฯ
ทุกคนจะเห็นได้ว่าจะมีแต่ชื่อหนังสือ ‘ใหญ่ๆ’ ทั้งนั้น ส่วนตัวลุงแล้วหนังสือเหล่านี้ไม่ได้มีอิทธิพลต่อตัวลุงในฐานะนักอ่านเลย ถ้ามีก็คงไม่มาก หรือถ้าพอมีอยู่บ้างก็คงจะมาทีหลัง
ทีหลังที่ว่าคือทีหลังอะไร
หลังจากเริ่มชอบอ่านหนังสือ สำหรับลุงหนังสือที่มีอิทธิพลต่อเราในฐานะนักอ่าน คงเป็นหนังสือที่สามารถเข้าไปนั่งอยู่ในดวงใจน้อยๆ ของเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรในโลกใบนี้ จำได้ว่าสมัยอยู่ชั้นประถม ได้อ่านเรื่อง นกกางเขน ของ หลวงกีรติวิทโยฬาร (กี่ กีรติวิทโยฬาร) และ นายอร่าม สิทธิสาริบุตร
“เช้าวันหนึ่ง นกกางเขนตัวผู้ตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งมะม่วงในสวน นกน้อยตัวนี้ส่งเสียงไพเราะจับใจ มันร้องเพลงพลางกระโดดพลางไปตามกิ่งไม้ กิ่งโน้นบ้าง กิ่งนี้บ้าง…”
เรื่องราวง่ายๆ สอนให้เด็กรักสัตว์แบบนี้แหละที่สอนให้เด็กอย่างลุงรักการอ่าน จากนั้นมาเจออะไรก็อ่านดะเรื่อยไป ตั้งแต่หนังสือเด็กที่ผู้ใหญ่คัดสรรมาแล้ว อย่าง กระต่ายน้อยเนตรแดง ของท่านหญิงมณีรัตน์ บุนนาค (หนังสือเล่มนี้มีเรื่องราวเหมือนนกกางเขน แต่เป็นเวอร์ชั่นกระต่าย และมีกลิ่นอายเบียร์ทริกซ์ พอตเตอร์นิดๆ) ไปจนถึงชุด บ้านน้อยในป่าใหญ่ หลังจากนั้นก็เริ่มอ่านดะกระทั่งพงศาวดารจีนในชั้นหนังสือที่บ้าน พอชักจะเป็นหนุ่มก็แอบอ่านนิยายแมนๆ โป๊ๆ ที่ทยอยลงในนิตยสารบางกอกตามบ้านเพื่อนพ่อ
เส้นทางการอ่านของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะครับ นี่คือเหตุผลที่ทำให้เราดีใจที่ได้พบเจอคนที่รักหนังสือเล่มเดียวกับเราครับ
Agony uncle หมายถึง ชายเจ้าของคอลัมน์ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตทั่วไป ในช่วงแรกๆ ลุงเฮม่าจะเน้นเรื่องกฎเกณฑ์ เพราะคิดว่ามันน่าจะช่วยให้เราอยู่ร่วมกันได้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ แต่หลังจากเขียนคอลัมน์นี้มาได้ปีสองปีก็เริ่มตาสว่าง และที่สำคัญคือ หลังจากโลกรอบตัวมีแต่กฎเกณฑ์และการใช้อำนาจ (ซึ่งส่วนใหญ่มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ออกกฎ) ลุงเลยเปลี่ยนแนวมาเขียนตอบโดยเริ่มที่กฎเกณฑ์ แล้วตามด้วยวิธีหลอกล่อเล่นสนุกกับกฎนั้นๆ แทน
**ส่งคำถามมาได้ที่ [email protected]