‘การอ่าน-เขียน’ อำนาจลึกล้ำ

ข่าวสั้นๆ ชิ้นหนึ่งในบีบีซีออนไลน์เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเตะตาสะดุดใจผม แต่อาจไม่ค่อยมีใครใส่ใจนัก คือเรื่อง ‘PostNord’ หน่วยงานไปรษณีย์ของประเทศเดนมาร์ก ประกาศจะปิดการให้บริการไปรษณีย์โดยสิ้นเชิงในปลายปี 2025 ด้วยเหตุผลว่าตั้งแต่ต้นศตวรรษนี้เป็นต้นมา การเขียนและส่งจดหมายลดน้อยลงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหนึ่งในเหตุผลของการลดลงอาจเกี่ยวข้องการติดต่อสื่อสารแบบดิจิตัลที่ผู้คนในปัจจุบันนิยมใช้ ทั้งการใช้แอปโทรศัพท์มือถือและประเภทอื่น เรื่องน่าเศร้าคือนอกจากคนจำนวนมากในบริการไปรษณีย์ต้องตกงาน ยังเป็นการจบสิ้นของบริการสาธารณะที่เริ่มขึ้นในปี 1624 หรือราว 400 ปีที่แล้ว หากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ไทยคือสมัยของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม พระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา

ดูน่าใจหายที่บริการเก่าแก่ขนาดนี้ต้องสิ้นสุดลงเพราะคนเลิกเขียนจดหมาย (ซึ่งสำหรับผม เป็นกิจกรรมอันน่าเสน่หา) ทว่า เทคโนโลยีดิจิตัลที่เข้ามาบงการชีวิตผู้คนสมัยนี้มิได้ทำให้เราเลิก ‘เขียน’ -อาจถูกต้องตามความเป็นจริงมากกว่าถ้าใช้คำว่า ‘พิมพ์’- หนังสือติดต่อสื่อสารกัน ตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ รถไฟฟ้าใต้ดิน ช้อปปิ้งมอลล์ ฯลฯ เราจะเห็นคนพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์มือถือส่งให้มิตรสหาย ญาติพี่น้อง หรือผู้อื่น เป็นกิจวัตรที่เราเคยชินจนอาจลืมไปแล้วว่าการ ‘อ่านออกเขียนได้’ มีความสำคัญเพียงใดกับชีวิตผู้คน? เนรมิตให้เกิดสัญญะแห่งความหมายอันทรงพลังมากมายเพียงใด? เข้าครอบงำความรู้สึกนึกคิดของเราจนเกินจินตนาการแค่ไหน?!

มากกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตผมเกี่ยวข้องกับการอ่าน-เขียนหนังสือ จนทำให้หลงเสน่ห์ของการขีดเขียนแม้ว่าผมจะไม่มีความสามารถในด้านนี้มากนักก็ตาม จึงอยากชักชวนท่านผู้อ่านมาลองตามรอยกับผม สืบค้นนัยของการ ‘อ่านออกเขียนได้’ (Literacy) ในการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับมนุษย์ในหลายมิติ ซึ่งผมคิดว่าในด้านหนึ่ง สะท้อนถึงพลังและอำนาจของตัวหนังสือหรืออักษรที่มีต่อมนุษย์ นัยลึกซึ้งที่สร้างผลกระทบต่อความเป็นคนและการมีชีวิต แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นสื่อที่มนุษย์ใช้ในการแสดงถึงความคิด อารมณ์และความต้องการเป็นอิสระจากพันธนาการอันมิพึงประสงค์อีกด้วย


อารยะแห่งการ ‘รู้หนังสือ’


ผมคงปล่อยให้นักโบราณคดีและนักนิรุกติศาสตร์ถกเถียงกันว่าอักษรปรากฏขึ้นในสังคมมนุษย์เมื่อไร อักษรแรกเริ่มมีลักษณะเช่นไร ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อจุดประสงค์ด้านใด (แต่หากจะให้เดา ผมคิดว่าท่านผู้อ่านคงพอเดาได้ว่ามีจุดประสงค์ทางศาสนา และไม่มากก็น้อยย่อมเกี่ยวข้องกับการปกครองและการเมือง) ฯลฯ แต่ผมจะเริ่มด้วยคำอธิบายที่ช่วยให้เข้าใจชีวิตในสังคมปัจจุบัน

ในหนังสือเรื่อง Nations and Nationalism ของเออร์เนสท์ เกลเนอร์ (Ernest Gellner) นักมานุษยวิทยาสัญชาติอังกฤษ เสนอว่าการเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรมในยุโรป นอกจากทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายทางสังคม และเกิดพัฒนาการด้านทักษะที่ทำให้เกิดความชำนาญพิเศษหรือการเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้การอ่านออกเขียนได้ (literacy) เป็นเรื่องสำคัญ ด้วยเหตุนี้ การศึกษาจึงจำเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคนทั่วไปได้เรียนหนังสือจนอ่านออกเขียนได้เพื่อทำงานรับใช้สังคมอุตสาหกรรม นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้เกิดการรวมศูนย์ทางวัฒนธรรม สลายวัฒนธรรมท้องถิ่นต่างๆ ที่เป็นวัฒนธรรมย่อย รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมกลางหรือวัฒนธรรมชาติ การอ่านออกเขียนได้ทำให้ประชากรในชาติหันมาใช้ภาษาเดียวกัน นำไปสู่ให้กระบวนการทำให้คล้ายคลึงกัน (homogenization) ทางวัฒนธรรมและสังคม

การอ่านออกเขียนได้จำเป็นต่อชีวิตและการทำมาหากินของคนไทยทุกวันนี้ จนเราคิดว่าการ ‘รู้หนังสือ’ เป็นเรื่องธรรมดาที่คุ้นเคยกัน (แต่อาจลืมไปว่าคนรุ่นปู่ย่าตายายจำนวนไม่น้อย ‘ไม่รู้หนังสือ’) วันหนึ่งในเดือนตุลาคม 2567 ผมพบหญิงมุสลิมจากจังหวัดยะลาที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบนสถานีรถไฟฟ้า อายุน่าจะราวสี่สิบปลาย อัธยาศัยดีมีไมตรี คุยสนุก เธอเล่าว่าสามีคนแรกเสียชีวิตแล้ว มีลูกด้วยกัน 3 คน ลูกสาวคนโตจบ ม. 3 ก็เลิกเรียนออกมาทำงานเลี้ยงน้องอีกสองคน ครั้งแรกลูกสาวทำงานร้านสะดวกซื้อแล้วส่งเงินให้แม่ที่บ้านยะลาเพื่อเลี้ยงน้อง ตอนนี้ลูกสาวไปทำงานร้านอาหารประเภทแฟรนไชส์ในสาขาที่หาดใหญ่และอยู่กับแฟนหนุ่มผู้เติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูของญาติๆ เพราะพ่อแม่ทั้งสองตายตั้งแต่เขายังเด็กๆ

เธอกล่าวว่า “ลูกเขยโอเค … ไม่ติดยา” (เธอย้ำอีกว่า “แค่นี้ก็พอใจแล้ว ไม่ขอมาก”) แต่ผมไม่แน่ใจว่าลูกเขยทำงานที่เดียวกับลูกสาวหรือทำงานที่มีลักษณะคล้ายกัน แล้วเธอก็ให้ผมดูภาพถ่ายของลูกสาวในโทรศัพท์มือถือของเธอ ลูกสาวหน้าตาดีทีเดียว ส่วนลูกเขยสวมชุดแทร็คขี่จักรยาน ท่าทางจริงจังขึงขังมาก เธอดูภูมิใจในลูกสาวคนโตมาก ซึ่งยังส่งเงินให้แม่และน้องอยู่เป็นประจำ แล้วเล่าถึงลูกสาวอีกสองคนว่ายังเรียนหนังสืออยู่ อยากให้เรียนสูงๆ (คงหมายถึงในระดับปริญญาตรี) จะได้มีงานทำ

ตอนนี้เธอแต่งงานใหม่แล้วแต่ไม่มีลูกกับสามีคนนี้ แม่ของสามีอายุมากเขาจึงต้องอยู่ที่บ้าน (น่าจะที่จังหวัดยะลา) เพื่อดูแลแม่ผู้สูงวัย เธอเองเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อหางานทำ จนมาได้งานเป็น รปภ. รับค่าจ้างมากกว่าห้าร้อยบาทต่อวัน เธอดูพอใจทีเดียวกับรายได้และชีวิตแบบนี้ เธอเล่าต่อว่าถ้าพ่อแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอคงไม่ได้ออกจากบ้านมาทำงานและดำเนินชีวิตแบบนี้ เป็นชีวิตที่มีอิสระเหมือนที่เธอให้ลูกสาวคนโตของเธอ มีอิสระในการตัดสินใจเอง เลือกทำงานเอง อิสระในการเลือกคนรัก เธอยอมให้ลูกสาวเลือกเอง แต่แม่ของเธอคงไม่ยอม แม่คงไม่ให้เธอออกจากบ้านมาทำงานต่างถิ่นแน่นอน

ถ้าเกลเนอร์ได้ยินเรื่องเล่าของหญิงมุสลิมจากยะลาผู้นี้ เขาอาจมีข้อเสนอเพิ่มเติมว่าการอ่านออกเขียนได้ นอกจากทำให้เกิดความชำนาญเฉพาะด้าน (หน้าที่ รปภ. น่าจะจัดได้ว่าเป็นงานที่มีความเฉพาะด้านประเภทหนึ่ง) ยังให้อิสระเสรีแก่ผู้คน ปลดปล่อยผู้ที่เป็นแรงงานออกจากบ้านเรือนของตน จากพันธนาการของกฎเกณฑ์ในครอบครัวสู่โลกภายนอก (ที่ต้องการแรงงานเพื่อการผลิต) ทำให้ผู้ที่เป็นแรงงานมีรายได้ อันมีความสำคัญอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน และความคิดที่ว่าตนเองมีอิสระในการดำเนินชีวิตตามที่ต้องการ – แต่ความเป็นจริงจะเป็นเช่นใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


จดหมายไร้ผู้รับ


คนสมัยใหม่จำนวนมากอาจไม่ตระหนักว่าการอ่านออกเขียนได้เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาอย่างมหาศาล มิหนำซ้ำยังสร้างผลผลิตที่สัมพันธ์กับการเขียนอีกหลายประเภท เช่น วรรณกรรม กวี บทเพลง ฯลฯ

ผมชอบฟังเพลงลูกทุ่งตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมฯ ต้น เมื่อเพลงประเภทนี้ยังถูกยึดครองโดยนักร้องจากสุพรรณบุรีและจังหวัดอื่นๆ ในภาคกลาง แต่ด้วยเหตุใดไม่สามารถอธิบายได้ผมนิยมเพลงในยุคต่อมา ช่วงที่นักร้องจากภาคอีสานเข้าสู่วงการนี้มากขึ้น สาระของเพลงกลุ่มหนึ่งดูไม่ต่างจากเพลงในยุคก่อนมากนัก นั่นคือตัดพ้อเพราะรักร้าว เจ็บปวดที่ถูกคนรักทอดทิ้ง ทว่า น่าสังเกตว่าการตัดพ้อ (ด้วยความอาลัยอาวรณ์เพราะอกหัก น้อยใจที่ยากจนวาสนาน้อย) มักเขียนผ่าน ‘จดหมาย’ ที่ผู้รับคือคนรักที่หมดเยื่อใยกับตน แล้วปันใจไปมีคนรักใหม่ เพลงกลุ่มนี้มีหลายเพลงจนผมอยากคิดว่าอาจจัดเป็น genre หนึ่งของเพลงลูกทุ่งในยุคหนึ่ง

หนึ่งในตัวอย่างเพลงกลุ่มนี้คือเพลง จดหมายเป็นหมัน ของขวัญชัย เพชรร้อยเอ็ด นักร้องที่เสียชีวิตไปนานแล้ว เริ่มต้นเพลงด้วยเสียงดนตรีและเสียงร้องที่เลียนแบบจากนกกาเหว่า (ไม่ทราบว่าทำไมจึงใช้เสียงนกชนิดนี้ประกอบเพลง) เนื้อเพลงสะท้อนถึงชายพรากรักผู้รอคอยจดหมายที่ตนส่งให้หญิงสาวคนรักนานนับเดือนแต่เธอไม่เขียนตอบสักที

ทำไมไม่ตอบ ไม่ชอบก็จงตอบมา 

จะได้ไม่เสียเวลา คอยตั้งตานับวันนับคืน 

หรือมีแฟนใหม่เคลียคลอ 

ปล่อยให้พี่เฝ้ารอ เฝ้ารอคงมั่นขวัญยืน

เฉพาะเนื้อเพลงท่อนนี้คงทำให้คนฟังเห็นอกเห็นใจชายผู้ผิดหวังในความรักคนนี้อย่างมาก

เพลงที่ผมชอบ – และจะไม่ประหลาดใจเลยหากค้นพบว่าผู้แต่งเพลงเคยอกหัก มีประสบการณ์ทางอารมณ์สุดปวดร้าวที่บรรยายได้ด้วยบทเพลงเท่านั้น – คือ จดหมายพ่ายรัก ขับร้องโดยร้อยเอ็ด เพชรสยาม

ส่งจดหมายพ่ายรัก ฝากให้น้อง 

เขียนจากห้องแสนเศร้า เจ้าไม่สน 

เขียนแล้วทวนครวญหาเจ้า เศร้าสุดทน

เกิดมาจนคนต่ำต้อย น้อยใจจริง 

เขียนจดหมายปลายน้ำตา ลาน้องแก้ว 

พี่ซึ้งแล้วคำว่ารัก จากใจหญิง 

มีแฟนใหม่จดหมายเก่า เจ้าฉีกทิ้ง 

ลืมทุกสิ่งแฟนเก่า เขาเข้ามา 

จดหมายเก่าเขาหน่าย พี่พ่ายแล้ว 

ขอให้น้องแก้ว สมรัก ดั่งปรารถนา

ไปกินให้ฉ่ำ ไปล่ำของใหม่ จนไร้ราคา 

สิ้นสาวกลับมา พี่ยังรอท่าซากของเหลือเดน 

** ตกดึกตรึกตรอง นั่งมองภาพถ่าย 

เจ้ายิ้ม พี่นอนร้องไห้ กลุ้มใจแสนจะลำเค็ญ 

จดหมายท้ายสุด อวยพรให้นุชเจ้าจงอยู่เย็น 

คำฝากจากชายเหลือเดน อย่าให้เขาเห็นเจ้าเป็นสนิม

จดหมายของผู้พ่ายแพ้ เขียนพลางร้องไห้พลางด้วยความรู้สึกที่บอบช้ำ ยิ่งเขียนก็ยิ่งเจ็บปวด ซ้ำร้าย เมื่อ “นั่งมองภาพถ่าย (ของสาวคนรัก) เจ้ายิ้ม พี่นอนร้องไห้ กลุ้มใจแสนจะลำเค็ญ”

บางคนเสนอว่า ‘ความรักรันทด’ (Tragic love) เป็นประสบการณ์ทางอารมณ์ที่มนุษย์มีร่วมกัน นอกจากเป็นอารมณ์ที่เชื่อมโยงกับความเศร้า อันเป็นอารมณ์หนึ่งที่มนุษย์หลีกเลี่ยงไม่พ้น ความรักที่ไม่สมหวังเป็นการสิ้นสุดที่ไร้คำตอบ ไม่มีคำอธิบาย มีเพียงความรู้สึกที่ว่าชีวิตไม่ยุติธรรม ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่เสมอกับคนทุกคน (จงทำใจซะ) จึงไม่น่าแปลกใจที่เพลงเศร้าๆ อย่าง “จดหมายพ่ายรัก” มีคนฟังมากมาย เพราะหลังจากที่ผ่านความรักรันทดแล้ว ชีวิตอาจแข็งแกร่งขึ้นก็ได้


จดหมายที่รอคอย


ย้อนกลับไปคิดเรื่องการปิดบริการไปรษณีย์ของเดนมาร์ก ทำให้ผมหวนระลึกถึงการเขียนจดหมายสมัยที่ร่ำเรียนอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์เมื่อเกือบสี่ทศวรรษที่แล้ว เป็นช่วงเวลาที่พิมพ์ดีดและพิมพ์ดีดไฟฟ้ายังไม่ถูกแทนที่ด้วยคอมพิวตอร์ ซึ่งยังไม่ใช่ personal computer ที่ใครๆ ก็หิ้วไปไหนมาไหนกันเช่นในปัจจุบัน แต่เป็น mainframe computer คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ติดตั้งในอาคารที่ผู้ใช้คือองค์กรต่างๆ เพื่อประมวลผลข้อมูลมหาศาล (มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ในขณะนั้น เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวใหญ่โตเกือบเต็มห้องที่มีขนาดกว้าง-ยาวเกือบสิบเมตร และตอนนั้นก็คงไม่มีใครจินตนาการว่าวันหนึ่งจะมีคอมพิวเตอร์ที่บางราวสองเซนติเมตร หนักเพียงสองถึงสามกิโลกรัม แต่มีประสิทธิภาพสูงอย่างน่าอัศจรรย์!) การสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์มีเพียงอีเมล์ที่ประชากรส่วนใหญ่ยังไม่นิยมใช้ โทรศัพท์จึงเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สะดวกและถูกที่สุด ถึงกระนั้น การโทรข้ามประเทศจะเกิดขึ้นด้วยเหตุจำเป็นหรือฉุกเฉินเท่านั้นเพราะค่าโทรต่อนาทีที่แพงเกินคำบรรยาย ด้วยเหตุนี้ สิ่งเดียวที่เหลือสำหรับนักศึกษาต่างชาติจนๆ ที่ต้องเรียนไปทำงานไปอย่างผมคือจดหมาย

สิ่งหนึ่งที่ผมรอคอยในตอนนั้นคือจดหมาย รอคอยที่จะได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ จากบ้าน การอ่านจดหมายเป็นเสมือนการนั่งฟังเพื่อนสนิทเล่าเรื่องเหล่านั้น -ตรงกันข้าม การเขียนจดหมายตอบคือการเล่าเรื่องของผม เป็นการสนทนาที่ผมรออย่างใจจดจ่อ- การอยู่ไกลบ้าน ในดินแดนที่มีความแตกต่างหลายด้าน ทำให้ผมชอบและสนุกกับการเขียนจดหมาย (แต่ทุกวันนี้แทบไม่ได้เขียนเลย รู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป)

คนที่ผมเขียนถึงเสมอคือน้องสาวและเพื่อนสนิทอีกสามถึงสี่คน หนึ่งในนั้นคือธเนศ วงศ์ยานนาวา ผู้ดูเพลิดเพลินกับการเขียนจดหมายเช่นกันแต่มักเขียนยาว บางครั้งยาวเกิน 10 หน้า -จดหมายของเขาเป็นหนึ่งในหลายเหตุผลที่กระตุ้นให้ผมอยากไปเมืองนอก อยากเรียนหนังสือต่อ- เขาเริ่มเขียนจดหมายถึงผมหลังจากที่เขาไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน สหรัฐอเมริกา ส่วนผมทำงานที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ไม่ถึงหนึ่งปี ใช้เวลาราวสามปีเขาก็เรียนจบ แต่เราคลาดกันเพราะกลางปี 1983 ผมไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยโอทาโก สองถึงสามเดือนต่อมาธเนศก็กลับถึงประเทศไทย การเขียนจดหมายถึงกันและกันจึงยาวนานกว่าหกถึงเจ็ดปี จดหมายของเขาที่ส่งถึงผมทั้งที่บ้านแม่ในกรุงเทพฯ และแฟลตที่ดันนิดิน รวมกันคงจะหนักหลายกิโลกรัม! เสียดายที่บางส่วนของจดหมายเหล่านี้สูญหายไปเพราะผมย้ายที่อยู่ ข้าวของหลายอย่างหลงหายไม่รู้ตัว

ธเนศมีสไตล์การเขียนจดหมายที่ต้องใช้สมาธิในการอ่านและทำความเข้าใจ เริ่มจากการเล่าเรื่องแล้วกระโดดจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนึ่ง อาจเล่าเรื่องใกล้ตัว (วันนั้นเจอเพื่อนคนนี้ หรือไปกินอาหารที่ภัตตาคารนั้น ฯลฯ) แล้วข้ามไปเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง หรือการเมือง (โดยเฉพาะการเมืองในสหรัฐอเมริกาในสมัยนั้น) หรือเรื่องในมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนอยู่ หรือหนังสือที่เขากำลังอ่าน (แล้วขุดคุ้ยประวัติของผู้เขียนหรือเรื่องส่วนตัวที่เป็นเรื่องฮือฮา) แต่อาจกระโดดไปเล่าเรื่องการถกเถียงทางศาสนาก็ได้ และย่อมต้องแถมด้วยเรื่องซุบซิบนินทาอันไม่ชอบมาพากลของเหล่านักบวชนักเทศน์ หลายครั้งที่การเขียนเล่าเรื่องจะกระโดดอย่างทันทีทันใด นำความสับสนแก่คนอ่านอย่างผม แต่นี่คือเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ยากจะเลียนแบบของเขา

หากเปรียบเทียบจดหมายของธเนศกับเอกสารโบราณ คงต้องอาศัยการอ่านและการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญด้านนิรุกติศาสตร์ สัญศาสตร์ ภาษาศาสตร์และพัฒนาการทางความคิดของสังคม รวมอยู่ในคนเดียวกันเพื่อทำความเข้าใจว่าเขากำลังคิดหรือต้องการบอกอะไร แต่ในอีกแง่หนึ่ง การอ่านจดหมายของธเนศก็มีความน่าตื่นเต้นแฝงอยู่ สมกับที่ตั้งตารอคอยจดหมาย

ในเมืองเล็กๆ ของประเทศเล็กๆ แห่งซีกโลกใต้ที่ห่างไกลจากประเทศอื่นๆ ยกเว้นออสเตรเลีย จดหมายของธเนศได้นำความยินดีหรรษามาสู่ชีวิตที่เงียบเหงาและสันโดษของผม


บันทึกของชายผู้ไร้จุดหมาย


มีจดหมายและบันทึกประเภทหนึ่งที่ผู้เขียนได้เขียนไว้นานแล้ว มีรายละเอียดหรือข้อมูลที่ถูกพิจารณาว่ามีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ จึงเป็นหลักฐานที่นักประวัติศาสตร์ต่างขนขวายค้นหา บันทึกของโจวต้ากวน ทูตจีนที่เข้ามาในเขมรพระนคร ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 19 คงเป็นตัวอย่างที่ดีของเอกสารประวัติศาสตร์ประเภทนี้ที่ถูกพาดพิงถึงอยู่เสมอ ส่วนนักประวัติศาสตร์ผู้ค้นคว้าเกี่ยวกับสมัยอยุธยาอาจคุ้นเคยกับบันทึกของชาวโปรตุเกสที่เดินทางเข้ามาในดินแดนนี้ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 เช่น The Suma Oriental ของ Tome Pires และ Lendas da India ของ Gaspar Correa รวมถึงเอกสารของชาวตะวันตกชาติอื่นๆ ผมไม่ได้อ่านเอกสารประวัติศาสตร์มากนักและส่วนใหญ่ก็เป็นการอ่านจากงานเขียนอื่นที่พาดพิงถึงเอกสารเหล่านี้ ที่คุ้นเคยและได้อ่านบ้างคือบันทึกของคนอังกฤษเกี่ยวกับภาคเหนือของไทยและรัฐฉานของพม่าในศตวรรษที่ 19 เนื่องจากต้องใช้ประกอบในการเขียนวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก 

บันทึกที่น่าสนใจมากเล่มหนึ่งที่มิได้เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือการค้นคว้าของผม ทว่า เต็มไปด้วยเรื่องเล่าและรายละเอียดที่น่ารู้ เขียนโดยคนอังกฤษนามจอห์น เบาล์ทบี (John Boultbee) ในชื่อว่า Journal of a Rambler ที่หากแปลเป็นภาษาไทยคงเรียกว่าบันทึกของชายผู้ไร้จุดหมาย เล่าถึงการเดินทางและประสบการณ์ของเขาในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19

เบาล์ทบีเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่เป็นลูกชายที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวในสายตาของคนในครอบครัว เรียนหนังสือไม่จบ งานการไม่มีเป็นชิ้นเป็นอัน เร่รอนผจญภัยจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เลี้ยงชีพด้วยการใช้แรงงาน เป็นกะลาสีเรือ เป็นคนงานในเรือล่าปลาวาฬและแมวน้ำ โดยต้องทำหน้าที่แล่ไขมันสัตว์ทั้งสองชนิดด้วย ตลอดจนงานอื่นๆ ซึ่งในสายตาของคนในครอบครัวและผู้คนในชนชั้นเดียวกันในสังคมอังกฤษ (พี่ชายของเขาเป็นนักบวชในคริสต์ศาสนาคนสำคัญ เป็นที่นับหน้าถือตา) เขาถูกมองว่าเป็นคนล้มเหลว ทว่าด้วยการที่เป็นคนมีการศึกษา ช่างสังเกต ปรับตัวได้เร็ว ผูกมิตรกับคนแปลกหน้าได้ง่าย และชอบเรียนรู้และขีดเขียน บันทึกของเขาได้เปิดเผยเรื่องราวที่ไม่เคยปรากฏในเอกสารอื่นใด

ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือรายละเอียดมากมายเกี่ยวกับบริเวณทางใต้ของออสเตรเลีย ทัสมาเนียและเกาะเล็กเกาะน้อยที่อยู่รอบๆ และเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ ไม่ว่าจะเป็นด้านภูมิประเทศ สภาพอากาศ (อ่านแล้วรู้สึกถึงความหนาวเย็น คลื่นลมที่เปียกชื้น และกลิ่นไอของทะเล) ผู้คน (กะลาสีเรือชาวผิวขาวและคนพื้นเมือง) การดำรงชีวิต ทรัพยากรอาหาร (ที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะอาหารทะเล) วัฒนธรรมเมารี หรือคนพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ ฯลฯ

บันทึกนี้นอกจากสะท้อนถึงความสามารถทางภาษาของเขา (เขาพูดภาษาเมารีสำเนียงที่พูดกันในทางใต้ของเกาะใต้ได้คล่องแคล่วและเคยอยู่กับคนเมารีด้วย) ทักษะในการดำรงชีพ (เขาตกปลาจับสัตว์น้ำได้เก่งทีเดียว) ยังบอกเล่าเรื่องราวที่ไม่มีผู้ใดเขียนจดไว้หรือรู้มาก่อน และช่วยให้ผู้ที่ศึกษาค้นคว้าเรื่องคนเมารีเข้าใจสังคม-วัฒนธรรมและความคิดของคนพื้นเมืองกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น เขาเขียนถึงหัวหน้าเผ่าผู้หนึ่งที่มีร่างกายแข็งแรง สง่าผ่าเผย สุขุม เยือกเย็น น่าเกรงขาม มีความเป็นผู้นำแต่ก็มีไมตรีจิต ครั้งหนึ่งเขาและเพื่อนชาวผิวขาวหยอกล้อกับหัวหน้าผู้นี้ด้วยการขว้างปามันฝรั่งใส่กันแทนอาวุธ แล้วมันชิ้นหนึ่งกระทบศีรษะของหัวหน้าเผ่า ซึ่งถือกันว่าเป็นเรื่องร้ายแรงเพราะสำหรับคนเมารี ศีรษะเป็นส่วนที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีรษะของผู้ที่เป็นหัวหน้าเผ่า การกระทำเช่นนี้ (ขว้างสิ่งของโดนศีรษะ) ถือว่าเป็นการลบลู่ที่ให้อภัยมิได้ แต่หัวหน้าเผ่าแม้ว่าจะตกใจ สับสน นิ่งเงียบ แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมีสติ ไม่ถือสาหาความ พูดคุยกับเบาล์ทบีและเพื่อนๆ ต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากกรณีนี้ทำให้ผู้ที่ค้นคว้าสังคมเมารีเข้าใจวัฒนธรรมของพวกเขามากขึ้น เรียนรู้เรื่องสภาวะผู้นำของคนเมารี เข้าใจถึงบุคลิก อุปนิสัย และการควบคุมตัวเองของผู้นำที่ควรจะเป็น

บันทึกของชายผู้ไร้จุดหมายฉบับนี้จึงมีคุณค่าอย่างยิ่งด้านประวัติศาสตร์และมานุษยวิทยา และผมชอบอ่านเพราะมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย


เผามันซะ


อุณหภูมิที่ 451 องศาฟาเรนไฮต์ (233 องศาเซลเซียส) เป็นความร้อนที่จุดกระดาษให้ติดไฟและเผาไหม้ (แต่มีบางคนแย้งว่าในความเป็นจริงกระดาษอาจติดไฟได้ในอุณหภูมิระหว่าง 425 ถึง 481 องศาฟาเรนไฮต์) นี่คือที่มาของนิยายไซ-ไฟที่โด่งดังเรื่อง Fahrenheit 451 นิพนธ์โดยเรย์ แบร์ดเบอรี (Ray Bradbury) นักเขียนชาวอเมริกัน ตีพิมพ์ออกจำหน่ายในปี 1953 เล่าถึงสังคมในอนาคตอันน่าหวาดกลัวที่ปกครองด้วยอำนาจเผด็จการ ไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างจากความคิดความเชื่อที่ผู้ปกครองต้องการ จึงเกิดการปราบปรามผู้ที่คิดเห็นตรงข้าม รวมถึงการเผาหนังสือต่างๆ ที่แสดงความคิดเห็นที่มิพึงประสงค์

แบร์ดเบอรี ผู้รักการอ่านและหนังสือ แต่งนิยายเรื่องนี้ขึ้นเพื่อประท้วงการกดขี่ปราบปรามทางการเมืองในสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายทศวรรษ 1940 และตลอดทศวรรษ 1950 ที่รู้จักกันในนาม ‘Second Red Scare’ หรือ ‘ยุคแม็คคาร์ธี’ (McCarthy Era) (บางคนเรียกว่า ‘ลัทธิแม็คคาร์ธี’ (McCarthyism)) โดยมีวุฒิสมาชิกนามโจเซฟ แม็คคาร์ธเป็นหัวหอกในการสร้างกระแสต่อต้านผู้ที่มีความคิดฝ่ายซ้าย ทั้งนี้เพราะเขาหวาดกลัวในลัทธิคอมมิวนิสต์และอิทธิพลของรัสเซียที่อาจเกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งนำไปสู่การปราบปรามและจับกุมผู้ที่มีความคิดแตกต่างทางการเมืองแม้ว่าอาจมีหลักฐานไม่พอในการเอาผิดทางกฎหมายก็ตาม และกรณีจำนวนมากก็พบว่าเป็นการกล่าวหาอย่างผิดๆ แบร์ดเบอรีได้รับแรงบันดาลใจจากการที่พวกนาซีในเยอรมันรณรงค์ให้เผาหนังสือที่มีความคิดหรืออุดมการณ์ต่างจากพวกตนในปี 1933 (หลังจากนั้นพวกนาซีก็มีอำนาจทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ) จึงนำเอาการเผาหนังสือมาเป็นพล็อตเรื่องในหนังสือ


การเขียนคือดื้อด้านและต่อต้าน


ทว่า การเผาหนังสือโดยผู้มีอำนาจมิได้มีเพียงพวกนาซีเท่านั้น หากทบทวนเหตุการณ์ในอดีตจะพบว่ามีการเผาหรือการทำลายหนังสือบ่อยครั้งและในหลายประเทศ ในบางกรณีแม้แต่งานวรรณกรรมหรือหนังสือที่มีเนื้อหาด้านศาสนาที่แสดงความคิด/ความเชื่อต่างจากของผู้ปกครองรัฐก็ถูกทำลายเช่นกัน การเผาหนังสืออาจดูเป็นเรื่องปกติในประวัติศาสตร์ของการใช้อำนาจ แต่ก็อาจเชื้อเชิญให้เราอาจตั้งคำถามว่าเหตุใดผู้มีอำนาจจึงต้องสั่งทำลายหนังสือ? ทำไมหนังสือเล่มเล็กๆ ที่ไร้ชีวิตจึงทำให้ต้องใช้ความรุนแรงตอบโต้?

มีวลีสั้นๆ ที่ท่านผู้อ่านอาจคุ้นเคยว่า ‘ปากกาคมกว่าดาบ’ ที่หากแปลกันแบบตรงตามตัวอักษรน่าจะเป็น ‘ปากกามีอานุภาพกว่าดาบ’ (The pen is mightier than the sword.) ซึ่งมีความหมายว่าการคิดและการเขียน (หนังสือ) มีอิทธิพลต่อผู้คนมากกว่าการใช้กำลังหรือความรุนแรง หากเห็นด้วยกับนัยของวลีนี้ เราอาจตีความได้ว่าอำนาจที่น่ากลัวที่สุดมิใช่หอกดาบกระบอกปืนหรือลูกระเบิด แต่เป็น ‘อักษร’ และ ‘การเขียน’ เพราะทำให้ผู้มีอำนาจหวาดกลัวจนต้องจัดการด้วยความรุนแรง ด้วยการทำลาย

แต่อำนาจ การกดขี่ และเพลิงบรรลัยก็ไม่อาจหยุดยั้งความคิดที่แตกต่างที่แสดงออกมาผ่านการเขียน มีงานเขียนจำนวนมากที่มีลักษณะหรือสไตล์การเขียนแบบต่างๆ ที่สะท้อนถึงการต่อต้านอำนาจที่กดขี่ข่มเหงของผู้ปกครอง หนึ่งในงานเขียนเหล่านี้คือบันทึกที่เขียนขึ้นในขณะที่ผู้เขียนถูกจองจำกักขัง มีตัวอย่างที่ท่านผู้อ่านอาจคุ้นเคย เช่น อัตชีวประวัติที่เขียนโดยเนลสัน แมนเดลลา (Nelson Mandela) ในช่วงที่เขาติดคุกอย่างยาวนานถึง 27 ปีบนเกาะรอบเบน หรือ The Prison Notebooks ของอันโตนิโอ กรัมชี (Antonio Gramsci) นักคิดฝ่ายซ้าย ที่เขียนขึ้นในคุกเพราะถูกรัฐบาลฟาสซิสต์ของอิตาลีจับกุมกักขัง และอีกมากมายที่พาดพิงถึงไม่หมดในที่นี้

ในสังคมไทย หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของบันทึกที่สะท้อนถึงการใช้อำนาจบังคับ การข่มขู่ข่มเหงโดยอำนาจรัฐ และการจับกุมกักขังผู้ที่คิดเห็นต่างคือหนังสือเรื่อง 6 ตุลา เราคือผู้บริสุทธิ ที่รวบรวมจดหมายและคำให้สัมภาษณ์ของผู้ที่ถูกจองจำในเรือนจำบางคน อันที่จริง มีงานเขียนของคนไทยที่ต้องติดคุกเพราะมีความคิดเห็นแตกต่างจากที่รัฐต้องการจำนวนไม่น้อย -เราอาจเรียกการจับกุมกักขังนี้ว่าคดีการเมือง- และหากกล่าวถึงชื่อจิตร ภูมิศักดิ์ หลายคนคงนึกถึงงานเขียนอันน่าทึ่งของเขา เช่น โฉมหน้าศักดินาไทย, ความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และ ขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ, โองการแช่งน้ำและข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และสังคมไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนสมัยศรีอยุธยา ซึ่งถ้าผมเข้าใจไม่ผิดคือเขียนขึ้นขณะที่เขาถูกจองจำอยู่ในคุก แต่ผลงานเหล่านี้มีลักษณะเชิงวิชาการ ไม่ใช่บันทึกของผู้เห็นต่างจากเรือนจำเช่นคนอื่นๆ


คนที่รอคอย


ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงเกือบสองทศวรรษที่ผ่านมา สังคมไทยได้เป็นประจักษ์พยานกับการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ความดื้อด้านและการต่อต้านของประชากรหลายกลุ่ม หลายครั้งรัฐบาลใช้กำลังและความรุนแรงในการจัดการ แต่ก็ไม่อาจสยบความขุ่นคืองและความโกรธของคนเหล่านี้ได้ กลับทำให้ความแสดงคิดเห็นที่แตกต่างถูกยกระดับขึ้นไปในเชิงสัญลักษณ์ มิได้จำกัดขอบเขตของไอเดียอยู่แค่ภาษา ตัวหนังสือ และการเขียนเท่านั้น หากได้ขยายตัวเข้าไปในวงการศิลปะและการละคร การแสดงออกของความคิดต่างยิ่งซับซ้อนขึ้น นัยของการต่อต้านลึกล้ำยิ่งขึ้น แต่กลับทำให้มีคดีการเมืองเพิ่มขึ้น มีผู้ถูกพิพากษาให้ติดคุกมากขึ้น คนที่ถูกฟ้องร้องในหลายคดีก็ถูกตัดสินให้จำคุกยาวนานขึ้น

หากคิดว่าทุกคนควรมีเสรีภาพในการแสดงออกเฉกเช่นสังคมประชาธิปไตยอื่นๆ เราก็ไม่น่าเอาเป็นเอาตายกับความคิดเห็นที่แตกต่าง อาจพิจารณาว่าเป็นเรื่องธรรมดาหรือเป็นสิทธิทางการเมือง ซึ่งคงช่วยให้คดีทางการเมืองลดน้อยลง (ไม่ผิดกฎหมายก็ไม่มีคดีความ) ผู้ถูกคุมขังก็ลดจำนวนลง พวกเขาได้กลับบ้านกลับสู่ครอบครัว ไปหาคนที่รักใคร่ห่วงใยที่รอคอยอยู่อย่างกระวนกระวาย

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save