‘ตายดี’ ความตายในอนาคต

หลายสัปดาห์ก่อน กองบรรณาธิการของวันโอวันชวนผมเสวนาเรื่อง ‘ความตายในอนาคต’ ตอนนั้นผมยังนึกอะไรไม่ออกจึงบ่ายเบี่ยง ขอเวลาคิด (และตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนักแต่คิดว่าถึงเวลาที่จะต้องเขียนเสียที) หากทบทวนจากประสบการณ์และการสังเกตของตัวเอง ผมคิดว่าการแพทย์สมัยใหม่น่าจะมีอิทธิพลมากขึ้นในชีวิตของพวกเรา ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ ความคิดความเชื่อ การปฏิบัติของปัจเจกบุคคลและทั้งสังคม

การฉีดวัคซีนป้องกันโรคดูเป็นตัวอย่างที่ชัดเจน -และเป็นรูปธรรม- ที่สะท้อนถึงการมีอำนาจเหนือคนส่วนใหญ่ในสังคม ทั้งในด้านความคิดและแนวทางการปฏิบัติของการแพทย์สมัยใหม่ เพราะการเจ็บไข้เป็นความกังวลของทุกคน ยิ่งหากเป็นการล้มป่วยของผู้คนจำนวนมาก เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ยิ่งสะท้อนถึงอำนาจที่ได้รับการรับรองทางกฎหมายของการแพทย์สมัยใหม่ในการออกกฎเกณฑ์ การควบคุมและบังคับผู้คนทั่วไปในสังคม ไม่ว่าจะเป็นประชากรที่มีสุขภาพแข็งแรง ผู้ป่วยด้วยโควิด-19 คนไข้อาการหนักที่อาจสิ้นใจในไม่ช้า และแม้กระทั่งคนป่วยที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็ล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของการแพทย์สมัยใหม่

เพราะฉะนั้น ผมจะลองสำรวจปฏิสัมพันธ์ระหว่างคำถามเรื่องความตายในอนาคตกับการแพทย์สมัยใหม่เพื่อค้นหาว่าเราจะพบอะไรบ้าง และจะขอเริ่มต้นด้วย… 

ตายดี


ข้อเสนอเรื่อง ‘ตายดี’ (Good death) น่าจะเป็นหนึ่งในแนวโน้มที่มาแรงในการไตร่ตรองเรื่องความตายในอนาคต เพราะไม่เพียงแต่เป็นที่ฮือฮาและถกเถียงกันในวงการแพทย์ จิตวิทยา และสังคมวิทยาเท่านั้น หากยังกำลังแผ่ขยายไปสู่ศาสตร์อื่นๆ อีกด้วย เป็นแนวคิดที่เริ่มจากการนิยามทางการแพทย์อย่างกว้างๆ ว่าเป็นความพยายามในการสนับสนุนหรือช่วยผู้ป่วยด้วยโรคร้ายแรง หรือเรื้อรัง หรือติดเตียงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ให้ได้รับความเจ็บปวดน้อยที่สุด นับตั้งแต่เริ่มป่วยจนเสียชีวิต อีกทั้งยังมุ่งหวังให้คนที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นลูกหลาน ญาติพี่น้อง มิตรสหายที่รักใคร่สนิทสนมกัน ที่ยังมีชีวิตอยู่สามารถคลายความโศกเศร้า ลดความหม่นหมองหดหู่ใจ ยอมรับการเสียชีวิตของผู้ป่วย และรู้สึกนึกคิดในเชิงบวกกับความตายและการจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาของคนที่ตนรักใคร่

นอกจากนี้ ยังมีการเสนอว่าจุดประสงค์ของแนวคิดเรื่อง ‘ตายดี’ ควรครอบคลุมถึงบุคคลอื่นที่ช่วยดูแลผู้ป่วยเป็นเวลานานจนเกิดความผูกพันทางใจต่อกัน เช่น ผู้ดูแลคนไข้ที่ครอบครัวจ้างมาโดยเฉพาะ พยาบาล หรือแม้แต่แพทย์ผู้รักษา เนื่องจากพบว่าคนกลุ่มนี้จำนวนไม่น้อยประสบปัญหาด้านจิตใจหลังจากที่ผู้ป่วยที่ตนปรนนิบัติดูแลได้เสียชีวิตลง จึงรู้สึกเศร้าสร้อยสะเทือนใจ จนบางคนมีความยากลำบากในการดำเนินชีวิตตามปกติเพราะผลกระทบทางจิตใจ

มีรายงานว่าคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก ได้ทำวิจัยเพื่อทบทวนแนวคิดเรื่อง ‘ตายดี’ ข้อมูลที่ได้จากกลุ่มคนต่างๆ ที่ร่วมในการศึกษาระบุว่ามีประเด็นสำคัญ 11 ประการ เช่น ผู้เข้าร่วมเห็นว่าเพื่อให้สอดคล้องกับประเด็นหลักสามประการของการ ‘ตายดี’ นั่นคือผู้ป่วยต้องการตายอย่างไร เป็นการตายที่ไร้ความเจ็บปวด และมีความผาสุกทางอารมณ์ ควรมีการพาดพิงถึงเรื่องคุณภาพชีวิตที่ดีก่อนการตายด้วย ส่วนปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ การ ‘ตายดี’ สัมพันธ์กับศาสนาหรือเรื่องจิตวิญญาณ และความรู้สึกที่ว่าชีวิตของตนมีความสมบูรณ์/สำเร็จแล้ว ผู้ที่กำลังจะตายต้องการที่จะเลือกการรักษาด้วยตนเอง ได้รับการรักษาดูแลอย่างมีศักดิ์ศรี และมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ให้การรักษาพยาบาล รวมถึงเรื่องสมาชิกของครอบครัวได้กล่าวคำอำลากับผู้ตายก่อนตาย

บางคนทักท้วงว่าการเรียกความตายว่า ‘ดี’ อาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้ป่วยต้องการก็ได้ จึงนำไปสู่การเสนอเรื่อง ‘ความตายที่มีเกียรติ’ (Respectful Death) โดยมีความคิดพื้นฐานว่าผู้ป่วยกำลังจะตาย คนในครอบครัว และผู้ให้การดูแลรักษา ต้องร่วมมือและสนับสนุนกันด้วยจุดมุ่งหมายในการปรับปรุงการดูแลให้ผู้ป่วยกำลังจะตายได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจนกระทั่งเสียชีวิต ทั้งนี้เนื่องจากบ่อยครั้งที่พบว่าการให้การดูแลรักษามิได้เป็นไปตามความต้องการของผู้ป่วย หากเป็นการตัดสินใจจากผู้อื่น แนวคิดเรื่อง ‘ความตายที่มีเกียรติ’ จึงเน้นความสำคัญของการให้ผู้ป่วยกำลังจะตายมีโอกาสเลือกและมีส่วนในการตัดสินใจในการรักษาและกระบวนการก่อนที่จะตาย[1]

จึงมีบางคนสรุปว่า ‘ตายดี’ หมายถึงการตายอย่างสงบ มีเกียรติและศักดิ์ศรี และมีการวางแผนล่วงหน้าไว้ก่อน ภายในบ้านของผู้ตายท่ามกลางสมาชิกของครอบครัว อย่างไรก็ตาม ‘ตายดี’ เป็นแนวคิดที่พลวัต ผันแปรพัฒนาไปตามยุคสมัย และนำไปสู่การตั้งคำถามอื่นๆ เช่น การรับรู้ทางวัฒนธรรมในเรื่องความตายและกำลังจะตายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? พลังที่มีส่วนในการปรับเปลี่ยนทัศนคติและความเชื่อแบบตะวันตกในเรื่องความตายและกำลังจะตายมีอะไรบ้าง? วาทกรรมเรื่อง ‘ตายดี’ ก่อให้เกิดประสบการณ์ในเรื่องกำลังจะตายในสังคมร่วมสมัยอย่างไร? ฯลฯ

การดูแลแบบประคับประคอง

แน่นอน คนกลุ่มสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการ ‘ตายดี’ คือผู้ให้บริการด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งได้แก่ แพทย์ พยาบาล รวมถึงผู้ให้การดูแลคนป่วย คนชราและผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และหากลองสืบค้นในอินเทอร์เน็ต บ่อยครั้งจะพบว่าคำว่า ‘ตายดี’ ถูกพาดพิงเคียงคู่ไปกับเรื่องการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative care) เช่น มีพยาบาลระดับผู้ชำนาญการพิเศษคนหนึ่งเขียนพาดพิงถึงความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะใกล้ตาย โดยเปรียบเทียบกับความหมายและแนวคิดและหลักการของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคองว่า

การดูแลทางการแพทย์การพยาบาลทุกชนิด รวมถึงการดูแลทางด้านจิตใจ สังคม ตามความต้องการของผู้ป่วย ตลอดจนการดูแลครอบครัวผู้ป่วยจากความโศกเศร้าเนื่องจากต้องสูญเสียผู้ป่วยไป ซึ่งเป็นแนวทางในการดูแลที่ให้ความสำคัญเพื่อการบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นครอบคลุมทั้งการดูแลจิตใจทั้งของผู้ป่วยและญาติให้สามารถเผชิญหน้ากับเสี้ยววินาทีสุดท้ายของชีวิตอย่างปราศจากความกลัวและกังวลอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่สำคัญเป็นการคืนสิทธิการเลือกตายโดยผู้ป่วยเอง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ป่วยและญาติสามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีความสุขสบายทั้งทางร่างกายและจิตใจ สามารถจากไปอย่างสงบและสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์[2]

ยิ่งกว่านั้น สถาบันการแพทย์อย่างราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ได้ระบุไว้ว่าการดูแลแบบประคับประคอง

มุ่งเน้นความสำคัญกับทุกมิติของชีวิตทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ สำหรับผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคที่คุกคามต่อชีวิต รวมถึงผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ผู้ดูแล และครอบครัว … การดูแลแบบประคับประคองสามารถทำได้ตั้งแต่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีโรค หรือมีภาวะการเจ็บป่วยที่รักษาให้หายขาดได้ยาก โดยให้การดูแลควบคู่ไปกับการรักษาหลัก ซึ่งไม่ใช่การหยุดรักษาหรือทอดทิ้งผู้ป่วยแต่เป็นการประคองไปด้วยกัน โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวร่วมด้วยเสมอ ซึ่งกระบวนการดูแลจะครอบคลุมการดูแลผู้ป่วย ญาติผู้ดูแล และครอบครัว ทั้งในระยะที่ผู้ป่วยยังมีชีวิตอยู่ ไปจนถึงการดูแลหลังการสูญเสียด้วย[3]

ต้นปี 2567 คุณแม่ของผมเริ่มไม่สบาย แพทย์คนแรกที่ตรวจแนะนำให้ผ่าตัด ตามด้วยขั้นตอนอื่นๆ ที่ทางการพทย์อาจดูเป็นเรื่องปกติแต่สำหรับหญิงผู้มีอายุย่าง 97 ปีในขณะนั้นดูไม่เหมาะเลย พี่น้องของผมจึงเริ่มค้นหาการรักษาทางเลือก และการดูแลแบบประคับประคองก็เป็นทางเลือกหนึ่ง ด้วยเหตุที่ผมเคยเข้ารักษาในโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ พวกเราจึงตัดสินใจพาคุณแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลนี้ สิ่งแรกที่แพทย์ผู้ตรวจแนะนำคือคุณแม่อายุมากแล้ว ไม่ควรผ่าตัดเพราะอาจมีอันตรายหรือความซับซ้อนอื่นๆ ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น จึงเสนอให้รักษาด้วยการดูแลแบบประคับประคอง โดยให้รักษาตามอาการและตรวจเป็นระยะๆ ด้วยเป้าหมายที่เน้นให้คุณแม่อยู่กับครอบครัว ดำเนินชีวิตตามปกติ และมีความเจ็บปวดทรมานน้อยที่สุด

ตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีก่อนเสียชีวิต คุณแม่ใช้ชีวิตแทบเหมือนคนปกติคนหนึ่ง ลุกเดินเหินไปมาในบ้าน ขึ้นลงบันไดได้ ช่วยเหลือตัวเองได้ แต่กินอาหารน้อยลงเรื่อยๆ ส่วนการหลับนอนไม่มีปัญหาเพราะคุณหมอให้ยาที่ช่วยให้หลับและลดความเจ็บปวด คุณแม่ต้องไปหาหมอบ้างเมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น มีเลือดออกมาก แต่ก็ไม่บ่อยนัก ปัญหาใหญ่คือเรื่องกิน โดยเริ่มจากความไม่อยากอาหารจนกระทั่งไม่มีความอยาก แม้ว่าจะคะยั้นคะยอให้กินเท่าใดคุณแม่ก็ปฏิเสธที่จะกิน บอกเพียงว่ากินไม่ลง จนกระทั่งเกิดอาการไตวายเพราะร่างกายขาดสารอาหาร จึงต้องเข้ารักษาตัวและเฝ้าดูอาการในโรงพยาบาล สามวันต่อมา คุณแม่ก็จากไปอย่างสงบในเวลาเช้าตรู่ พี่สาวของผมที่นอนเป็นเพื่อนแม่โทรบอกผมให้ไปโรงพยาบาลทันที

ระยะเวลาหนึ่งปีที่คุณแม่ป่วย ผมเตรียมตัวเตรียมใจกับการเสียชีวิตของคุณแม่ ไม่กลัวหรือกังวลกับความตายที่กำลังจะมาเยือน แม้ว่าผมจะเศร้าหดหู่ใจและคิดถึงคุณแม่หลังจากที่สิ้นลมไปแล้ว (ขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้ความคิดถึงก็แวบเข้ามา) แต่ก็รู้สึกคลายความทุกข์ในใจที่คุณแม่ไม่เจ็บปวดทรมานด้วยโรคร้ายที่คร่าเอาชีวิตเธอไป เพราะตั้งแต่เริ่มไม่สบายจนเสียชีวิตคุณแม่แทบไม่เจ็บปวดทางร่างกาย (เพราะฤทธิ์ของยาลดความเจ็บปวดที่คุณหมอสั่งให้กิน) ความจำไม่เลอะเลือน (สับสนบ้างบางครั้งแต่ก็ยังจำลูกๆ และหลานได้ จดจำเรื่องราวในอดีตได้) นอกจากอาการเบื่ออาหาร ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยและเสียเลือดในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนเข้าโรงพยาบาล แม่ผมมีคุณภาพชีวิตที่ไม่แย่เลย

แน่นอน พี่ๆ และน้องสาวของผมต้องเหน็ดเหนื่อยกับการผลัดกันดูแลแม่ผมเกือบทั้งวันทั้งคืน มีทุกข์กังวลใจเพราะเป็นห่วงสุขภาพและความปลอดภัยของคุณแม่ แต่คุณหมอที่โรงพยาบาลก็ให้คำอธิบายและคำแนะนำต่างๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการนัดคุยกันทางโทรศัพท์หรือวันเวลาที่นัดคนไข้ไปตรวจที่โรงพยาบาล อีกทั้งยังชวนคุณแม่พูดคุยเพื่อซักถามอาการป่วย ส่วนพยาบาลก็ให้การดูแลอย่างดี สุภาพ นุ่มนวล ใจเย็น (แม่ผมกลายเป็น ‘คุณยาย’ ของพยาบาลสาวๆ ทุกคน) พี่น้องและผมจึงรู้สึกยินดีที่ตัดสินใจให้คุณแม่เข้ารับการรักษาดูแลแบบประคับประคอง เพราะนอกจากจะได้รับการดูแลรักษาที่ดีมาก แม่ผมยังจากโลกนี้ไปอย่างสงบ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ (ซึ่งก็คือผม พี่น้องอีกสามคน ภรรยาและลูกชายของผม) มีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับการตายของคุณแม่ อันเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลแบบประคับประคอง

‘ตายดี’ และการดูแลแบบประคับประคองน่าจะเป็นตัวอย่างอันชัดเจนที่บ่งบอกถึงอิทธิพลของการแพทย์สมัยใหม่ที่มีต่อความตายในอนาคต

ไม่มี ‘ธงขาว’ ทางการแพทย์

โรคมะเร็งคงเป็นตัวอย่างที่ดีที่สะท้อนถึงความพยายามของการแพทย์สมัยใหม่ในการเอาชนะโรคร้ายและ ‘ความตาย’ เพราะหากท่านผู้อ่านลองสืบค้นในอินเทอร์เน็ตว่าประชากรในโลกเสียชีวิตจากโรคอะไรมากที่สุด ในหลายเว็บไซด์จะระบุว่าโรคหัวใจและมะเร็ง หนึ่งในประเทศเหล่านี้คือสหรัฐอเมริกา แม้แต่องค์การอนามัยโลกก็เปิดเผยว่าสาเหตุการตายในอันดับแรกๆ คือโรคมะเร็งปอดและหลอดลม บางเว็บไซด์ระบุว่าออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เป็นสองประเทศที่ประชากรเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งผิวหนังเมลาโนมาสูงที่สุดในโลก

ในบ้านเรามีรายงานระบุว่าจาก ‘สถิติโรคมะเร็งของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เผยคนไทยป่วยเป็นมะเร็งรายใหม่ปีละ 1.4 แสนคน เสียชีวิต 8.3 หมื่นคน! กรมการแพทย์ ระบุ 5 อันดับมะเร็งที่คร่าชีวิตคนไทย คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเม็ดเลือดขาว'[4]

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่งานวิจัยและการทดลองทางการแพทย์จำนวนไม่น้อยมีเป้าหมายในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรืออย่างน้อยเพื่อควบคุมและชะลอการลุกลามของเชื้อมะเร็งมิให้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว จึงนำไปสู่การคิดค้นวิธีการรักษาและเทคนิคแบบใหม่ที่บรรลุผลสำเร็จในระดับหนึ่ง เช่น มีดนาโน (nanoknife) หนึ่งในเทคโนโลยีทางการแพทย์ล่าสุดที่รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ผล โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือขั้นตอนการรักษาที่ใช้กันมาก่อนหน้านี้

หลักการทำงานของมีดนาโนคือการใช้เข็มขนาดเล็กแทงไปที่เนื้อเยื่อที่เป็นมะเร็ง แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าความต่างศักย์สูง (irreversible electroporation: IRE) เพื่อสร้างสนามไฟฟ้าไปทำลายเยื่อหุ้มเซลล์มะเร็งให้ตาย แต่จะไม่มีผลกระทบเชิงลบต่อเซลล์ปกติ การใช้เทคโนโลยีนี้ยังช่วยลดปัญหายุ่งยากซับซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับคนไข้ได้ด้วย จึงมีโรงพยาบาลหลายแห่งในต่างประเทศหันมาใช้เทคโนโลยีมีดนาโนในการรักษาโรคมะเร็ง โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมีเนื้องอกที่มีเซลล์มะเร็งหรือเป็นมะเร็งตับอ่อน เท่าที่ทราบ โรงพยาบาลบางแห่งในประเทศไทยเริ่มให้บริการเทคโนโลยีมีดนาโนในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งแล้ว

ในอังกฤษ สำนักข่าวบีบีซีได้รายงานถึงผลสำเร็จของการใช้มีดนาโนกับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีอายุน้อยที่สุดที่ชื่อ ‘จอร์จ’ เด็กชายอายุเพียงสองขวบ ตรวจพบว่ามีเซลล์มะเร็งที่ตับและท่อน้ำดีในปี 2023 หลังจากที่การรักษาด้วยคีโมสองครั้งล้มเหลว คณะแพทย์ตัดสินใจใช้เทคโนโลยีมีดนาโนในการฆ่าเชื้อมะเร็ง สิบแปดเดือนหลังจากการรักษา จอร์จถูกประกาศให้เป็นเด็กชายที่ ‘ปลอดเชื้อมะเร็ง’ (cancer-free)

การค้นคว้าทางการแพทย์ด้านโรคมะเร็งพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง นอกจากเทคโนโลยีมีดนาโนแล้ว ยังมีความพยายามในการใช้เชื้อไวรัส ซึ่งยังเป็นเพียงการวิจัยเชิงทดลองทางคลินิก (clinical trial) แต่ผลการทดลองที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ ด้วยการใช้ไวรัสที่เรียกว่า ‘Vaxinia’ อันเป็นไวรัสดัดแปลงพันธุกรรมจากไวรัสไข้ทรพิษ ซึ่งปรากฏว่ามีประสิทธิภาพในการฆ่าเซลล์มะเร็งแต่ไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ปกติที่แข็งแรง

ผลการทดลองในห้องแล็บสร้างความหวังแก่นักวิจัยว่าวิธีการนี้อาจประสบความสำเร็จในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง งานวิจัยนี้เป็นโครงการที่ร่วมมือกันระหว่าง City of Hope สถาบันวิจัยและรักษาโรคมะเร็งในสหรัฐอเมริกา และ Imugene Limited บริษัทในออสเตรเลียที่ค้นคว้าเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านเชื้อมะเร็ง[5]

อันที่จริง การค้นคว้าทดลองเรื่องเชื้อไวรัสในการรักษาโรคมะเร็งกำลังดำเนินการอยู่ในหลายประเทศ เช่น นักวิจัยทางการแพทย์ในอังกฤษก็กำลังศึกษาเรื่องเช่นกัน เหตุผลหนึ่งคือมะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากทั่วโลก (ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว) การวิจัยเรื่องโรคมะเร็งและการพัฒนาความรู้และวิธีการรักษาผู้ป่วยโรคนี้จึงเป็นเสมือนการแข่งกับเวลาเพื่อเอาชนะเชื้อโรค การเจ็บป่วย และความตาย

ด้วยความหวังว่าความตายในอนาคตจะเป็นเรื่องที่การแพทย์สมัยใหม่สามารถควบคุมได้ หรืออย่างน้อยก็ยืดเวลาการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์ให้ยาวนานขึ้น ซึ่งในปัจจุบันทำได้สำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว

ความทรงจำอันงดงาม

ผมเริ่มต้นด้วยเรื่อง ‘ตายดี’ จึงอยากจบด้วยเรื่องนี้

หากพิจารณาความหมายของการ ‘ตายดี’ ที่มักถูกพาดพิงถึง มีสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญอย่างยิ่งแต่ไม่ค่อยถูกกล่าวถึง นั่นคือความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับคนตาย เพราะผมมั่นใจว่าใครก็ตามที่สูญเสียคนที่ตนรักใคร่ เอื้ออาทร มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ความผูกพันทางจิตใจย่อมทำให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องการจดจำคนที่จากไปในภาพที่งดงาม ชื่นบาน สุขใจ

ตัวอย่างของความทรงจำที่สวยงามเกี่ยวกับคนตายผมนึกถึงภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง ‘Departures’ ที่เคยเขียนพาดพิงถึงเมื่อหลายปีก่อน[6] จึงขอยกมากล่าวถึงสั้นๆ ดังนี้

บางฉาก (ของภาพยนตร์) ที่เรื่องราวบอกเราว่าความรักทำให้การตายเป็นอมตะ สิงสถิตอยู่ในความทรงจำของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น ฉากงานศพหญิงคนหนึ่งที่หัวหน้าของชายหนุ่มแต่งหน้าศพให้ แล้วเอ่ยถามว่า “ผู้ตายมีลิปสติกแท่งโปรดรึเปล่าครับ?” ผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นลูกสาวรีบลุกไปเอาลิปสติกแท่งที่แม่ชอบใช้มาให้หัวหน้า ซึ่งภายหลังกล่าวว่า “เพื่อชุบความมีชีวิตชีวาให้ผู้ตาย และคงความงามไว้ชั่วนิรันดร์ เราต้องทำอย่างนุ่มนวลและพิถีพิถัน และเหนืออื่นใดก็ต้องทุ่มเทความรักลงไป เพื่อเป็นของขวัญในการบอกลาครั้งสุดท้าย และส่งผู้ตายไปสู่สุคติ มันช่างเงียบสงบและสง่างามในทุกการกระทำ”

ผู้ชมเห็นภาพของสามีผู้ร่ำไห้บอกลาภรรยาผู้วายชนม์ และภาพของหัวหน้ายืนถือฝาโลงเตรียมปิด เป็นภาพที่สวยงามและสร้างอารมณ์โศกเศร้าได้ดีกว่าคำพูดพรรณนาใดๆ และเมื่อหัวหน้าและชายหนุ่มเดินออกจากบ้านแล้ว ชายผู้เป็นสามีก็วิ่งออกมาขอโทษที่เคยใช้วาจาหยาบคาย แล้วกล่าวว่า “นาโอมิ ภรรยาของผม ดูสวยมาก เท่าที่เธอเคยสวยเลยล่ะครับ ต้องขอขอบคุณจริงๆ ครับ” แล้วโค้งให้ทั้งสองแทนคำขอบคุณ

มิตรสหายและคนที่ผมรู้จักหลายคนเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งชนิดต่างๆ สภาพหน้าต่างและร่างกายของบางคนก่อนตายเป็นภาพที่ไม่น่าดูเลย ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ ห่อเหี่ยวใจ ไม่อยากเห็นและจดจำคนที่ชอบพอรักใคร่ในลักษณะเช่นนั้น ตรงกันข้าม ผมต้องการระลึกถึงพวกเขาในขณะที่มีความสุข สนุกสนาน ยิ้มแย้ม รื่นเริง เฮฮา

ผมจึงเชื่อมั่นว่าการ ‘ตายดี’ มีนัยของการจดจำคนตายในภาพที่งดงาม เบิกบานใจ มีความสุข (และรอยยิ้ม) ทุกครั้งเมื่อหวนคิดถึงคนที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

ครั้งหน้าผมจะชวนท่านผู้อ่านร่วมสนทนาว่าการ ‘ตายโหง’ จะมีความเกี่ยวข้อง/เชื่อมโยงกับคำถามเรื่องการตายในอนาคตอย่างไร

References
1 Marilyn A. Mendoza, “What Is a Good Death? How to die well.”, Psychology Today, March 14, 2020
2 ปฐมามาศ โชติบัณ, “เตรียมตัว “ตายดี” (Good Death)”, วารสารเครือข่ายวิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต้, ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (ฉบับปฐมฤกษ์) มกราคม – เมษายน 2557, น. 85-87
3 “ความรู้ด้านการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)”, CRA CHULABHORN Channel, บทความสุขภาพ, มะเร็งวิทยา, 3 February 2023,
4 สำนักข่าวออนไลน์ Hfocus, Monday 5 February 2024
5 Zen Vuog, “First patient dosed in trial of cancer-killing virus”, City of Hope, May 18, 2022
6 นิติ ภวัครพันธุ์, “ความตาย ข. : ต่อกรกับการสูญเสีย”, The 101 World, 13 Jul 2020

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save