สถาบันทางเศรษฐกิจ
“เราเห็นตรงกันว่าปัจจัยเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือประชาธิปไตย”
บทสนทนาเมื่อ 32 ปีที่แล้วระหว่างสองนักเศรษฐศาสตร์ ดารอน อาเซโมกลู และ เจมส์ เอ. โรบินสัน อาจนับเป็นก้าวแรกๆ ที่พวกเขา (รวมถึงไซมอน จอห์นสัน) พากันออกเดินทางไปสู่ตำแหน่งเจ้าของรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี 2024 จากงานศึกษาที่ช่วยให้เราเข้าใจว่า ‘สถาบัน’ ก่อร่างขึ้นและส่งผลต่อความรุ่งโรจน์ของประเทศต่างๆ อย่างไร
ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดนเริ่มมอบรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ครั้งแรกในปี 1969 นับถึงปัจจุบันมีผู้ได้รับรางวัลนี้แล้วทั้งสิ้น 96 คน โดยอาเซโมกลูและจอห์นสันจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) และโรบินสันจากมหาวิทยาลัยชิคาโก ถือเป็นนักเศรษฐศาสตร์สำนักเศรษฐศาสตร์สถาบันที่ได้รับรางวัลนี้ต่อจาก ‘เจ้าพ่อ’ ในสำนักเดียวกัน ทั้ง โรนัลด์ โคส (ได้รับรางวัลประจำปี 1991) ดักลาส นอร์ธ (1993) และ โอลิเวอร์ อี. วิลเลียมสัน ซึ่งได้รางวัลในปีเดียวกันกับ ‘เจ้าแม่’ อย่าง เอลินอร์ ออสตรอม (2009)
จากลอนดอนถึงแมสซาชูเซตส์
แม้จะได้รับรางวัลโนเบลจากการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลของสถาบันต่อความรุ่งโรจน์และล้มเหลวของประเทศต่างๆ แต่งานศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนเมื่อก้าวสู่โลกวิชาการนั้นไม่ได้เริ่มต้นจากประเด็นดังกล่าว หัวข้อวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของจอห์นสันเมื่อสำเร็จการศึกษาจากเอ็มไอทีในปี 1989 นั้นเกี่ยวกับเงินเฟ้อ (อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของเขาคือ รูดิเกอร์ ดอร์นบุช ซึ่งเคยทำหน้าที่เดียวกันนี้ให้แก่ พอล ครุกแมน เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2008) อาเซโมกลูได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (แอลเอสอี) ในปี 1992 จากวิทยานิพนธ์ที่ศึกษาเศรษฐศาสตร์ระดับมหภาค (เช่น ตลาดแรงงานและตลาดเงิน) บนพื้นฐานของปัจจัยเศรษฐศาสตร์ระดับจุลภาค ขณะที่โรบินสันสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยลในปีต่อมา โดยทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเรื่องแรงงานกับข้อมูลที่อสมมาตร
อย่างไรก็ตาม ในปี 1992 เมื่อโรบินสันเดินทางไปยังมหานครลอนดอนเพื่อนำเสนอผลงานที่แอลเอสอี เขาก็ได้พบกับอาเซโมกลูและพูดคุยกันถูกคอ “เราเห็นตรงกันว่าปัจจัยเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือประชาธิปไตย” อาเซโมกลูรำลึกความหลัง “แต่ตอนนั้นไม่มีแบบจำลอง [ทางเศรษฐศาสตร์] ที่ช่วยอธิบายว่าประชาธิปไตยเกิดขึ้นได้อย่างไร ส่วนงานศึกษาทางรัฐศาสตร์ก็ไม่ได้ช่วยมากนัก เราจึงเริ่มงานในหัวข้อนี้กันเมื่อปี 1995 และอยู่กับมันมาโดยตลอด”
ในปี 1996 สามปีหลังจากที่อาเซโมกลูออกจากงานสอนที่แอลเอสอี ไปรับตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่เอ็มไอที เอกสารวิจัย ‘Why Did the West Extend the Franchise?: Democracy, Inequality, and Growth in Historical Perspective’ ซึ่งเป็นงานชิ้นแรกที่อาเซโมกลูกับโรบินสันเขียนร่วมกันก็ปรากฏขึ้นในวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ (งานชิ้นดังกล่าวถูกปรับปรุงก่อนจะได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร The Quarterly Journal of Economics ในปี 2000) แต่ระหว่างที่อาเซโมกลูรอรับการพิจารณาตำแหน่งถาวรที่เอ็มไอที กลับมี ‘อาจารย์ผู้ใหญ่’ เสนอว่าเขาควร “หยุดทำงานด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง” ทำให้เขาตัดสินใจพับโครงการลงและหันไปศึกษาเรื่องตลาดแรงงานเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม หลังจากเขาได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ และเมื่อโรบินสันเริ่มงานใหม่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ พวกเขาก็เริ่มต้นงานศึกษาว่าด้วยประชาธิปไตยขึ้นอีกครั้ง และนำมาซึ่งเอกสารวิจัย ‘A Theory of Political Transition’ ในปี 1999 (ตีพิมพ์ในวารสาร American Economic Review ในปี 2001) และเอกสารนำเสนอในงานสัมมนาวิชาการ เช่น ‘Democratization or Repression?’ และ ‘Political Losers As a Barrier to Economic Development’ (ตีพิมพ์ในวารสาร European Economic Review และในวารสาร American Economic Review ตามลำดับในปี 2000 ทั้งสองชิ้น)
แนวคิดหลักของงานศึกษาของอาเซโมกลูและโรบินสันในช่วงเปลี่ยนผ่านสหัสวรรษคือการอธิบายการเกิดขึ้นของประชาธิปไตย งานของทั้งคู่เสนอว่า ชนชั้นสูงอาจตัดสินใจเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตยแทนที่จะเลือกการกดขี่ดังเดิม หากการเพิ่มการมีส่วนร่วมแก่ชนชั้นล่างนั้นสร้างต้นทุนแก่พวกเขาน้อยกว่าการกดขี่ โดยเฉพาะต้นทุนจากการลุกฮือของประชาชนซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติ อย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นอาจไม่ยั่งยืนสถาพรในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง เพราะการจัดสรรทรัพยากรใหม่ย่อมทำให้ชนชั้นนำเสียผลประโยชน์มากกว่าในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำต่ำกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงมีแรงจูงใจที่จะรัฐประหารยึดอำนาจคืน
ในปี 2004 โรบินสันย้ายออกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ เพื่อไปรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มลรัฐแมสซาชูเซตส์ และในเดือนธันวาคมปีต่อมา หนังสือ Economic Origins of Dictatorship and Democracy (ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2005) ที่เขากับอาเซโมกลูเขียนร่วมกันโดยอาศัยชุดคำอธิบายของงานศึกษาที่กล่าวถึงข้างต้นก็ได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งนับเป็นหนังสือเล่มแรกของนักเศรษฐศาสตร์คู่นี้
จากบอตสวานาข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
ในปี 1997 หลังจากลาออกจากมหาวิทยาลัยดุ๊ก มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา มารับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ที่วิทยาลัยการจัดการสโลน จอห์นสันจึงได้มาเป็นเพื่อนร่วมงานกับอาเซโมกลู จากนั้นไม่นาน นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนก็ร่วมกันผลิตเอกสารวิจัยออกมาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ‘The Colonial Origins of Comparative Development: An Empirical Investigation’ ในปี 2000 ‘Reversal of Fortune: Geography and Institutions in the Making of the Modern World Income Distribution’ และ ‘An African Success Story: Botswana’ ในปี 2001 และ ‘The Rise of Europe: Atlantic Trade, Institutional Change, and Economic Growth’ ในปี 2002 เอกสารวิจัยทั้งหมดนี้ได้รับการเผยแพร่สู่บรรณพิภพในเวลาต่อมา
‘The Colonial Origins of Comparative Development’ (ตีพิมพ์ในวารสาร American Economic Review ในปี 2001) เป็นผลงานวิชาการร่วมกันของทั้งสามคนที่ได้รับการอ้างอิงสูงสุดคือมากกว่า 18,000 ครั้ง ขณะที่ ‘Reversal of Fortune’ (ตีพิมพ์ในวารสาร The Quarterly Journal of Economics ในปี 2002) ได้รับการอ้างอิงเกือบ 7,000 ครั้ง (นับถึงช่วงกลางเดือนตุลาคม 2024 เมื่อพวกเขาได้รับรางวัลโนเบล)
งานศึกษาทั้งสองชิ้นมุ่งเน้นไปที่ความสำคัญของสถาบันต่อผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ โดยในงานชิ้นแรกนั้น อาเซโมกลู จอห์นสัน และโรบินสันเสนอว่า อัตราการตายของของชาวยุโรปในพื้นที่อาณานิคมเป็นตัวกำหนดว่า เจ้าอาณานิคมจะลงหลักปักฐานหรือไม่ และในประเทศอาณานิคมที่มีอัตราการตายสูง (เช่น จากโรคระบาด) สถาบันที่เจ้าอาณานิคมสร้างขึ้นมักเป็นสถาบันแบบขูดรีด (extractive institutions) กล่าวคือขูดรีดทรัพยากรจากอาณานิคมกลับไปยังประเทศแม่ ผลของสถาบันแบบดังกล่าวที่ยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ถูกขยายความเพิ่มเติมในงานชิ้นที่สอง และเป็นคำอธิบายว่า เหตุใดบางประเทศที่เคยรุ่งเรืองในอดีตกลับร่วงโรยได้ในเวลาต่อมา นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนเห็นว่า สถาบันต่างหากที่เป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจในระยะยาว มิใช่ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศแต่อย่างใด
ความสำคัญของสถาบันถูกเน้นย้ำในงานชิ้นอื่นๆ ของพวกเขาด้วย ในงานศึกษา ‘An African Success Story’ (ตีพิมพ์เป็นบทหนึ่งในหนังสือ In Search of Prosperity: Analytic Narratives on Economic Growth ในปี 2003 โดยมี ดานี รอดริก แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเป็นบรรณาธิการ) บอตสวานาถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างของประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องซึ่งแตกต่างจากเพื่อนร่วมทวีปส่วนใหญ่ อาเซโมกลู จอห์นสัน และโรบินสันชี้ว่า ความสำเร็จของบอตสวานาเกิดขึ้นจากการมีนโยบายเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะตั้งอยู่บนพื้นฐานของสถาบันที่คุ้มครองกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล เช่นเดียวกันกับข้อเสนอในงานเรื่อง ‘The Rise of Europe’ (ตีพิมพ์ในวารสาร American Economic Review ในปี 2005) ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน งานศึกษาชิ้นนี้เสนอว่า ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของพ่อค้าชนชั้นกลางชาวยุโรปจากการค้าข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบัน ผ่านการจำกัดอำนาจของกษัตริย์และการส่งเสริมสถาบันที่คุ้มครองกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล สถาบันที่มีลักษณะเช่นนี้เป็นคุณต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในยุโรปในเวลาต่อมา
จากวอชิงตันดีซีถึงสตอล์กโฮล์ม
การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ วัดจากรายได้ต่อหัว ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตของประชาชน และเป็นเกณฑ์ในการจำแนกประเทศรายได้สูง โดยเฉพาะประเทศในทวีปยุโรป ออกจากประเทศรายได้ต่ำ ทั้งในทวีปเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา แต่ “ไม่ใช่เรื่องปกติที่รายได้ต่อหัวของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน 30 40 หรือ 50 เท่า” อาเซโมกลูตั้งข้อสังเกต “ [แต่ละประเทศ] มีความแตกต่างกันด้านการศึกษา ประสิทธิภาพ จำนวนเครื่องจักร หรือปัจจัยสำคัญอื่นๆ แต่ลึกลงไปแล้ว เราเชื่อว่าปัจจัยเชิงสถาบันเป็นตัวกำหนดสำคัญที่สุด”
ข้อสรุปดังกล่าวของอาเซโมกลูมาจากงานศึกษาหลายชิ้น โดยเฉพาะจาก ‘Institutions as a Fundamental Cause of Long-Run Growth’ (ตีพิมพ์เป็นบทหนึ่งในหนังสือ Handbook of Economic Growth ในปี 2005 โดยมี ฟิลลิป อากิออน และ สตีเวน ดูร์ลอฟ (ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน ตามลำดับ) เป็นบรรณาธิการ) งานศึกษาชิ้นนี้ของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนเสนอว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวเป็นผลจากแรงจูงใจและข้อจำกัดที่ถูกกำหนดจากสถาบันทางเศรษฐกิจ สถาบันทางเศรษฐกิจจะมีหน้าตาอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับอำนาจทางการเมืองโดยนิตินัย (de jure political power) ซึ่งถูกกำหนดจากสถาบันทางการเมือง และอำนาจทางการเมืองโดยพฤตินัย (de facto political power) ซึ่งถูกกำหนดจากส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจในอดีต ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสถาบันทางการเมืองกระจายอำนาจให้ผู้คน ตลอดจนจำกัดการใช้อำนาจและส่วนเกินทางเศรษฐกิจของผู้มีอำนาจ
ข้อค้นพบจากงานศึกษาชิ้นดังกล่าวนำไปสู่ข้อสังเกตและข้อเสนอเชิงนโยบายในรายงานเรื่อง ‘The Role of Institutions in Growth and Development’ ของอาเซโมกลูและโรบินสัน ซึ่งจัดพิมพ์โดยธนาคารโลกในปี 2008 และกลายมาเป็นพื้นฐานสำคัญของแนวคิดเรื่องสถาบันแบบมีส่วนร่วม (inclusive institutions) และแบบขูดรีด ในหนังสือ Why Nations Fail: The Origins of Power, Prosperity, and Poverty (ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2012) ที่หลายคนรู้จักกันดี แม้จอห์นสันจะไม่ได้เป็นผู้เขียนร่วมของหนังสือ Why Nations Fail แต่อาเซโมกลูและโรบินสันก็เขียนไว้ในกิตติกรรมประกาศว่าพวกเขา “ติดหนี้จอห์นสันอย่างใหญ่หลวงที่สุด” ขณะที่จอห์นสันเองก็เขียนคำนิยมให้ทั้งคู่ และสรุปไว้อย่างชัดเจนในตอนท้ายของคำนิยมว่า “จงตรวจสอบผู้มีอำนาจ ด้วยประชาธิปไตยที่มีประสิทธิผล ไม่อย่างนั้นก็มองดูประเทศชาติล้มเหลว”
รายงานของธนาคารโลกที่กล่าวถึงข้างต้นตีพิมพ์ในช่วงที่องค์กรระหว่างประเทศกำลังชูประเด็นการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม (inclusive growth) ในเวลาเดียวกัน โลกก็กำลังเผชิญกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งในขณะนั้นจอห์นสันกำลังดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระหว่างปี 2007-2008 ทั้งนี้ แม้จอห์นสันจะไม่ได้มีส่วนร่วมในหนังสือ Why Nations Fail แต่เขาก็ยังคงทำงานวิชาการร่วมกับอาเซโมกลูอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเขียนหนังสือ Power and Progress: Our Thousand-Year Struggle Over Technology and Prosperity ซึ่งเพิ่งตีพิมพ์ออกมาได้หนึ่งปีก่อนการประกาศชื่อของบุคคลทั้งสามในฐานะเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ระหว่างการแถลงข่าวที่กรุงสตอล์กโฮล์ม
บทส่งท้าย
คุณูปการของงานศึกษาของอาเซโมกลู จอห์นสัน และโรบินสัน คือการเสนอข้อถกเถียงว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมืองและสถาบันทางเศรษฐกิจ ซึ่งพวกเขาเห็นว่าเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดความรุ่งโรจน์และร่วงหล่นของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม งานของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามชวนให้เราต้องคิดทบทวนความหมายของ ‘ประชาธิปไตยกินได้’ ใหม่ เพราะแม้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นจะช่วยบรรเทาความทุกข์เข็ญของประชาชน แต่ไม่ใช่คำตอบสำหรับความกินดีอยู่ดีของผู้คนในระยะยาว อย่างน้อยก็ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนที่เชื่อในเรื่องสถาบันแบบมีส่วนร่วม
“สถาบันแบบมีส่วนร่วมไม่ได้เกิดจากชนชั้นนำที่มีจิตใจเมตตา หากแต่สร้างขึ้นโดยผู้คนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง และต่อสู้เพื่อโลกทัศน์ที่ต่างออกไป” โรบินสันให้สัมภาษณ์เมื่อทราบข่าวการได้รับรางวัลโนเบล
“แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องง่าย” อาเซโมกลูกล่าวเสริมในวาระเดียวกัน “ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของความเป็นพลเมืองที่เป็นประชาธิปไตย เป็นเรื่องของฉันทมติ เป็นเรื่องของการสื่อสาร เป็นเรื่องของการยอมรับความพ่ายแพ้ การประนีประนอม การพูดคุย และการทำความเข้าใจอีกฝ่าย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากเสมอ”
แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ “ประชาธิปไตยที่แท้จริงและทุกคนมีส่วนร่วมนั้น สำคัญอย่างเป็นที่ประจักษ์” จอห์นสันสรุป
สถาบันทางเศรษฐกิจ
สถาบันทางเศรษฐกิจ
สถาบันทางเศรษฐกิจ