สถาบันทางเศรษฐกิจ

‘ประชาธิปไตย’ บนเส้นทางของสามนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล

สถาบันทางเศรษฐกิจ

“เราเห็นตรงกันว่าปัจจัยเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือประชาธิปไตย”

บทสนทนาเมื่อ 32 ปีที่แล้วระหว่างสองนักเศรษฐศาสตร์ ดารอน อาเซโมกลู และ เจมส์ เอ. โรบินสัน อาจนับเป็นก้าวแรกๆ ที่พวกเขา (รวมถึงไซมอน จอห์นสัน) พากันออกเดินทางไปสู่ตำแหน่งเจ้าของรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี 2024 จากงานศึกษาที่ช่วยให้เราเข้าใจว่า ‘สถาบัน’ ก่อร่างขึ้นและส่งผลต่อความรุ่งโรจน์ของประเทศต่างๆ อย่างไร

ราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดนเริ่มมอบรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ครั้งแรกในปี 1969 นับถึงปัจจุบันมีผู้ได้รับรางวัลนี้แล้วทั้งสิ้น 96 คน โดยอาเซโมกลูและจอห์นสันจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) และโรบินสันจากมหาวิทยาลัยชิคาโก ถือเป็นนักเศรษฐศาสตร์สำนักเศรษฐศาสตร์สถาบันที่ได้รับรางวัลนี้ต่อจาก ‘เจ้าพ่อ’ ในสำนักเดียวกัน ทั้ง โรนัลด์ โคส (ได้รับรางวัลประจำปี 1991) ดักลาส นอร์ธ (1993) และ โอลิเวอร์ อี. วิลเลียมสัน ซึ่งได้รางวัลในปีเดียวกันกับ ‘เจ้าแม่’ อย่าง เอลินอร์ ออสตรอม (2009)

จากลอนดอนถึงแมสซาชูเซตส์

แม้จะได้รับรางวัลโนเบลจากการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลของสถาบันต่อความรุ่งโรจน์และล้มเหลวของประเทศต่างๆ แต่งานศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนเมื่อก้าวสู่โลกวิชาการนั้นไม่ได้เริ่มต้นจากประเด็นดังกล่าว หัวข้อวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของจอห์นสันเมื่อสำเร็จการศึกษาจากเอ็มไอทีในปี 1989 นั้นเกี่ยวกับเงินเฟ้อ (อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของเขาคือ รูดิเกอร์ ดอร์นบุช ซึ่งเคยทำหน้าที่เดียวกันนี้ให้แก่ พอล ครุกแมน เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2008) อาเซโมกลูได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตจากวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (แอลเอสอี) ในปี 1992 จากวิทยานิพนธ์ที่ศึกษาเศรษฐศาสตร์ระดับมหภาค (เช่น ตลาดแรงงานและตลาดเงิน) บนพื้นฐานของปัจจัยเศรษฐศาสตร์ระดับจุลภาค ขณะที่โรบินสันสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยลในปีต่อมา โดยทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกเรื่องแรงงานกับข้อมูลที่อสมมาตร

อย่างไรก็ตาม ในปี 1992 เมื่อโรบินสันเดินทางไปยังมหานครลอนดอนเพื่อนำเสนอผลงานที่แอลเอสอี เขาก็ได้พบกับอาเซโมกลูและพูดคุยกันถูกคอ “เราเห็นตรงกันว่าปัจจัยเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจ คือประชาธิปไตย” อาเซโมกลูรำลึกความหลัง “แต่ตอนนั้นไม่มีแบบจำลอง [ทางเศรษฐศาสตร์] ที่ช่วยอธิบายว่าประชาธิปไตยเกิดขึ้นได้อย่างไร ส่วนงานศึกษาทางรัฐศาสตร์ก็ไม่ได้ช่วยมากนัก เราจึงเริ่มงานในหัวข้อนี้กันเมื่อปี 1995 และอยู่กับมันมาโดยตลอด”

ในปี 1996 สามปีหลังจากที่อาเซโมกลูออกจากงานสอนที่แอลเอสอี ไปรับตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่เอ็มไอที เอกสารวิจัย ‘Why Did the West Extend the Franchise?: Democracy, Inequality, and Growth in Historical Perspective’ ซึ่งเป็นงานชิ้นแรกที่อาเซโมกลูกับโรบินสันเขียนร่วมกันก็ปรากฏขึ้นในวงวิชาการเศรษฐศาสตร์ (งานชิ้นดังกล่าวถูกปรับปรุงก่อนจะได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร The Quarterly Journal of Economics ในปี 2000) แต่ระหว่างที่อาเซโมกลูรอรับการพิจารณาตำแหน่งถาวรที่เอ็มไอที กลับมี ‘อาจารย์ผู้ใหญ่’ เสนอว่าเขาควร “หยุดทำงานด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง” ทำให้เขาตัดสินใจพับโครงการลงและหันไปศึกษาเรื่องตลาดแรงงานเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม หลังจากเขาได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ และเมื่อโรบินสันเริ่มงานใหม่ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ พวกเขาก็เริ่มต้นงานศึกษาว่าด้วยประชาธิปไตยขึ้นอีกครั้ง และนำมาซึ่งเอกสารวิจัย ‘A Theory of Political Transition’ ในปี 1999 (ตีพิมพ์ในวารสาร American Economic Review ในปี 2001) และเอกสารนำเสนอในงานสัมมนาวิชาการ เช่น ‘Democratization or Repression?’ และ ‘Political Losers As a Barrier to Economic Development’ (ตีพิมพ์ในวารสาร European Economic Review และในวารสาร American Economic Review ตามลำดับในปี 2000 ทั้งสองชิ้น)

แนวคิดหลักของงานศึกษาของอาเซโมกลูและโรบินสันในช่วงเปลี่ยนผ่านสหัสวรรษคือการอธิบายการเกิดขึ้นของประชาธิปไตย งานของทั้งคู่เสนอว่า ชนชั้นสูงอาจตัดสินใจเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการไปสู่ประชาธิปไตยแทนที่จะเลือกการกดขี่ดังเดิม หากการเพิ่มการมีส่วนร่วมแก่ชนชั้นล่างนั้นสร้างต้นทุนแก่พวกเขาน้อยกว่าการกดขี่ โดยเฉพาะต้นทุนจากการลุกฮือของประชาชนซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติ อย่างไรก็ตาม ประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นอาจไม่ยั่งยืนสถาพรในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง เพราะการจัดสรรทรัพยากรใหม่ย่อมทำให้ชนชั้นนำเสียผลประโยชน์มากกว่าในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำต่ำกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงมีแรงจูงใจที่จะรัฐประหารยึดอำนาจคืน

ในปี 2004 โรบินสันย้ายออกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ เพื่อไปรับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มลรัฐแมสซาชูเซตส์ และในเดือนธันวาคมปีต่อมา หนังสือ Economic Origins of Dictatorship and Democracy (ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2005) ที่เขากับอาเซโมกลูเขียนร่วมกันโดยอาศัยชุดคำอธิบายของงานศึกษาที่กล่าวถึงข้างต้นก็ได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งนับเป็นหนังสือเล่มแรกของนักเศรษฐศาสตร์คู่นี้

จากบอตสวานาข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก

ในปี 1997 หลังจากลาออกจากมหาวิทยาลัยดุ๊ก มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา มารับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ที่วิทยาลัยการจัดการสโลน จอห์นสันจึงได้มาเป็นเพื่อนร่วมงานกับอาเซโมกลู จากนั้นไม่นาน นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนก็ร่วมกันผลิตเอกสารวิจัยออกมาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ‘The Colonial Origins of Comparative Development: An Empirical Investigation’ ในปี 2000 ‘Reversal of Fortune: Geography and Institutions in the Making of the Modern World Income Distribution’ และ ‘An African Success Story: Botswana’ ในปี 2001 และ ‘The Rise of Europe: Atlantic Trade, Institutional Change, and Economic Growth’ ในปี 2002 เอกสารวิจัยทั้งหมดนี้ได้รับการเผยแพร่สู่บรรณพิภพในเวลาต่อมา

‘The Colonial Origins of Comparative Development’ (ตีพิมพ์ในวารสาร American Economic Review ในปี 2001) เป็นผลงานวิชาการร่วมกันของทั้งสามคนที่ได้รับการอ้างอิงสูงสุดคือมากกว่า 18,000 ครั้ง ขณะที่ ‘Reversal of Fortune’ (ตีพิมพ์ในวารสาร The Quarterly Journal of Economics ในปี 2002) ได้รับการอ้างอิงเกือบ 7,000 ครั้ง (นับถึงช่วงกลางเดือนตุลาคม 2024 เมื่อพวกเขาได้รับรางวัลโนเบล)

งานศึกษาทั้งสองชิ้นมุ่งเน้นไปที่ความสำคัญของสถาบันต่อผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ โดยในงานชิ้นแรกนั้น อาเซโมกลู จอห์นสัน และโรบินสันเสนอว่า อัตราการตายของของชาวยุโรปในพื้นที่อาณานิคมเป็นตัวกำหนดว่า เจ้าอาณานิคมจะลงหลักปักฐานหรือไม่ และในประเทศอาณานิคมที่มีอัตราการตายสูง (เช่น จากโรคระบาด) สถาบันที่เจ้าอาณานิคมสร้างขึ้นมักเป็นสถาบันแบบขูดรีด (extractive institutions) กล่าวคือขูดรีดทรัพยากรจากอาณานิคมกลับไปยังประเทศแม่ ผลของสถาบันแบบดังกล่าวที่ยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ถูกขยายความเพิ่มเติมในงานชิ้นที่สอง และเป็นคำอธิบายว่า เหตุใดบางประเทศที่เคยรุ่งเรืองในอดีตกลับร่วงโรยได้ในเวลาต่อมา นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนเห็นว่า สถาบันต่างหากที่เป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจในระยะยาว มิใช่ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศแต่อย่างใด

ความสำคัญของสถาบันถูกเน้นย้ำในงานชิ้นอื่นๆ ของพวกเขาด้วย ในงานศึกษา ‘An African Success Story’ (ตีพิมพ์เป็นบทหนึ่งในหนังสือ In Search of Prosperity: Analytic Narratives on Economic Growth ในปี 2003 โดยมี ดานี รอดริก แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเป็นบรรณาธิการ) บอตสวานาถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างของประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องซึ่งแตกต่างจากเพื่อนร่วมทวีปส่วนใหญ่ อาเซโมกลู จอห์นสัน และโรบินสันชี้ว่า ความสำเร็จของบอตสวานาเกิดขึ้นจากการมีนโยบายเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะตั้งอยู่บนพื้นฐานของสถาบันที่คุ้มครองกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล เช่นเดียวกันกับข้อเสนอในงานเรื่อง ‘The Rise of Europe’ (ตีพิมพ์ในวารสาร American Economic Review ในปี 2005) ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน งานศึกษาชิ้นนี้เสนอว่า ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นของพ่อค้าชนชั้นกลางชาวยุโรปจากการค้าข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงสถาบัน ผ่านการจำกัดอำนาจของกษัตริย์และการส่งเสริมสถาบันที่คุ้มครองกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล สถาบันที่มีลักษณะเช่นนี้เป็นคุณต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในยุโรปในเวลาต่อมา

จากวอชิงตันดีซีถึงสตอล์กโฮล์ม

การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ วัดจากรายได้ต่อหัว ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดคุณภาพชีวิตของประชาชน และเป็นเกณฑ์ในการจำแนกประเทศรายได้สูง โดยเฉพาะประเทศในทวีปยุโรป ออกจากประเทศรายได้ต่ำ ทั้งในทวีปเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา แต่ “ไม่ใช่เรื่องปกติที่รายได้ต่อหัวของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน 30 40 หรือ 50 เท่า” อาเซโมกลูตั้งข้อสังเกต “ [แต่ละประเทศ] มีความแตกต่างกันด้านการศึกษา ประสิทธิภาพ จำนวนเครื่องจักร หรือปัจจัยสำคัญอื่นๆ แต่ลึกลงไปแล้ว เราเชื่อว่าปัจจัยเชิงสถาบันเป็นตัวกำหนดสำคัญที่สุด”

ข้อสรุปดังกล่าวของอาเซโมกลูมาจากงานศึกษาหลายชิ้น โดยเฉพาะจาก ‘Institutions as a Fundamental Cause of Long-Run Growth’ (ตีพิมพ์เป็นบทหนึ่งในหนังสือ Handbook of Economic Growth ในปี 2005 โดยมี ฟิลลิป อากิออน และ สตีเวน ดูร์ลอฟ (ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แมดิสัน ตามลำดับ) เป็นบรรณาธิการ) งานศึกษาชิ้นนี้ของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนเสนอว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวเป็นผลจากแรงจูงใจและข้อจำกัดที่ถูกกำหนดจากสถาบันทางเศรษฐกิจ สถาบันทางเศรษฐกิจจะมีหน้าตาอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับอำนาจทางการเมืองโดยนิตินัย (de jure political power) ซึ่งถูกกำหนดจากสถาบันทางการเมือง และอำนาจทางการเมืองโดยพฤตินัย (de facto political power) ซึ่งถูกกำหนดจากส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจในอดีต ด้วยเหตุนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสถาบันทางการเมืองกระจายอำนาจให้ผู้คน ตลอดจนจำกัดการใช้อำนาจและส่วนเกินทางเศรษฐกิจของผู้มีอำนาจ

ข้อค้นพบจากงานศึกษาชิ้นดังกล่าวนำไปสู่ข้อสังเกตและข้อเสนอเชิงนโยบายในรายงานเรื่อง ‘The Role of Institutions in Growth and Development’ ของอาเซโมกลูและโรบินสัน ซึ่งจัดพิมพ์โดยธนาคารโลกในปี 2008 และกลายมาเป็นพื้นฐานสำคัญของแนวคิดเรื่องสถาบันแบบมีส่วนร่วม (inclusive institutions) และแบบขูดรีด ในหนังสือ Why Nations Fail: The Origins of Power, Prosperity, and Poverty (ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2012) ที่หลายคนรู้จักกันดี แม้จอห์นสันจะไม่ได้เป็นผู้เขียนร่วมของหนังสือ Why Nations Fail แต่อาเซโมกลูและโรบินสันก็เขียนไว้ในกิตติกรรมประกาศว่าพวกเขา “ติดหนี้จอห์นสันอย่างใหญ่หลวงที่สุด” ขณะที่จอห์นสันเองก็เขียนคำนิยมให้ทั้งคู่ และสรุปไว้อย่างชัดเจนในตอนท้ายของคำนิยมว่า “จงตรวจสอบผู้มีอำนาจ ด้วยประชาธิปไตยที่มีประสิทธิผล ไม่อย่างนั้นก็มองดูประเทศชาติล้มเหลว”

รายงานของธนาคารโลกที่กล่าวถึงข้างต้นตีพิมพ์ในช่วงที่องค์กรระหว่างประเทศกำลังชูประเด็นการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม (inclusive growth) ในเวลาเดียวกัน โลกก็กำลังเผชิญกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งในขณะนั้นจอห์นสันกำลังดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระหว่างปี 2007-2008 ทั้งนี้ แม้จอห์นสันจะไม่ได้มีส่วนร่วมในหนังสือ Why Nations Fail แต่เขาก็ยังคงทำงานวิชาการร่วมกับอาเซโมกลูอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเขียนหนังสือ Power and Progress: Our Thousand-Year Struggle Over Technology and Prosperity ซึ่งเพิ่งตีพิมพ์ออกมาได้หนึ่งปีก่อนการประกาศชื่อของบุคคลทั้งสามในฐานะเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ระหว่างการแถลงข่าวที่กรุงสตอล์กโฮล์ม

บทส่งท้าย

คุณูปการของงานศึกษาของอาเซโมกลู จอห์นสัน และโรบินสัน คือการเสนอข้อถกเถียงว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมืองและสถาบันทางเศรษฐกิจ ซึ่งพวกเขาเห็นว่าเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดความรุ่งโรจน์และร่วงหล่นของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม งานของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามชวนให้เราต้องคิดทบทวนความหมายของ ‘ประชาธิปไตยกินได้’ ใหม่ เพราะแม้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นจะช่วยบรรเทาความทุกข์เข็ญของประชาชน แต่ไม่ใช่คำตอบสำหรับความกินดีอยู่ดีของผู้คนในระยะยาว อย่างน้อยก็ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนที่เชื่อในเรื่องสถาบันแบบมีส่วนร่วม

“สถาบันแบบมีส่วนร่วมไม่ได้เกิดจากชนชั้นนำที่มีจิตใจเมตตา หากแต่สร้างขึ้นโดยผู้คนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง และต่อสู้เพื่อโลกทัศน์ที่ต่างออกไป” โรบินสันให้สัมภาษณ์เมื่อทราบข่าวการได้รับรางวัลโนเบล

“แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องง่าย” อาเซโมกลูกล่าวเสริมในวาระเดียวกัน “ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของความเป็นพลเมืองที่เป็นประชาธิปไตย เป็นเรื่องของฉันทมติ เป็นเรื่องของการสื่อสาร เป็นเรื่องของการยอมรับความพ่ายแพ้ การประนีประนอม การพูดคุย และการทำความเข้าใจอีกฝ่าย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากเสมอ”

แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ “ประชาธิปไตยที่แท้จริงและทุกคนมีส่วนร่วมนั้น สำคัญอย่างเป็นที่ประจักษ์” จอห์นสันสรุป

สถาบันทางเศรษฐกิจ

สถาบันทางเศรษฐกิจ

สถาบันทางเศรษฐกิจ

MOST READ

Political Economy

12 Feb 2021

Marxism ตายแล้ว? : เราจะคืนชีพใหม่ให้ ‘มาร์กซ์’ ในศตวรรษที่ 21 ได้หรือไม่?

101 ถอดรหัสความคิดและมรดกของ ‘มาร์กซ์’ ผู้เสนอแนวคิดสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ผ่าน 3 มุมมองจาก เกษียร เตชะพีระ, พิชิต ลิขิตสมบูรณ์ และสรวิศ ชัยนาม ในสรุปความจากงานเสวนา “อ่านมาร์กซ์ อ่านเศรษฐกิจการเมืองไทย” เพื่อหาคำตอบว่า มาร์กซ์คิดอะไร? มาร์กซ์ยังมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 21 หรือไม่? และเราจะมองมาร์กซ์กับการเมืองไทยได้อย่างไรบ้าง

ณรจญา ตัญจพัฒน์กุล

12 Feb 2021

Economy

15 Mar 2018

การท่องเที่ยวกับเศรษฐกิจไทย

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ตั้งคำถาม ใครได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวบูม และเราจะบริหารจัดการผลประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างไร

พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย

15 Mar 2018

Economy

23 Nov 2023

ไม่มี ‘วิกฤต’ ในคัมภีร์ธุรกิจของ ‘สิงห์’ : สันติ – ภูริต ภิรมย์ภักดี

หากไม่เข้าถ้ำสิงห์ ไหนเลยจะรู้จักสิงห์ 101 คุยกับ สันติ- ภูริต ภิรมย์ภักดี ถึงภูมิปัญญาการบริหารคน องค์กร และการตลาดเบื้องหลังความสำเร็จของกลุ่มธุรกิจสิงห์

กองบรรณาธิการ

23 Nov 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save