นับแต่วันที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ สถานการณ์ของ ‘ผู้ลี้ภัย’ ก็ตกอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน และอาจเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของความหวาดกลัวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวมุสลิม
1
ปัญหาเรื่องผู้ลี้ภัยกลายเป็นประเด็นอ่อนไหวขึ้นมาอีกครั้ง หลังจาก ‘ทรัมป์’ เข้าบัญชาการในทำเนียบขาว
ความพยายามผลักดันนโยบายที่กีดกันชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศมุสลิม ส่งแรงกระเพื่อมระลอกใหญ่ ทั้งกับคนต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในอเมริกา รวมถึงผู้ลี้ภัยอีกจำนวนมากที่ยังอยู่ในระหว่างการคัดกรองเข้าประเทศ ชูแนวคิด ‘America First’ เพื่อทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ดังวลี ‘Make America Great Again”
ทาร่า ซัตตัน (Tara Sutton) นักข่าวท้องถิ่นชาวจอร์แดน เขียนบทความบอกเล่าถึงสถานการณ์ผู้ลี้ภัยในประเทศของเธอลงเว็บไซต์ The New Yorker เธอเล่าว่ามาตรการของทรัมป์ ทำให้บรรดาผู้ลี้ภัยตกอยู่ในภาวะเคว้งคว้าง ความหวังที่จะได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในอเมริกาดูเลือนราง และยิ่งริบหรี่ลงไปอีกเมื่อพวกเขาเหล่านั้นเป็นมุสลิม
เนื่องด้วยจอร์แดนเป็นประเทศที่รองรับผู้ลี้ภัยชั่วคราว (first asylum) ผู้ลี้ภัยจึงไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนสถานะเป็นพลเมือง และการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่รื่นรมย์เท่าไหร่นัก เพราะต้องเผชิญกับการ ‘เหยียด’ สารพัดรูปแบบ
ทาร่าเล่าว่าในระหว่างที่เธอเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ในค่ายผู้ลี้ภัย ชายชาวซีเรียคนหนึ่งเปิดรูปในมือถือให้เธอดู ‘มีม’ ที่กำลังถูกส่งต่อกันในโลกออนไลน์ รูปแรกปรากฏชายถือปืน เด็กสาว และร่างของสิงโต พร้อมข้อความว่า “นี่คือฮีโร่ที่ช่วยชีวิตเด็กสาว” รูปถัดมาเป็นรูปเดียวกัน ต่างกันตรงที่มีการระบุว่าชายคนนั้นเป็นมุสลิม และเปลี่ยนข้อความเป็น “ผู้ก่อการร้ายฆ่าสิงโต!”
ปัจจุบันจอร์แดนมีผู้ลี้ภัยที่ขึ้นบัญชีอย่างถูกต้องราวๆ เจ็ดแสนคน และที่ลักลอบเข้ามาอีกนับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมที่หนีภัยสงครามมาจากตะวันออกกลาง
2
ข้ามฝั่งมาที่ออสเตรเลีย นโยบายดังกล่าวของทรัมป์ส่งผลโดยตรงข้อตกลงเรื่องการส่งตัวผู้ลี้ภัยที่เคยทำไว้ในรัฐบาลโอบามา
ข้อตกลงดังกล่าวระบุว่า อเมริกาจะช่วยเหลือออสเตรเลียในการเปิดรับผู้ลี้ภัยที่ติดค้างอยู่บนเกาะมานัส (Manus) และเกาะนาอูรู (Nauru) นอกชายฝั่งปาปัวนิวกีนี ซึ่งเป็นสถานที่รองรับผู้ลี้ภัยที่อยู่ในการดูแลของรัฐบาลออสเตรเลีย
ข่าวใหญ่ที่ปรากฏออกมา ยกประเด็นการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างทรัมป์ กับ นายกฯ ของออสเตรเลีย ว่าด้วยข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็น ‘ข้อตกลงโง่ๆ (dumb deal)’ และเขาไม่ต้องการเปิดรับ ‘มือระเบิดบอสตันคนต่อไป’
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยจำนวนกว่า 1,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมที่ระหกระเหินจากภัยสงครามและอพยพมาทางเรือ ยังต้องอาศัยอยู่ในค่ายผู้อพยพบนเกาะนาอูรู และ เกาะมานุส ต่อไป ท่ามกลางสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่และการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สืบเนื่องจากเรื่องนี้ Pew Research Center ได้สำรวจความเห็นของคนในออสเตรเลีย และ อเมริกา ว่าด้วยการเปิดรับความหลากหลายของคนต่างเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม โดยมีคำถามที่น่าสนใจอยู่หลายข้อด้วยกัน
ข้อแรกถามว่า คุณคิดว่าการเพิ่มขึ้นของประชากรที่มาจากต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา จะทำให้ประเทศของคุณ ‘น่าอยู่’ ขึ้นหรือไม่ ผลปรากฏว่าชาวออสเตรเลียส่วนใหญ่ คิดว่าความหลากหลายของประชากรจะทำให้ประเทศน่าอยู่ขึ้น เช่นเดียวกับผลสำรวจในอเมริกา แสดงให้เห็นว่าออสเตรเลียรวมถึงอเมริกาค่อนข้างมีทัศนคติที่เปิดกว้างต่อความหลากหลาย
ทว่าเมื่อดูผลสำรวจในคำถามอีกข้อ ซึ่งถามถึงความเห็นที่มีต่อชาวมุสลิม ว่าคุณคิดว่าชาวมุสลิมในประเทศของคุณ ต้องการคงอัตลักษณ์และวิถีของพวกเขาไว้ หรือต้องการปรับเปลี่ยนวิถีให้เป็นเข้ากับประเทศคุณ
ผลปรากฏว่า ความเห็นกลับถูกแบ่งเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ทั้งในออสเตรเลียและอเมริกา
ฝั่งหนึ่งมองว่าคนมุสลิมในประเทศ ต้องการรักษาอัตลักษณ์และวิถีแบบมุสลิมไว้ ขณะที่อีกฝั่งมองว่าคนมุสลิมสามารถเปลี่ยนวิถีให้เข้าขนบประเพณีของประเทศของพวกเขาได้ นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่ทั้งในออสเตรเลียและอเมริกา ยังเห็นไปในทางเดียวกันว่า ‘การพูดภาษาอังกฤษ’ คือเอกลักษณ์ที่สำคัญของชาติ และพวกเขาจะพึงพอใจมากกว่าถ้าคนต่างเชื้อชาติพูดภาษาอังกฤษ
3
อีกผลสำรวจจาก Pew Research Center ชี้ว่าประชาการมุสลิมกำลังมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจากเดิมที่ประชากรมุสลิมมีสัดส่วนเป็น 23% ของประชากรทั้งโลกในปี 2010 จะเพิ่มขึ้นเป็น 30 % ในปี 2050
เหตุผลง่ายๆ ก็คือ ชาวมุสลิมเป็นกลุ่มคนที่มีลูกหลานมากกว่าเมื่อเทียบกับคนศาสนาอื่นๆ โดยผู้หญิงมุสลิมจะมีลูกเฉลี่ย 3.1 คน และมักสร้างครอบครัวในขณะที่อายุยังน้อย ส่งผลให้อายุเฉลี่ยของชาวมุสลิมนั้นน้อยที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน และนั่นจะทำให้ศาสนาอิสลามกลายเป็นศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกในอนาคตอันใกล้ แทนที่ศาสนาคริสต์
นับแต่เหตุการณ์เครื่องบินพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดในปี 2001 มาจนถึงการเกิดขึ้นของกลุ่ม ISIS ภาพลักษณ์ของชาวมุสลิมถูกเคลือบคลุมด้วยความหวาดระแวง กระแส ‘Islamophobia’ (ความหวาดกลัวอิสลาม) ลุกลามไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย
Pew Research Center ได้เสนอผลการสำรวจที่น่าสนใจอีกชิ้นหนึ่งว่า ในขณะที่ผู้คนทั่วโลกตื่นตระหนกกับความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ISIS และกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงอื่นๆ ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกต่างก็ตื่นตระหนกและ ‘ไม่เห็นด้วย’ กับความรุนแรงที่เกิดขึ้นเช่นกัน
นั่นสะท้อนให้เห็นว่า ผลจากความเกลียดชังและหวาดระแวงที่เกิดขึ้นนั้น สุดท้ายแล้วก็ไปตกอยู่กับบรรดาผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ที่เป็นชาวมุสลิมนั่นเอง ที่ต้องเผชิญกับภาวะหนีเสือปะจระเข้ และมีแนวโน้มว่าจะต้องลอยคอ-รอคอยต่อไปอย่างไร้จุดหมาย
โดยเฉพาะในยามที่โลกกำลังเหวี่ยงจากซ้ายไปขวา
อ่านเพิ่มเติม
-งานวิจัย Muslims จาก Pew Research Center, April 2, 2016