fbpx

REVOLUTION OF OUR TIMES ยามเมื่อเสียงประท้วงดังกึกก้อง จากผองผู้รักประชาธิปไตย… ในฮ่องกง

ถึงจะเตรียมความพร้อมไว้ทุกสิ่งอย่าง แต่เมื่อถึงเวลาประเมินสถานการณ์แล้วยังมีความสุ่มเสี่ยงต่อความอยู่รอดปลอดภัยมากเกินไป แผนการผจญภัยเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ประจำปี 2021 ระหว่างวันที่ 6-17 กรกฎาคม 2021 จึงต้องมีอันล้มพับไปด้วยความรู้สึกทั้ง ‘เสียดาย’ และ ‘กลัวตาย’ พอๆ กัน กระนั้นเมื่อวันพุธที่ 14 กรกฏาคม อีกสามวันจะจบเทศกาล ‘กัลปพฤกษ์’ ก็ยังได้รับอีเมลจากฝ่ายสื่อของงานเทศกาล แจ้งว่าจะมีสารคดีสุดเซอร์ไพรส์ร่วมฉายในสาย Special Screening ของเทศกาลด้วยอีกหนึ่งเรื่อง แต่บอกอะไรไม่ได้เลยว่ามันคือเรื่องอะไร ของใคร หรือเกี่ยวกับอะไร ถ้าสนใจก็ขอเชิญสื่อมวลชนมาร่วมชมได้ ณ ห้องฉาย Salle du Soixantième วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2021 เวลา 11:00 นาฬิกาฝรั่งเศส และจะฉายเพียงแค่รอบเดียวเท่านั้น!

เมื่อถึงวันแม้จะไม่ได้ร่วมดู แต่ก็อยู่ติดตามข่าวจากเพื่อนๆ สื่อที่ได้ไปร่วมงานอย่างใกล้ชิด และได้รับรู้ในวันเดียวกันนั้นเองว่าสารคดีสุดเซอร์ไพรส์ที่ว่าก็คือเรื่อง Revolution of Our Times (2021) ที่ลำดับเล่าการประท้วงใหญ่ในฮ่องกงเพื่อต่อต้านร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน และกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกงจากจีน ช่วงปี ค.ศ. 2019-2020 ที่เคยเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลกของผู้กำกับ กีวี โชว์ (Kiwi Chow) ทำให้เข้าใจในทันทีว่าเหตุใดเทศกาลจะต้องอุบเป็นความลับระดับสุดยอดอะไรกันนักหนา ด้วยเนื้อหาของตัวงานที่นำเสนอภาพการต่อสู้ของผู้ประท้วงจำนวนล้านๆ เต็มท้องถนนบนเกาะฮ่องกงอย่างต่อเนื่องยาวนานเพื่อต่อต้านการใช้อำนาจและความรุนแรงจนถึงชีวิตของเหล่าเจ้าหน้าที่พนักงาน ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลของแต่ละประเทศที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังต้องพิทักษ์ความอยู่รอดปลอดภัยของผู้กำกับกีวี โชว์ ที่โดนหมายหัวจากรัฐบาลฮ่องกงทันทีที่หนังได้เปิดฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลคานส์ ซึ่งผู้กำกับเองก็ไม่ได้เดินทางไปร่วมงาน ทว่ากบดานอยู่เงียบๆ ในดินแดนบ้านเกิดของตนเอง!

และด้วยความเป็นงานสารคดีที่นำเสนอภาพความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและประชาชนฮ่องกงด้วยศรัทธาแห่งอุดมการณ์ การจัดฉายสารคดีเรื่องนี้ในที่ต่างๆ จึงไม่สามารถเอิกเกริกโฉ่งฉ่างอย่างหนังเรื่องอื่นๆ ได้  ผู้อำนวยการสร้างซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่เผยตัวตน และผู้กำกับกีวี โชว์ จึงได้ร่วมกันเปิดเพจ facebook.com/RevolutionofOurTimes เพื่อสื่อสารกับผู้ชมประเทศต่างๆ ว่าสารคดีเรื่องนี้มีรอบฉายในเทศกาลที่ใด หรือออกฉายแบบจำกัดโรง ณ พื้นที่ใดบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าประเทศที่สารคดีเรื่องนี้ได้ออกฉายล้วนเป็นประเทศที่เชิดชูการต่อสู้ในวิถีประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่นหรือไต้หวัน ส่วนประเทศอื่นๆ นั้นก็คงต้องรอกันต่อไป เพราะหนังคงไม่มีโอกาสได้เผยแพร่ในรูปแบบสตรีมมิ่งที่จะยิ่งทำให้ผู้เกี่ยวข้องอาจต้องเดือดร้อนหนักขึ้นไปอีก และแน่นอนหนังถูกแบนแบบหมดโอกาสฉายทั้งในฮ่องกงและจีน

ในข่าวร้ายก็ยังมีข่าวดี เมื่อผู้กำกับและเจ้าของหนังจัดกิจกรรมพิเศษร่วมกับองค์กรและหน่วยงานที่สนับสนุนเสียงประชาชนตามวิถีประชาธิปไตยทั่วโลก จัดฉายสารคดีเรื่องนี้ ณ สถานที่ฉายต่างๆ ระหว่างวันที่ 1-10 เมษายน 2022 ซึ่งประเทศไทยก็ได้รับอานิสงส์เมื่อองค์กรไม่แสวงผลกำไรนานาชาติ ANFREL หรือ Asian Network for Free Elections ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศไทย รับเป็นเจ้าภาพในการจัดฉายสารคดีเรื่องนี้ให้ชมกันฟรีๆ ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย หรือ Foreign Correspondent’s Club of Thailand (FCCT) ย่านถนนเพลินจิต เมื่อวันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2022 เวลา 19:00 น. เพียงรอบเดียว ซึ่งก็ปรากฏว่ามีชาวฮ่องกงที่พำนักอยู่ในประเทศไทยสนใจมาร่วมชมกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

ผู้กำกับ กีวี โชว์

หนังเรื่องนี้มีความยาวถึง 152 นาที แต่ตั้งแต่ฉากแรกๆ ที่อังกฤษส่งมอบเกาะฮ่องกงให้กับทางการจีนเมื่อปี 1997 กระทั่งถึงบรรทัดสุดท้ายของ end credit ที่ไม่อาจเปิดเผยข้อมูลผู้เกี่ยวข้องอะไรมากได้ ผู้ชมทั้งห้องจัดฉายเกือบทั้งหมดอยู่ในอาการเงียบกริบ โดยมีเสียงเฮือกแสดงความตกใจต่อภาพความรุนแรง เสียงร้องไห้ในช่วงสะเทือนใจ และเสียงสบถในช่วงที่ทนรับไม่ไหวจริงๆ ต่อภาพที่เห็น แทรกเข้ามาตามแต่ละจังหวะ กับรายละเอียดคลิปภาพที่หลายๆ ส่วนก็ยังไม่เคยเปิดเผยให้เห็นจากสื่อกระแสหลัก ซึ่งผู้กำกับกีวี โชว์ ได้นำฟุตเตจต่างๆ ที่ฝ่ายผู้ชุมนุมและผู้สื่อข่าวได้ถ่ายบันทึกไว้ มาร้อยเรียงลำดับไล่เหตุการณ์เป็นบทๆ รวมทั้งสิ้นเก้าบท ซึ่งแต่ละบทนั้นก็ล้วนแล้วแต่หนักหน่วงและชวนสลดไม่แพ้กัน

เริ่มตั้งแต่การรวมตัวกันของผู้คนบนท้องถนนเพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลอย่างสงบตามวิถีประชาธิปไตย ใช้สัญลักษณ์ของเครื่องแต่งกายชุดดำ พร้อมเสื้อกันฝนและหมวกนิรภัยสีเหลืองสด ซึ่งเมื่อปรากฏว่ามีประชาชนที่ทนต่อการเพิกเฉยของฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ออกมาแสดงเสรีภาพกันอย่างเนืองแน่นมากมาย จนไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะเห็นมวลชนผู้ร่วมชุมนุม รัฐบาลจึงต้องอาศัยไม้แข็งระดมเจ้าหน้าที่ใช้ทั้งแก๊สน้ำตา รถฉีดน้ำ ไปจนถึงอาวุธหนักเบาตั้งแต่ไม้กระบองจนถึงกระบอกปืน เพื่อขับไล่ประชาชนผู้ไร้อาวุธ หากจุดเริ่มต้นของการปะทะกันมิได้สร้างความวิตกตื่นกลัวต่อชาวฮ่องกงแม้แต่น้อย พวกเขากลับค่อยๆ รวมตัวกันมากขึ้นๆ แสดงพลังเพื่อกระตุ้นให้ แคร์รี แลม (Carrie Lam) ผู้บริหารสูงสุดหันมาฟังว่าเธอควรจะเคารพเสียงของใครเป็นใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อประชาชนกำลังไม่พอใจในสิ่งที่เธอใช้อำนาจบาตรใหญ่มาย่ำยีเจตนารมณ์ของพวกเขา การประท้วงทวีความรุนแรงเมื่อเริ่มมีผู้สละชีวิตฆ่าตัวตายพร้อมจดหมายลาตายโดยใช้ลมหายใจสุดท้ายในการยื่นข้อเรียกร้อง หากรัฐบาลก็ยังคงเป็นทองไม่รู้ร้อนย้อนด้วยท่าทีเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ความไม่พอใจของผู้คนชาวฮ่องกงจึงลุกโชนไปทั่วเกาะนำไปสู่การชุมนุมที่ต้องเจอกับการปะทะปะทั่งด้วยความรุนแรงมากขึ้นๆ

เมื่อเหล่าผู้ใหญ่วัยชราเห็นว่าฝ่ายรัฐบาลกำลังข่มเหงเหล่าเยาวชนและคนหนุ่มสาวที่เรียกร้องกันอย่างสันติด้วยวิธีอันโหดเหี้ยมรุนแรง พวกเขาจึงรวมตัวกันกุมมือยื้อการต่อสู้ด้วยการขอเป็นด่านหน้า ถ้าจะฆ่าจะแกงกันก็ต้องผ่านศพพวกกูไปให้ได้ก่อน พวกมึงไม่มีสิทธิ์รังแกประชาชนวัยละอ่อนเหล่านี้แม้แต่ชีวิตเดียว แต่คิดหรือว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่จะมีความเกรงอกเกรงใจกลุ่มผู้ชุมนุมระดับ สว. สูงวัยเหล่านี้ มีอาวุธอะไรในมือจึงถือวิสาสะทลายอุดมการณ์ความกล้าหาญของวิญญาณนักสู้ผู้ชราเหล่านี้จนต้องล้มลงไปกอง ฝ่ายน้องๆ เยาวชนก็ไม่อาจจะทนนิ่งเฉยได้ไหว แล้วอย่าคิดเชียวว่าเป็นแค่นักเรียนระดับชั้นมัธยมปลายจะไปรู้เรื่องรู้ราวอะไร เพราะพวกเขาล้วนรู้ลึกเท่าทันกลเกมอันสกปรกของพวกผู้ใหญ่ที่ใช้อำนาจปกครอง จนต้องออกมาทำหน้าที่เป็นหน่วยปฐมพยาบาลอาสา คอยเยียวยาบาดแผลผู้ชุมนุมจากการถูกทำร้าย โดยไม่ได้นึกหวาดกลัวเลย และเมื่อพวกเขาได้ข่าวว่ามีการปะทะกันเกิดขึ้น ณ สถานีรถไฟใต้ดิน แต่เจ้าหน้าที่ตัดสินใจตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการกั้นปิดรั้วสถานี ต่อให้ฝ่ายปฐมพยาบาลจะมีป้ายแจ้งข้อกฎหมายว่า ผู้ชุมนุมมีสิทธิ์ได้รับการรักษาพยาบาลโดยทันทีตามหลักมนุษยชนสากล แต่พวกเขาก็ทำตนเหมือนคนไม่รู้หนังสือ คือ ‘นายสั่งมา’ ให้พวกข้าพเจ้าทำเช่นนี้ เราก็ต้องมีวินัยในการปฏิบัติตามคำสั่งมิใช่หรือ

และช่วงที่เกิดการปะทะปะทังลุกฮือจนผู้บริสุทธิ์เลือดตกยางออกอาบสถานีก็เกิดขึ้นที่โถงทางเข้าของรถไฟใต้ดินนี้เอง เมื่อนักข่าวสาว เกวนเนธ โฮ (Gwyneth Ho) กำลังถ่ายสอดสดบรรยากาศการปะทะกันแบบออนไลน์ เห็นชายไม่ทราบกลุ่มสวมชุดขาวดูมีพิรุธยื้อยุดจ้องโจมตีผู้ร่วมชุมนุมที่กำลังจะเข้าไปโดยสารรถไฟ แล้วพุ่งเข้ามาทำร้ายเธอและตากล้องจนไม่อาจมองอะไรเห็น ราวเป็นกลุ่มคนที่ฝ่ายรัฐบาลจ้างมาปราบปรามสร้างความวุ่นวาย โดยจับมือใครดมไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นฝ่ายไหน แต่การที่บรรดาตำรวจนิ่งดูดายไม่ยอมทำอะไร จะให้เราคิดไปในทางใดนอกเหนือจากว่าตำรวจไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกันกับผองประชาชน!

แต่นั่นก็ไม่ชวนให้หดหู่เท่าการปะทะกันอย่างรุนแรงบนท้องถนน เมื่อเหล่าเจ้าหน้าที่ปราบปรามใช้อาวุธกระสุนปืนในการจี้ทำร้ายประชาชน ภาพที่พวกเขาใช้กำลังข่มขู่ผู้ชุมนุมที่ไร้หนทางสู้ ตวาดด่าทอแบบคนบ้าอำนาจ ยิงกราดโดยไม่ใส่ใจว่าจะมีลูกหลงไปเฉี่ยวโดนใคร ๆ ใช้รองเท้าท็อปบูตกระทืบหัวผู้ชุมนุมกับพื้นถนน ไปจนถึงเหนี่ยวไกใส่ร่างเยาวชนกันกลางทางแยกในระยะประชิด ซึ่งล้วนเป็นพฤติกรรมที่ไม่ผิดกับโจรป่าอนารยะ เมื่อคณะผู้พิทักษ์สันติราษฏร์จะเล็งกวาดปากกระบอกปืนเข้าหาประชาชนจนไม่อาจเป็นที่พึ่งใดๆ ได้ต่อไป ล้วนเป็นภาพที่ร้ายจิตใจได้อย่างโหดร้าย ชวนให้นับถือในศรัทธาอันแรงกล้าของมหาชนชาวฮ่องกงว่าพวกเขาจะต้องเข้มแข็งและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขนาดไหน เมื่อศัตรูหมายเลขหนึ่งกลับกลายเป็นเจ้าหน้าที่จากฝั่งรัฐบาลเสียเอง!

เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย ฝ่ายประชาชนจะต้องช่วยกันทุกวิถีทาง ทั้งการพัฒนาแอพลิเคชั่นแผนที่เฝ้าระวังและตั้งจุดโจมตีเพื่อต่อกรกับตำรวจ การจัดรถบริการรับส่งผู้ร่วมชุมนุม การสุมหัวกันผลิตอาวุธ ทั้งระเบิดขวดโมโลตอฟ ค็อคเทลและปางธนู สู้กับอาวุธที่ใช้เงินภาษีของพวกเขาจัดซื้อหามา การปะทะกันเริ่มพัฒนาจนเกิดเป็นสงครามกลางเมือง ทั้งที่มหาวิทยาลัยแห่งฮ่องกง (University of Hong Kong) และมหาวิทยาลัยโพลีเทคนิค (Polytechnic University) เมื่อกลุ่มนักศึกษาอาศัยสถาบันแหล่งศึกษามาเป็นฐานทัพในการรับมือกับกองตำรวจ กระทั่งโดนปิดล้อม ไม่สามารถหาทางออกใดๆ ได้ และต้องหลบหนีผ่านท่อระบายน้ำที่ทั้งคับแคบ อันตราย และสกปรก แล้วผู้ชมจะได้ยินได้ฟังข้อความเสียงที่น่าตกใจ ว่าพวกเขาบางคนไม่สามารถหาทางออกมาได้เพราะเจอทางตัน และคงต้องจบชีวิตอย่างน่าเวทนาอยู่ในนั้นก่อนจะถึงวัยอันควร!

การประมวลเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของฮ่องกงในสารคดีเรื่อง Revolution of Our Times นี้ จึงแทบจะไม่มีภาพที่สร้างสรรค์จรรโลงหัวจิตหัวใจเลยเกือบตลอดความยาวสองชั่วโมงครึ่งของมัน แต่ความรู้สึกอันล้ำค่ามากๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นผู้ชมชาติใดน่าจะสัมผัสได้อย่างประจักษ์จากสารคดีเรื่องนี้ก็คือ ความรักและหวงแหนเสรีภาพตามวิถีประชาธิปไตยของชาวฮ่องกงอันแสนยิ่งใหญ่ ที่ต้องป่าวประกาศให้โลกรู้ว่าผืนแผ่นดินแดนนี้แท้แล้วเป็นของใคร และไม่ว่าจะหน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะฉกยึดอุดมการณ์เสรีอันบริสุทธิ์นี้ไปจากหัวใจของพวกเขาได้ ต่อให้ตัวตายก็จะไม่ยอมค้อมหัวให้ใคร เพราะอำนาจที่ยิ่งใหญ่เหนือรัฐทั้งหลายมันย่อมต้องมาจากผอง ‘ประชาชน’

และเมื่อหนังเล่ามาจนถึงตอนสุดท้าย และปิดฉากด้วยการฉายมิวสิควิดีโอเพลงชาติของเหล่าผู้ชุมนุมประท้วงชื่อ Glory to Hong Kong มันจึงกลายเป็นบทเพลงที่แสนจะไพเราะเคาะจังหวะขานทำนองและเนื้อร้องของการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยในฮ่องกงครั้งนี้ได้อย่างดี ไม่น่าแปลกใจที่การฉายในค่ำคืนนั้น ผู้ชมชาวฮ่องกงจะสามารถร้องตามถ้อยคำทำนองของบทเพลงนี้ได้อย่างภาคภูมิใจ ปิดท้ายราตรีที่เราทุกคนจะได้อิ่มเอมไปกับวีรกรรมในหนหลังที่จะยังตรึงอยู่ในความทรงจำไปชั่วรุ่นลูกรุ่นหลาน ซึ่ง ‘ภาพยนตร์’ ของผู้กำกับกีวี โชว์ ก็ได้ทำหน้าที่สำคัญในการเป็น ‘สื่อสารมวลชน’ บันทึกทุกความโกลาหลอลหม่านผ่านเจตนารมณ์ในการถ่ายทอด ‘ความจริง’ ที่เคยเกิดขึ้นผ่านงาน ‘สารคดี’ ที่จะมีอายุยั่งยืนยาว เป็น ‘ข่าว’ ที่ไม่มีวัน ‘เก่า’ ให้คนรุ่นหลังได้กลับนั่งมาดูว่าชาวฮ่องกงเขาช่างเป็น ‘นักต่อสู้’ เพื่อประชาธิปไตย ที่แข็งแกร่งไม่แพ้ชนชาติไหนในโลกนี้เลยจริง ๆ!

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

22 Feb 2022

คราฟต์เบียร์และความเหลื่อมล้ำ

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ เขียนถึงอุตสาหกรรมเบียร์ไทย ที่ผู้ประกอบการคราฟต์เบียร์รายเล็กไม่อาจเติบโตได้ เพราะติดล็อกข้อกฎหมาย และกลุ่มทุนที่ผูกขาด ทั้งที่มีศักยภาพ

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

22 Feb 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save