การอ่านเชิงกลยุทธ์

ระหว่างคุมสอบวันนี้มีนิสิตเก่าส่งความเห็นแนวทางจัดการความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชามาให้พิจารณา ๒ แบบ เพื่อขอความเห็นจากคนที่เคยสอนการเจรจาระหว่างประเทศ

แนวทางแบบแรก ที่เขายกมาถาม อาจสรุปด้วยคำกล่าวของ Georges Clemenceau รัฐบุรุษฝรั่งเศสในสมัยมหาสงคราม ว่า “War is too serious a business to be left to military men.”

แนวทางนโยบายแบบที่สอง เป็นแนวทางที่ผู้เสนอสนับสนุนการดำเนินการแบบผ่อนปรน เพื่อลดระดับความขัดแย้งให้เอื้อต่อบรรยากาศการเจรจาสำหรับเป็นหนทางแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ซึ่งมีนักวิชาการไม่น้อยที่สนับสนุนแนวทางนี้ โดยเฉพาะฝ่ายที่ไม่ชอบพลังกดดันจากชาตินิยมในการดำเนินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคง ในขณะที่แนวทางแรก เข้าใจจากผู้ถามว่า เป็นปฏิกิริยาต่อแนวทางของรัฐบาลใหม่ที่ได้มอบการดูแลความมั่นคงชายแดนให้กองทัพเป็นผู้รับผิดชอบหลัก

ท่านผู้ถามเคยเรียนการเจรจาและเล่นสถานการณ์จำลองมากับข้าพเจ้า บางสถานการณ์ที่เล่นกันมาในชั้น ก็เคยโดน “ผู้เล่น” ในสถานการณ์หลอกล่อรอบแล้วรอบเล่า จนกระทั่งหมดตัว เขาจึงทราบว่า คนสอนมองการเจรจาเป็นแต่เพียงเครื่องมือประเภทหนึ่ง ที่ถ้าขาดส่วนสำคัญทางกลยุทธ์และการวิเคราะห์สถานการณ์ยุทธศาสตร์ไปเสียแล้ว เครื่องมือนี้จะใช้ไม่ได้ผล

ในการใช้เครื่องมือการเจรจา ถ้าหากคนเล่นพิจารณาสถานการณ์ “สงคราม” หรือสถานการณ์ยุทธศาสตร์ตรงหน้า แล้วมองไม่ออกว่า ปัญหาถูกผูกไว้แบบไหน แต่ละฝ่ายขึ้นต่อกันอยู่อย่างไร มองไม่เห็นว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ อะไรที่เป็นปัญหา กระทบต่อผลประโยชน์ด้านไหนของเรา และในการแก้ปัญหา ควรกำหนดอะไรเป็นเป้าหมาย การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวมีอะไรเป็นอุปสรรค อุปสรรคในโครงสร้างสถานการณ์หรืออุปสรรคในความสัมพันธ์ที่ขัดขวางไว้ แล้วจะร่วมมือกับฝ่ายตรงข้ามได้หรือไม่ หรือใครกันแน่คือฝ่ายตรงข้ามกับเรา ถ้ายังมองไม่ออก ยังตอบไม่ได้ความกระจ่าง เจรจาไป ก็ป่วยการ ไม่ได้ผลสำเร็จอันใด

การแก้ปัญหาความขัดแย้งจึงมิได้มิแต่เพียงการมุ่งลดความขัดแย้งเพื่อมาเจรจา แต่ส่วนสำคัญอยู่ที่การมองหาวิธีจัดการความขัดแย้ง ซึ่งอาจรวมถึงใช้การเจรจาเป็นหนึ่งในเครื่องมือแก้ปัญหาที่กระทบต่อผลประโยชน์ของเรา และใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น ๆ แต่จะใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างไร เช่น จะออกแบบการเจรจามากน้อยหนักเบาในทางถอยทางรุกอย่างไร ขึ้นอยู่กับเป้าหมายยุทธศาสตร์ที่ต้องการบรรลุ และกลยุทธ์ที่เลือกมาดำเนินการไปสู่เป้าหมายเป็นตัวตั้ง

เมื่อคุยกับเขาแล้ว จึงคิดว่าน่ารวบรวมประเด็นที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาเรื่องเชิงกลยุทธ์มาไว้ด้วยกัน โดยลดส่วนที่เป็นความรู้สายมืดลงไป เพื่อให้เหมาะกับการแบ่งปันความเห็นในวงกว้าง

ส่วนที่รวบรวมมานี้ได้รับอิทธิพลมาจากความคิดยุทธศาสตร์ของ John Boyd ผสมกับของซุนวู (Boyd เป็นคนเสนอการผสมผสานนี้ออกมา) ส่วนตัวอย่างในตอนท้ายเป็นข้าพเจ้าที่ยกมาจากตำนานปกรณัมอันเป็นรู้จักกันดี นำมาบันทึกทดไว้ที่นี่ สำหรับใช้ประกอบการเรียนกลยุทธ์ทางการเมืองที่ข้าพเจ้าขยายต่อทางจาก Harold Lasswell ในหนังสือ Politics: Who Gets What, When, How อันเป็นตำราสำคัญที่สุดเล่มหนึ่งของรัฐศาสตร์ ศตวรรษที่ 20

บันทึกนี้ให้ชื่อว่า การจัดยุทธศาสตร์แบบผสม (mixed strategy) ในโลกที่กลายเป็นแบบลูกผสม (hybrid)

1. การทำความเข้าใจนัยสำคัญของวงจร OODA Loop:

John Boyd (1927 – 1997) เสนอกรอบ OODA Loop เป็นรากฐานของการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ และเป็นตัวกำหนดความเหนือกว่าหรือการจะเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามได้ การทำความเข้าใจยุทธศาสตร์การแข่งขัน หรือสงครามการรบ ต้องเริ่มต้นที่ วงจร OODA Loop ของ John Boyd ซึ่งเป็นกระบวนการพื้นฐานของการตัดสินใจ

  • O: Observe (สังเกตการณ์): คือการรวบรวมข้อมูลอย่างครบถ้วนและรวดเร็วที่สุด
  • O: Orient (วางแนวทาง): คือการนำข้อมูลมาตีความและประเมินสถานการณ์อย่างแม่นยำที่สุด
  • D: Decide (ตัดสินใจ): คือการเลือกแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
  • A: Act (ลงมือปฏิบัติ): คือการลงมือทำตามการตัดสินใจนั้นอย่างทันการณ์และทันกาล ในวงจรที่รวดเร็วกว่าการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม

ความสำคัญของวงจรนี้คือ ความเร็วในการหมุน และ คุณภาพของขั้นตอน Orient ซึ่งคือการประเมินสถานการณ์ หากเราสามารถหมุนวงจรนี้ได้เร็วกว่าคู่ต่อสู้ และประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้องกว่า เราก็จะสามารถช่วงชิงความคิดริเริ่มและควบคุมสถานการณ์ได้

2. การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างกลยุทธ์บริสุทธิ์ (pure strategies) กับกลยุทธ์ผสมผสาน (mixed strategy) และความสำคัญของ การแปรกลยุทธ์บริสุทธิ์มาเป็นกลยุทธ์ผสมผสาน

ในการจัดการความขัดแย้ง เรามี กลยุทธ์บริสุทธิ์ (pure strategies) เป็นตัวเลือกพื้นฐาน เช่น ถ้าท่านเรียนวิชาว่าด้วยความขัดแย้ง ท่านจะทราบว่าแนวทางจัดการความขัดแย้งแบ่งจำแนกแนวทางได้เป็น ๕ แนวทางใหญ่ แนวทางเหล่านี้ คือ pure strategies ได้แก่ competing (ช่วงชิงแข่งขัน) collaborating (ร่วมมือร่วมกัน) compromising (ต่างฝ่ายต่างหันมาประนีประนอม) avoiding (หลีกเลี่ยง) และ accommodating (ยอมโอนอ่อนผ่อนปรน) ดังภาพ

นอกจากรายการนี้ คนเรียน IR จะทราบว่ายังอีกแนวทางหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้กำลัง ที่ควรกล่าวถึงคือ fight (สู้) coerce (ใช้กำลังบีบบังคับ) deter (ป้องปราม) และ defend (ป้องกัน)

การใช้กลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่งเพียงอย่างเดียว (เช่น การโอนอ่อนผ่อนปรนทุกครั้ง หรือดำเนินการตามบรรทัดฐานขององค์การระหว่างประเทศ เช่น avoiding คือเก็บเรื่องที่ขัดแย้งยังตกลงกันไม่ได้ขึ้นหิ้งไว้ หันมาร่วมมือกัน collaborating ในเรื่องที่ร่วมมือกันได้) จะทำให้แนวทางของเราถูกคาดการณ์ได้ง่าย และฝ่ายตรงข้ามที่ดำเนินการแบบกลยุทธ์ก็สามารถใช้การดำเนินการตามแบบแผนของเรามาเอาเปรียบ หรือรุกเข้ามาขยายได้คืบเอาศอกได้เรื่อย ๆ

เช่น สมมุติในเกมเป่ายิ้งฉุบ อีกฝ่ายทราบหรือคาดการณ์ได้ค่อนข้างแน่ว่า อย่างไรเสีย ทุกตาที่เล่น เดี๋ยวเราก็ต้องออกกระดาษ เขาก็จะไม่เล่นค้อนกับเรา แต่เลือกกรรไกรในแบบนั้นแบบนี้ออกมาเล่นกับเราเสมอ เพราะความที่เขาเดาทางเราได้ มองวิธีคิดคาดการณ์แนวทางดำเนินการของเราออก

ดังนั้น การดำเนินยุทธศาสตร์ที่ดี Harold Lasswell จึงย้ำว่า ต้องอาศัย การใช้กลยุทธ์ผสมผสาน (mixed strategy) ที่นำกลยุทธ์บริสุทธิ์เหล่านี้มาใช้สลับกันอย่างชาญฉลาด เพื่อสร้างความไม่แน่นอนและทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถคาดเดาเจตนาที่แท้จริงได้ ซึ่งการตัดสินใจในระดับนี้ต้องมาก่อนการเลือกใช้เครื่องมือ เช่น การเจรจา การกดดันทางเศรษฐกิจ หรือการใช้กำลังทหาร

3. กรอบแนวคิด เจิ้ง และ ฉี ของซุนวู ซึ่งบอยด์ปรับมาใช้ผสมกับการจัดการต่อ OODA Loop ของฝ่ายตรงข้าม

ในการกำหนด กลยุทธ์ผสมผสาน นอกเหนือจากการผสมผสานใช้กลยุทธ์บริสุทธิ์ในรูปแบบพลิกแพลงต่าง ๆ กันอย่างเหมาะสมกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ และให้ยากต่อฝ่ายตรงข้ามที่จะรู้ทาง/ดักทางเราได้ง่ายแล้ว บอยด์ยังเสนอให้เราพิจารณาเลือกจัดกลยุทธ์ผสมด้วยกรอบคิดของซุนวู:

* เจิ้ง (正): คือการดำเนินการแบบ ตรงไปตรงมา หรือเป็นไปตามแบบแผน (เช่น การเจรจาอย่างเป็นทางการ, การแสดงกำลังทางทหาร อย่างตรงไปตรงมา)

* ฉี (奇): คือการดำเนินการแบบ ไม่ตรงไปตรงมา หรือแหวกแนว ที่ทำให้คาดไม่ถึง คาดเดาได้ยาก (เช่น การใช้ The threat that leaves something to chance ของ Thomas C. Schelling, การทำสงครามข้อมูล, การใช้ความร่วมมือและการพึ่งพากันเป็นอาวุธ)

หัวใจสำคัญในการใช้กลยุทธ์แบบ เจิ้ง คือใช้การดำเนินการแบบตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะแบบเหยี่ยว (กดดันทางทหารตามแนวชายแดน) หรือแบบพิราบ (เปิดให้คณะผู้ตรวจการจากประเทศที่ ๓ หรือตัวแทนขององค์การะหว่างประเทศเข้าสำรวจพื้นที่ชายแดน) เป็นฉากหน้าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคู่ต่อสู้ และใช้ ฉี เพื่อโจมตีในจุดที่พวกเขาไม่ทันได้ระวัง หรือตั้งตัวไม่ทัน ซึ่งจะทำให้วงจร OODA Loop ของพวกเขาทำงานผิดพลาด

4. กรณีศึกษา: จากมหากาพย์สู่การทหาร

จากความเข้าใจของข้าพเจ้าต่อข้อเสนอในแนวคิดยุทธศาสตร์ของ Boyd (บอยด์เป็นนายทหารอากาศขับเครื่องบินรบมาก่อนที่จะผันตัวมาเป็นนักคิดทางยุทธศาสตร์ ความคิดทางยุทธศาสตร์ของเขาที่เป็นรู้จักกันในแวดวงยุทธศาสตร์ศึกษาในสหรัฐฯ Lawrence Freedman อุทิศบทหนึ่งในหนังสือ Strategy ให้ OODA Loop ของบอยด์)

ภาพปกหนังสือ Strategy: A History ของ Lawrence Freedman

  ภาพปกหนังสือ Strategy: A History ของ Lawrence Freedman

กลยุทธ์ม้าไม้เมืองทรอย: ตัวอย่างคลาสสิกของการใช้ ฉี ในเชิงรุก

การสร้างม้าไม้เป็นกลยุทธ์ที่ตรงข้ามกับสามัญสำนึกของการรบ (มอบของขวัญให้ศัตรู) ซึ่งในที่สุดก็สามารถหลอกล่อให้ฝ่ายตรงข้ามเชื่อได้ และสามารถทำลายเมืองได้อย่างเบ็ดเสร็จ

การต่อสู้ในรามายณะ และมหาภารตยุทธ:

ข้าพเจ้าอยากเสนอให้ท่านสังเกตเปรียบเทียบแนวทางกลยุทธ์ของพระรามกับของพระกฤษณะ อวตาร ๒ ปางของพระวิษณุมีบุคลิกทางกลยุทธ์แตกต่างกันอย่างน่าสังเกต ข้าพเจ้าตีความความแตกต่างนี้ว่าเป็นผลของสภาพแวดล้อมในแต่ละ “ยุค” กล่าวคือ พระรามเป็นคนของไตรดายุค ในขณะที่พระกฤษณะ เป็นคนของปลายทวาปรยุคที่กำลังจะเคลื่อนเข้าหากลียุค สภาพแวดล้อมทางความดีความชั่วยังแบ่งได้ชัดเจนในไตรดาหรือเตรตายุค ที่คุณธรรมความดียังเหลือ ๓ใน ๔ ส่วน ในขณะที่โลกต้นกลียุคนั้น ความดีเริ่มลดน้อยถอยลงมาเรื่อย ๆ จนยากจะลากเส้นแบ่งว่าใครดีดี๊ดี ใครเลวเล้วเลวอย่างบริสุทธิ์ได้

ข้าพเจ้าสังเกตว่า ในรามายณะ ซึ่งเป็นเรื่องราวอวตารของพระวิษณุในเตรตายุคที่ความดีงามยังมีอยู่มาก (๓ใน ๔ ส่วน) สังเกตได้ว่าพระรามดำเนินกลยุทธ์แบบ เจิ้ง เป็นหลัก

ส่วนพระกฤษณะท่านมาช่วยอรชุนในศึกมหาภารตยุทธ ซึ่งเป็นเป็นเรื่องราวในปลายทวาปรยุคก่อนที่จะเปลี่ยนเข้าสู่กลียุคที่ความดีความชั่วซับซ้อนแยกแยะดีออกจากชั่วได้ยากกว่า สังเกตได้ว่า อวตารปางนี้ของพระวิษณุ ท่านตั้งใจลงมาเป็นนักวางแผนกลยุทธ์ เป็นกุนซือ

และแนวทางกลยุทธ์ของพระกฤษณะก็ชัดเจนสำหรับคนศึกษามหาภารตยุทธว่า เป็นการดำเนินกลยุทธ์แบบ ผสมผสาน โดยท่านชำนาญทั้ง เจิ้ง และ ฉี และสนับสนุนให้พี่น้องปาณฑพใช้กลยุทธ์ทั้ง ๒ แบบผสมผสานกัน ดังตัวอย่างอันเป็นที่รู้จักกันดี:

๑) กลยุทธ์ ฉี เพื่อโจมตี: การใช้ข่าวปลอมของยุธิษฐิระในเรื่องการตายของ “อัศวัตถามา” เพื่อทำลายขวัญและวงจร OODA Loop ของโทรณาจารย์ ซึ่งเป็นผู้นำทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของฝ่ายตรงข้าม การ ”เสียศูนย์“ (disorient) ของโทรณาจารย์เมื่อเข้าใจว่า”อัศวัตถามา“ ที่ตายคือบุตรชายของตน เป็นจุดเริ่มต้นในความพ่ายแพ้ของฝ่ายเการพ

๒) กลยุทธ์ ฉี เพื่อป้องกัน: การทำให้อาวุธทำลายล้างสูงต้องหมดสภาพในประหัตประหารไปและไม่อาจนำมาใช้ได้อีก ด้วยการยอมจำนน ไม่สู้ นั่นคือ คำแนะนำของพระกฤษณะให้กองทัพของฝ่ายปาณฑพยอมจำนนต่อศรนารายณ์อัสตระ ซึ่งเป็นอาวุธทำลายล้างที่ไม่อาจต่อต้านได้ด้วยกำลัง นี่คือสุดยอดของกลยุทธ์ ฉี ในการพลิกเกมด้วยการกระทำที่ตรงข้ามกับสามัญสำนึก และตรงข้ามกับความคาดหวังของอัศวัตถามา ซึ่งเป็นผู้ใช้อาวุธที่พระวิษณุประทานมาให้ ในท้ายที่สุด พระกฤษณะยังปราบอัศวัตถามา ผู้เก่งกาจ ด้วยการใช้วิธีการแบบฉี นั่นคือ การมอบความไม่ตาย (จีรังชีวี) เป็นคำสาปอัศวัตถามา จนถึงเวลานี้ เขาก็ยังคงเร่ร่อนไปทั่วปฐพีโดยไม่มีใครรู้จักจนกว่าจะถึงวันสิ้นโลก

(อนึ่ง ท่านอาจนึกสงสัยและตั้งข้อกังขาต่อพระกฤษณะ ที่ใช้ insider information ในนารายณ์อัสตระ มาเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายที่ท่านอยากช่วย แต่ข้าพเจ้ามีความนอบน้อมต่อพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งปวง ขอเลือกในทางไม่มีความกังขาใด ๆ ต่อความถูกต้องในการใช้กลยุทธ์แบบฉีผสมเจิ้งของพระกฤษณะ)

ขอสรุปปิดท้ายบันทึกนี้ด้วยบทเรียนสำคัญจากคัมภีร์มหาภารตะ : การที่อรชุนเลือกพระกฤษณะ ซึ่งผู้ชำนาญการวางแผนกลยุทธ์ แทนการเลือกกำลังทหาร กำลังรบมหาศาลที่อยู่ในความครอบครองของพระกฤษณะ สะท้อนถึงความสำคัญของการคิดเชิงยุทธศาสตร์ที่มีเหนือกว่าการครองสมรรถนะที่เป็นแต่เพียงเครื่องมือ

…………………………………………………………………………………………..

นิสิตเก่าที่ส่งประเด็นมาขอความเห็น ถามปิดท้ายว่า “ดังนั้น ข้อเสนอ 2 แบบข้างต้นที่ผมยกมาถามอาจารย์ เราจัดเป็น pure strategic principles ที่ต้องนำไปคิดและใช้ต่อในแบบผสมผสานออกมาเป็น mixed strategy อย่างนั้นใช่ไหมครับ”

ใช่แล้วครับ

กลยุทธ์ผสมผสานจาก pure principles และแนวทางเจิ้งกับฉีทั้งหมดนั้นต้อง improvise ให้เหมาะกับสถานการณ์ เหมือนกับที่คุณเฉลียวใจขึ้นมาในการเล่นสถานการณ์จำลองในชั้นเรียนที่ผ่านไปหลายตาแล้วนั่นแหละครับว่า ใครกันแน่คือฝ่ายตรงข้าม ดังนั้น พอตระหนักแล้ว คุณก็รู้ว่า ในโครงสร้างสถานการณ์แบบนั้น เราจะเล่นกลยุทธ์บริสุทธิ์แบบตรงไปตรงมาตามที่กฎกติกากำหนดเป็นทางเลือกทางเล่นมาไม่ได้ เล่นไปแบบนั้น ก็มีแต่จะหมดตัว แต่ถึงจะเฉลียวใจแล้ว ถ้าหาทางออกไม่พบ หา formula มาตั้งประเด็นตั้งข้อเสนอในการเจรจาไม่ได้ การเจรจากี่รอบเท่าไร ก็ไม่เป็นผล ใช่ไหมครับ

และเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว อย่าเอาความลับของ “สงคราม” ไปบอกน้อง ๆ นะครับ ให้ถือเสมือนว่า insider information ในเกม เป็นความลับของพระผู้เป็นเจ้า

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save