อ่านงานวิจัยระบบสุขภาพใน 101 เรื่อง ‘ผู้รักษาทางสังคม’ สำหรับระบบดูแลผู้ป่วยจิตเวช และ ‘รักษามะเร็งที่ไหนก็ได้’ สำหรับระบบดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ก็อดชื่นชมและให้กำลังใจผู้วิจัยมิได้เพราะที่เขียนมาทั้งหมดนั้นเป็นการคิดเหนือกรอบมิใช่แค่นอกกรอบ เชื่อว่ามีคนไม่มากนักจะอ่านจนจบเหตุเพราะมันยากด้วย มิใช่แค่เหนือกรอบเท่านั้น
ผู้วิจัยมิได้เขียนเอาเอง มีกรอบอ้างอิงจากงานของประเทศพัฒนาแล้วและเข้าใจว่ามีการดำเนินการไปเป็นตัวอย่างบ้างแล้วด้วย อย่างไรก็ตามก็อดเป็นห่วงมิได้ด้วยเหตุผลเดิมๆ นั่นคือราชการของเราใหญ่ เอื่อย เฉื่อย และเหนื่อยเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไร ไม่นับว่าตราบใดที่โครงสร้างการรวมศูนย์ยังแข็งแกร่งอยู่ หน่วยปฏิบัติจะทำอะไรไม่ได้
ตอนที่ผมรับราชการ ผมเคยพยายามพูดเรื่อง ‘ผู้รักษาทางสังคม’ สำหรับผู้ป่วยจิตเวชในที่ประชุมหนึ่ง ดูเหมือนเป็นคนบ้าไปเลย
สำหรับเรื่องผู้ป่วยมะเร็งวันนี้ ทุกคนที่ผมรู้จักเดินทางไปรักษาที่โรงเรียนแพทย์กันทั้งนั้น มากที่สุดคือเชียงใหม่ ศิริราช รามาธิบดี และจุฬาฯ นึกถึงความทรหดของการเดินทางของแต่ละท่านแล้วก็อดนับถือมิได้
ข้อเขียนชุด ‘กระจายอำนาจคือคำตอบ‘ นี้ตั้งใจเล่าประสบการณ์ส่วนตัวเป็นสารตั้งต้น กล่าวคือในสถานะประชาชนชั้นกลางที่ไม่มีความรู้เรื่องการปกครองแจ่มแจ้งนัก เราอยากได้อะไร ที่จริงแล้วชีวิตของเราควรดีกว่านี้ได้หรือเปล่า
เดือนที่ผ่านมาผมเข้าโรงพยาบาลสองครั้ง ครั้งแรกเป็นโรงพยาบาลรัฐ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ได้ใส่ชุดผู้ป่วย แขนข้างหนึ่งคาเข็มไว้ที่เส้นเลือดดำ เดินจากหน้าโรงพยาบาลไปจนถึงหลังโรงพยาบาลเพื่อตรวจรักษา มีภรรยาช่วยถือใบคำสั่งแพทย์เดินเคียงข้างเป็นขวัญกำลังใจ ชวนให้นึกถึงตลอดชีวิตที่รับราชการ ได้เห็นผู้ป่วยเดินลากเสาน้ำเกลือด้วยมือหนึ่ง ถือชาร์จผู้ป่วยในด้วยอีกมือหนึ่ง ค่อยๆ เดินไปตามทางเดินลักษณะนี้ทุกๆ วัน เห็นจนชินตาและชินใจไม่รับรู้ว่าเขาควรรู้สึกอย่างไร จนกระทั่งวันนี้รู้แล้วว่าเขารู้สึกอย่างไร
เวลานั้นมีบางครั้งที่เราเห็นเลือดไหลย้อนทางน้ำเกลือลงพื้นหยดติ๋งๆ คาดว่าน่าจะเป็นความสะเพร่าของผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยเอง แต่ก็อย่างว่าพวกเขามิได้เรียนมา ไม่มีเจ้าหน้าที่ไปด้วย เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าต้องดูแลแขนตัวเองและเข็มที่เสียบเนื้อคาอยู่อย่างไรมิให้เลือดไหลย้อนทาง งานเล็กๆ แบบนี้ต้องการพยาบาลวิชาชีพที่เรียนจบอย่างมีประสิทธิภาพ กรุณาคิดให้ดีก่อนที่จะเร่งผลิต
เรามีพนักงานเปลและล้อเข็นไม่พอ ไม่เคยพอ และไม่น่าจะมีวันพอ ด้วยเหตุผลที่เดาได้ คืองบประมาณไม่พอ ค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ระดับนี้ต่ำมาก งานหนักมาก สวัสดิการไม่มาก ไม่นับเรื่องวัฒนธรรมชนชั้นในสถานที่ทำงานของบ้านเรา ทั้งที่บุคลากรคนนี้เป็นคนสำคัญมากในการนำส่งผู้ป่วยไปตามจุดต่างๆ ในโรงพยาบาลอย่างปลอดภัย ส่งดีผู้ป่วยใจดี ส่งไม่ดีผู้ป่วยเจ็บตัว ไม่ส่งเลยก็เดินไปกันเอง เข็นไปกันเอง
ด้วยเหตุที่คิวรักษาขั้นต่อไปยาว ในที่สุดภรรยาและลูกๆ จึงขอให้ผมไปโรงพยาบาลเอกชน จำนวนผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาลเอกชนน้อยกว่าที่โรงพยาบาลรัฐอย่างน้อยก็สิบเท่า ในบางวันอาจจะยี่สิบเท่า ในวันที่ฟ้าดินถล่มทลายโรงพยาบาลรัฐผู้ป่วยและญาติมืดฟ้ามัวดินผมอยากจะให้ตัวเลขสักร้อยเท่า (แม้ว่าน่าจะมากไป) แต่เป็นการประเมินด้วยอารมณ์เสียมากกว่า
ประเมินด้วยสายตาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรัฐทำงานเร็วกว่ามาก เร็วเหลือเชื่อ ผมหันไปบอกภรรยาว่าถ้าเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลเอกชนนี้ไปทำงานที่บ้านเราต้องอยู่ไม่ได้แน่ๆ บุคลากรโรงพยาบาลรัฐอึดจริงๆ เกินมนุษย์มนา หากขึ้นค่าตอบแทนให้พวกเขาได้ก็ขึ้นไปเถอะ
นายแพทย์ที่ผมพบที่โรงพยาบาลเอกชนน่าประทับใจและน่านับถือจริง แน่นอนว่าท่านได้ค่าตอบแทน แต่ควรรู้ว่าเรื่องค่าตอบแทนเป็นเรื่องหนึ่ง เรื่องความสามารถและจริยธรรมเป็นอีกเรื่องหนึ่งและเป็นเรื่องที่ผู้ป่วยต้องการ เราอยากได้ตรงนี้ก่อน กับถ้าพอมีจ่ายเรียกเท่าไรก็จะจ่าย ต่อให้ต้องขายที่ดินก็จะขายมาจ่าย มีชาวบ้านจำนวนมากทำแบบนี้มาก่อนแล้วทั้งที่มีที่ดินแค่ผืนเดียว ใครๆ ก็รักตัวเองและใครๆ ก็รักคนที่เรารัก เราอยากได้หมอดีและเก่งกันทุกคน
ความสามารถ หมายถึงรู้ว่าต้องทำอะไร เมื่อไร และด้วยวิธีไหนอย่างชัดเจน ความรู้ที่มีสามารถสร้างความไว้วางใจ (trust) แก่ผู้ป่วยคือตัวผมว่าเราอยู่ในมือของวิชาชีพที่เป็นมืออาชีพ (professionals) จริงๆ
จริยธรรม หมายถึงรู้ว่าจะธำรงตนอย่างไรให้มีความมั่นคง (integrity) ต่อมาตรฐานและวิธีปฏิบัติต่อผู้ป่วยทางการแพทย์ เลือกวิธีรักษาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยอย่างดีที่สุดเป็นกิจที่หนึ่ง – เท่าที่ทำได้
นอกจากนี้เพราะพอมีความรู้อยู่บ้างจึงเห็นว่าสเป็กของวัสดุและอุปกรณ์การแพทย์แต่ละชิ้นได้มาตรฐานดีจริง นับตั้งแต่วัสดุทำแผล ฉีดยา ไปจนถึงอุปกรณ์หลายๆ ชิ้น อยากให้โรงพยาบาลรัฐมีทั้งหมดที่เห็นนี้บ้าง ด้วยงบประมาณของตนเองที่เพียงพอ มิใช่ต้องเรี่ยไรขอบริจาคกันทุกปีๆ
วันที่พนักงานล้อเข็นเข็นผมออกจากโรงพยาบาลต้องผ่านลานเล็กๆ ที่ประดิษฐานของพระรูปพระราชบิดาพร้อมประโยคสำคัญทางการแพทย์ของท่านว่า “ประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นกิจที่หนึ่ง” เมื่ออ่านใหม่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่ตัวเองรู้สึกว่าคิดไม่ผิดที่เราเลือกเป็นแพทย์
ทำไมโรงพยาบาลรัฐถึงทำให้ดีเท่านี้มิได้ หากจะตอบว่าเรามีคนไข้ล้น เขามีคนไข้น้อย เราได้ค่าตอบแทนน้อย เขาได้ค่าตอบแทนมาก ตอบแบบนี้ก็ไม่ต้องตอบ เพราะมิได้พาเราไปจากตรงนี้ได้เลย ทั้งหมดทั้งปวงขึ้นกับผู้บริหาร ผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชนมีอำนาจบริหารที่ต่างจากผู้บริหารโรงพยาบาลรัฐแน่ๆ ถ้าโรงพยาบาลจำเป็นต้องมีหมอสาขานี้จำนวนกี่คนก็ต้องมีให้ได้ ต้องมีพนักงานเวรเปลและล้อเข็นจำนวนกี่คนก็ต้องมีให้ได้ เรื่องมีเท่านี้เอง ค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลที่ไม่จำเป็นต้องถูกตัดออก ค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลที่จำเป็นก็ต้องมีจ่าย ปัญหาของเราคือผู้บริหารโรงพยาบาลรัฐไม่มีอำนาจระดับนี้
พวกท่านไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้
เราจึงจำเป็นต้องมี ‘หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า’ ให้ได้ต่อไป