fbpx

จากเสากินรี ถึงกำแพงกันคลื่น

Facebook – Beach for Life ภาพประกอบ 

ทุกครั้งที่ผู้เขียนเดินทางไปต่างจังหวัด มักจะเห็นสิ่งก่อสร้างหลายแห่งของทางราชการที่ใช้เงินภาษีของประชาชน สร้างเสร็จได้ไม่นาน แล้วโดนทิ้งร้าง หรือใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่

คนในวงการราชการทราบดีว่า แต่ละปี การใช้งบประมาณสำหรับการก่อสร้างของหน่วยราชการ กรม กอง องค์การอิสระ ไปจนถึงองค์กรปกครองท้องถิ่น อบต. อบจ. ฯลฯ เป็นที่จับจ้องของหลายฝ่าย เนื่องด้วยงบก่อสร้างมีค่าใช้จ่ายสูง และโครงการส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใช้ความชำนาญในการก่อสร้าง โดยบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายเล็กๆ ก็สามารถประมูลงานได้

หากเป็นโครงการขนาดเล็ก งบประมาณไม่สูง ก็จะสะดวกยิ่งขึ้น ไม่ต้องทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA (Environmental Impact Assessment) แค่เสนอโครงการขึ้นมา อ้างเหตุผลความจำเป็นในเรื่องความเดือดร้อนหรือความต้องการของชาวบ้าน และเสนองบประมาณไปตามขั้นตอน รอการอนุมัติ

แต่ละปี เราจึงเห็นการจัดสรรงบประมาณ ไปลงที่ถนน ทางเดินฟุตบาท อาคารอเนกประสงค์ การสร้างฝาย และล่าสุดที่กำลังเป็นข่าวหนาหูคือ เสาไฟฟ้ากินรี

เพื่อนในวงการราชการต่างจังหวัดเล่าให้ฟังว่า เหตุที่ต้องเป็นเสาไฟรูปกินรี เพราะหากแค่ก่อสร้างเป็นเสาไฟฟ้าธรรมดา ราคาประมูลค่าก่อสร้างจะไม่แพง แต่หากเป็นเสาไฟฟ้ากินรี จะถูกจัดประเภทให้เป็นงานศิลปะประเภทหนึ่ง จึงสามารถตั้งราคาประมูลงานสูงขึ้นได้

จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นงานศิลปะอย่างเสาไฟฟ้ากินรีผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด แต่เอาเข้าจริงกลับไร้ประโยชน์

เสาไฟฟ้ากินรีจึงเปรียบเสมือนยาสามัญประจำบ้านชนิดหนึ่งของคนที่อยากใช้งบประมาณ หากคิดอะไรไม่ออก

นอกจากเสาไฟกินรีแล้ว ล่าสุดผู้เขียนสังเกตถึงโครงการหนึ่งของราชการที่เริ่มเป็นข่าวบ่อยขึ้นทางภาคใต้ นั่นคือ ‘กำแพงกันคลื่น’ (sea wall)

ในอดีต ชายหาดหลายแห่งอาจถูกน้ำทะเลกัดเซาะในบางฤดูกาล และไม่นาน ทรายก็จะถูกคลื่นซัดกลับเข้ามาเป็นหาดทรายเหมือนเดิมตามธรรมชาติที่หมุนเวียนมาเป็นเวลาช้านาน

แต่ระยะหลัง ทางราชการมีแนวคิดสร้างกำแพงกันคลื่นยาวไปตามแนวชายฝั่งทะเล ให้ทำหน้าที่รับแรงปะทะคลื่นที่วิ่งเข้ามาสู่ชายหาด โดยอ้างความจำเป็นว่าทำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านจากคลื่นทะเลกัดเซาะชายฝั่ง แม้ว่าในปัจจุบัน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และนักวิชาการทางทะเลหลายคน มีหลักฐานชัดเจนพิสูจน์ว่า หลังจากการสร้างกำแพงกันคลื่นแล้ว จะก่อให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรงตามมา โดยเฉพาะบริเวณด้านท้ายน้ำช่วงสิ้นสุดโครงสร้างกำแพงกันคลื่น

กำแพงกันคลื่นไปเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของคลื่น จนเกิดการสะท้อนกลับของคลื่นที่วิ่งเข้ามาปะทะหน้ากำแพงกันคลื่น ทำให้คลื่นที่สะท้อนกลับหอบนำทรายหน้ากำแพงกันคลื่นออกไปในทะเล นอกจากนี้ยังกระทบต่อการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ชายหาดอีกด้วย

งานอ้างอิงถึงงานวิจัยต่างๆ ทั่วโลก ระบุตรงกันว่า กำแพงกันคลื่นเป็น Dead of the Beach ซึ่งหมายถึงตัวการที่ทำให้ชายหาด ชายฝั่ง หายไปตลอดกาล

ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งเป็นปัญหาทั่วโลก แต่หลายที่มีวิธีจัดการที่ดีกว่าและใช้งบประมาณน้อยกว่านี้

หาดทรายหลายแห่งจัดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ แต่พอมีโครงการกำแพงกันคลื่นเกิดขึ้น ก็ทำให้หาดทรายหายไป และนักท่องเที่ยวก็ลดลงไปจำนวนมากทันที

ชายหาดชะอำ จ.เพชรบุรี เคยเป็นหาดทรายกว้าง ลงเล่นน้ำทะเลได้ ปัจจุบันกรมโยธาธิการได้ก่อสร้างกำเเพงกันคลื่นระยะทาง 3 กิโลเมตร ด้วยงบประมาณเฉลี่ยกิโลเมตรละ 100 ล้านบาท ผลคือหาดทรายชะอำหายไป เนื่องจากคลื่นปะทะกำเเพงกวาดทรายออกไป และด้านท้ายของกำเเพงก็มีการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนเเรง

การก่อสร้างกำแพงกันคลื่นหลายแห่งเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่ แต่ทางการก็ยังเดินหน้าโครงการต่อไปเรื่อยๆ และยังเพิ่มจำนวนโครงการมากขึ้นหลายเท่าตัว หลังจากที่ในปี 2556 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ปลดล็อกให้การดำเนินโครงการก่อสร้างกำแพงริมชายฝั่ง ติดแนวชายฝั่งทุกขนาดที่มีความยาวตั้งแต่ 200 เมตร  ไม่ต้องมีกระบวนการศึกษาและประเมิน EIA โดยให้เหตุผลว่า EIA ทำให้เกิดการก่อสร้างล่าช้าไม่ทันการ ขณะที่รัฐต้องรีบเร่งดำเนินการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นเพื่อป้องกันเยียวยาความเสียหายผลที่เกิดขึ้นกับชุมชนริมชายฝั่ง

การยกเลิก EIA เป็นจุดเริ่มต้นให้โครงการนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผู้เขียนแวะไปเที่ยวชายหาดปราณบุรี ก็เจอสภาพน่าเศร้าใจว่า หาดทรายอันงดงามแทบจะหายไป เหลือแต่กำแพงคอนกรีตขั้นบันไดตามแนวชายหาดแทน แต่ยังพอเหลือชายหาดบางช่วงที่ยังไม่มีการสร้างกำแพงกันคลื่น

บ่ายวันนั้น นักกีฬาทีมชาติไคท์ฟอยล์ (Kite Foil) เเละคนรักชายหาดกว่า 50 คน รวมตัวที่ชายหาดปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เเสดงพลังร่วมปกป้องชายหาดผืนสุดท้ายจากกำเเพงกันคลื่นของกรมโยธาธิการ ที่จะดำเนินการก่อสร้างบนหาดปราณบุรี ด้วยความยาว 240 เมตร

นอกจากนั้น หาดทรายทางภาคใต้หลายแห่งก็ประสบชะตากรรมเช่นเดียวกัน

1) หาดทรายแก้ว จ.สงขลา มีโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นแบบลาดเอียง จนเกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง จากที่บริเวณดังกล่าวไม่เคยเจอการกัดเซาะชายฝั่งมาก่อน

2) หาดหน้าสตน จ.นครศรีธรรมราช กรมโยธาธิการและผังเมืองได้ก่อสร้างกำแพงกันคลื่นตลอดแนวชายหาด จนเกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง บ้านเรือนและสวนมะพร้าวของประชาชนพังเสียหายจำนวนมาก

3) หาดเกาะแต้ว จ.สงขลา เกิดการกัดเซาะชายฝั่งจากกำแพงกันคลื่นโดยกรมเจ้าท่า

4) หาดสำเร็จ จ.สุราษฎร์ธานี หลังจากที่กรมเจ้าท่าก่อสร้างกำแพงกันคลื่นเสร็จสิ้นในปี 2563 ก็เกิดการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง

5) หาดสะกอม จ.สงขลา หลังจากการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นโดยกรมเจ้าท่าเสร็จสิ้น ชายหาดที่ถูกกัดเซาะชายฝั่งอยู่แล้วก็ถูกกัดเซาะหนักกว่าเดิม โดนโดนยาวตลอดแนวชายหาดกว่า 1 กิโลเมตร และตัดเป็นหน้าผาลึกกว่า 8 เมตร ในบางแห่ง

หลายพื้นที่ทั้งชายฝั่งอ่าวไทยและอันดามันมีการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นหลายจุด และเช่นเดียวกันก็มีการซ่อมแซมระยะยาวอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากกำแพงมีอายุการใช้งานเพียงไม่กี่ปี เมื่อพื้นที่ด้านล่างเกิดการกดทับ คลื่นกระทบกำแพงกั้น ทำให้คลื่นสูง โอกาสกำแพงพังจึงมีมาก

ล่าสุดกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ชาวบ้านหาดแม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ออกมาชุมนุมคัดค้านโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นความยาวกว่า 966 เมตร และใช้งบประมาณสูงถึง 79 ล้านบาท ทั้งๆ ที่บริเวณนั้นไม่ได้มีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรง แต่โครงการนี้จะทำให้เกิดกำแพงวางทับปิดชายหาดแม่รำพึงตลอดแนวชายหาด ส่งผลให้หาดทรายจะหายไป ทัศนียภาพอันงดงามของชายหาดจะถูกทำลายหมด

ภายหลังการยกเลิก EIA โครงการกำแพงกันคลื่น ปรากฏว่ามีการเสนอโครงการก่อสร้างกำเเพงกันคลื่นบนชายหาดหลายพื้นที่ นับตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบัน รวมเเล้วไม่ต่ำกว่า 50 โครงการ มูลค่ารวมกันหลายพันล้านบาท ภายใต้การดำเนินการโดยหน่วยงานหลักๆ อย่าง ‘กรมโยธาธิการเเละผังเมือง’ เเละ ‘กรมเจ้าท่า’

แม้กำแพงกันคลื่นจะได้รับการพิสูจน์ว่าไม่ได้ช่วยป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง และยังทำให้ชายหาดทรายหดหายไป ส่งผลเสียทางด้านเศรษฐกิจและระบบนิเวศมากกว่า แต่การก่อสร้างก็ยังเดินหน้าต่อไปในหลายพื้นที่ โดยไม่ใส่ใจเสียงคัดค้านของชุมชนในพื้นที่ที่ส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

จับตาดูกันต่อไปว่า กำแพงกันคลื่นจะลงเอยแบบเสาไฟฟ้ากินรีหรือไม่

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save