เห็นรุ่นพี่ชวนไปชุมนุมใหญ่ไล่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร โดยอ้างชื่อสถาบันมหาวิทยาลัยค่ะ อันที่จริงก็ไม่ติดใจกับการชุมนุมเลยเพราะคิดว่าเป็นสิทธิของประชาชนทุกคน แต่สงสัยว่าทำไมบางคนชอบโหนมหาวิทยาลัยในการไปม็อบเหรอคะ …หนูแอบเขินอ่ะค่ะ – จิ๊บ
ตอบคุณจิ๊บ
คุณคงนึกเขินการปรุงแต่งให้มีสิ่งที่เรียกว่า ‘พลังบริสุทธิ์’ แหละครับ เริ่มด้วยการชักชวนพี่น้องสีเดียวกัน (หมายถึงสีของมหาวิทยาลัยนะครับ) ให้ไปร่วมแสดงพลัง แต่พอถึงวันจริงภาพที่เห็นดันชวนให้นึกถึงการชุมนุมของอีกสีหนึ่ง และที่ชัดไปกว่านั้นคือคนบนเวทีที่จัดว่าเป็นไฮไลต์คือ สนธิ ลิ้มทองกุล ซะงั้น ซึ่งคุณสนธิแกจบยูซีแอลเอนะ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยในเมืองไทยเลย
ทั้งนี้ ได้ยินว่ามีเสียงของศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยนี้ที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม และไม่เห็นด้วยกับการเอาชื่อมหาวิทยาลัยไปใช้อยู่เหมือนกัน
มีรูปแบบที่น่าสนใจ ซึ่งจะเห็นได้ถ้าดูคลิปข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศเรื่องวิกฤตินายกฯ เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้วจนถึงช่วงต้นเดือนนี้ คลิปข่าวมักจะใช้ภาพการประท้วงที่อนุสาวรีย์ชัยฯ เป็นภาพปก (cover) ราวกับว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคือการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากการเรียกร้องของประชาชน ซึ่งเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามันไม่ใช่เสียทีเดียว แต่มันเป็นขนบของการเสนอข่าวในประเทศประชาธิปไตยว่า ‘นี่ไง มันคือการเรียกร้องของประชาชน’ ‘นี่ไง มันเป็นไปตามกลไกของรัฐ’ ซึ่งภาพหน้าฉากพวกนี้มันมีบทบาทต่อการเสนอข่าว ดูแล้วเหมือนช่วยเพิ่มความชอบธรรมให้คำสั่งศาลระดับหนึ่ง นัยว่าการชุมนุมวันนั้นก็มีหน้าที่ของมันอยู่
ลองคิดดูว่าถ้าไม่มีการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยฯ สุดสัปดาห์นั้น แล้วศาลรัฐธรรมนูญสั่งเปรี้ยงให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ (เพียงไม่กี่วันหลังการชุมนุม ราวกับมันเป็นเหตุเป็นผลกัน) มันก็จะดูเป็นการใช้อำนาจตุลาการอย่างไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น มันไม่งาม
อนึ่ง คนไทยกับการโหนเป็นของคู่กันครับ รายการโทรทัศน์ดังที่สุดในประเทศชื่อ ‘โหนกระแส’ เราโหนดวงตรา ดาวมิชลิน และสถาบันชวนชิมต่างๆ ในการไปร้านอาหาร (ซึ่งสำนักและนักชิมตัวโตๆ ส่วนใหญ่ล้วนแต่มี rate card และถึงไม่อร่อยก็ทำคอนเทนต์ให้ดูอร่อยได้ …สำนักดีๆ มีคุณภาพมีอยู่ไม่กี่แห่ง) จะตัดสินใจซื้อของสักชิ้นเราก็ต้องโหนรีวิว แล้วทำไมจะโหนชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยไปม็อบไม่ได้ล่ะครับ
อยู่บ้านนี้เมืองนี้ การเขินหรืออายแทนใครต่อใครเป็นอะไรที่เหนื่อยเปล่าครับ
ช่วงนี้การเมืองโลกตึงเครียดมาก แต่คนรุ่นใหม่บน tiktok กลับผลิตมีมสงครามไม่หยุดเลยครับ (ถ้าลุงเฮม่าตามไม่ทันลองเสิร์ชว่า WW3 memes ดูได้นะครับ บางอันก็ตลกร้ายสุดๆ) คำถามคือทำไมถึงเกิดปรากฏการณ์นี้เหรอครับ – เอิร์น
ตอบคุณเอิร์น
ลุงงี้ตกใจตั้งแต่ตอนได้ยินทรัมป์เถียงกับเซเลนสกี้ในห้องทำงานรูปไข่ว่า “นายกำลังเล่นกับสงครามโลกครั้งที่สาม” และในภาวะซึ่งไม่มีใครฟังใครในตอนนั้น ทรัมป์พูดประโยคนี้ถึงสามหน (ถ้าจำไม่ผิด) ลุงนึกในใจว่านี่คือการประชุมระดับผู้นำหรือปาหี่ทางโทรทัศน์กันแน่ คือคนที่เป็นผู้นำประเทศ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจ) อาจไม่ควรพูดจาอะไรแบบนี้ แต่จริงๆ แล้วการหารือออกสื่อครั้งนี้ก็น่าจะเป็นปาหี่ เพราะทรัมป์ปากพล่อยพูดยิ้มๆ หลังเสร็จเรื่องแล้วประมาณว่า “การประชุมคราวนี้อาจไม่ดีนัก แต่เป็นรายการโทรทัศน์ที่เจ๋งมาก”
ไอ้บ้าเอ๊ย!
บรรยากาศและการพูดจาไม่ระวังปากแบบนี้ ปูพื้นให้แก่ความหวาดวิตกว่าจะเปิดสงครามนะ ซึ่งถ้ารบกันจริงๆ คราวนี้มันน่ากลัว เนื่องจากหัวรบนิวเคลียร์ของฝ่ายต่างๆ ทั่วโลกรวมกันมีมากกว่า 9,000 หัว แต่ละหัวมีอานุภาพทำล้ายล้างมากกว่าระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาถึงสิบเท่า คือคงจะเละระดับสูญพันธุ์หรือใกล้เคียง
และแล้วอิสราเอลก็ยิงจรวดใส่อิหร่านในไม่กี่เดือนต่อมา ฝ่ายอิหร่านโต้ตอบ สักพักอเมริกาเข้าข้างอิสราเอล แล้วอวดอ้างว่าหย่อนระเบิดมหาประลัยเจาะบังเกอร์ฆ่าแม่ทัพนายกองของอิหร่าน พร้อมทำลายสมรรถนะด้านนิวเคลียร์ของอิหร่านชนิดสิ้นซาก น่าจะเป็นช่วงนี้ที่มีมีมออกมา ดูท่าว่าจะรบกันใหญ่แล้ว เริ่มฮาตั้งแต่ปาร์ตี้บนดาดฟ้าประดับด้วยแสงไฟจากขีปนาวุธอันนั้นแล้ว
ว่ากันว่ามีมคือเครื่องมือคลายเครียดของชาวมิลเลนเนียล และลุงก็ไม่ทันเขาจริงอย่างที่คุณว่า นี่ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่ามีมีมเรื่องนี้
รู้ไม่รู้ก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่อยากตั้งข้อสังเกตคือมีมน่าจะเป็นปฏิกิริยาการใช้อารมณ์ขันในลักษณะประชดประชันแบบสุญนิยม (nihilist) ก็คือประชดเพราะรู้สึกเครียดแหละ ประชดเสียให้มันอยู่ในกรอบของอารมณ์ขันแบบ ‘เออ การรบกันนี่จะมีผลต่อออร์เดอร์ Shein ที่ฉันสั่งไปมั้ยน้า’
พูดไปก็คงจะเหมือนคนแก่บ่น เพราะบรรดามีมตลกร้ายนั้นจะร้ายแค่ไหนเราก็ยังขำออก ทำอะไรขำๆ คลายเครียดกันไปตามสภาพ บังเอิญเพิ่งอ่านข่าวเด็กๆ ที่ฉนวนกาซา พื้นที่ซึ่งโดนถล่มและรบกันมาอย่างต่อเนื่อง บอกว่าความหวาดกลัวซึ่งเป็นผลจากการเจอสงครามโดยตรง ทำให้เด็กๆ หกในสิบคนที่ฉนวนกาซามีปัญหาทางจิต สะท้อนอาการออกมาผ่านการพูด ช่วงที่รบกันแรกๆ เด็กๆ ปาเลสไตน์นั้นถึงกับไม่ยอมพูดเลยเพราะความกลัว เขายังสรุปอีกด้วยว่าตอนนี้เด็กในกาซามีปัญหาสุขภาพจิตไม่น้อยกว่าล้านคน นี่เรายังไม่ได้พูดถึงความสูญเสียอื่นๆ เลยนะ
ถ้ายังทำมีมเล่นได้แปลว่าชีวิตจริงๆ น่าจะยังดีอยู่ เพราะถ้าเจอสงครามจริงๆ เราคงลืมออร์เดอร์ Shein ไปเลย น่ายินดีที่ตอนนี้สงบศึกกันไปแล้ว
Agony uncle หมายถึง ชายเจ้าของคอลัมน์ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตทั่วไป ในช่วงแรกๆ ลุงเฮม่าจะเน้นเรื่องกฎเกณฑ์ เพราะคิดว่ามันน่าจะช่วยให้เราอยู่ร่วมกันได้ในฐานะเพื่อนมนุษย์ แต่หลังจากเขียนคอลัมน์นี้มาได้ปีสองปีก็เริ่มตาสว่าง และที่สำคัญคือ หลังจากโลกรอบตัวมีแต่กฎเกณฑ์และการใช้อำนาจ (ซึ่งส่วนใหญ่มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ออกกฎ) ลุงเลยเปลี่ยนแนวมาเขียนตอบโดยเริ่มที่กฎเกณฑ์ แล้วตามด้วยวิธีหลอกล่อเล่นสนุกกับกฎนั้นๆ แทน
**ส่งคำถามมาได้ที่ [email protected]