เกาะแห่งศิลปะ : ประสบการณ์จากฉีจินถึงนาโอชิมะ

เกาะศิลปะ

ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปเที่ยวไต้หวันกับญี่ปุ่นโดยมีสถานที่สองแห่งที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือเป็นเกาะที่ต้องนั่งเรือไปและปั่นจักรยานไฟฟ้ากางแผนที่เที่ยวชมงานศิลปะจัดวางที่ตั้งกระจายอยู่ริมทะเลด้วยระยะเวลาอันกระชั้นชิด (เพราะไปถึงตอนเย็นจวนเวลาที่ร้านเช่าจักรยานจะปิด) เหมือนกัน

ผมหมายถึงเกาะฉีจิน นครเกาสง, ไต้หวัน กับเกาะนาโอชิมะ จังหวัดคางาวะ, ญี่ปุ่น

เกาะฉีจิน (Cijin Island)

เกาะฉีจิน (Cijin Island) ตั้งอยู่ทางตะวันตกของนครเกาสง ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องชายหาดที่ทอดยาวและอาหารทะเลที่สดใหม่ โดยเกาะดังกล่าวเป็นเกาะขนาดเล็กเพียงประมาณ 1.5 ตารางกิโลเมตร มีลักษณะเรียวยาวและอยู่ไม่ไกลจากฝั่ง เนื่องจากเคยเป็นส่วนหนึ่งแผ่นดิน แต่ด้วยเหตุผลความจำเป็นในการขยายท่าเรือทำให้ต้องมีการเปิดทางจนกลายสภาพเป็นเกาะ จึงใช้เวลานั่งเรือข้ามฟากไปแค่ประมาณสิบนาทีก็ถึง

งานศิลปะจัดวางกลางแจ้งช่วยแต่งเติมสีสันให้กับพื้นที่ตามแนวชายหาด เช่น โบสถ์สายรุ้ง (Rainbow Church), ไข่มุกยักษ์ (Cijin Sea Pearl) ยังไม่พูดถึงสตรีทอาร์ตที่ซุกซ่อนอยู่ตามตรอกซอกซอยผลงานส่วนใหญ่ที่เห็นเป็นผลผลิตจากโครงการ/กิจกรรมของมหาวิทยาลัย NSYSU (National Sun Yat-sen University) โดยเน้นที่การมีส่วนร่วมของชุมชน ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น ภายใต้ความร่วมมือใกล้ชิดกับองค์กรปกครองท้องถิ่นเจ้าของพื้นที่

เกาะฉีจิน (Cijin Island)

ตัวอย่างหนึ่งคือเทศกาลจินหยู (Jīn Yú Festival) ที่เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันศิลปะของ NSYSU และผู้ประกอบการในท้องถิ่นเพื่อฟื้นฟูตลาดเก่า โดยจัดแสดงนิทรรศการศิลปะจัดวางเชิงสำรวจวัฒนธรรมในพื้นที่บริเวณดังกล่าว

เกาะฉีจินถือเป็นเขตปกครอง (District) หนึ่งของนครเกาสง (รวมถึงอีกหลายเกาะบริเวณนั้น) อีกทั้งยังเป็นเขตที่มีขนาดเล็กเป็นอันดับสอง โดยมีประชากรอยู่ที่ราว 26,000 คน

เกาสงได้ชื่อว่าเป็นเมืองศิลปะแห่งไต้หวัน สืบย้อนไปได้ตั้งแต่เมื่อ 20 กว่าปีก่อน เมื่อมีการมองหาสถานที่จุดพลุไฟเฉลิมฉลองวันชาตินอกจากเมืองหลวง จึงได้ค้นพบสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งก็คือ ‘ท่าเทียบหมายเลข 2’ เป็นย่านโกดังเก่าที่ถูกปิดร้างมานาน ต่อมาได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านศิลปะ (Pier-2 Art Center) สำหรับใช้จัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเปิดพื้นที่ให้เหล่าศิลปินทั้งหลายได้มีโอกาสแสดงฝีมือกันเต็มที่

แม้นนครเกาสงไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินภายในบริเวณนี้เลยแม้แต่แปลงเดียว ต้องเป็นการขอเช่า แต่ก็สามารถสะท้อนความร่วมมือกันระหว่างท้องถิ่น (กองวัฒนธรรม เทศบาลนครเกาสง) กับภาคเอกชนในการพัฒนาเมืองได้ดี

นอกจากนี้ยังมีสถานที่ทางสถาปัตยกรรม ศิลปะ และการออกแบบอื่นเกิดขึ้นไล่หลังตามมาอีกเป็นจำนวนมาก รวมถึงบนเกาะฉีจินที่ได้เล่าไปเมื่อตอนต้น

เกาะฉีจิน (Cijin Island)

เกาะนาโอชิมะ (Naoshima Island)

เกาะนาโอชิมะ (Naoshima Island) เป็นเกาะหนึ่งในบรรดาสามพันเกาะบริเวณทะเลเซโตะ (ทะเลภายในญี่ปุ่นถูกล้อมด้วยสามเกาะหลัก) จึงเดินทางมาได้ด้วยเรือเฟอร์รี่จากหลายเกาะ ถ้ามาจากเกาะฮอนชูก็คือท่าเรืออุโนะ (จังหวัดโอกายามะ) ใช้เวลาแค่ประมาณ 20 นาที ถ้าเป็นเกาะชิโกกุจากท่าเรือทาคามัตสึ (จังหวัดคางาวะ) เวลาก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบหนึ่งชั่วโมง และความถี่ของเที่ยวเรือน้อยกว่า

เกาะนาโอชิมะมีขนาดไม่ใหญ่นัก เนื้อที่ประมาณ 14 ตารางกิโลเมตร โดยมีเทศบาลนาโอชิมะ (Town) รับผิดชอบดูแลทั้งเกาะ (รวมถึงเกาะเล็กเกาะน้อยอีก 26 เกาะที่อยู่รายรอบ) มีประชากรรวมกันเพียง 3,000 คนเศษ มีชื่อเสียงในฐานะเกาะที่รุ่มรวยไปด้วยงานศิลปะร่วมสมัย

เกาะนาโอชิมะ (Naoshima Island)

จุดเปลี่ยนที่ทำให้เกาะนาโอชิมะกลายเป็นเกาะที่อาศัยศิลปะเป็นจุดดึงดูดผู้คนวงกว้าง มิใช่จู่ๆ ก็เกิดขึ้น และเป็นไปอย่างโดดเดี่ยว หากแต่ทำพร้อมกับเกาะอื่นอีกหกเกาะ โดยมีนาโอชิมะเป็นศูนย์กลาง ผลโดยตรงจากเทศกาลศิลปะงานเซโตะอุจิ เทรียนนาเล่ (Setouchi Triennale) ที่ริเริ่มโดย แฟรม คิตากาวะ (Fram Kitagawa)

เทศกาลศิลปะงานเซโตะอุจิ เทรียนนาเล่ (Setouchi Triennale) เป็นเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติที่จัดขึ้นทุกๆ สามปี ครั้งแรกที่จัดคือปี 2010 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคแถบนี้ สาเหตุเนื่องจากจำนวนประชากรลดลงอย่างมาก (ช่วงทศวรรษ 2000) คนวัยทำงานย้ายออกจนกลายเป็นสังคมผู้สูงวัยโดยแท้ หวังรั้งคนให้ยังอยู่กับพื้นที่ด้วยสำนึกรักท้องถิ่น (ดั่งสโลแกน power of own land to their pride) ไม่ได้มุ่งสร้างกระแสเรื่องการท่องเที่ยวโดยตรง

เกือบทุกเกาะที่ถูกเลือกให้จัดงานล้วนเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมจากโรงงานอุตสาหกรรม กรณีนาโอชิมะก็คืออุตสาหกรรมถลุงเหล็ก ชาวบ้านบนเกาะได้รับผลกระทบจากการลักลอบทิ้งขยะอุตสาหกรรมผิดกฎหมาย

แนวคิดหลักจึงกลายเป็นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับทะเลขึ้นใหม่

ในแง่กระบวนการทำงานศิลปะ เกิดการประสานความร่วมมือกันระหว่างศิลปินต่างถิ่นกับชาวบ้าน เป็นต้นว่ามีนักออกแบบมาช่วยตกแต่งร้านอาหารให้โดดเด่นขึ้นโดยใช้วัสดุท้องถิ่น หรือพัฒนาสถานที่เก่าๆ ให้กลับมามีชีวิตชีวาดึงดูดผู้คนได้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นโรงอาบน้ำ โรงหนัง

สถานที่จัดแสดงไม่ได้มีเพียงในหอศิลป์ หากแต่พบได้ทั่วไป ทั้งท่าเรือ บ้านเก่า ริมถนน กระทั่งทุ่งนา งานศิลปะช่วยสร้างบทสนทนาให้กับพื้นที่เหล่านั้น

นอกจากจะดึงผู้มาเยือนให้มาชมผลงานศิลปินระดับโลกแล้ว ยังสร้างรายได้ให้กับชุมชน ร้านค้า อาหาร ผลิตภัณฑ์ ของที่ระลึก ซึ่งถือเป็นผลพลอยได้จากวัตถุประสงค์เมื่อแรกเริ่ม

เกาะนาโอชิมะ (Naoshima Island)

อย่างไรก็ตาม ก่อนมีมหกรรมศิลปะเซโตะอุจิ เทรียนนาเล่ มีความพยายามสร้างพื้นที่ศิลปะมาก่อนจากไอเดียของเท็ตสึฮิโกะ ฟุคุทะเคะ (Tetsuhiko Fukutake) มหาเศรษฐีผู้เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ และทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อการศึกษา โดยความเห็นพ้องของนายกเทศมนตรีนาโอชิมะในขณะนั้น ซึ่งกำลังมีแผนจะพัฒนาหมู่บ้านวัฒนธรรมพอดี ตั้งใจให้พื้นที่ทางตอนใต้ของเกาะเป็นพื้นที่การศึกษาและวัฒนธรรม (คงพื้นที่ตอนเหนือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและเหมือง ส่วนตอนกลางให้เป็นสถานที่ราชการและที่พักอาศัย)

เมื่อพ่อจากไป โซอิชิโร (Soichiro Fukutake) ผู้ลูกก็เข้ามาสานต่อ จนที่สุดก็กลายเป็นเบเนเซ่ เฮาส์ (Benesse House) โรงแรมที่มีพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ในตัว ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง ทาดาโอะ อันโดะ (Tadao Ando) เปิดในปี 1992

ก้าวแรกของความเป็นเกาะศิลปะได้เริ่มต้นขึ้นนับแต่บัดนั้น

เกาะนาโอชิมะ (Naoshima Island)

หลังจากนั้นมีหอศิลป์ พิพิธภัณฑ์ศิลปะต่างๆ ทยอยเปิดตามมา ด้วยสถาปัตยกรรมรูปแบบแปลกตา ทว่ากลมกลืมเข้ากับสภาพแวดล้อม เช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะชิชู (Chichu Art Museum, 2004) หรือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะลีอูฟาน (Lee Ufan Museum, 2010) ซึ่งทั้งสองแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดยอันโดะเช่นเดียวกัน จุดร่วมคืออาคารคอนกรีตเปลือยนำสายตาผู้ชมไปที่ทะเลหรือท้องฟ้า

ข้างต้นเป็นรูปธรรมของความสำเร็จ เพราะนั่นเท่ากับการันตีว่าจะมีกิจกรรมทางศิลปะเกิดขึ้นเป็นประจำ เช่นเดียวกับชิ้นงานศิลปะร่วมสมัยหลายชิ้นที่ตั้งจัดแสดงอย่างถาวรอยู่รายรอบเกาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประติมากรรรมฟักทองลายจุดสีแดง/เหลืองที่เปรียบเสมือนลายเซ็นของยาโยอิ คุซามะ (Yayoi Kusama) ศิลปินหญิงอาวุโสชาวญี่ปุ่นแถวหน้าที่มีชื่อเสียงระดับโลกและสัญลักษณ์ของเกาะ

ในปี 2025 นี้ ถือเป็นการจัดงานครั้งที่ 6 แล้ว โดยเพิ่มสถานที่จัดงานเป็น 12 เกาะกับอีก 5 เมืองชายฝั่ง อนึ่งวงรอบของมันอยู่ที่มีเวลาเตรียมงาน 1,000 วัน และจัดเทศกาลอีก 100 วัน (ในสามห้วงเวลาแยกตามฤดู ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง) ทำให้ต้องมีเจ้าหน้าที่ประจำกว่าครึ่งร้อยชีวิต ส่วนใหญ่ก็คือคนในท้องถิ่นเป็นการสร้างงานไปในตัว

อ่านจนถึงบรรทัดนี้ ดูเหมือนจะเป็นบทความแนะนำแหล่งท่องเที่ยว ทว่าใจจริงผมอยากชี้ให้เห็นประเด็นความร่วมมือในการพัฒนาเมืองระหว่างรัฐกับเอกชน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘ท้องถิ่น’ ต้องเป็นเจ้าภาพหลัก เพราะท้องถิ่นเป็นหน่วยงานที่รู้ความต้องการของผู้คนในพื้นที่ดีที่สุด โดยมีภาคประชาสังคมกับภาควิชาการ (ในที่นี้หมายความรวมถึงศิลปิน) เข้ามาช่วยเสริมพลัง


ข้อมูลประกอบการเขียน

“NSYSU team organizes land art exhibition in Cijin Island,” NSYSU Social Engagement Center, (8 April 2021), from https://engage.nsysu.edu.tw/en/news/「中洲津餘祭」藝術創生%E3%80%80中山師生旗津策展/

“Symposium on Art Biennales/Triennales in Southeast Asia Context: Presentation by Fram Kitagawa,” Asian Culture Station, YouTube (4 July 2018), from https://www.youtube.com/watch?v=8clfBxsvzx0

Kentaro Yagi, “Art on Water: Art that Revitalizes Insular Communities Facing Depopulation and Economic Decline,” NAKHARA (Journal of Environmental Design and Planning): Vol. 6: No. 1, (2010), Article 10, from https://digital.car.chula.ac.th/nakhara/vol6/iss1/10

Yili Peng, “Transcendent Boundaries: the Impact of Art Festivals on Rural Revitalization in East Asia Revitalization in East Asia,” MA Theses, Sotheby’s Institute of Art, (2024), from https://digitalcommons.sia.edu/stu_theses/208

กัวฮั่นเฉิน (เขียน), ธีระ หยาง (แปล), “เกาสง มุ่งหน้าสู่ท้องทะเลแห่งวัฒนธรรมอันกว้างใหญ่เต็มกำลัง,” Taiwan Panorama (สิงหาคม 2017), จาก https://www.taiwan-panorama.com/th/Articles/Details?Guid=bb0e09c8-2aca-4a10-9c3e-1c272f8ace32&CatId=10&postname=เกาสง%2520มุ่งหน้าสู่ท้องทะเลแห่งวัฒนธรรมอันกว้างใหญ่เต็มกำลัง&srsltid=AfmBOooVAXy8u6PwfpZwdDXkFJ16-YD76IqshfL9POLRQbX4RiAlIJcz

รุจิยาทร โชคสิริวรรณ, “Setouchi Triennale 2025  มหกรรมศิลปะของญี่ปุ่น จัดทุก 3 ปี ปีละ 3 ครั้ง รอบต่อไปจัดแสดงในฤดูร้อน 1-31 ส.ค.,“ Weekend Magazine, Facebook (17 มิถุนายน 2568), จาก https://www.facebook.com/photo/?fbid=1133252292164893&set=a.602655691891225

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save