เมื่อทิม มาร์แชลชวนตามหากฎเกณฑ์ทางภูมิศาสตร์

“What is where?” หนูน้อยถามคุณครู

คุณครูตอบหนูน้อยว่า “No matter where you go, there you are.”

นักปรัชญาและนักทฤษฎีสังคมวิทยาเรืองนามต่างเสนอว่าพื้นฐานที่สุดของบริบทสำหรับทำความเข้าใจโลกที่เป็นชีวิตทางสังคมของเรา คือการพิจารณามันบนจุดตัดของพื้นที่และเวลา แต่คนพินิจชีวิตตามความเป็นจริงบอกให้เราทราบถึงความแตกต่างของบริบททั้ง 2 ว่า ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ หรืออยากฝืนเพียงใดก็ตาม แต่เลี่ยงไม่พ้นที่เราต้องเคลื่อนตามบังคับของเวลาไปข้างหน้า หรือว่านับวันเวลาถอยหลังไปสู่การวับลับหายไปในที่สุด ต่างจากการดำรงอยู่ในพื้นที่ ซึ่งเรา ไม่มากก็น้อย ต่างมีสมรรถนะและโอกาสให้เลือกได้ว่าจะพาตนและคนอื่นๆ เคลื่อนย้ายบนพื้นที่ ที่อาจเป็นได้ทั้งห้วงน้ำใหญ่ หรือแดนทะเลทรายกันดาร ไปในทิศไหนทางใด มีอะไรเป็นเป้าหมายปลายทาง

คำที่เหมาะสำหรับสมรรถนะในการเคลื่อนตัวนี้คำหนึ่งคือคำว่า กรีธา/กรีฑา กรีธาคือสมรรถนะความสามารถในการ “move, march, and maneuver” ที่พาเรา (ขบวนของเรา กองทัพของเรา หรือสรรพสัตว์) เคลื่อนตัวจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง หรือยก-ย้ายจากระดับหนึ่ง ไปหาระดับอื่นได้ ตามแต่ว่าเราเลือกที่จะพาตัวเองไปอยู่ตรงพิกัดไหน ในตำแหน่งใด จนเป็นที่มาของปริศนาธรรมที่ว่า Wherever you go, there you are. ส่วน กรีฑา อันเป็นการแข่งขันกีฬาประเภทลู่ (tracks) และประเภทลาน (fields) ความจริงคือสิ่งสะท้อนความปรารถนาของมนุษย์ที่อยากมีชัยชนะเหนือพื้นที่จาการพุ่งตัวไปได้ด้วยความเร็วและในความไกลเหนือกว่าคู่แข่งขัน ในแง่นี้เวลาจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญพื้นฐานในการมีชัยเหนือพื้นที่ พลังความเร็วในการข้ามพื้นที่ทางไกล ไม่เฉพาะแต่แข่งขันกันในการกีฬา เป็นอำนาจสมรรถนะที่ประเทศมหาอำนาจ ซึ่งต้องการมีอิทธิพลต่อพื้นที่ทุกส่วนในโลกต่างแข่งขันกันอย่างสุดกำลัง บางทีก็ถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย เปลี่ยนมิตรเปลี่ยนศัตรูกันมาแล้วหลายรอบ เพื่อรักษาอิสระและชัยชนะจากการเคลื่อนตัว เคลื่อนอาวุธและสรรพกำลังข้ามพื้นที่ภูมิศาสตร์ให้เหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม นัยว่าเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่นคง เพื่อชัยชนะ หรือเพื่อรักษามนุษยชาติให้พ้นจากอำนาจของฝ่ายอธรรม

แต่จริงหรือที่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพื้นที่เปิดให้เรามีอิสระในการเคลื่อนย้ายไปตามใจชอบ แล้วถ้าอย่างนั้นเพราะเหตุใด Tim Marshall จึงตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ว่า Prisoners of Geography ภูมิศาสตร์แบบไหนที่ ‘จองจำ’ เราผูกติดอยู่กับพื้นที่ หรือทำให้เรา “ถูกจองจำด้วยความหวาดระแวง ‘ผู้อื่น’” ทั้งยังกระตุ้นเร้า “สัญชาตญาณในการแก่งแย่งทรัพยากรที่ติดตัวเรามาแต่ดั้งเดิม” (หน้า 335)

หรือแม้ไม่ถึงกับจะถูกภูมิศาสตร์ล่ามเราไว้ แต่มาร์แชล (2567) ในสำนวนแปลของคุณากร วาณิชย์วิรุฬห์ เสนอว่า “ผืนแผ่นดินที่เราอาศัยได้วางกรอบหล่อหลอมเรา มันคอยกำหนดโฉมหน้าของสงคราม อำนาจ การเมือง รวมถึงพัฒนาการทางสังคมของคนกลุ่มต่างๆ ซึ่งบัดนี้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเกือบทุกส่วนของโลก อาจดูเหมือนว่าเทคโนโลยีเอาชนะระยะห่างระหว่างผองเรา ทั้งในเชิงความคิดและกายภาพ แต่เรามักหลงลืมไปว่า ผืนดินที่เราพำนัก ทำงาน และเลี้ยงดูลูกหลานนั้นสำคัญยิ่งยวด และทางเลือกของเหล่าบุคคลซึ่งเป็นผู้นำมนุษย์ 7,000 ล้านชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้จะยังถูกตีกรอบ ไม่มากก็น้อย ด้วยแม่น้ำ เทือกเขา ทะเลทราย ทะเลสาบ และท้องทะเล ซึ่งกุมชะตาเราทุกคนดังที่เคยเป็นเสมอมา” (หน้า 18) ภูมิศาสตร์จึงเป็น “พันธนาการที่บรรดาผู้นำโลกพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้น” (หน้า 331)

ด้วยความสำคัญเช่นนี้ แม้ภูมิศาสตร์เป็นปัจจัยที่มักถูกละเลยมองข้าม แต่การทำงานของปัจจัยนี้ ซึ่งมาร์แชลว่า “ไม่ใช่แค่ลักษณะทางกายภาพอย่างปราการธรรมชาติของเทือกเขาหรือเครือข่ายแม่น้ำเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภูมิอากาศ ลักษณะประชากร ภูมิวัฒนธรรม และการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ” ส่งผลอย่างมากต่อ “อารยธรรมของเราในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองและยุทธศาสตร์ทหาร จนถึงพัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ ซึ่งครอบคลุม ภาษา การค้า และศาสนา” (หน้า 18)

ทิม มาร์แชลจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นเพื่อพิจารณา ‘กฎเหล็กของภูมิศาสตร์’ ซึ่งเมื่อมาถึงวันนี้อาจถูกเทคโนโลยีสมัยใหม่ ‘บิดดัด’ หรือ ‘พบหนทางก้าวข้าม ลอดได้ หรือพุ่งผ่านอุปสรรคบางประการ’ แต่เขาเห็นว่ากฎเกณฑ์ทางภูมิศาสตร์เหล่านี้ยังคงทำงานส่งผลอยู่ ซึ่งนำมาสู่คำถามสำคัญของมาร์แชลในตอนท้ายบทนำของหนังสือว่า :

กฎเกณฑ์ที่ว่านี้คืออะไร? (หน้า 25)

มาร์แชลเปิดโอกาสให้เราติดตามเขาไปแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ทางภูมิศาสตร์จากการกระทำของผู้คนและประเทศใหญ่น้อยทั้งหลายต่อพื้นที่ภูมิศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งถิ่นฐานและการอพยพโยกย้าย การผลิต การสร้างแนวป้องกันพื้นที่ การหาทางเอาชนะและฝ่าปราการทางธรรมชาติ การขยายดินแดน การรักษาความมั่นคงของดินแดนที่ขยายออกไป การสกัดใช้ทรัพยากรธรรมชาติ การลากเส้นบนแผนที่โดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์ในความหมายกว้างข้างต้น การทำข้อตกลงกำหนดเขต การแบ่งและกั้นอาณาเขต และจัดสรรการเข้าใช้ประโยชน์จากพื้นที่ ฯลฯ ตลอดจนการทำงานส่งผลของจินตนาการทางภูมิศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ภูมิศาสตร์ ที่มีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมมนุษย์และต่อสงคราม สันติภาพ การกำหนดระเบียบ การต่อต้านรื้อล้างระเบียบ และการแข่งขันขับเคี่ยวในสังคมระหว่างประเทศ เราจึงต้องพิจารณาทั้งกายภาพของพื้นที่ ความคิดเกี่ยวกับพื้นที่ และคนที่เขียนชักนำความคิด ความหมาย และความเข้าใจในการจัดความสัมพันธ์ผ่านพื้นที่

อย่างไรก็ดี เมื่อมาถึงบทสรุปของหนังสือ นอกจากการพาคาดการณ์ถึงภูมิศาสตร์ในห้วงอวกาศที่จะส่งผลต่ออนาคตของมนุษยชาติ มาร์แชลมิได้สรุปกฎเกณฑ์ของภูมิศาสตร์บนโลกมนุษย์ออกมาให้เห็นชัดเจนนัก เขาบอกย้ำกับผู้อ่านเพียงว่า “ภูมิศาสตร์นั้นเป็นเครื่องจองจำแบบใดแบบหนึ่งตลอดมา มันคือพันธนาการซึ่งนิยามว่าชาติหนึ่งจะเป็นอย่างไร และสามารถเป็นอะไรได้บ้าง” (หน้า 331)

เมื่อเป็นเช่นนี้ ชวนให้เราต้องคิดต่อว่า นอกจากการติดตามหากฎเกณฑ์ทางภูมิศาสตร์ด้วยวิธีเชิงประจักษ์ที่ใช้การสังเกตจินตภาพ การผลิตข้อมูลและความรู้ทางภูมิศาสตร์ การกระทำของมนุษย์ทุกรุ่นต่อพื้นที่ และผลของการกระทำดังกล่าวต่อชีวิตทางสังคมและการเมืองของมนุษย์แล้ว ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่ในการตามหากฎเกณฑ์จากภูมิศาสตร์ ที่มาร์แชลบอกว่าเป็นกฎเกณฑ์ “ซึ่งธรรมชาติหรือพระผู้เป็นเจ้าประทานให้เรา” (หน้า 25) และถ้ายึดตามที่ว่านี้ ก็ชวนให้คิดว่า น่าจะมีวิธีอื่นๆ อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการที่คนรุ่นก่อน ๆ ใช้พาเข้าถึง และทำความเข้าใจความหมายของกฎทางภูมิศาสตร์เหล่านี้ ซึ่งคนโบราณยึดถือว่าเป็นกฎธรรมชาติที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดขึ้นมา

จากข้อคำนึงข้างต้น และเพื่อเป็นการสนับสนุนภารกิจของมาร์แชลในการตามหากฎเกณฑ์ทางภูมิศาสตร์ “ที่เรายังถูกพันธนาการไว้ในจิตใจของเราเอง” (หน้า 335) ในที่นี้จึงขอทดลองเสนอวิธีการที่แปลกออกไป ด้วยการตีความสกัดความหมายจากคัมภีร์เก่าแก่ที่สุดของไทยคัมภีร์หนึ่ง คือ ไตรภูมิพระร่วง หรือ เตภูมิกถา ของพระญาลิไทย เพื่อหาหลักการทางภูมิศาสตร์โบราณมาประกอบการอ่านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกร่วมสมัยในงานของมาร์แชลและของนักภูมิยุทธศาสตร์คนอื่น ๆ โดยวิธีนี้ อาจทำให้เราเห็น ‘ภูมิวัฒนธรรม’ และขยายความเข้าใจความหมายของ ‘การเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ’ ที่มาร์แชลนำมารวมไว้ในปัจจัยทางภูมิศาสตร์ได้มากขึ้น

ที่มาภาพ: ไตรภูมิกถา finearts.go.th เว็บไซต์กรมศิลปากร กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์

ความหมายทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิศาสตร์ไตรภูมิ

1

การครอบครอง

พื้นที่แต่ละแห่งมีกฎ โดยเราอาจเรียกมันว่าตรรกะปฏิบัติการ สำหรับทำความเข้าใจเหตุ เข้าใจผล และเข้าใจความเป็นไปในพื้นที่ส่วนต่าง ๆ  ของจักรวาล

ในภูมิศาสตร์ไตรภูมิ พื้นที่แดนอื่นที่พ้นโลกของมนุสสภูมิไปมีกฎทำงานอยู่ตัว หรือเป็นกฎมีไว้ให้ค้นพบ ไม่เปลี่ยนไปตามความคิดความต้องการของมนุษย์ ส่วนเราจะค้นพบกฎนั้นได้หรือไม่ ค้นพบหรือยัง คิดว่าจนถึงเวลานี้ยังคงเป็นคำถามอยู่ว่าจะใช่ string theory หรือไม่  อย่างไรก็ดี ท่านว่าในโลกมนุษย์ กฎหรือตรรกะปฏิบัติการในความสัมพันธ์มีเปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนไปตามคุณภาพสูงหรือต่ำของคน และคนสามารถเปลี่ยนคุณภาพ เปลี่ยนสภาพ เปลี่ยนสถานะของตนได้ ก็ด้วยการกระทำและโดยความเพียรพยายามของตน การเปลี่ยนแปลงนั้นจึงเป็นไปได้ทั้งในทางที่สูงขึ้น หรือในทางที่ตกต่ำลง ขึ้นอยู่กับว่า ในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มนุษย์ปฏิบัติรักษาคุณธรรมของตนในความสัมพันธ์ระหว่างกันไว้ได้เพียงใด

ที่มาภาพ: ไตรภูมิกถา finearts.go.th เว็บไซต์กรมศิลปากร กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์

เช่น ที่ท่านเล่าว่า ทีแรกมนุษย์กินง้วนดิน แล้วเปลี่ยนมากินเถาวัลย์ “ภัทธาลดา ประดุจดังผักบุ้งและมีโอชารสอันดีนักหนา” แล้วเปลี่ยนมาเป็นข้าวสาลี  ต่อมามนุษย์เกิดความโลภทำให้คิดเก็บธัญญาหารที่ธรรมชาติมอบให้ทุกคนอย่างบริบูรณ์มาสะสมไว้เป็นของตัวเอง ความบริบูรณ์ที่เคยมีนั้นก็เสื่อมลงไป ทำให้มนุษย์ต้องพากันแสวงหาหนทางยังชีพและสะสมทรัพย์สินส่วนตัว พอเป็นอย่างนั้น การทะเลาะวิวาทด้วยเรื่องทรัพย์สินก็ตามมา เป็นเหตุให้มนุษย์ในที่สุดต้องออกจากสภาวะธรรมชาติที่เสื่อมถอยลงมาเป็นลำดับ พากันเข้ามาอยู่ในสังคมการเมือง อยู่ภายใต้การปกครองของมหาสมมติราช

สรุปหลักการจากภูมิศาสตร์ไตรภูมิตามเรื่องเล่านี้ได้ว่า การเปลี่ยนแปลงคุณภาวะของมนุษย์สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีกับพื้นที่ และกับทรัพยากรที่มนุษย์หาทางเปลี่ยนมาเป็นทรัพย์สิน กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ความปรารถนาในทรัพยากรเพื่อที่จะเปลี่ยนทรัพยากรในการผลิตมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัว มีผลอย่างลึกซึ้งต่อสภาพสภาวะของมนุษย์จากการวางกฎและการหาทางเปลี่ยนแปลงกฎหรือตรรกะปฏิบัติการในการจัดความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อกันในการจัดการทรัพยากรส่วนรวมและทรัพย์สินส่วนตัว

หลักการทางภูมิศาสตร์จากไตรภูมิกถาข้อนี้สัมพันธ์กับปัจจัยที่มาร์แชลเรียกว่า ‘ภูมิวัฒนธรรม’ อย่างลึกซึ้ง ตัวอย่างไม่ต้องหาจากไหนไกล เมื่ออังกฤษชาติที่เจริญขึ้นมาด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรมสำเร็จเป็นประเทศแรกในโลกเปลี่ยนวัฒนธรรมประจำชาติของตนมาเป็นชาติชงชาดื่มชากันอย่างแพร่หลาย แต่ชาชั้นดีนั้นต้องสั่งซื้อมาจากดินแดนตะวันออกแสนไกลที่บริบูรณ์มั่งคั่ง และแทบไม่มีความต้องการสินค้าอะไรเลยจากอังกฤษ การขาดดุลการค้ามหาศาลทำให้อังกฤษนิ่งเฉยไม่ได้ ต้องคิดหาหนทางด้วยความสามารถจากอารยธรรมอุตสาหกรรมมาแปรผลผลิตจากพืชธรรมชาติ ที่อังกฤษสั่งให้ปลูกกันกว้างขวางตั้งแต่แคว้นอัสสัมไปจนถึงรัฐฉาน มาเข้าโรงงานแปรรูปด้วยแรงงานหญิงชายและเด็กๆ ในอาณานิคม ได้ผลผลิตออกมาเป็น Patna opium ที่ราคาเป็นมิตรจำหน่ายในวงกว้างกับคนใช้แรงงานในโพ้นทะเล โดยมีหลักการค้าเสรีว่าดีที่สุดเป็นข้ออ้างหนุนหลัง ดังทูตอังกฤษผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งประกาศกฎนี้ออกมาราวกับว่ามาจากวจนะพระผู้เป็นเจ้า “Jesus Christ is free trade and free trade is Jesus Christ” ถึงกระนั้น กฎนี้ก็ยังต้องอาศัยสงครามมาบังคับการเปิดตลาดอยู่ดี เพราะประเทศอันล้าหลังจมอยู่ในประเพณีเก่าแก่เหล่านี้ช่างไม่รู้จักที่มาของวัฒนธรรมความเจริญเสียเลย

ภาพจากเว็บไซต์ Visualizing Cultures
ภาพจาก Modern World History

จากง้วนดินอันมีรสอร่อยและมีบริบูรณ์ มาสู่การแย่งชิงข้าวสาลีที่งอกขึ้นเองโดยธรรมชาติมาเก็บไว้บริโภคส่วนตัว มาจนถึงการตัดแบ่งแย่งชิงดินแดนมาเป็นเขตอิทธิพล เป็นดินแดนในอารักขาและเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจ กฎหรือหลักการจากภูมิศาสตร์ไตรภูมิข้อนี้ คำกุญแจ คือ การครอบครอง หรือการเปลี่ยนของที่เคยมีอยู่ตามธรรมชาติให้มาอยู่ในความครอบครองเป็นเอกสิทธิ์ของใครคนใดคนหนึ่ง กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

ในการครอบครองนี้ กฎเกณฑ์และความสำคัญของปัจจัยทางภูมิศาสตร์จะเปลี่ยนแปรไปตามกฎที่มนุษย์สร้างขึ้นมาใช้ในการครอบครองพื้นที่ ครอบครองทรัพยากร และการครอบครองสินทรัพย์ เพื่อสร้าง รักษา และเพิ่มพูนความมั่งคั่ง แต่อาจอำพรางกฎพื้นฐานข้อนี้ไว้หลังหลักการดีงามอื่นๆ เช่น ความก้าวหน้าทางอารยธรรม การพัฒนาในความหมายของการจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และล่าสุดคือเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ เป็นต้น

ขอใช้แผนที่และภาพนำเสนอให้เห็นว่า ในประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ที่ผ่านมา เราเปลี่ยนกฎในการครอบครองมาแล้วหลายรอบ และแม้พื้นที่ หรือเมือง หรือภูมิภาค และทวีป จะยังตั้งอยู่ในพิกัดทางภูมิศาสตร์เดิม แต่ความหมายและฐานะความสำคัญของพื้นที่อย่างแอฟริกาในทางยุทธศาสตร์จะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อการครอบครองพื้นที่ ทรัพยากร และทรัพย์สินเปลี่ยนความหมายและเป้าหมายจากความต้องการควบคุมและผูกขาดเส้นทางการค้าทางไกล มาเป็นการเข้าถึงฐานทรัพยากรและปัจจัยการผลิต มาเป็นการขยายอำนาจเหนือดินแดนเพื่อแข่งสถานะความเป็นมหาอำนาจ มาเป็นการรักษาอธิปไตยทางอาหารและความมั่นคงทางพลังงาน หรือเปลี่ยนมาเป็นการสร้างประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทานของระบบการผลิตแบบคาร์บอนต่ำ ลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก หรือเปลี่ยนมาเป็นความต้องการซ่อนสินทรัพย์ความมั่งคั่งจากอำนาจการตรวจสอบติดตามของรัฐ หรือการหลบการถูกแซงก์ชั่นคว่ำบาตรที่รัฐหนึ่งใช้เป็นมาตรการลงโทษอีกรัฐหนึ่ง

จากความต้องการควบคุมและผูกขาดเส้นทางการค้าทางไกล

ภาพแผนที่จาก Simeon Netchev, World History Encyclopedia

มาเป็นการเข้าถึงฐานทรัพยากรและปัจจัยการผลิตเช่นแรงงาน มาเป็นการขยายอำนาจเหนือดินแดนเพื่อแข่งสถานะความเป็นมหาอำนาจ

ภาพจาก Modern World History

มาเป็นการรักษาอธิปไตยทางอาหารและความมั่นคงทางพลังงาน

ที่มาแผนภาพ : International Food Policy Research Institute, FAO

หรือเปลี่ยนมาเป็นการสร้างประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทานของระบบการผลิตแบบคาร์บอนต่ำ ลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก

ที่มาแผนที่ : World Bank, Africa’s Resource Future : Harnessing Natural Resources for Economic – Transformation during the Low-Carbon Transition

หรือเปลี่ยนมาเป็นความต้องการซ่อนสินทรัพย์ความมั่งคั่งจากอำนาจการตรวจสอบติดตามของรัฐ หรือการหลบการถูกแซงก์ชันที่รัฐหนึ่งใช้เป็นมาตรการลงโทษอีกรัฐหนึ่ง

Rattan Khushiram ให้ข้อมูลว่า “Mauritius is ranked 14 out of 64 countries, and is also considered, after the UAE, as having the most aggressive Double Taxation Avoidance Agreements (DTAAs) with Africa.” http://www.mauritiustimes.com/mt/mauritius-a-tax-haven/

จาก Standard of Civilization

ที่มาภาพ: Udo J. Keppler, From the Cape to Cairo: “Though the process be costly, the road to progress must be cut.” Library of Congress Prints and Photographs Division Washington, D.C. 20540 USA http://hdl.loc.gov/loc.pnp/pp.print; Modern World History

มาเป็นภารกิจของคนผิวขาว

ที่มาภาพ: The White Man’s Burden (Apologies to Rudyard Kipling)” Judge, April 1, 1899, Wikimedia Commons; Modern World History

มาสู่การพัฒนาเพื่อความจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

ภาพจาก Polyp

2

การแบ่งชั้นและเขตพื้นที่ภูมิศาสตร์กับการแผ่อำนาจเหนือพื้นที่

ภูมิศาสตร์ไตรภูมิเสนอจินตภาพความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ ที่มีความสัมพันธ์แนวดิ่ง แบ่งเป็นช่วงชั้น เป็นระดับ ซึ่งสำหรับคนอ่านไตรภูมิ บางคนให้ความสำคัญแก่ระดับบน มองไปยังเบื้องบนที่อยู่เหนือมนุสสภูมิขึ้นไป  บางคนให้ความสำคัญแก่ระดับล่างที่อยู่ใต้มนุสสภูมิลงมา และใช้จินตภาพและจิตรกรรมวาดระดับล่างให้เป็นที่สร้างความยับยั้งชั่งใจคนในมนุสสภูมิให้เกิดหิริโอตตัปปะ

แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นโครงสร้างแล้ว การจะเข้าใจในช่วงชั้นใดก็ตาม ต้องพิจารณาโดยลักษณะที่ทั้งหมดนั้นจัดระดับช่วงชั้นประกอบกันอยู่ในโครงสร้างใหญ่ คิดว่าหลักข้อนี้ที่ท่านสอนไว้ในไตรภูมินำมาใช้ได้กับการพิจารณาทุกโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างไตรภูมิในจักรวาลวิทยาโบราณ หรือโครงสร้างของระบบทุนนิยมโลกในจักรวาลของสมัยใหม่

ตามหลักข้อนี้ของท่าน ถ้าจะเข้าใจสวรรค์ของทุนนิยม ก็ควรเข้าใจนรกภูมิของมันอย่างสัมพันธ์กันด้วย จึงเรียกได้ว่าเข้าใจทั้งหมดได้ถ่องแท้ ว่าแต่เรารู้หรือมองเห็นหรือไม่ว่าส่วนเบื้องล่างที่เป็นนรกภูมิของทุนนิยมนั้นอยู่ที่ไหน และผลจากแรงการกระทำแบบไหนของใครผลักคนให้ตกลงไปในนรกภูมิของทุนนิยมโลก หรือการจะฉุดคนขึ้นจากนรกภูมิในโครงสร้างทุนนิยมโลก ตำแหน่งไหนในโครงสร้างจึงมีพลังและความตั้งใจเพียงพอ บางทีคำตอบอาจมีให้ท่านค้นพบได้ที่ไหนสักแห่ง เพื่อการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในความสัมพันธ์เชิงโครงสร้าง และเพื่อหลีกเลี่ยงหนทางพาไปสู่การตกเป็นทาส

ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่อีกแบบหนึ่งในจักรวาลไตรภูมิ คือความสัมพันธ์ที่มองพื้นที่ในแนวระนาบและการประกอบต่อแดนกันในทิศต่าง ๆ ระหว่างพื้นที่เหล่านี้แบบจัดกันเป็นชั้นเป็นวง  จากวงชั้นนอกเข้าสู่วงชั้นใน จากศูนย์กลางเขาพระสุเมรุออกไปหาริมขอบจักรวาล จากกำแพงแก้วตรีบูรเข้าไปสู่ใจเมือง หรือการจะข้ามจากชายขอบชายแดนแสนไกลเข้าไปถึงศูนย์กลางได้ ต้องใช้กำลังระดับพญาครุฑมาพาบินข้ามมหาสมุทร หิมพานต์และมหานทีสีทันดร ครุฑพ่าห์ หรือผู้พาไปให้ถึง ในแง่หนึ่งจึงคือสมรรถนะขีดความสามารถในทางปฏิบัติการสำหรับการดำรงระเบียบและการยังอำนาจให้แผ่ไปเหนือและตลอดทั่วทั้งพื้นที่ ยิ่งพื้นที่กว้างไพศาลเพียงใด  ยิ่งจำเป็นต้องมีพละกำลังสำหรับการแผ่อำนาจในพื้นที่ขยายตามออกไปเพียงนั้น

ปัญหาที่ท่านผูกไว้ในคัมภีร์ไตรภูมิให้เราตามคิดต่อในเรื่องนี้ที่สำคัญประการหนึ่งคือ เมื่อกำลังอำนาจของพญาครุฑนั้นยากจะหาผู้ใดแม้แต่พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ จะสามารถเอาชนะกำลังแห่งพญาครุฑได้ ปัญหาที่ตามมาในทันทีคือ จะมีอะไรมาควบคุมกำลังอำนาจมหาศาลเช่นนี้ได้ หรือหาทางควบคุมได้โดยวิธีใด

ไตรภูมิเสนอคำตอบให้เราคิดตามในเรื่องนี้เหมือนกัน โดยแสดงผ่านวุฒิภาพของผู้ครองพละกำลังขีดความสามารถมหาศาล ว่าพญาครุฑเป็นผู้ที่มีความเคารพยำเกรงต่อสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุด  ขณะเดียวกัน ในเวลาที่มิได้ทรงอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้ครุฑพ่าห์พาให้ไปถึง พระวิษณุเป็นเจ้าทรงให้ครุฑสถิตอยู่ในตำแหน่งที่อยู่สูงกว่าพระองค์ การจัดแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้อำนาจรักษาระเบียบ กับผู้เป็นเจ้าของพละกำลังความสามารถที่จะพาอำนาจให้แผ่ไปได้ตลอดทั่วทั้งพื้นที่สำหรับการรักษาระเบียบไว้เช่นนี้ ตามคัมภีร์โบราณว่าให้ผลเป็นที่เรียบร้อยดี

ภาพจากวิกิพีเดีย

อย่างไรก็ดี คำถามที่น่าตีความกฎทางภูมิรัฐศาสตร์ของจักรวาลวิทยาโบราณเรื่องนี้ข้อหนึ่งคือ ในโลกร่วมสมัย อำนาจของครุฑพ่าห์ หรือโดยนัยนี้คือพลังที่ก่อให้เกิดขีดความสามารถในการแผ่อำนาจการรักษาระเบียบไปเหนือและตลอดทั่วทั้งพื้นที่ได้ย้ายลงมาสถิตอยู่ ณ ที่ใด และมีอะไรเป็นเครื่องควบคุมอำนาจขีดความสามารถที่ว่านี้ให้อยู่ในระเบียบ ระเบียบจะอยู่อย่างเรียบร้อยดีเพียงใด ถ้าไม่มีอะไรเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งผู้ที่มีกำลังอำนาจแผ่ไปได้ตลอดทั่วทุกพื้นที่ให้เคารพระเบียบ

ภาพจากวิกิพีเดีย
ภาพโดย Thomas Jang, UBIQUE, American Geographical Society

ประเทศที่ไม่ให้สัตยาบัน UNCLOS (ภาพจากวิกิพีเดีย)

ประเทศที่เป็นภาคี ประเทศที่ลงนาม ประเทศที่ลงนามแต่ไม่มีความตั้งใจจะเป็นภาคีของสนธิสัญญาว่าด้วยการค้าอาวุธ และประเทศที่มิได้ลงนามแต่แรก (ภาพจาก The Arms Trade Treaty)

3

การดิ้นรนในพื้นที่ซึ่งตกอยู่ในอำนาจของเวลา

การครองอำนาจเหนือพื้นที่ในจักรวาลวิทยาโบราณของไตรภูมิ นอกจากสัมพันธ์กับกฎและอำนาจแล้ว ในทุกหนแห่งยังดำรงอยู่โดยสัมพันธ์กับเวลา การพิจารณาสภาพของความสัมพันธ์บนพื้นที่ ในแง่หนึ่ง จึงคือการติดตามการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และการแปรเปลี่ยนสภาพภายในกรอบเวลาระยะหนึ่ง ไม่ว่ากรอบเวลานี้จะสั้น/นานเพียงใดก็ตาม และการเปลี่ยนแปลงระหว่างกรอบเวลาหนึ่ง ยุคหนึ่ง กับในยุคต่อมา ซึ่งข้อเสนอของโบราณแทบทั้งหมดเมื่อพิจารณาพื้นที่ในสัมพันธ์กับเวลาคือการเห็นและตระหนักในการแปรสภาพ และการเสื่อมถอยลงของสรรพสิ่ง โดยการสิ้นสุดของยุคจะมีภัยพิบัติจากไฟ จากน้ำ จากลม มาเป็นปรากฏการณ์อุบัติขึ้นมาตัดยุค

นอกจากนั้น เราต่างรู้ความจริงในกฎข้อนี้อยู่ว่า ในการครองพื้นที่บนโลก ไม่ว่าจะมากจะน้อย จะปรารถนาพื้นที่กว้างไพศาลเท่ากับสามก้าวย่างของวามนพราหมณ์ หรือจะมีที่อยู่ในความครอบครองเพียงเท่ากระแบะมือ หรือเพียงยาววาหนาคืบ เราก็ครองอยู่ได้เพียงชั่วระยะ แล้วเราก็ตาย และสิ่งที่เราเคยครองอยู่นั้นก็แปรสภาพไป อำนาจเหนือพื้นที่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และการเปลี่ยนสภาพพื้นที่ที่ภูมิศาสตร์กายภาพกำหนดมา ให้มาอยู่ในอำนาจรับใช้ประโยชน์และความปรารถนาของเรา เป็นสิ่งที่เป็นไปได้และใช้เป็นตัววัดความก้าวหน้าในพัฒนาการของสังคมมนุษย์เสมอมา แต่ไม่ว่าจะก้าวหน้ามาสักเท่าไร เราไม่มีอำนาจเหนือเวลาที่พาเดินหน้าสู่อนาคตเรื่อยไป แต่พร้อมกันนั้นเวลาก็ค่อยๆ สาวเราทั้งหมดเข้าไปเป็นอดีต

ในภาพการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ความคิดสมัยใหม่เสนอภาพ technological singularity มาแทนที่ apocalyptic future แบบไตรภูมิ แต่อาจตีความจุดสิ้นสุดยุคแบบไตรภูมิให้เข้ากับข้อเสนอในทาง environmental / ecological singularity ได้ ต่างจาก technological singularity ที่เทคโนโลยีจะพัฒนาก้าวหน้าพามนุษย์ทะยานไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแปลงความหมายของความเจริญไปไว้ที่ตัวเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ ไม่ใช่ที่อารยธรรมมนุษย์ เพราะถึงตอนนั้นมนุษย์สูญเสียความสามารถในการควบคุมเทคโนโลยีไปนานแล้ว

ecological singularity (ภาพจาก Marco Alpini,Does Evolution lead to Singularity?)
นานาทัศนะต่อ technological singularity (ภาพจาก Paul Wallich, IEEE Spectrum)

คำถามในเชิงเวลาต่อสมรรถนะในการครองและควบคุมพื้นที่จึงอาจเป็นการพิจารณาเวลาไม่เพียงแต่ในแบบเส้นตรง เช่นว่าระหว่าง climate apocalypse กับ technological singularity เวลาไหนจะมาถึงก่อนกัน แต่ยังรวมถึงคำถามว่า มนุษย์เข้าใจความสัมพันธ์ส่งผลต่อกันระหว่างการเดินของเวลาทั้งสองแบบนี้ และผลของมันที่มีต่อพื้นที่ต่าง ๆ ดีเพียงใด ระดับความเข้าใจที่มีอยู่ ส่งผลในทางปฏิบัติที่ก่อความเปลี่ยนแปลงแบบไหน อย่างไรบ้าง ในบทก่อนสุดท้าย ที่ทิม มาร์แชลพาเราชมพื้นที่อาร์กติก คำถามชุดนี้น่าถามน่าสำรวจต่ออย่างยิ่งสำหรับคนสนใจภูมิรัฐศาสตร์โลกสมัยใหม่ที่พ้นจากไตรภูมิมานานแล้ว

ภาพจาก RIA Novosti
แผนจาก Visual Capitalist

4

พื้นที่ในจักรวาลส่วนไหนสำคัญอย่างไร?

ในภูมิรัฐศาสตร์สมัยใหม่ คำถามข้อนี้สร้างข้อถกเถียงระหว่างนักคิดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียง 2 คน ให้คนเรียนการเมืองระหว่างประเทศท่องจำกันสืบมา คนหนึ่งคือ Halford Mackinder (1904, 1919) เจ้าของข้อเสนออันเป็นที่รู้จักกันกว้างขวางในการสนับสนุนความสำคัญอำนาจทางบกและแผ่นดินใจกลางยูเรเชียหรือ Heartland: “Who rules East Europe command the Heartland; who rules the Heartland commands the World-Island; who rule the World-Island commands the world.” นักวิชาการอีกคนหนึ่งคือ Nicholas Spykman เสนอความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ของอำนาจทางทะเลและการครอง Rimland คือพื้นที่ในแถบชายฝั่งตลอดแนวยูเรเชีย ในหนังสือ The Geography of the Peace (1944) เขาเสนอมติแย้งความเห็นของ Mackinder ไว้ว่า “Who controls the Rimland rules Eurasia, who rules Eurasia controls the destinies of the world.”

แผนที่ heartland / rimland จากวิกิพีเดีย

ในจักรวาลไตรภูมินั้น แน่นอนว่าเขาพระสุเมรุหรือเขาไกรลาสที่อยู่ใจกลางจักรวาลมีความสำคัญในฐานะที่เป็นศูนย์กลางและที่สถิตของผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุด แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น บางทีในบางตำนานเล่าว่า มีเหตุ ซึ่งบางเรื่องก็เป็นเหตุเล็ก ๆ ที่ออกจะน่าขันด้วยซ้ำในทีแรก มาทำให้เขาพระสุเมรุหรือเขาไกรลาสที่เคยตั้งตรงต้องทรุดเอียงไป เช่น กรณีวิรูฬหกกับตุ๊กแก ทำให้ต้องหาใครที่มีพละกำลังมากพอมาช่วยดัน-ยกให้เขากลับมาตั้งตรงเป็นประธานศูนย์กลางของจักรวาลดังเดิม 

แต่สำหรับมนุษย์ และการจัดการปกครองมนุษย์ที่ต้องออกจากสภาพธรรมชาติเพราะความตกต่ำเข้ามาอยู่ร่วมกันในสังคมภายใต้การปกครองของมหาสมมติราช พื้นที่ชายขอบจักรวาลกลับมีความหมายความสำคัญในฐานะที่มาของกฎหมายที่เป็นหลักของความยุติธรรม มโนสารได้ออกไปคัดพระธรรมศาสตร์จากกำแพงริมขอบจักรวาลมาชำระคดีความให้เกิดความยุติธรรม ในแง่นี้ ภูมิศาสตร์ไตรภูมิได้มอบปริศนาธรรมให้เรามาพิจารณาว่า อำนาจสถิตอยู่ที่ศูนย์กลางจักรวาล แต่ที่มาของหลักความยุติธรรมสำหรับมนุษย์จะหาพบได้จากพื้นที่ชายขอบจักรวาล คำถามร่วมสมัยสำหรับเราคือ เมื่อพื้นที่และอำนาจเหนือพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ครั้งล่าสุดที่มโนสารออกไปยังพื้นที่ชายขอบจักรวาลเพื่อไปแสวงหาหลักความยุติธรรมจากที่นั้นเกิดขึ้นเมื่อใด

การต่อเนื่องส่งผลถึงกันระหว่างพื้นที่ในจักรวาลเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระหว่างที่สถิตของอำนาจในศูนย์กลาง กับที่มาของความยุติธรรมจากชายขอบ จึงเป็นคำถามสำคัญที่จักรวาลวิทยาโบราณวางไว้สำหรับคนสนใจศึกษาความหมายในทางภูมิรัฐศาสตร์

เช่นคำถามว่า ในพื้นที่ระเบียบโลกร่วมสมัย เวลานี้กำแพงจักรวาลสำหรับให้มโนสารสมัยใหม่ออกไปแสวงหากฎจัดความยุติธรรมตั้งอยู่ที่ไหน?

ก.

ภาพจาก Al Jazeera
แผนที่เครือข่ายยาเสพติดในเม็กซิโกจาก The Christian Science Monitor

ข.

ภาพชุมชนที่ตั้งอยู่ภายในรั้วรอบขอบชิดจาก VOID Network
ภาพปัญหาคนไร้บ้านในเมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกาจาก City Journal

ค.

ภาพการพังทลายกำแพงเบอร์ลิน (ที่มา Carol Guzy/The Washington Post/Getty Images)

ง.

แผนที่ยุโรป/รัสเซียที่ไร้ปราการม่านเหล็ก ภาพจาก Encyclopædia Britannica

จ.

“Palestinian children running towards the barrier, August 2004” (ภาพโดย Justin McIntosh)


ไม่ว่าท่านจะวงตัวเลือกคำตอบว่าข้อใดเป็นกำแพงหรืออยู่ตรงกำแพงจักรวาล หรือเห็นว่าข้อใดเป็นศูนย์กลางของจักรวาลของโลกร่วมสมัย ควรกล่าวสรุปในจุดนี้ได้ นั่นคือคัมภีร์ไตรภูมิเสนอภาพให้เห็นว่าในการอยู่ในพื้นที่และอยู่ในเวลา มนุษย์เป็นสัตว์ที่ดิ้นรนแข็งขืนต่อพื้นที่และดิ้นรนรับคำท้าทายจากเวลาตลอดมา เราพบเรื่องราวการดิ้นรนนี้ในปกรณัมอื่นๆ ด้วย รวมทั้งที่เล่าถึงความปรารถนาอ้อนวอนขอพรและการได้รับพรพิเศษมาจากพระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ว่าจะเป็นการแข็งขืนต่อกฎที่ถูกกำหนดมาหรือการได้รับพรจากผู้วางกฎ มนุษย์ก็ได้สิ่งที่ต้องการนั้นมาพร้อมกับการถูกสาปให้ต้องพบกับโศกนาฏกรรมหรือความวิบัติด้วย

เราอาจต้องทำความเข้าใจกฎของธรรมชาติหรือกฎที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เราให้ดียิ่งขึ้นกว่าที่แล้วๆ มา หนังสือของมาร์แชลเล่มล่าสุดพาเราออกจากข้อจำกัดของแรงโน้มถ่วงบนผิวโลกขึ้นสู่อวกาศแล้ว แต่เราจะค้นพบความเข้าใจกฎของธรรมชาติที่นั่นได้หรือไม่ การค้นพบนั้นจะช่วยให้เราจัดความสัมพันธ์ต่อพื้นที่ที่จะนำมาสู่การปรับเปลี่ยนกฎจัดความสัมพันธ์และการปฏิบัติต่อกันบนมนุสสภูมิได้ดีขึ้นจริงหรือไม่ ขอพระผู้เป็นเจ้าในสกลจักรวาลประทานพรแก่ทุกท่านด้วยเถิด


หนังสือประกอบการเขียน

พระญาลิไทย, เตภูมิกถา(นนทบุรี : สำนักพิมพ์ศรีปัญญา, 2564).

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save