เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ผลงานของ ‘ดังตฤณ’ ตีพิมพ์ในปี 2547 นับเป็นหนังสือขายดีข้ามปี คู่กันไปในปีเดียวกัน เข็มทิศชีวิต ที่เขียนโดย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ก็ถือว่าเป็นเบสต์เซลเลอร์ไม่แพ้กัน ผู้เขียนทั้งคู่ต่างก็เป็นฆราวาส หนึ่งคนเป็นชาย อีกหนึ่งเป็นหญิง ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่เอาพุทธศาสนามาเล่าและตีความในส่วนของตนได้อย่างน่าสนใจ จนถึงปี 2550 เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ที่เขียนโดย ดังตฤณ มีจำนวนตีพิมพ์ถึง 44 ครั้ง
ข้อสังเกตก็คือ ผู้แต่งหนังสือสองเล่มที่กล่าวมาล้วนเป็นฆราวาส-ปัจเจกผู้มั่นใจในตัวเอง ในยุคที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวมาแล้ว พวกเขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาดี เห็นโลกกว้าง และผ่านประสบการณ์มาไม่ใช่น้อย ซึ่งต่างไปจากพระสงฆ์ที่ขาดบททดสอบทางโลก ดังนั้นคำสอนหรือตัวบทที่ปรากฏในหนังสือจึงเข้าถึงผู้อ่านได้มากกว่า เนื่องจากมีความสามารถในการเชื่อมโยงด้วยภาษาและท่าทีแบบคนรุ่นใหม่ คนรุ่นนี้ได้อานิสงส์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ เทรดหุ้น ซื้อขายที่ดิน มีไลฟ์สไตล์แบบคนในยุคมิลเลนเนียล สอดคล้องกับเศรษฐกิจขาขึ้นช่วงปี 2545 ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ ปี 2546 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยพุ่งไปถึง 722.15 จุด ถือว่าเพิ่มจากปีก่อนถึงร้อยละ 117 สูงสุดในรอบเกือบ 7 ปีนับจากวิกฤตเศรษฐกิจ ถือเป็นอัตราเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบตลาดทรัพย์อื่นๆ ทั่วโลก[1]
กลับมาที่ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน ดังตฤณ มีพื้นฐานจากครอบครัวชนชั้นกลาง วัยเยาว์ได้รับประสบการณ์ฝึกทักษะต่างๆ เช่น เรียนขี่ม้า ขี่สกู๊ตเตอร์และเรียนกีตาร์คลาสสิค จุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเข้าสู่พุทธศาสนาในเชิงลึกคือความสงสัยในตนเอง ว่าเหตุใดตนจึงท่าดีทีเหลว ต้นแรงปลายแผ่ว เบื่อง่าย และไม่อาจประสบความสำเร็จได้อย่างที่ควรจะเป็น จนในที่สุดก็ได้เชื่อมโยงกับแนวคิดการระลึกชาติ รวมไปถึงการพบว่าไตรปิฎกเป็นคำตอบสุดท้าย คือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอาณุภาพในการให้คำตอบแก่ผู้ตั้งใจศึกษา สำหรับครูบาอาจารย์สายพระสงฆ์ที่เขายึดแนวปฏิบัติ ก็คือหลวงพ่อพุธ ฐานิโย และหลวงพ่อปราโมช ปาโมชฺโช[2]
เนื้อหาในหนังสือแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ นั่นคือ ‘ปฐมบรรพ’ เกิดมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร, ‘ทุติยบรรพ’ ตายแล้วไปไหนได้บ้าง และ ‘ตติยบรรพ’ ยังอยู่แล้วควรทำอะไรดี กล่าวโดยสรุปก็คือการสร้างคำอธิบายชีวิตของมนุษย์ในอดีต อนาคต และปัจจุบันนั่นเอง โดยเฉพาะอดีตคือเรื่องกรรมที่ผ่านมา อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเกิดเป็นมนุษย์, เพศกำเนิด, ปัจจัยที่ทำให้รูปงาม, ร่ำรวย และมีสติปัญญา เหล่านี้มีที่มาจากอะไร
ส่วนชีวิตกับความตายและหลังตาย ก็ทำให้เห็นว่าประสบการณ์ความตายเป็นอย่างไร ตายอย่างไรได้บ้าง การตายแล้วฟื้น หากทำกรรมชั่วจะไปอยู่ภพภูมิต่างๆ ที่ไม่พึงปรารถนาอย่างไร และกล่าวถึงการตายแบบดับขันธปรินิพานอันเนื่องจากหมดกิเลส ในที่สุดก็ได้ย้อนมาถึงปัจจุบันว่าแล้วทุกวันนี้ควรทำตัวอย่างไร หนังสือเล่มนี้จึงถือเป็นการเขียนถึงชีวิตที่ย่อยพุทธศาสนาออกมาให้กระชับ เข้าใจง่าย ด้วยภาษาคนรุ่นใหม่ที่อธิบายได้อย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตามนี่คือตัวบทที่เคยโด่งดังและเป็นนิยมกันในปี 2547
หากใช้สายตาและการรับรู้ของคนในปี 2567 จะพบว่า บางเรื่องกลายเป็นเรื่องที่อาจจะเข้าข่าย ‘เหยียดเพศ กันได้เลย อย่างไรก็ตาม บทความนี้ไม่ได้ต้องการประณามผู้เขียน แต่ชี้ให้เห็นว่า ภายใต้ยุคสมัยต่างๆ คำสอนบางประการ มันไม่ได้อยู่เหนือกาลเวลา คือ มีผิดมีถูกไปตามเรื่องของมัน
ผู้เขียนได้นิยาม ‘ความเป็นหญิง’ ไว้ในฐานะเพศที่มีข้อเสียเปรียบโดยธรรมชาติ คือ ร่างกาย “อ้อนแอ้นอรชรเหมือนหยดน้ำ ร่างกายชายแข็งแรกหนักแน่นเหมือนต้นไม้” ลำบากในการเข้าห้องน้ำมากกว่า มีประจำเดือน มีภาระอุ้มท้อง เขายังเชื่อด้วยว่า “ผู้หญิงแม้สวยและทรงเสน่ห์ดึงดูดใจขนาดไหน หากถามเอาความรู้สึกจากใจแล้ว ส่วนใหญ่ก็พูดตรงกันเป็นเสียงเดียวว่า อยากเกิดเป็นผู้ชาย หรือแม้พวกที่เรียกร้องสิทธิสตรีนั้น ให้เอาหัวใจมาพูดแล้วอยากเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ตอบอีกว่าอยากเป็นผู้ชาย” [3]
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้เขียนยังขยี้ไปอีกว่า เหล่าสตรีมีความโน้มเอียงจะแสดงกิเลสที่แตกต่างจากเพศชายไปในทางที่แย่กว่าอย่างไรด้วย นั่นคือ เกี่ยวกับความโลภฝ่ายหญิงจะ “คิดเล็กคิดน้อยมากกว่า” ด้านความโกรธ ฝ่ายหญิงจะ “มีปมด้อยอยากเอาชนะมากกว่า คือ คิดรักษาหน้า” ผู้เขียนกล้าที่กล่าวอีกว่า “ในทุกการโต้เถียง ผู้หญิงเป็นฝ่ายพูดคำสุดท้ายเสมอ หากฝ่ายชายหาญจะพูดต่อจากนั้น นั่นหมายถึงการตั้งต้นโต้เถียงกันใหม่” ส่วนด้านโมหะนั้น ฝ่ายหญิงยังยอมรับความจริงได้ยากกว่าเช่นกรณีสังขารต้องโรยรา ตนต้องสวย ผมดำ ต้องเต่งตึงอยู่เสมอ สรุปว่า วิสัยหญิงมีโอกาสเห็นผิดเป็นชอบด้วยอารมณ์มากกว่าชาย[4]
ข้อเสียเปรียบดังกล่าวกลับมาที่คำถามว่า “ทำไมมนุษย์ถึงเกิดมาเป็นหญิง?” การที่เราเกิดมาเป็นหญิงนั้น หากไม่ปรับปรุงพื้นฐานให้ดีขึ้น ก็มีแนวโน้มว่าชาติหน้าจะเป็นหญิงต่อไป ส่วนชายหากประพฤติตัวแย่ ก็มีแนวโน้มจะกลายเป็นเพศหญิง[5] ดังนั้น กรรมจึงเป็นตัวกำหนดเพศว่าจะอยู่ในเพศที่สูงกว่าอย่างเพศชาย หรือเพศที่ต่ำกว่าอย่างเพศหญิง
การจะทำตัวให้ดีก็คือการทำบุญที่เป็นการสลัดโลภะ โทสะ และโมหะออกไป ดังตฤณยังไม่วายที่จะกำหนดความแตกต่างของการทำบุญระหว่าง 2 เพศ ที่แฝงฝังไปด้วยความคิดแบบชายเป็นใหญ่ คือ ฝ่ายชายหากศรัทธาในการทำบุญแล้วจะหนักแน่นไม่โลเล ขณะที่ฝ่ายหญิงจะขาดสมาธิ คลอนแคลนในบุญ โลเล ฝ่ายชายยังคิดเริ่มทำบุญด้วยตัวเอง ขณะที่ฝ่ายหญิงจะรอให้ถูกชวนก่อน ผู้เขียนก็ออกตัวไว้ว่าร่างกายจะเป็นชายหญิงอาจไม่เกี่ยว แต่อาการดังกล่าวนั้นฝ่ายที่มั่นคงกว่าคือ การทำบุญ ‘เยี่ยงบุรุษเพศ’ ที่สูงกว่าการทำบุญ ‘อย่างหญิง’[6]
ไม่เพียงการทำบุญที่จะสร้างกรรมดีไปกำหนดเพศ พฤติกรรมในกามก็เป็นตัวกำหนดเช่นกัน หากใครประพฤติละเมิดศีลข้อ 3 ก็ควรจะไปเกิดเพศหญิงในชาติหน้า เขามองว่า หากเป็นชายจะมีความมั่นคงเด็ดเดี่ยวกว่าหากถูกเย้ายวน เมื่อเทียบกับหญิงจะปล่อยใจให้โอนอ่อนไปหา “กามารมณ์นอกขอบเขตได้เรื่อยๆ” ฝ่ายชายยังไม่คิดอยากลองของแปลกใหม่ ไม่พาตัวไปในสถานการณ์ล่อแหลม ขณะที่หญิงอยากลองของแปลกใหม่[7] ลักษณะเช่นนี้ยังเป็นแค่อาการทางใจ เขาถึงกับกล่าวว่า “ถ้าเกินเลยออกมาเป็นการกระทำทางกาย…ปล่อยตัวปล่อยใจบ่อยๆ จนขาดความละอาย จะไม่มีสิทธิ์แม้มาถือกำเนิดเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ” [8] แย่กว่านั้นคือ แม้จะเป็นหญิงที่ภักดีซื่อสัตย์กับสามีจนอยากติดตามสามีไปทุกภพทุกชาติก็ “มีสิทธิ์ทำให้เกิดเป็นหญิงไปเรื่อยๆ ได้เหมือนกัน”
การตีความสัดส่วนกรรมชั่วที่เกี่ยวกับเพศ เห็นได้ชัดจากการตีความและสร้างเกณฑ์ของการละเมิดศีลข้อ 3 กาเมสุมิจฉาฯ เขามองว่าเกณฑ์ใช้ความละอายต่อบาปเป็นเครื่องชี้ และมองว่า “หญิงชายไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกันโดยธรรมชาติ เว้นแต่จะเป็นเจ้าของกันและกัน หรือผู้เป็นเจ้าของยินยอมโดยดี” ดังนั้นทุกสัมผัสนอกเหนือนี้ หากแตะต้องบุคคลมีเจ้าของด้วยความกำหนัดถือเป็นการประพฤติผิดในกามทั้งสิ้น เขาได้แบ่งความด่างพร้อยเป็น 6 ระดับ นั่นคือ 1) หอมแก้ม ใจเขายินดีทางเพศ ใจเราไม่ยินดีทางเพศ ด่างพร้อย 10% 2) หอมแก้ม ใจเขายินดี ใจเรายินดี 20% 3) จูบปาก ใจเขายินดี ใจเราไม่ยินดี 50% 4) จูบปาก ใจเขายินดี ใจเรายินดี 80% 5) เปลือยกายกอดจูบลูกไล้ตลอดจนหลั่งภายนอก ยินดีหรือไม่ยินดี ก็ 90% อาจรวมถึงการใช้โอษฐกาม 6) อวัยะเพศเข้าถึงกัน ยินดีหรือไม่ยินดี ถือเป็น 100%[9]
นอกจากภัยในปัจจุบันจากความตึงเครียดและขัดแย้งแล้ว หากดูการข้ามภพข้ามชาติจะเห็นว่าการร่วมผิดประเวณีกันมา ชาติหน้าชายจะเกิดเป็นหญิง แล้วอาจมาเจอ ‘คู่บาปเก่า’ ซึ่งก็ยังเป็นหญิงอยู่ เมื่อพบกันก็ดึงดูดกันกลายเป็น ‘หญิงรักหญิงชนิดจริงจัง รู้ทั้งรู้ว่าฝืนธรรมชาติ’ หรือกรณีนักเลงผู้หญิงที่ลักกินโดยปราศจากความละอาย ชาติต่อไปก็จะเป็น ‘ความน่าอับอายถึงขีดสุด’ คือ “หากได้รูปกายเป็นชายก็จะมีใจเป็นกะเทยตั้งแต่จำความได้ ไม่ใช่มาชอบใจเป็นกะเทยด้วยกรรมใหม่” หากพวกเจ้าชู้ร่วมลักลอบร่วมประเวณีลูกเขาเมียใครไม่เลือก แต่ยังพอมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีคือ กล้าทำกล้ารับ ก็จะเกิดใหม่ ‘เป็นชายแต่กายเป็นหญิง’ ประเภท “ผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่ออกแนวทอมบอยจะชอบหว่านเสน่ห์ไปทั่ว นี่ก็เป็นนิสัยเก่าที่เคยเจ้าชู้มามากนั่นเอง” [10] นั่นคือ ทอมจะมีกรรมเก่ามาจากการเจ้าชู้ แต่ที่กรรมหนักกว่าคือ กะเทย
ส่วนการดูหนังโป๊หรือสื่ออนาจาร แม้จะไม่ผิดศีล แต่หากหมกมุ่นเกิดเหตุและจมอยู่กับรูปสตรีทำให้จิตเคลื่อนไป “อยู่ในภพของสตรีได้” [11]
นอกจากนั้นก็ยังอธิบายกรรมที่ทำให้เกิดมาสวย-หล่อ รวย ฉลาด ดังนั้นความเป็นชาย ความสวย-หล่อ รวย ฉลาด จึงเป็นคุณลักษณะอันน่าพึงประสงค์กว่าสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม บรรพแรกที่ว่าด้วยอดีตเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดของหนังสือคือราว 160 หน้า
ส่วนอนาคตของชีวิตจะสัมพันธ์กับชื่อหนังสือ นั่นคือ คำถามว่า “ตายแล้วไปไหนได้บ้าง?” ผู้เขียนก็พยายามชี้ให้เห็นว่า หลังจากตายแล้วหวยชีวิตก็อาจออกได้ทุกด้าน นำไปสู่การพรรณนาเกี่ยวกับความตายในหลายรูปแบบเพื่อแสดงให้เห็นถึงลักษณะการตายที่จะนำไปสู่โลกหลังความตายอันแตกต่างกันไป กรณีการถูกประหารด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าจะส่งผลให้เจ็บปวดทรมานและจะทำให้วิญญาณเคลื่อนไปสู่ภพต่ำ ยิ่งการลงโทษนี้มาจากการถูกตัดสินจากการกระทำอาชญากรรมที่ร้ายแรงด้วยแล้วก็ยิ่ง ‘สาสม’ ต่อสิ่งที่เคยก่อกรรมทารุณต่อผู้อื่น ส่วนโรคเอดส์ก็ชี้ให้เห็นถึงโรคร้ายที่ทำให้ทุกข์ทรมานตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงระยะสุดท้าย ขณะที่การบาดเจ็บฉับพลันก็แสดงให้เห็นอาการที่หลากหลายตั้งแต่การเกิดบาดแผลในสมอง ไขสันหลัง หัวใจ หลอดเลือด การเสียชีวิตในระยะยาวที่ทนได้นานและเกิดการล้มเหลวของอวัยวะสำคัญ จนถึงช็อกจากการติดเชื้อ ขณะที่การจากไปด้วยโรคชรา นอกจากลักษณะทางชีววิทยาแล้วยังสัมพันธ์กับประสบการณ์ส่วนตัว ที่อาจไม่ทำให้ตายอย่างสงบได้
กรณีความตาย ผู้เขียนพยายามใช้ศัพท์ทางการแพทย์และศัพท์สมัยใหม่กำกับด้วย ‘ภาษาอังกฤษ’ หรือการอ้างอิงหนังสือเพื่ออธิบายความตาย ทำให้ดูน่าเชื่อถือกว่าส่วนที่พยายามตีความเรื่องชาย-หญิงด้วยประสบการณ์ตัวเองและอาจเป็นความรู้ก่อนศตวรรษที่ 20 ด้วยซ้ำ ทั้งที่ความรู้ทางด้านสังคมวิทยา-มานุษยวิทยาเกี่ยวกับเพศนั้นไปไกลกว่าการมองเพศอย่างแบ่งขั้วดังกล่าวแล้ว
ภาคที่ว่าด้วยความตายนั้น มีนัยที่สื่อก็คือ กรรมดีที่ทำมาและช่วงดับจิตนั้นจะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะไปเกิดเป็นอะไร ช่วงเปลี่ยนผ่านนั้น กรรมต่างๆ ที่เคยกระทำมาจะปรากฏและจะส่งผลให้ตัวเราเป็นอย่างไรในชาติภพหน้า ดังนั้น การตายคือการเกิดใหม่ในสังสารวัฏ หากไม่สามารถตัดทุกอย่างไปถึงขั้นอรหันต์ได้ สังสารวัฏจึงเป็นที่รองรับการเกิดใหม่ในภพภูมิต่างๆ ของสัตว์โลก ซึ่งผู้เขียนแบ่งเป็นไตรภพ ตั้งแต่ ‘กามภพ’ ที่รวมเหล่ามนุษย์ เปรต สัตว์นรก รวมถึงเทวดา ส่วน ‘รูปภพ’ คือ ผู้เข้าถึงฌานที่ยังมีรูปกาย และ ‘อรูปภพ’ คือ เข้าถึงอรูปฌานพ้นจากรูป ภพหมายถึงสภาพแวดล้อม ขณะที่ภูมิหมายถึงระดับชั้นแห่งจิต ซึ่งจะแบ่งเป็นกามาวจรภูมิ, รูปาวจรภูมิ, อรูปาวจรภูมิ และโลกุตตรภูมิซึ่งหมายถึงระดับนิพพาน ดังนั้น การบรรลุก็คือ การหลุดพ้นจากไตรภพนั่นเอง บรรพที่สองมีเนื้อหาอยู่ราว 100 หน้า
ส่วนสุดท้ายคือ ปัจจุบัน มีเนื้อหาน้อยที่สุดคือ ราว 60 หน้า เพื่อสอนว่า ขณะที่เรามีชีวิตอยู่ควรจะทำอย่างไรดี คำถามที่กระตุ้นและเหมาะสมกับคนรุ่นใหม่อย่างยิ่งก็คือ “ทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่เพื่อใคร” ซึ่งเป็นคำถามใกล้ตัว ส่วนอีกคำถามหนึ่งคือ “ทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ความเชื่อแบบใด” อันเป็นคำถามที่ชี้ชวนให้ผู้อ่านรู้จักตัวเอง[12] ผู้เขียนถ่อมตนว่าหนังสือเล่มนี้เป็น “แผนที่ภพภูมิอย่างคร่าวๆ” [13] แสดงเส้นทางหลักที่บอกไว้ไม่กี่สายพอให้รู้เส้นทางเดินทาง พระพุทธเจ้าคือผู้สร้างแผนที่ การเดินทางต้องใช้วิธีพิเศษ คือ ขึ้นอากาศยานลอยไปเหนือพื้นดินเพราะเส้นทางนั้นเปรียบเขาวงกต วิธีนี้อุปมาเทียบได้กับ ‘ความเห็นแจ้ง’ รู้ไปตามความจริง[14]
สรุปคือ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน เน้นการปฏิบัติธรรมเพื่อเข้าสู่ชีวิตอุดมคติ โดยชี้ให้เห็นหนทางที่ดูเรียบง่ายที่สุด คือการรู้ตามความเป็นจริงด้วยสติปัฏฐาน 4 นั่นคือ กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อการเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคมี และอรหันต์ และเข้าสู่นิพพาน
ท้ายเล่มมีการกล่าวไว้ว่า หากมาถึงวันสุดท้ายของชีวิต สิ่งสำคัญคือความน่าเสียดายที่ไม่ได้ศึกษาพุทธพจน์, ไม่เลื่อมใส, ไม่ปฏิบัติตาม และไม่ต่อเนื่องจนถึงฝั่ง ขณะที่ “เสียดาย…คนตายไม่ได้อ่าน” นั้น ถือเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความน่าเสียดายต่อการไม่เข้าใจธรรมะในพุทธศาสนาและปฏิบัติให้ถึงเป้าหมายสุดท้ายนั่นเอง ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้คือ พยายามอธิบายพุทธศาสนาในอีกรูปแบบหนึ่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงธรรมะได้ง่าย สอดคล้องกับยุคสมัยที่เศรษฐกิจฟื้นตัว ผู้คนมีความมั่นใจมากขึ้น การสอนธรรมะไม่จำเป็นจะต้องมาจากพระอย่างเดียว
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าปัญหาสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือการตีความและอธิบายอย่างไม่ได้สัดส่วนในประเด็นเพศ ความเป็นชาย-ความเป็นหญิงของผู้เขียนอาจมีข้อจำกัดด้านความรู้ทางสังคมศาสตร์ที่ช่วยให้เข้าใจโลกมนุษย์ที่เป็นปุถุชนได้มีมิติที่ซับซ้อนมากกว่าการใช้ประสบการณ์ส่วนตัวตัดสินไปอย่างลวกๆ ผิดกับกรณีทางชีววิทยาและการแพทย์ที่ผู้เขียนพยายามอธิบายอิงกับหลักวิชา
ที่ว่า “เสียดาย…คนตายไม่ได้อ่าน” นั้น เราอาจพูดอีกแบบกับผู้เขียนในตอนนั้นว่า “เสียดาย…คนเขียนไม่ได้อ่านงานด้านเพศสภาพมากพอ”
[1] ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, การเดินทางแห่งชีวิต 30 ปี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (กรุงเทพฯ : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, 2548) หน้า 116-117
[2] อาสา คำภา, พุทธศาสนาชนชั้นกลางไทย ทศวรรษ 2500-2550 ว่าด้วยประวัติศาสตร์ ปรากฏการณ์สังคม จริตและอารมณ์
ความรู้สึก (กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.), 2566), หน้า 175-176
[3] ดังตฤณ (นามแฝง), เสียดาย…คนตายไม่ได้อ่าน (กรุงเทพฯ : ดีเอ็มจี, 2547), หน้า 55-56
[4] ดังตฤณ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 56-57
[5] ดังตฤณ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 58
[6] ดังตฤณ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 59
[7] ดังตฤณ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 61
[8] ดังตฤณ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 62
[9] ดังตฤณ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 64-65
[10] ดังตฤณ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 66-67
[11] ดังตฤณ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 67
[12] ดังตฤณ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 304-308
[13] ดังตฤณ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 313
[14] ดังตฤณ (นามแฝง), เรื่องเดียวกัน, หน้า 314-315