ตอนก่อนผมเล่าเรื่องหลัก ‘ผลกระทบสองทาง’ (doctrine of double effects) ที่สามารถแก้ปัญหารถรางได้ในหลายกรณี แต่ดันเจอปัญหาใหญ่เมื่อต้องเผชิญกรณีที่เรียกว่าลูปเคส หรือกรณีรางวน ซึ่งหลักดังกล่าวสร้างคำตอบที่ขัดแย้งกับสามัญสำนึกว่าเราต้องหันรถรางเพื่อช่วยคนห้าคน

ประเด็นทั้งหมดของเรื่องนี้ผมเล่าไปแล้ว แต่ก่อนจะไปกันต่อ ผมอยากชวนผู้อ่านแวะสำรวจข้อถกเถียงในกรณีรางวนเล็กน้อย เพราะข้อถกเถียงนี้เป็นโอกาสอันดีในการทำความเข้าใจว่าปัญหารถรางเขาเถียงกัน ‘อย่างไร’ และ ‘เพื่ออะไร’
หลักผลกระทบสองทาง – ลูปเคส – สามัญสำนึก
เพื่อปูประเด็นผมขอย้อนทบทวนเนื้อหาสั้นๆ ก่อนนะครับ
หลัก ‘ผลกระทบสองทาง’ บอกเราว่าการกระทำบางประการอาจสร้างทั้งผลดีและผลเสีย เช่น การฆ่าเพื่อป้องกันตัว หลักการอนุญาตการกระทำเช่นนี้ได้หาก (1) เจตนาเรามุ่งไปที่ผลลัพธ์ที่ดี (2) เราไม่ได้มุ่งเจตนาไปที่ผลร้าย แต่ผลร้ายเป็นเพียงผลกระทบที่เกิดขึ้น (3) ผลร้ายที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเงื่อนไขจำเป็นของผลดี และ (4) ผลที่ดีมีน้ำหนักเทียบเท่าหรือมากกว่าผลเลวร้าย
หลักนี้ตอบโจทย์เคสรถรางได้ดีในหลายกรณี โดยพื้นฐานแล้วหลักนี้ตอบได้อย่างเบ็ดเสร็จว่าเหตุใดเราจึงหันเบี่ยงรถรางจากคนห้าคนไปชนหนึ่งคนได้ แต่ไม่สามารถผลักคนลงไปให้รถรางชนแล้วหยุดเพื่อช่วยคนห้าคน (เพราะการผลักคนลงไปจะละเมิดเงื่อนไขที่สาม)
ในโลกจริง หลักนี้นำไปสู่คำอธิบายว่าทำไมเราจึงฆ่าเพื่อป้องกันตัวได้ ทำไมการทำแท้งเพื่อช่วยชีวิตผู้เป็นมารดาจึงไม่ผิด รวมไปถึงการจำแนกระหว่างการทิ้งระเบิดเพื่อทางการทหารที่ชอบธรรมและไม่ชอบธรรม และยังเป็นประโยชน์ในกรณีอื่นมากมาย
แต่หลักผลกระทบสองทางดันเกิดปัญหาขึ้นเมื่อเราต้องเผชิญกับกรณีรางวน ในกรณีนี้สามัญสำนึกของคนส่วนมากมองว่าเราควรหันรถหลบคนห้าคนไปชนคนหนึ่ง แต่หลักผลกระทบสองทางกลับบอกว่าไม่ให้ทำ เพราะละเมิดเงื่อนไขที่สามของหลักที่ว่าผลร้ายต้องไม่เป็นเงื่อนไขจำเป็นของผลดี ในกรณีรางวนนี้การชนคนหนึ่งคนแล้วหยุดเป็นเงื่อนไขในการช่วยห้าคน เพราะไม่เช่นนั้น ต่อให้เราเปลี่ยนราง รถรางจะวิ่งวนไปชนคนห้าคนอยู่ดี
ตรงนี้ละครับที่ผมอยากชวนผู้อ่านแวะดู โดยหัวใจสำคัญที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษคือองค์ประกอบสามประการในปัญหาข้างต้น ซึ่งการที่เราเห็นองค์ประกอบเหล่านี้ชัดจะทำให้เห็นว่ายุทธศาสตร์และกระบวนท่าในการถกเถียงปัญหารถรางในแต่ละเรื่องเขาทำกันอย่างไรและเพื่ออะไร
องค์ประกอบที่ว่า ได้แก่
(1) เคสพิจารณา ซึ่ง ณ ตอนนี้คือลูปเคส
(2) สามัญสำนึกทั่วไป สำหรับกรณีลูปเคส การสำรวจทั่วไปบอกว่าสามัญสำนึกในกรณีนี้คือเราต้องหันรถรางไปชนคนหนึ่งคนเพื่อช่วยคนห้าคน
(3) หลักการสำหรับแก้ปัญหา ซึ่งในที่นี้ก็คือหลักผลกระทบสองทาง ซึ่งบอกว่าเราห้ามหันรถรางในกรณีที่ (1)
เมื่อคลี่วิธีคิดเช่นนี้แล้วจะเห็นว่าปัญหาข้อถกเถียงในกรณีนี้เกิดขึ้นก็เพราะ (2) กับ (3) ดันให้ความเห็นตรงกันข้ามกัน
The impossible trinity กับแนวทางการเถียงเรื่องรถราง
เอาเข้าจริงถ้ามีเวลาคลี่ข้อถกเถียงในตอนก่อนๆ ให้ดูเราก็จะพบว่าข้อถกเถียงมักเกิดขึ้นจากการที่องค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งในสามส่วน อันได้แก่ เคส สามัญสำนึก และหลักการไปด้วยกันไม่ได้ มากบ้างน้อยบ้างตามแต่กรณี
ในกรณีหลักผลกระทบสองทางในกรณีรางวนข้างบนถือว่าเป็นการขัดกันอย่างรุนแรง เพราะสามัญสำนึกกับหลักการนั้นเห็นต่างกันแบบประสานงาและประนีประนอมไม่ได้ เหตุผลส่วนหนึ่งที่ผมเลือกเคสนี้มาเพราะความขัดแย้งมันชัดเจนไม่ซับซ้อนนี่แหละครับ (และเถียงกันต่อสนุกด้วย)
ภาพองค์ประกอบสามส่วนที่ขัดแย้งกันตรงนี้ทำเราเห็นชัดขึ้นด้วยว่า เมื่อองค์ประกอบขัดกัน ทางออกได้แก่การกำจัดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งในสามทิ้ง หากไม่ทิ้งหลักการ ก็เปลี่ยนสามัญสำนึกยอมรับการตายของคนห้าคน หรือไม่ก็บอกว่าเคสแบบนี้ไม่ควรนำมาเป็นสาระ
ซึ่งการถกเถียงก็เป็นเรื่องของการหาข้อโต้แย้งมาชักจูงว่าเหตุใดจึงเลือกใช้วิธีไหน ซึ่งเราเถียงได้สามแบบครับ
แบบที่หนึ่ง สู้ว่าหลักการผลกระทบสองทางผิดจึงควรถูกคัดทิ้ง
แนวทางนี้ยืนยันว่าสามัญสำนึกที่ว่าเราควรช่วยคนห้าคนในลูปเคสนั้นถูกต้อง เราจึงต้องหาหลักการใหม่ที่ไม่เพียงให้คำตอบสอดคล้องกับสามัญสำนึกในกรณีอื่นเช่นเดียวกับหลักผลกระทบสองทาง แต่ยังสอดคล้องกับสามัญสำนึกช่วยคนห้าคนในลูปเคสอีกด้วย อันนี้เป็นท่าทีที่ผมเล่าไปแล้วในตอนก่อน
แบบที่สอง ยืนยันรักษาหลักการและเสนอให้เรามองสามัญสำนึกของคนส่วนใหญ่เป็นข้อผิดพลาดและเป็นอุปทานรวมหมู่
แนวทางนี้เป็นไปได้ เพราะสามัญสำนึกของคนส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกเสมอไป เช่น ถ้าเราย้อนอดีตไปถามคนเรื่องระบบทาส คนจำนวนมากก็อาจจะเห็นว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสม จนเวลาผ่านมาเราจึงเห็นข้อผิดพลาดทางสามัญสำนึกของคนในอดีต
ในกรณีลูปเคสก็มีคนเถียงแบบนี้ครับ งานชิ้นหนึ่งที่ผมอ่านแล้วสนุกมากก็คืองานของ Liao Mao นักจริยศาสตร์จากฝั่งอเมริกาที่เขาทำการทดลองแล้วพบว่าสามัญสำนึกของคนส่วนใหญ่ในกรณีรางวนนั้นเชื่อถือไม่ได้ และข้อเท็จจริงอันน่าสนใจคือ Mao พบว่าคนส่วนใหญ่จะตัดสินใจในกรณีลูปเคสอย่างไรนั้น ขึ้นกับว่าเขาคนนั้นได้เรียนรู้เคสรถรางไหนเป็นเคสแรก
จากการทดลองภายใต้ตัวแปรควบคุม Mao พบว่ากลุ่มคนที่รู้จักปัญหารถรางครั้งแรกจากกรณีมาตรฐาน ซึ่งเป็นกรณีที่แทบไม่มีใครคัดค้านว่าต้องช่วยคนห้าคน จะให้คำตอบว่าให้หันรถชนคนหนึ่งคนเพื่อช่วยห้าในกรณีรางวนเช่นกัน

กลับกัน กลุ่มคนที่เริ่มรู้จักปัญหารถรางจากกรณีผลักคนอ้วนลงสะพานให้รถไฟชน ซึ่งพวกเขาทั้งหมดเห็นว่าทำไม่ได้ จะเห็นว่าการหันหัวรถในกรณีรางวนนั้นผิด!

นั่นแปลว่าสามัญสำนึกเราในกรณีรางวนนั้นค่อนข้างเชื่อถือไม่ได้และอาจเป็นเพียงอคติที่เกิดจากการส่งผ่านภาพจำในกรณีอื่นๆ คือจะไปทางไหนขึ้นอยู่กับว่าเราถูกปูพื้นฐานมาอย่างไร
เหตุที่การสำรวจทั่วไปพบว่าสามัญสำนึกคนส่วนใหญ่บอกให้หันรถชนคนหนึ่งคนในรางวน ก็อาจเป็นเพียงเพราะเราส่วนใหญ่เริ่มรู้จักปัญหารถรางจากรณีมาตรฐาน สามัญสำนึกที่ว่าจึงไม่ได้มีความหนักแน่นน่าเชื่อถือใด อย่าว่าแต่มีเหตุผลรองรับซ่อนอยู่
หนักกว่านั้น สมัยผมเรียนปริญญาโทจำได้ว่าอาจารย์ที่สอนส่งเปเปอร์อีกชิ้นมาให้อ่านเพิ่ม โดยเปเปอร์พบว่าการให้คำตอบในกรณีรางวนสัมพันธ์กับระดับแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ตอบอย่างมีนัยสำคัญ!
ข้อค้นพบเหล่านี้อาจนำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า หลักผลกระทบสองทางไม่ได้มีปัญหา สามัญสำนึกต่างหากที่มั่ว
บางคนอธิบายว่าเหตุที่สามัญสำนึกของเรามีปัญหา อาจมาจากข้อเท็จจริงที่ว่ากรณีรางวนนั้นเป็นเพียงการผสมผสานกรณีรถรางมาตรฐานเข้ากับกรณีผลักคนอ้วน จะให้คำตอบอย่างไรขึ้นกับว่าเราตีความเคสนี้ว่าใกล้เคียงฝั่งไหนมากกว่ากันและการตีความเช่นนี้ก็เป็นแนวทางหนึ่งในกระบวนท่าสุดท้าย คือบอกว่าปัญหาไม่ใช่ทั้งเรื่องหลักการและสามัญสำนึก แต่อยู่ที่ความไร้สาระของกรณีรางวนนี่ต่างหาก
บางคนอาจถามง่ายๆ เพื่อชักจูงเราว่า กรณีรางวนตรงกับกรณีไหนในโลกจริงไหนบ้าง? ทุกวันนี้เวลาที่จะเขียนคอลัมน์ผมมักจะนึกก่อนว่ามีเคสจริงอะไรบ้างที่ใช้ยกตัวอย่างกรณีรถราง แต่สองเดือนมานี้ผมก็ยังคิดไม่ออกว่า กรณีศึกษาในโลกจริงของกรณีรางวนคืออะไรและเท่าที่อ่านก็ยังไม่เห็นใครที่ยกตัวอย่างดีๆ ได้
บางคนจึงบอกว่าถ้าเคสมันจะเป็นนามธรรมไม่มีข้อยึดโยงกับโลกขนาดนี้ บางทีสิ่งที่เราต้องคัดทิ้งจากสมการเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งก็คือกรณีรางวนที่ไม่มีสาระนี่แหละ!
นี่แหละครับ ตัวอย่างสามแนวทางในการถกเถียงเรื่องรถราง อย่างที่กล่าวไปว่าข้อถกเถียงก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ก็ลดรูปลงเป็นสามกระบวนท่านี้ได้เช่นกัน
เป้าหมายของการถกเถียงและ ‘ดุลยภาพทางการใคร่ครวญ’
หัวใจของการถกเถียงทั้งหมดของปัญหารถรางคือ การหาหลักการที่เมื่อประยุกต์ใช้กับทุกเคสแล้วให้คำตอบสอดคล้องกับสามัญสำนึก (ในกรณีที่เรามีสามัญสำนึกชัดเจน) เมื่อได้หลักการแล้วเราก็มีเครื่องมือให้ใช้ตัดสินใจในกรณีสีเทาที่สามัญสำนึกเราไม่ชัดเจน
ลองนึกถึงนักฟิสิกส์ที่ศึกษาเรื่องเอกภพนะครับ เขาศึกษาเคสปรากฏการณ์ต่างๆ ค้นพบข้อเท็จจริง (fact) แล้วก็พยายามสร้างหลักการทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น โดยหลักที่สร้างต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ค้นพบ เมื่อได้หลักแล้วก็เอาไปทดลองอธิบายปรากฏการณ์อื่นดูว่าได้คำอธิบายที่สอดคล้องข้อเท็จจริงในปรากฏการณ์ใหม่นั้นหรือไม่ เป้าหมายสุดท้ายของกิจกรรมนี้คือการหาหลักทฤษฎีที่อธิบายได้ครอบจักวาล กล่าวคืออธิบายได้ทุกปรากฏการณ์ ไม่ขัดกับข้อเท็จจริงใด
ในกรณีของเรา สามัญสำนึกทั่วไปทำงานคล้ายข้อเท็จจริงในวิชาฟิสิกส์ บางคนเรียกเชิงเปรียบเปรยว่าสามัญสำนึกคือ moral facts เคสต่างๆ ก็คือปรากฏการณ์ เป้าหมายคือหาหลักที่เมื่อประยุกต์ใช้ในเคสต่างๆ แล้วให้คำตอบไม่ขัดแย้งกับสามัญสำนึกหรือ moral facts ที่ว่า
จะต่างจากฟิสิกส์ก็ตรงที่ในฟิสิกส์นั้นปรากฏการณ์และข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ (อาจพอเถียงได้ว่าวัดมาผิดบ้าง) แต่ในทางจริยศาสตร์ เราสามารถตั้งคำถามท้าทายสามัญสำนึกและเคส เสนอปรับสองสิ่งนี้เพื่อสร้างความสอดคล้องได้หากมีเหตุผลจูงใจดีพอ เราเข้าสู่กระบวนการ ‘impossible trinity’ เลือกคัดทิ้งหนึ่งองค์ประกอบจนกว่าจะถึงจุดที่หลักการ เคส และสามัญสำนึกทั้งหมดสอดคล้องกัน
นักปรัชญาตะวันตกเขาเรียกกระบวนการนี้ว่า ‘การปรับไปปรับมา’ (going back and forth) ระหว่างหลักการ เคส และสามัญสำนึกต่างๆ จนกว่าจะเจอจุดที่ทุกอย่างสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์หรือที่เรียกว่า ‘ดุลยภาพทางการใคร่ครวญ’ (reflective equaribrium) เจอเมื่อไหร่ก็จบ ในกรณีรถรางหลักดังกล่าวก็จะกลายเป็นหลักครอบจักวาลสำหรับชี้ทางในการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมกับจำนวนตัวเลข (ดูตอนหนึ่ง) ซึ่งเป็นหนึ่งในคำถามใหญ่ทางจริยศาสตร์
ในกรณีรางวนนั้น บางคนที่เชื่อว่าสามัญสำนึกผิดหรือเคสไม่มีสาระ เขาก็อาจเชื่อว่าหลักผลกระทบสองทางคือหลัก ‘ดาวรุ่ง’ ที่มีโอกาสรับภารกิจที่ว่า จะใช่หรือไม่ใช่ก็ต้องลองเอาไปทดสอบกับเคสและสามัญสำนึกอื่นต่อไป
แต่ถ้าเชื่อตามคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันว่าหลักนั้นให้คำตอบสวนสามัญสำนึกจึงต้องถูกปรับแก้ เราก็จะก้าวสู่ข้อเสนอเรื่อง ‘ผลกระทบสามทาง’ ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหารางวน ซึ่งผมจะมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไปครับ