‘Traffy Fondue’ การร้องเรียนอาจไม่เพียงพอจะเปลี่ยนเมือง – พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์

Traffy Fondue

การแก้ปัญหา ‘เส้นเลือดฝอย’ ของเมือง คือหนึ่งในประเด็นที่ถูกให้ความสนใจจนกลายเป็นวาระสำคัญของการบริหารกรุงเทพมหานครในยุคของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวคือเป็นการเปรียบเทียบระบบต่างๆ ของเมืองว่าเหมือนกับร่างกายมนุษย์ ที่มีทั้งเส้นเลือดใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ขับเคลื่อนหลัก และเส้นเลือดฝอยที่กระจายไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ

แม้ระบบเส้นเลือดใหญ่ของกรุงเทพฯ จะดูแข็งแรงดี – ไม่ว่าจะเป็นอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ หรือระบบคมนาคมหลัก – แต่กลับพบว่าระบบเส้นเลือดฝอยยังคงมีปัญหา เช่น ท่อระบายน้ำในชุมชนที่อุดตันจนไม่สามารถระบายน้ำไปยังอุโมงค์ขนาดใหญ่ได้

ด้วยเหตุนี้ วาระหลักของชัชชาติในการบริหารเมืองที่เสนอในช่วงการเลือกตั้งจึงเป็นการมุ่งแก้ไข ‘ระบบเส้นเลือดฝอย’ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเขาเชื่อว่าหากกรุงเทพฯ จะดีขึ้นได้ ต้องเริ่มจากจุดเล็กๆ เหล่านี้ก่อน จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ภายหลังชัยชนะอย่างถล่มทลายในสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์จะหยิบเครื่องมืออย่าง Traffy Fondue (ทราฟฟี่ฟองดูว์) มาใช้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย

ระบบรายงานปัญหาออนไลน์ดังกล่าวพัฒนาโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช. หรือ NSTDA) และได้รับการบรรจุไว้ในนโยบาย ‘กรุงเทพฯ 9 ดี’ หรือกรอบการพัฒนา 9 มิติของเมือง เพื่อเชื่อมต่อเสียงของประชาชนเข้ากับระบบราชการโดยตรง ให้ปัญหาเล็กๆ ที่เคยเงียบงันตามซอกหลืบของเมือง มีโอกาสได้ส่งเสียงและได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมและทันท่วงที โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มงบประมาณในการจัดการ

นอกจากนี้ ประชาชนสามารถติดตามความคืบหน้าและเข้าถึงสถิติการแจ้งปัญหาทั่วกรุงเทพฯ ได้ด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันข้อมูลจากแพลตฟอร์มนี้ยังถูกใช้ประกอบการประเมินผลการทำงานของผู้อำนวยการเขตหรือแม้แต่ตัวผู้ว่าฯ กทม. เองในอนาคต

หากนับตั้งแต่เริ่มใช่งานในปี 2565 จวบจนปัจจุบันนี้ (กรกฎาคม 2568) มีการร้องเรียนจากประชาชนที่เข้ามาสู่ระบบดังกล่าวกว่า 1,032,359 เรื่องแล้ว โดยที่ครั้งหนึ่งชัชชาติเคยให้สัมภาษณ์กับวันโอวันถึงแพลตฟอร์มดังกล่าวว่า “พลังที่สำคัญของ Traffy Fondue คือมีความเป็นประชาธิปไตย ทุกคำร้องเท่าเทียมกันหมด ไม่มีเรื่องของเส้นสาย และเป็นแนวคิดของการทำงานแบบเส้นเลือดฝอย สุดท้ายถ้าทั้งประเทศใช้ระบบนี้มันจะกลายเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงกันหมดเลย เป็นพลังที่เสริมให้เราตอบสนองประชาชนได้ดีขึ้น เป็นแพลตฟอร์มที่ให้อำนาจแก่ประชาชน”

ตั้งแต่วันแรกที่ชัชชาตินำแพลตฟอร์มดังกล่าวเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือจัดการปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ของเมือง ไม่ว่าจะเป็นท่อแตก ทางเท้าชำรุด ถนนพัง หรือน้ำท่วม ส่งผลให้ประชากรในกรุงเทพมหานครมักใช้ในการร้องเรียนสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็น ‘ปัญหาของเมือง’ ที่อยู่ตรงหน้า โดยคาดหวังว่าปัญหาที่พวกเขาขัดข้องหมองใจจะถูกแก้ไขได้

จนถึงวันนี้ที่เขากำลังนั่งเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในปีสุดท้าย (ของวาระแรก?) การแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนใน Traffy Fondue เองก็ได้รับทั้งเสียงชื่นชมและคำวิจารณ์ไม่ต่างจากการบริหารงานของชัชชาติตลอดเส้นทางการดำรงตำแหน่ง จึงถือเป็นโอกาสอันดีในการถอดบทเรียนจากประสบการณ์ที่ผ่านมา และตั้งคำถามสำคัญเกี่ยวกับขอบเขตของแพลตฟอร์มว่ามีข้อจำกัดอย่างไรในการแก้ไขปัญหาเมืองในอนาคตผ่านมุมมองของ ผศ.ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เพราะบางปัญหาของเมืองอาจซับซ้อนเกินกว่าที่เทคโนโลยีเหล่านี้จะแก้ไขได้อย่างสิ้นเชิง

‘ตัดต่อภาพ-ใช้ภาพเก่า’ : ปัญหาที่สะท้อนว่าเมืองซับซ้อนเกินกว่าจะแก้ไขด้วย Traffy Fondue

ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก แพลตฟอร์ม Traffy Fondue กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ภายหลังมีการร้องเรียนเรื่องการจอดรถจักรยานยนต์บนทางเท้า แต่เจ้าหน้าที่เทศกิจที่รับผิดชอบกลับใช้ภาพตัดต่อในการตอบกลับข้อร้องเรียนดังกล่าว ขณะเดียวกันประชาชนจำนวนไม่น้อยยังออกมาเล่าประสบการณ์เชิงลบในการใช้แพลตฟอร์มนี้เพิ่มเติมอีกด้วย เช่น การแก้ไขปัญหาที่ล้าช้า หรือการใช้ Google Maps ในอดีตเพื่อตอบกลับ เป็นต้น

หลายฝ่ายจึงเรียกร้องให้มีการลงโทษเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กระทั่งกรุงเทพมหานครออกมาชี้แจงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ว่า “กทม. ไม่นิ่งเฉย สั่งลงโทษเจ้าหน้าที่ ใช้ภาพตัดต่อรายงานผล Traffy Fondue พร้อมประสานด่วน สวทช. พัฒนาระบบกรองภาพปลอม เร่งฟื้นความเชื่อมั่นประชาชน”

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ในมุมมองของพิชญ์สะท้อนให้เห็นว่า ‘การคอร์รัปชันมีการปรับตัว’ กล่าวคือเพียงแค่ปิดเรื่องร้องเรียนของประชาชนให้เป็นสถานะ ‘เสร็จสิ้น’ ก็ไม่ได้หมายความว่ามีกลไกเข้าไปตรวจสอบการทำงานเหล่านั้นอย่างเป็นรูปธรรม สะท้อนให้เห็นว่าหน่วยงานในแต่ละเขตของกรุงเทพฯ ยังขาดความเข้มแข็งในการกำกับดูแล ซึ่งแม้ประเด็นเหล่านี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็เป็นหน้าที่ของทีมผู้บริหารเมืองที่ต้องเข้ามารับผิดชอบตรวจสอบให้จริงจัง

สำหรับพิชญ์ แม้ว่าเครื่องมือจะเป็นหนึ่งในกลไกที่ช่วยให้ประชาชนรู้สึกว่าตนเองมีอำนาจในการร่วมจัดการเมือง ทั้งในด้านการร้องเรียนและแจ้งปัญหาที่ตนเผชิญ แต่เครื่องมือดังกล่าวยังคงมีข้อจำกัดและไม่สามารถตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเมืองได้อย่างแท้จริง โดยสามารถจำแนกได้ออกเป็นสองด้าน ได้แก่ ความแปลกแยก (alienation) และการกดขี่ (exploitation)

ในฝั่งของชนชั้นกลาง ปัญหาใหญ่ของพวกเขาต้องเผชิญคือ ‘ความแปลกแยก’ เช่น การขาดแคลนพื้นที่สาธารณะ การไร้ซึ่งความหมายของการอยู่ร่วมในเมือง ความรู้สึกว่าเมืองไม่น่าอยู่ เมืองไม่สร้างสรรค์ หรือเมืองขาดอัตลักษณ์ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงกายภาพที่ระบบการร้องเรียนพอจะมีบทบาทในการแก้ไขได้

แต่ในอีกด้านหนึ่งเมืองยังมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการกดขี่ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อชนชั้นล่าง เช่น ปัญหาความยากจนในเมือง ซึ่งเป็นเรื่องของการกดขี่และอยู่นอกเหนือขอบเขตที่ระบบรายงานปัญหาออนไลน์จะสามารถจัดการหรือแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ พิชญ์มองว่าที่ผ่านมากรุงเทพมหานครสามารถแก้ไขปัญหาของชนชั้นกลางได้เป็นส่วนใหญ่ แต่กลับไม่สามารถแก้ไขปัญหาของชนชั้นล่างที่เผชิญในเมืองได้

“หากลองสังเกตจะพบว่าการแก้ปัญหาความยากจนในประเทศไทยมักถูกยกให้เป็นวาระแห่งชาติ แต่เมื่อหันกลับมามองในระดับกรุงเทพมหานครกลับพบว่าปัญหาดังกล่าวแทบไม่ได้รับความสนใจ และน้อยครั้งที่จะมีนโยบายที่มุ่งแก้ไขปัญหาความยากจนในเมือง ทั้งที่ไม่ว่าเราจะมองไปยังจุดใดของเมืองก็สามารถพบเห็นความยากจนได้ทั่วไป

แต่ที่ผ่านมาวาระหลักของกรุงเทพฯ มักเน้นไปที่การแก้ปัญหาความแปลกแยกของเมือง เช่น การพัฒนาเมืองสีเขียว หรือการออกแบบเมืองที่เอื้อต่อการเดินเท้า มากกว่าการรับมือกับปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างความยากจน ราวกับพวกเขาเหล่านี้ไม่มีคะแนนเสียงและไม่ได้เป็นประชากรของเมืองอย่างแท้จริง โดยมองว่าปัญหาที่พวกเขาเผชิญไม่ได้เป็นปัญหาที่สำคัญในเมืองมากเท่าไหร่นัก” พิชญ์กล่าว

นอกจากนี้ เขายังยกตัวอย่างเพิ่มเติมผ่านเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับการร้องเรียนเรื่องการจอดรถจักรยานยนต์บนทางเท้า โดยตั้งข้อสังเกตว่า หากเราไม่ได้มองเพียงแค่ว่าการที่มีรถจักรยานยนต์ขึ้นมาจอดบนทางเท้าเป็นเรื่องของความไม่รับผิดชอบ การร้องเรียนดังกล่าวอาจกำลังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ลึกกว่านั้น เช่น เมืองแห่งนี้มีพื้นที่รองรับสำหรับการจอดรถจักรยานยนต์เพียงพอหรือไม่?

“แน่นอนว่ารถจักรยานยนต์คันนั้นอาจจอดผิดที่ผิดทาง แต่อาจต้องตั้งคำถามว่าผู้ขับขี่เหล่านั้นทำอาชีพอะไร ทำไมเมืองที่มีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์มากกว่ารถยนต์แต่กลับไม่มีพื้นที่จอดรถที่มากเพียงพอ ทำไมจุดกลับรถของรถจักรยานยนต์ต้องกลับรถเลนขวาทั้งที่การเบี่ยงขวาอาจทำให้ประสบอุบัติเหตุได้ง่าย หรือเมืองออกแบบความปลอดภัยบนท้องถนนของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์อย่างไร”

พิชญ์ตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมาการรายงานในระบบ Traffy Fondue ไม่ได้นำไปสู่การพูดคุยในสภากรุงเทพฯ หรือการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายของเมือง กล่าวคือระบบการร้องเรียนดังกล่าวไม่สามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในเมืองได้ จนท้ายที่สุดรถจักรยานยนต์กลายเป็นเหมือนผู้ร้ายของเมืองเสมอมา ทั้งที่หลากหลายเมืองในโลกต่างให้ความสนใจอย่างเท่าเทียมกัน เช่น ไต้หวันมีเลนของรถจักรยานยนต์ หรือประเทศเวียดนามและกัมพูชาก็มีระบบจัดการการจอดรถของรถจักรยานยนต์ที่ดีได้

เขายืนยันว่าไม่ได้หมายถึงผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ต้องถูกเสมอ เพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่าพวกเขาต้องเผชิญกับ ‘เงื่อนไข’ มากมายในการใช้ชีวิตในเมือง และคำถามคือเมืองเคยพยายามแก้ปัญหาเหล่านี้ให้พวกเขาหรือไม่?

เนื่องจากที่ผ่านมาเมืองกลับละเลยและไม่เคยออกแบบหรือนำนโยบายใดมารองรับการใช้ชีวิตของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่จอดรถ ความปลอดภัยในการขับขี่ หรือระบบคมนาคมที่เชื่อมต่อกันได้จริง กล่าวคือเราอาจกำลังจินตนาการ ‘เมืองในฝัน’ ที่ประชากรมีทางเลือกเพียงแค่เดิน ขับรถยนต์ หรือขึ้นรถไฟฟ้า ขณะที่การเดินทางรูปแบบอื่นๆ อย่างจักรยานยนต์หรือรถโดยสารประจำทางกลับถูกมองข้าม จึงทำให้ประชาชนจำนวนมากที่พึ่งพาการเดินทางแบบเหล่านี้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

เมื่อเทคโนโลยีอาจไม่ใช่ ‘คำตอบเดียว’ ของการพัฒนาเมือง

ที่ผ่านมาประชากรในกรุงเทพมหานครมักใช้เครื่องมืออย่าง Traffy Fondue ในการร้องเรียนสารพัดปัญหาที่พวกเขามองว่าเป็นปัญหาของเมือง กล่าวคือเครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือในการสร้างการมีส่วนร่วมของประชากรกับเมือง (citizen engagement) มากขึ้น กล่าวคือทำให้คนรู้สึกว่าตนมีสิทธิมีเสียงในเมืองมากขึ้น และเสียงร้องเรียนของตนได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม

แต่ในอีกด้านหนึ่ง พิชญ์มองว่าหลายปัญหาไม่ได้เกิดจากกายภาพของเมืองเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นเรื่องของความขัดแย้งในชีวิตของผู้คนซึ่งเป็นปัญหาที่ซับซ้อนจนไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยระบบรายงานปัญหาออนไลน์ แต่ต้องเป็นการแก้ปัญหาที่ ‘คนแก้ปัญหา’ เช่น ปัญหาหาบเร่แผงลอย หรือคนไร้บ้าน โดยที่เมื่อปัญหาเหล่านี้ถูกจัดการด้วยการร้องเรียนผ่านเครื่องมือดังกล่าวอาจกลับนำไปสู่การสร้าง ‘ปัญหาและความขัดแย้งใหม่’ ที่อยู่นอกสายตาของผู้ร้องเรียน

“ลองจินตนาการว่า ผู้คนใช้เครื่องมือดังกล่าวไปร้องเรียนสิ่งที่ไม่ถูกใจ หรือมองว่าคนบางกลุ่มไม่ควรอยู่ในพื้นที่หนึ่งของเมือง มันอาจสร้างความเลวร้ายอย่างยิ่ง สมมติว่าคุณร้องเรียนเรื่องขอทานผ่าน Traffy Fondue แต่คุณเคยติดตามผลหรือไม่ว่าเจ้าหน้าที่แก้ไขอย่างไร? เขาพาไปที่ไหน เขาทำอะไรกับคนเหล่านั้น? คุณไม่มีทางรู้ได้เลยว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาที่อยู่นอกสายตาของคุณมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด? โดยที่ระบบนี้ตอบได้เพียงว่า ‘แก้ไขเสร็จสิ้นแล้ว’ เท่านั้น”

พิชญ์อธิบายว่า หากวิธีการร้องเรียนและแก้ปัญหาในเมืองดำเนินไปเช่นนี้ เมืองอาจถูกครอบงำด้วยความคิดแบบ ‘เมืองอัจฉริยะ’ (smart city) เพียงมิติเดียว กล่าวคือเมืองที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นกลไกหลักในการบริหารจัดการ โดยที่เทคโนโลยีถูกทำให้กลายเป็น ‘คำตอบหนึ่งเดียว’ ทุกอย่างถูกตัดสินด้วยตัวเลข และผู้คนที่ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือมีมูลค่าน้อยต่อเมืองก็จะถูกกดทับมากขึ้น สุดท้ายเมืองก็อาจไม่ใช่เมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน

“เมื่อเกิดปรากฏการณ์ที่ประชาชนรู้สึก ‘คลั่ง Traffy Fondue’ คือใช้ระบบร้องเรียนทุกเรื่องที่พบเจอ แต่ระบบกลับไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อจัดลำดับความสำคัญของปัญหา ผลคือหลายครั้งผู้ร้องเรียนเกิดความรู้สึกว่าทำไมเรื่องที่แจ้งไม่ถูกแก้ไข อาจทำให้หน่วยงานรัฐต้องเร่งดำเนินการอย่างรีบเร่งหรือไม่มีประสิทธิภาพ จนบางกรณีมีการแจ้งกลับข้อมูลเท็จ หรือแม้แต่ปัญหาที่แก้ได้รวดเร็วก็อาจไม่ได้จัดการที่ต้นเหตุ เพราะการแจ้งปัญหาผ่านระบบนี้ไม่ใช่การแจ้งเหตุฉุกเฉิน เช่น การแจ้งตำรวจหรือแจ้งเหตุด้านสุขภาพหรืออุบัติเหตุ แต่ปัญหาหลายอย่างเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้เวลาและกระบวนการแก้ไขอย่างเป็นระบบ ดังนั้น ผู้บริหารเมืองจำเป็นต้องสื่อสารเพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนกับประชาชน

“ถ้าเรามองว่าพื้นฐานของข้าราชการเป็นคนโกงอาจทำให้ความสัมพันธ์ของการทำงานร่วมกันระหว่างผู้บริหารกับข้าราชการจริงนั้นอาจยากขึ้น คุณจะไม่ได้ข้อมูลจริงขึ้นไปใช้สำหรับการบริหารเมือง เพราะต้องยอมรับว่าบางครั้งการที่ข้าราชการต้องทำงานเพื่อตอบสนองต่อปัญหาที่ถูกร้องเรียนผ่าน Traffy Fondue เป็นหลัก อาจทำให้ไม่สามารถดำเนินการตามแผนงานที่หน่วยงานวางไว้ได้ เพราะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ตลอด” พิชญ์ชวนถอดบทเรียน

“ประชาธิปไตยท้องถิ่นต้องอาศัยการคุยกัน” พิชญ์ย้ำ โดยเขามองว่าการพัฒนาและแก้ไขปัญหาของเมืองต้องอาศัยการสื่อสารที่ดีและการสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันของทั้งสามฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ข้าราชการ และประชาชน เพื่อให้ทุกฝ่ายต่างเห็นทิศทางการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาร่วมกัน – เพราะการวางแผนสำหรับการพัฒนาเมืองที่ดีต้องมีมากกว่า Traffy Fondue

เขาระบุว่าแม้การตอบสนองต่อปัญหาที่ประชาชนร้องเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ในอีกด้านหนึ่งการทำงานของเมืองจำเป็นต้องมีการจัดลำดับความสำคัญอย่างเหมาะสม มิฉะนั้นอาจทำให้การพัฒนาในมิติอื่นหยุดชะงักตลอดสี่ปีที่ผ่านมา อีกทั้งประชาชนยังไม่เห็นว่าฝ่ายบริหารจะมีการนำปัญหาที่ถูกร้องเรียนในระบบรายงานปัญหาออนไลน์ มาถอดบทเรียน เพื่อต่อยอดเป็นโครงการหรือปรับงบประมาณที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนแท้จริง

นอกจากนี้ หนึ่งในกลไกของ Traffy Fondue คือกรุงเทพมหานครใช้การแก้ปัญหาเส้นเลือดฝอยจากระบบดังกล่าวเป็นตัวชี้วัดผลงาน (KPI) ของผู้อำนวยการเขตโดยตรง ซึ่งทางกรุงเทพมหานครเคยชี้แจงว่าหากมีการตอบสนองเร็ว แก้ตรงจุด และการเปิดข้อร้องเรียนใหม่อีกครั้ง (reopen) น้อย ก็จะแปรเปลี่ยนเป็น ‘คะแนนที่ดี’ กล่าวคือทุกการร้องเรียนจะกลายเป็นการให้คะแนนผู้อำนวยการเขตโดยตรง เนื่องจากกรุงเทพมหานครมองว่าระบบดังกล่าวจะทำให้ระบบราชการไม่ใช่แค่ ‘รับเรื่อง’ แต่ต้อง ‘รับผิดชอบจริง’ ด้วย

พิชญ์ย้ำว่าโดยปกติแล้ว KPI ถูกใช้เป็นเครื่องมือชี้วัดเพื่อสะท้อนว่าควรปรับปรุงการทำงานอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในกรณีของระบบดังกล่าว KPI กลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการลงโทษ ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาได้ กล่าวคือ KPI ไม่ได้กระตุ้นให้คนปฏิบัติตาม แต่กลับทำให้พยายามหลีกเลี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาในเมืองหลายครั้งไม่ตรงจุด

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ประชาชนกลับยังไม่เคยได้เห็นผลการประเมินผลงานของผู้อำนวยการเขตที่ประชาชนมีส่วนร่วมในแต่ละปีได้อย่างชัดเจนเท่าไหร่นัก อีกทั้งแม้ปัญหาบางเรื่องจะเกิดขึ้นในพื้นที่ของเขต แต่ความรับผิดชอบกลับอยู่กับหน่วยงานอื่น ผู้อำนวยการเขตก็ยังต้องเข้าไปประสานงานและสื่อสารกับหน่วยงานเหล่านั้น ซึ่งการแก้ไขปัญหาเช่นนี้จำเป็นต้องอาศัยการลงพื้นที่สำรวจข้อเท็จจริงอย่างละเอียด มากกว่าการพึ่งพาข้อมูลจากระบบเพียงอย่างเดียว เพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อผู้ปฏิบัติงานและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ระบบตัวแทนสำคัญต่อประชาธิปไตยของท้องถิ่น

“คุณไม่ได้แก้ปัญหาว่าผู้คนจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ทำให้หลายครั้งเครื่องมือเหล่านี้ไม่ได้ช่วยลดความขัดแย้งในเมือง แต่กลับกลายเป็นการสร้างความขัดแย้งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะระหว่างคนที่มีต้นทุนในเมืองกับคนที่ไม่มีต้นทุนในเมือง ผมจึงเลือกที่จะเริ่มจาก ‘คนที่ฟังคน’ แล้วค่อยนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพื่อให้ผู้คนสามารถอยู่ร่วมกันได้

ผมย้ำอีกครั้งว่าเราต้องไม่มองเทคโนโลยีเป็นคำตอบเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมองความสัมพันธ์ของผู้คนในแต่ละเขตด้วย เพราะถ้าไม่มีเครื่องมือที่ช่วยให้เขาอยู่ร่วมกันได้ ปัญหาก็ไม่จบ สมมติว่าผมไม่ชอบเพื่อนบ้าน ผมก็แค่กดรีพอร์ต แต่ไม่สามารถคุยกับตัวแทนให้เข้ามาช่วยดูแลหรือไกล่เกลี่ยได้เลย” พิชญ์กล่าว

สำหรับเขา ประชากรของกรุงเทพมหานครมีความเปราะบางมากกว่าประชากรในต่างจังหวัดอย่างยิ่ง เนื่องจากประชากรในต่างจังหวัดมีตัวแทนของประชาชนในระดับท้องถิ่นย่อย เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แต่เมื่อหันกลับมาสำรวจยังกรุงเทพมหานครที่มีประชากรหลายแสนคนกลับไม่มีตัวแทนในระดับท้องถิ่นย่อย กล่าวคือกรุงเทพมหานครมีเพียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 33 คน ซึ่งเป็นตัวแทนในระดับประเทศ และสมาชิกสภากรุงเทพฯ (สก.) 50 คน ซึ่งเป็นตัวแทนในระดับจังหวัด

“สิ่งที่ประชาชนในกรุงเทพมหานครขาดจริงๆ ไม่ใช่พึ่งพาเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เราขาดตัวแทนประชาชนในระดับท้องถิ่นอย่าง ‘สภาเขต’ (ส.ข.) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ประชาชนจะสามารถสื่อสารปัญหาที่ต้องเผชิญกับเขตได้” พิชญ์ระบุ

ก่อนหน้านี้ กรุงเทพมหานครในฐานะองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษซึ่งมีพื้นที่กว่า 50 เขต จะมีโครงสร้างการบริหารประกอบด้วย ‘ผู้อำนวยการเขต’ ที่มาจากการแต่งตั้งโดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และมีสภาเขต (ส.ข.) ที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งสภาเขตมีหน้าที่เป็นตัวกลางสื่อสารความต้องการของประชาชนให้พื้นที่ เนื่องจากตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ได้ระบุหน้าที่ของสภาเขตไว้ว่า สภาเขตมีหน้าที่ให้ข้อคิดเห็นและข้อสังเกตเกี่ยวกับแผนพัฒนาเขตต่อผู้อำนวยการเขตและสภากรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาเขต สอดส่องและติดตามดูแลการดำเนินการของสำนักงานเขตเกี่ยวกับการปรับปรุง แก้ไขการบริการประชาชนภายในเขต

อย่างไรก็ตาม ในปี 2562 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ 6) ที่มีเนื้อหาสำคัญคือการยุบสภาเขต (ส.ข.) อย่างไม่มีกำหนด ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเป็นข้อเสนอของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการปกครองท้องถิ่นสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยมีเหตุผลที่อ้างในการยุบสภาเขต ได้แก่ หน้าที่ซ้ำซ้อนกับสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.), มีความเชื่อมโยงกับฐานเสียงพรรคการเมือง, จำนวนสมาชิกสภาเขตไม่เพียงพอต่อการดูแลพื้นที่ และมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งน้อยจึงไม่สะท้อนการเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ แม้พิชญ์จะมองว่า สภาเขต (ส.ข.) เป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาของเมือง แต่เขาเสนอว่าสังคมควรหันกลับมาผลักดันให้แผนพัฒนาของเขตมีประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย และร่วมกันออกแบบการเลือกตั้งสภาเขตใหม่ให้มีความละเอียดและสะท้อนความซับซ้อนของโครงสร้างประชากรในเมืองมากขึ้น ไม่ใช่อิงเพียงการคำนวณจำนวนสมาชิกจากขนาดพื้นที่หรือจำนวนประชากรเพียงอย่างเดียว แต่ควรมีการคำนึงถึงความหลากหลายของกลุ่มผู้อยู่อาศัย เช่น ตัวแทนจากคอนโดมิเนียม ตัวแทนจากบ้านจัดสรร หรือชุมชนประเภทอื่นๆ

ยิ่งไปกว่านั้นในหลายเมืองทั่วโลก เริ่มนำแนวคิดการเป็น ‘ตัวแทนของเมือง’ มาใช้ ซึ่งมีลักษณะคล้ายระบบบัญชีรายชื่อ ในการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อเพิ่มความหลากหลายของผู้แทนและสะท้อนมุมมองจากกลุ่มคนที่แตกต่างกันมากขึ้น แนวคิดนี้เปิดโอกาสให้แม้แต่กลุ่มคนที่เคยไร้สิทธิไร้เสียงในเมืองก็สามารถมีช่องทางในการสื่อสารปัญหาของตนเข้าสู่ระบบได้มากขึ้น ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาในแต่ละเขตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ท้ายที่สุด พิชญ์ระบุว่าการที่ทุกฝ่ายมีตัวแทนของตนเอง แม้จะทำให้การแก้ปัญหาไม่ได้รวดเร็วที่สุด แต่จะทำให้ผู้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เนื่องจากที่ผ่านมาความสุขของหลายคนกลับเป็นเพียงการ ‘หลับตาข้างหนึ่ง’ ไม่อยากรับรู้ปัญหาของเมืองและอาศัยการรีพอร์ตผ่านระบบรายงานปัญหาออนไลน์เป็นคำตอบเดียว โดยผู้ถูกรีพอร์ตไม่อาจปกป้องตัวเองและไร้ซึ่งตัวแทนที่จะมาพูดคุยหาทางออกร่วมกัน

“ประชาชนในกรุงเทพฯ หลายคนอาจไม่เคยตั้งข้อสงสัยต่อความสามารถของชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพียงแต่เราจะรู้สึกว่าเมืองนี้สามารถแก้ปัญหาได้เพียงด้วยวิธีการเหล่านี้จริงหรือ?

“ความฝันที่ครั้งหนึ่งเคยเชื่อว่ากรุงเทพมหานครจะเป็นเมืองที่คนรวยและคนจนอยู่ร่วมกันได้ กลับกลายเป็นภาพที่คนชั้นกลางใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ขณะที่คนไร้บ้านหรือผู้เช่าบ้านยังต้องใช้ชีวิตแบบไร้ความหวังขึ้นทุกวัน คำถามสำคัญคือพวกเขาจะอยู่และมีโอกาสในเมืองแห่งนี้อย่างไรท่ามกลางปัญหาของเมืองที่เพิ่มขึ้นทุกวัน” พิชญ์กล่าวทิ้งท้าย

MOST READ

Social Issues

9 Oct 2023

เด็กจุฬาฯ รวยกว่าคนทั้งประเทศจริงไหม?

ร่วมหาคำตอบจากคำพูดที่ว่า “เด็กจุฬาฯ เป็นเด็กบ้านรวย” ผ่านแบบสำรวจฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม และความเหลื่อมล้ำ ในนิสิตจุฬาฯ ปี 1 ปีการศึกษา 2566

เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล

9 Oct 2023

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save