‘วิ่ง’ กีฬาที่อยู่คู่กับอารยธรรมมนุษย์

บรรดากีฬาในโลกปัจจุบันที่ยังมีการแข่งขันกันอยู่สามารถแบ่งเกณฑ์การตัดสินหลักได้ 3 แบบ ประกอบด้วยการตัดสินจากการใช้คะแนนตัดสิน, การตัดสินจากการใช้ความแข็งแกร่งตัดสิน และ การตัดสินจากการใช้ความเร็วตัดสิน

กีฬาที่ตัดสินด้วยคะแนนส่วนมากเป็นกีฬาที่ถูกออกแบบมาใหม่ หรือถูกคิดค้นขึ้นมาได้ไม่นาน เพราะต้องใช้กติกาเพื่ออธิบายถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘คะแนน’ ในกีฬานั้น

ส่วนกีฬาที่ตัดสินด้วยความแข็งแกร่งหรือความเร็วนั้นต่างออกไป เพราะสิ่งเหล่านี้เข้าใจง่ายกว่าและอยู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนานกว่า ผู้ชมสามารถดูแล้วเข้าใจได้เลยตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เช่น การชกมวย ใครที่ล้มลงไปนอนก็แพ้, กระโดดสูง ใครที่กระโดดได้สูงกว่าก็ชนะ หรือ ยกน้ำหนัก ที่ใครยกได้มากกว่าก็ชนะไป เป็นต้น

สำหรับกีฬาที่ตัดสินด้วยความเร็วถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่เข้าใจง่ายและอยู่กับวัฒนธรรมมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย อีกทั้งดูเหมือนว่าอันที่จริงแล้วมนุษย์จำนวนไม่น้อยจะชอบความเร็วเสียด้วย เพราะในปัจจุบันกีฬาที่ตัดสินด้วยความเร็วมีมากเกือบหนึ่งในสามของบรรดากีฬาที่มีการแข่งขันกัน บรรพบุรุษของกีฬาที่ตัดสินกันด้วยความเร็วก็เห็นจะหนีไม่พ้น ‘กีฬาวิ่งแข่ง’ ซึ่งเป็นกีฬาที่เชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดและอยู่คู่กับอารยธรรมมนุษย์มาตลอด

วิ่งแข่งเก่าแก่แค่ไหน?

วิ่งแข่งเก่าแก่แค่ไหนนั้นมีการค้นพบหลักฐานว่าการวิ่งเป็นกีฬาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เนื่องจากกีฬาชนิดนี้เป็นกีฬาที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ และการวิ่งก็วิวัฒนาการมาพร้อมกับอารยธรรมของมนุษย์ แม้ว่าในความจริงแล้วนับว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะระบุว่ามนุษย์เริ่มมีการวิ่งแข่งขันกันครั้งแรกตั้งแต่เมื่อใดก็ตาม

ประวัติศาสตร์ของการวิ่งนั้นเก่าแก่พอๆ กับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเลยก็ว่าได้ แม้แต่บรรพบุรุษของเราก็ยังต้องอาศัยการวิ่งเพื่อความอยู่รอด หลักฐานชิ้นแรกที่ยืนยันว่าการวิ่งอยู่คู่กับอารยธรรมมนุษย์ปรากฏอยู่ในภาพวาดที่ถ้ำในยุคหินซึ่งแสดงให้เห็นว่ามนุษย์กำลังล่าสัตว์ กล่าวคือในยุคโบราณนั้น การวิ่งกลายเป็นอาชีพเพียงหนึ่งเดียวของมนุษย์ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตและวิธีการเดียวในการหาอาการ อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยสำคัญในการเอาชีวิตรอด

ในสมัยฟาโรห์ของอียิปต์ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชใช้การวิ่งเพื่อเป็นเครื่องมือในการรบด้วยการอาศัยการนับก้าววิ่งมาทำแผนที่เพื่อใช้ในการออกรบจริง ขณะที่ฝั่งชาวกรีกก็ส่งข้อความหรือสาส์นผ่านนักวิ่งที่จะถูกฝึกให้เป็นนักส่งสารในยุคแรกๆ และนั่นอาจจะเรียกว่าเป็นบรรพบุรุษของบุรุษไปรษณีย์ในปัจจุบันก็ได้ หนึ่งในการวิ่งส่งสารที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ‘การวิ่งของฟีดิปปิดีส’ ซึ่งเคยวิ่งระยะ 42 กิโลเมตรเพื่อส่งข่าวสงครามระหว่างเอเธนส์ กับ เปอร์เซีย (ซึ่งเคยเล่าถึงในข้างสนามตอนที่ 2)

การวิ่งถูกใช้เป็นการฝึกฝนการต่อสู้ในช่วงแรก ต่อมาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกโบราณซึ่งเกิดขึ้นในปี 776 ก่อนคริสตกาล ไม่นานก็มีการแข่งขันวิ่งสามรายการ ได้แก่ การแข่งขันวิ่งในสนามกีฬาระยะทาง 190 เมตร, การแข่งขันวิ่งครอสคันทรีระยะทาง 1,500 เมตร และการแข่งขันวิ่งไปพร้อมกับอาวุธในชุดเกราะระยะทางประมาณ 2,000 เมตร

อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดที่บันทึกการวิ่งแข่งขันกันระหว่างมนุษย์ที่ถูกค้นพบได้เป็นภาพมนุษย์ 4 คนที่กำลังวิ่งไปพร้อมๆ กัน เหมือนเป็นการแข่งขันวิ่งระยะสั้น ภาพดังกล่าวถูกค้นพบที่ผนังถ้ำแห่งหนึ่งใน Lascaux ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่า ภาพดังกล่าวมีอายุเก่าแก่ถึงยุคหินตอนปลาย หรือราว 15,300 ปีก่อน

การวิ่งในยุคโมเดิร์น สู่ยุคปัจจุบัน

ในยุคกลางแม้ว่ายังมีสงครามอยู่เป็นระยะ แต่การวิ่งแปรเปลี่ยนมาเป็นออกกำลังกายแทนและถูกใช้ในวาระอื่นๆ ด้วย เช่น การแสวงบุญ สงครามครูเสด และการวิ่งส่งสาร เป็นต้น อย่างไรก็ตามการวิ่งได้รับความนิยมน้อยลงระหว่างศตวรรษที่ 6 ถึงศตวรรษที่ 15 เนื่องมาจากคริสตจักรไม่สนับสนุนกิจกรรมทางกายทุกประเภทซึ่งรวมถึงการแข่งขันกีฬาด้วย

ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 16 การวิ่งกลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้งโดยพื้นที่ที่ให้กำเนิดของการวิ่งในสมัยใหม่คือประเทศอังกฤษ ในสมัยนั้นมีความเชื่อว่ามนุษย์ควรวิ่ง 6 วัน และพักในวันที่ 7 ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูง ต่อมาในศตวรรษที่ 17 การคมนาคมก้าวหน้าขึ้นจนมียานพาหนะสำหรับชนชั้นสูงอย่างรถม้าหรือจักรยาน แต่บรรดาผู้ติดตามหรือชนชั้นรากหญ้าส่วนใหญ่ยังต้องเดินทางด้วยสองขาเท่านั้น และการวิ่งยังคงเป็นการเดินทางที่เร็วที่สุดสำหรับพวกเขา

พอมาถึงศตวรรษที่ 18 การเดินทางระยะไกลได้พัฒนามาเป็นการวิ่งระยะไกล ชนิดที่ทำเอาการวิ่งระยะไกลยุคนี้เทียบไม่ติดโดยการวิ่งระยะไกลประเภทนี้จะมีระยะวิ่งกันมากกว่า 100 กิโลเมตร และมีการวางเดิมพันเพื่อความบันเทิงของผู้ชนอยู่เสมอ หนึ่งในการวิ่งระยะไกลที่โด่งดังที่สุดในตอนนั้นคือการวิ่งของ ฟริตซ์ เคเปอร์นิก นักวิ่งระยะไกลผู้โด่งดังชาวเยอรมัน เขาสร้างตำนานในปี 1881 ด้วยการเอาชนะการแข่งขันวิ่งระยะทาง 600 กิโลเมตร จากเบอร์ลินไปยังเวียนนา โดยเขาจบการแข่งขันด้วยเวลา 3 วัน กับ 20 ชั่วโมง

ยุครุ่งเรืองของการวิ่งเริ่มขึ้นในปี 1896 เมื่อโอลิมปิกสมัยใหม่เริ่มต้นขึ้น การแข่งขันวิ่งก็มีความสำคัญมากขึ้นในระดับนานาชาติ การแข่งขันวิ่งถูกตราเป็นกฎและมีกติกาการแข่งขันที่ชัดเจน จนการวิ่งแข่งขันเป็นรูปเป็นร่างที่ชัดเจนเหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

มนุษย์เรากำลังวิ่งได้เร็วขึ้น?

แชมป์โอลิมปิกสมัยใหม่คนแรกอย่างเป็นทางการในระยะทางมาราธอนคือ สไปริดอน หลุยส์ นักกีฬาชาวชาวกรีก ซึ่งเป็นคนเลี้ยงแกะและทหารโดยเขาวิ่งระยะทาง 42 กิโลเมตรด้วย 2:58:50 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 10 เมษายน 1896

นับตั้งแต่ที่หลุยส์คว้าเหรียญโอลิมปิกเกมส์ในครั้งนั้นจนถึงปัจจุบันมีคนทำลายลายสถิติมาราธอนเพิ่มขึ้นอีกถึง 52 คนและคนล่าสุดคือ เคลวิน คิปตุม นักวิ่งชาวเคนยา แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสทำลายสถิติมาราธอนของตัวเองอีกต่อไปหลังต้องจากไปด้วยวัยเพียง 24 ปี หลังปะสบอุบัติเหตุทางรถยนต์

ปัจจุบันคิปตุมยังครองตัวเลขสถิติโลกในระยะมาราธอนที่ 2 ชั่วโมง 35 วินาที ซึ่งจะเห็นว่าเป็นตัวเลขที่พัฒนามาจากวันที่สไปริดอน หลุยส์วิ่งจบระยะ 42 เมตรในโอลิมปิกเกมส์ครั้งแรกเกือบ 1 ชั่วโมง และความจริงที่จริงกว่านั้นคือปัจจุบันมีนักวิ่งทั่วไปที่อาจจะเป็น ‘ขาแรง’ สามารถจบมาราธอนด้วยเวลาที่ดีกว่าที่หลุยส์ทำเอาไว้เมื่อกว่า 120 ปีก่อนได้จำนวนนับไม่ถ้วน

ไม่ใช่แค่การวิ่งระยะไกลเท่านั้นที่มนุษย์ทำเวลาได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะการแข่งขันวิ่งระยะสั้นที่สุดอย่างการวิ่ง 100 เมตรชาย ที่มีการบันทึกสถิติครั้งแรกในปี 1893 จวบจนปัจจุบันก็มีการทำลายสถิติกันไปแล้วทั้งหมด 58 ครั้ง

แน่นอนว่าเจ้าของสถิติโลกคนล่าสุดเป็นนักวิ่งที่ใครๆ ก็รู้จักอย่าง ยูเซน โบลต์ ที่ทำสถิติโลกไว้ 9.58 วินาที ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีกว่าสถิติโลกครั้งแรกที่ โดนัลด์ ลิปปินค็อตต์ นักวิ่งชาวอเมริกันทำไว้ในปี 1893 กว่า 1 วินาทีเต็ม โดยสถิติแรกที่มีการจดปันทึกกันอยู่ที่ 10.6 วินาที

ยิ่งไปกว่านั้น ในยุคหนึ่งมีความเชื่อกันว่า เลข 10 วินาทีในระยะ 100 เมตร เป็นขีดจำกัดของมนุษย์ และเป็นตัวเลขที่มนุษย์ไม่มีวันก้าวผ่านไปได้ (คล้ายๆ กำแพง 2 ชั่วโมงในระยะมาราธอนปัจจุบัน) แต่มนุษย์ก็มาทำลายขีดจำกัด 10 วินาที ในระยะ 100 เมตรได้ตั้งแต่ปี 1946 เมื่อ จิม ไฮน์ นักวิ่งอเมริกัน ทำเวลาได้ 9.9 วินาที ในการวิ่งที่ ซาคราเมนโต แคลิฟอร์เนีย

ทั้งหมดนี้จึงเห็นว่า มนุษย์วิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นอาจจะไม่ใช่เพราะศักยภาพมนุษย์ที่พัฒนาขึ้นเพียงอย่างเดียว เพราะในยุคสมัยปัจจุบันมีสิ่งที่เรียกว่า ‘วิทยาศาสตร์’ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์การกีฬาที่ช่วยพัฒนาศักยภาพมนุษย์ให้ไปไกลกว่าเดิม และเป็นเหตุผลที่ทำให้สถิติโลกไม่ว่าจะในระยะไหนย่อมจะต้องถูกทำลายลงไปในสักวันอยู่ดี

วิทยาศาสตร์ที่บอกว่า ‘เราเกิดมาเพื่อวิ่ง’

วิทยาศาสตร์ไม่ได้เพียงแต่ทำให้มนุษย์เร็วขึ้นเท่านั้น หากแต่วิทยาศาสตร์ยังสามารถตอบคำถามถึงประโยคคลาสสิกอย่าง “มนุษย์เกิดมาเพื่อวิ่งจริงใหม?” ได้ด้วย สำหรับคนที่ใจร้อนอยากรู้คำตอบของคำถามด้านบน คำตอบคือทั้งจริงและไม่จริง

นักวิทยาศาสตร์ศึกษาวิจัยการมีอยู่ของ ‘ยีนความเร็ว’ มากว่าสองทศวรรษแล้วและมีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ยีนความเร็วหรือ ACTN3 เป็นยีนที่เข้ารหัสสำหรับอัลฟา-แอกตินิน-3 ซึ่งเป็นโปรตีนที่แสดงออกเฉพาะในเส้นใยกล้ามเนื้อที่หดตัวเร็วเท่านั้น แน่นอนว่าในมนุษย์แต่ละคนมียีนตัวนี้แตกต่างกันออกไป สำหรับคนที่มียีนหดตัวเร็วมักเป็นนักกีฬาที่ต้องใช้กำลังสูง เช่น นักยกน้ำหนักและนักวิ่งระยะสั้น เป็นต้น

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอสเซ็กซ์ในสหราชอาณาจักรดำเนินการหาความจริงเกี่ยวกับบทบาทของยีนในนักกีฬาไปอีกขั้น โดยพวกเขาจะเฝ้าดูดีเอ็นเอของชายและหญิงชาวอังกฤษ จำนวน 45 คน เป็นเวลาแปดสัปดาห์ โดยทั้งหมดมีอายุระหว่าง 20 ถึง 40 ปี และผู้เข้าร่วมจะต้องวิ่งเป็นเวลา 30 นาที สัปดาห์ละสามครั้ง พวกเขาค้นพบว่าเมื่อผ่านพ้น 8 สัปดาห์ บรรดาผู้เช้าร่วมจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นทางหัวใจและหลอดเลือด กล่าวคือพวกเขามี VO2 max หรือความสามารถในการใช้ออกซิเจนเป็นพลังงานที่ดี แต่ที่น่าสนใจคือแม้ผู้เข้าร่วมทั้งหมดจะมีการพัฒนา แต่บางคนมีศักยภาพดีขึ้นถึง 20% ขณะที่บางคนดีขึ้นเพียง 5% เท่านั้น

นั่นหมายความว่า ยีนของคนบางคนเป็นยีนที่เกิดมาเพื่อวิ่งจริงๆ แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่ใช่และอาจมีการออกกำลังกาย หรือมีการทำกิจกรรมอื่นๆ ที่อาจเหมาะสมกับพวกเขามากกว่าการวิ่งนั่นเอง

การวิ่งที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

การวิ่งแข่งยังคงเป็นการแข่งขันที่ง่ายที่สุดนับตั้งแต่มีการวิ่งแข่งขันกันระหว่างมนุษย์ครั้งแรกในอดีตเมื่อกว่า 10,000 ปีก่อน แต่ถึงอย่างนั้นพัฒนาการในการวิ่งแข่งขันกันในปัจจุบันซับซ้อนมากขึ้นทีเดียว จากโอลิมปิกเกมส์ครั้งแรกเมื่อปี 1896 การวิ่งแข่งขันมีเพียงแค่สองรายการคือ การวิ่งร้อยเมตรชาย และ วิ่งในระยะมาราธอน แต่เมื่อมาถึงปัจจุบันการวิ่งแตกแขนงออกไปอย่างมากมาย โดยการวิ่งระยะสั้น แบ่งเป็น 100, 200 และ 400 เมตร แยกประเภทชายกับหญิง ขณะที่ระยะกลางก็เป็น 800 กับ 1,500 เมตร และขณะที่ระยะไกล จะอยู่ที่ 3,000 เมตร, 5,000 เมตร และ 10,000 เมตร โดยนอกจากนี้ยังมีวิ่งข้ามรั้ว ระยะ 110 เมตร และ 400 เมตรด้วย ส่วนวิ่งผลัดจะมีแค่สองระยะคือ 4×100 เมตร กับ 4×400 เมตร

ด้านมาราธอนถูกจัดให้อยู่ในประเภทการวิ่งถนนซึ่งมีหลายระยะทางทั้ง 15-20-25-30 กิโลเมตร แต่ระยะที่เป็นที่นิยมคือระยะมาราธอน 42.195 กิโลเมตร กับ ฮาล์ฟมาราธอน 21.1 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีการวิ่งอื่นๆ เช่น การวิ่งข้ามทุ่ง (Cross Country) และ การวิ่งเทรลที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ เป็นต้น เรียกได้ว่าการวิ่งลักษณะนี้ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการวิ่ง

สำหรับการวิ่ง นับวันยิ่งมีความซับซ้อนที่มากขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มว่าจะซับซ้อนขึ้นไปกว่าเดิม แม้ในมุมหนึ่งอาจจะวุ่นวาย แต่อีกส่วนการวิ่งรูปแบบต่างๆ ก็เกิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์มนุษย์ ทั้งคนที่ ‘Born to Run’ และคนที่อาจจะไม่ได้ ‘Born to Run’ แต่ ‘Want to Run’ ก็ด้วย


อ้างอิง

8 Oldest Sports in the World

9 Oldest Olympic Sports in the World

The Human Race: Will We Keep Breaking Running Records?

The History Of Running: A Brief Introduction

The history of running – from the Stone Age to the present day

Why you might be born to run

How Fast Can a Human Run?

Humans are better at endurance running than any animal on the planet

What’s The Fastest A Human Can Run?

How fast can a human run?

World Record Progression of 100 Metres

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save