ข่าวคราวอื้อฉาวของหนังเรื่องนี้เริ่มมีประเด็นตั้งแต่ตอนที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปี 2024 ประกาศรายชื่อหนังที่จะเข้าฉายในเทศกาลฯ รอบเก็บตกเมื่อวันที่ 22 เมษายนปีที่ผ่านมาว่า จะมีผลงานใหม่ของ โมฮัมมัด ราซูลอฟ (Mohammad Rasoulof) ผู้กำกับอิหร่าน ชื่อ The Seed of the Sacred Fig (2024) ร่วมเข้าประกวดชิงรางวัลปาล์มทองคำปีนั้น และคุณ เทียร์รี เฟรโมซ์ (Thierry Frémaux) ผู้อำนวยการด้านการคัดเลือกหนังก็ยืนยันว่าโมฮัมมัด ราซูลอฟ สามารถเดินทางมาร่วมงานในปีนี้ แม้ว่าทางรัฐบาลอิหร่านจะไม่ยินดีนักและมองว่าผู้กำกับหัวขบถรายนี้คือ public enemy หรือ ‘ศัตรูสาธารณะ’ เพราะเคยป่าวประจานเรื่องราวชั่วร้ายภายในบ้านให้ชาวโลกได้รับรู้ผ่านงานภาพยนตร์!
ทันใดนั้นเหล่าผู้สื่อข่าวก็สืบค้นจนพบว่าราซูลอฟ แอบทำหนังเกี่ยวกับเหตุการณ์เยาวชนสตรีที่ลุกฮือขึ้นประท้วงรัฐบาลอิหร่านขนานใหญ่ภายใต้ชื่อ Women, Life, Freedom ไม่ยอมให้ภาครัฐทำร้ายร่างกายหญิงสาวที่ปฏิเสธการสวมฮิญาบในที่สาธารณะเมื่อคริสต์ศักราช 2022 จนเกิดเหตุการณ์นองเลือดเดือดไปทั้งประเทศ โดยเป็นการทำหนังอย่างลับๆ ไม่ได้ขออนุญาตใคร และหลังจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ประกาศชื่อหนังเรื่อง The Seed of the Sacred Fig ออกมาไม่นาน ผู้กำกับก็อพยพเดินเท้าข้ามภูเขาลักลอบออกจากพรมแดนอิหร่าน ลี้ภัยมาทำงานโพสต์-โปรดักชันของหนังต่อที่ประเทศเยอรมนี ก่อนที่หนังจะได้ฤกษ์ออกฉายรอบกาล่าที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ซึ่งผู้จัดงานก็ประสานดูแลในเรื่องความปลอดภัยให้หนังประกวดเรื่องนี้ได้ฉายกันในวันรองสุดท้าย 24 พฤษภาคม ปกปิดปมเรื่องย่อทั้งหมดไว้ไม่ให้แม้แต่สื่อมวลชนรู้ก่อนว่าเนื้อหาเกี่ยวข้องกับอะไร โดยผู้กำกับราซูลอฟและนักแสดงหญิงวัยรุ่น มาชา รอสตามี (Mahsa Rostami) และ เซตาเรห์ มาลิกิ (Setareh Maleki) ที่รับบทเป็นลูกสาวสองคนในเรื่อง ก็คล้องแขนกันเดินพรมแดงในเทศกาลหลังจากหลบหนีจากบ้านเกิดประเทศอิหร่านมาได้ แต่ก็น่าเศร้าใจที่นักแสดงวัยผู้ใหญ่ในบทพ่อ-แม่ซึ่งยังติดอยู่ในอิหร่านอีกสองรายคือ มิสซากห์ ซาเรห์ (Missagh Zareh) และ โซไฮลา โกเลสตานี (Soheila Golestani) ยังต้องเผชิญกับการถูกปองร้าย จนผู้กำกับราซูลอฟต้องยกชูรูปถ่ายของทั้งคู่ตลอดเวลาที่อยู่บนพรมแดง!

การได้รับเกียรติเข้าร่วมประกวดในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ของผลงานอย่าง The Seed of the Sacred Fig จึงกลายเป็นเรื่อง ‘แสลง’ สำหรับประเทศบ้านเกิด เลยเถิดด้วยการตั้งข้อหาว่าหาญกล้าทำตัวเป็นปฏิปักษ์ไม่รักชาติ สร้างหนังไปเผยแพร่โดยไม่เคยขออนุญาต จนผู้กำกับไม่อาจหวนคืนอิหร่านได้อีกต่อไป
และทันทีที่หนังฉายในวันสุดท้ายของการประกวด The Seed of the Sacred Fig ก็ได้รับเสียงตอบรับจากทั้งรอบสื่อและรอบกาล่าอย่างดี คนดูลุกขึ้นปรบมือยาวนานถึง 12 นาที บรรดารีวิวก็มีแต่ +++++ จนพอวันรุ่งขึ้น หลายๆ คนก็รุมจวกเมื่อหนังได้รับเพียงรางวัลปลอบใจ Special Prize จากคณะกรรมการ ทั้งที่ถ้าเทียบเนื้องานแล้ว The Seed of the Sacred Fig ก็ไม่เป็นรองหนังเรื่องไหนที่ได้รับรางวัลใหญ่กว่า!
ที่น่าตลกก็คือในเวลานั้น สื่อล้วนพร้อมใจกันเรียกขาน The Seed of the Sacred Fig ว่าเป็น ‘หนังอิหร่าน’ จนกระทั่งถึงฤดูกาลออสการ์ เมื่อนานาประเทศเริ่มส่งชื่อตัวแทนเข้าชิงรางวัลสาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม (Best International Feature Film) หนังเรื่อง The Seed of the Sacred Fig กลับสังกัดอยู่ในทีมชาติเยอรมัน! เพราะบริษัทผู้ผลักดันรายใหญ่อยู่ในฮัมบวร์ก พวกเราจึงต้องสะกดจิตตัวเองกันใหม่ว่า The Seed of the Sacred Fig มิใช่ ‘หนังอิหร่าน’ เพราะเขาตะเพิดไล่ออกจากบ้านไม่นับวงศ์วานมาตั้งแต่ต้น หากมันคือผลผลิตของวงการ ‘หนังเยอรมัน!’ ณ วันเวลาที่งานหนังนานาชาติทั้งหลายกระจายสัญชาติกันจนไม่อาจระบุได้ว่ามันคือหนังจากประเทศใดกันแน่! ซึ่งแม้สุดท้ายจะพ่ายรางวัลให้หนังจากบราซิลเรื่อง I’m Still Here (2024) ของ วอลเตอร์ ซาลเลส (Walter Salles -คนทำหนังชาวบราซิล) ไป แต่ The Seed of the Sacred Fig ก็เป็นหนึ่งในห้าบรรดาผู้เข้ารอบห้าเรื่องสุดท้ายที่จัดว่า ‘แข็งแรง’ ไม่แพ้เรื่องไหนๆ เลยเหมือนกัน
The Seed of the Sacred Fig บรรจงเล่าเรื่องราวความตึงเครียดระดับคอขาดบาดตายซึ่งเกิดขึ้นในครอบครัวของผู้พิพากษาไต่สวน อิมาน (มิสซากห์ ซาเรห์) อันประกอบไปด้วยศรีภรรยา นาจ์เมห์ (โซไฮลา โกเลสตานี) และบุตรีวัยรุ่น ราซวาน Rezvan (มาชา รอสตามี) กับ Sana (เซตาเรห์ มาลิกิ) ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยกันในอพาร์ตเมนต์สวัสดิการสุดหรูใจกลางเมืองเตหะราน แต่เคราะห์ร้ายที่อิมานเพิ่งได้รับตำแหน่งนี้หลังเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ต่อกรณีที่ มาห์ชา อามินี (Mahsa Amini) สตรีที่ไม่ยอมสวมฮิญาบถูกตำรวจจับตัวไปจนเป็นที่สงสัยว่าถูกทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ชีวิต ส่งผลให้เยาวชนหลายแสนคนทั่วประเทศลุกฮือขึ้นต่อต้านการกระทำอันเกินกว่าเหตุของรัฐ กระทบต่อสวัสดิภาพของครอบครัวผู้พิพากษาอิมาน เมื่อผู้ประท้วงได้ล่วงรู้สถานที่อยู่ปัจจุบันของเขา และพร้อมจะจู่โจมเข้าทำร้ายได้ทุกเมื่อ เพราะเชื่อว่าอิมานนี่แหละที่เป็นเบื้องหลังผลักดันให้เหล่าเยาวชนคนมีอุดมการณ์ถูกศาลตัดสินจำคุกเป็นจำนวนมากมาย ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนๆ ของบุตรสาวทั้งสองของเขา! เมื่ออันตรายเริ่มใกล้เข้ามา อิมานก็รับอาวุธปืนจากที่ทำงานมาเก็บไว้ป้องกันตัว เขาซุกปืนบรรจุกระสุนตะกั่วไว้ในเก๊ะข้างเตียงนอน จนวันหนึ่งเขาก็เข่าอ่อนเมื่อพบว่าปืนหายไป และต้องเป็นใครคนหนึ่งในบ้านอาคารชุดหลังนี้ที่เป็นคนขโมยไป ประกาศสงครามใหญ่กับหัวหน้าครอบครัวผู้เป็นช้างเท้าหน้าที่อาศัยอำนาจอันไม่เป็นธรรมในการทำร้ายผู้อื่น!
ประเด็นหลักใหญ่ใน The Seed of the Sacred Fig จึงเล่าเรื่องราวความขัดแย้งอันแสนขมขื่นระหว่างจุดยืนของคนสองรุ่นในครอบครัวเดียวกัน ครอบครัวผู้มีอันจะกินจากภาษีของราษฎร แต่ฝ่ายบิดา-มารดา และลูกๆ กลับต้องมาต่อกรกัน เมื่อบิดาดันเป็นผู้พิพากษาที่ถูก ‘ระบบ’ บังคับมาให้ลงนามตัดสิน ‘ประหารชีวิต’ เยาวชนผู้ประท้วงที่ยังไม่อาจยืนยันความผิด เหล่าเยาวชนที่ล้วนเป็นเพื่อนสนิทของบุตรสาวทั้งสองของเขา เข้าอีหรอบเดียวกันเลยกับปรากฏการณ์ ‘นักเรียนเลว’ ในบ้านเราเมื่อช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยามบรรดาคนรุ่นใหม่ไม่อาจทานทนต่อคนรุ่นเก่าเจ้าของ ‘อำนาจ’ ในการบริหารบ้านเมืองอีกต่อไป จนต้องสำแดงพลังด้วยการประท้วงครั้งใหญ่ ให้ได้รู้เสียบ้างว่าใครกันแน่ที่เป็นอนาคตของประเทศ! ความขัดแย้งนี้เองที่เป็นต้นเหตุชนวนสำคัญของการเหตุการณ์ในเรื่อง นั่นคือจู่ๆ ปืนกระบอกเขื่องก็หายไปจากเก๊ะข้างเตียง ฝ่ายบิดาจึงต้องไล่เรียงไต่สวนด้วยความโมโหว่าสตรีในบ้านรายไหนขโมยไป ท้าทายอำนาจแห่งปิตาธิปไตยที่จะต้องมีนายอิมานคนเดียวเท่านั้นที่เป็นใหญ่ในฐานะช้างเท้าหน้า และจะต้องไม่มีใครกล้ามาแข็งข้อ! ผู้เขียนบท/กำกับอย่างราซูลอฟ จงใจสร้างตัวละคร ‘พ่อ’ รายนี้ให้เป็นตัวแทนชั้นดีแห่งวาทกรรม ‘ปิตาธิปไตย’ ซึ่งถืออำนาจปกครองเป็นใหญ่ในอิหร่านมาเป็นเวลานาน แถมยังสะท้อนให้เห็นอิมานจากทั้งสองมุมด้าน คือเมื่อเขาทำตัวกร่างอยู่ภายในบ้าน และการเป็นลูกกระจ๊อกไม่สามารถออกความเห็นใดๆ ได้ในที่ทำงาน ว่าแท้แล้วเขาก็เป็นเพียง ‘สายพาน’ หนึ่งของกลไกใหญ่ที่ไม่สามารถใช้ความรู้ความสามารถมาทำอะไรได้เลยเหมือนกัน!

และอีกส่วนที่น่าสรรเสริญมากๆ ก็คือการเขียนบททั้งหมดสำหรับฝ่ายตัวละครหญิงทั้งสามที่ราซูลอฟช่างเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของการต้องเป็นช้างเท้าหลัง ทั้งอย่างเต็มใจในกรณีของฝ่ายคุณแม่นาจ์เมห์ และไม่เต็มใจในกรณีของดรุณีทั้งสอง จนสามารถส่องสะท้อนภาพความชีวิตเป็นอยู่ของผู้หญิงทั้งสามรายใต้ชายคาอพาร์ตเมนต์หลังนี้ได้เป็นธรรมชาติ ตามที่ภรรยาและทายาทในอิหร่านจะปฏิบัติกันจริงๆ ทั้งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างการช่วยกันหั่นผักทำกับข้าว คำว่ากล่าวตักเตือนของมารดา ความสามัคคีท่ามกลางการทะเลาะตบตีของพี่น้องสองศรี ที่เสียดเย้ยโลกอันเฉยเมยต่อหลัก ‘ประชาธิปไตย’ เมื่อสามเสียงรวมกันของฝ่ายหญิงก็มีอำนาจได้ไม่เท่าลำพังหนึ่งเสียงของฝ่ายชาย! รายละเอียดทุกดอกของตัวบท ซึ่งราซูลอฟเขาจรดวางสถานการณ์ส่งทอดไว้อย่างรอบด้าน ทำให้งานความยาวรวม 168 นาทีที่ดูเหมือนจะยืดยาวเรื่องนี้ มีแต่การปะทะปะทั่งอันน่าระทึกใจ ชวนให้อยากรู้อยากดูจนไม่รู้สึกว่ามีอะไรยืดยาดเลย
ผู้กำกับอย่างราซูลอฟจึงสามารถสานต่อข้อโดดเด่นของคนทำหนังชาวอิหร่านที่เคยผ่านความเกรียงไกรมาก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็น ดาริอุช เมห์รจูอิ (Dariush Mehrjui), อับบาส เคียรอสตามี (Abbas Kiarostami), ตระกูลมาคห์มัลบาฟ (Makhmalbaf), จาฟาร์ ปานาฮี (Jafar Panahi) หรือ อัสการ์ ฟาร์ฮาดี (Asghar Farhadi) ที่แต่ละคนเหมือนจะสืบเชื้อสายนักถ่ายทอดเรื่องเล่าลำเนานิทานแห่งแคว้นย่าน ‘เปอร์เซีย’ อย่างไม่ยอมเสียชื่อ บทหนังแต่ละเรื่องเป็นเหตุเป็นผลกันแน่นยิบ ถากถางแดกดันจนเลือดซิบ แม้หลายๆ อย่างจะต้องเล่าแบบ ‘ทิพย์’ ผ่านชุดสัญลักษณ์ดักกระบือกองเซ็นเซอร์ที่ไม่อาจนำเสนอได้ในทางตรง จนไม่อาจสงสัยได้อีกต่อไปว่าทำไมผลงานของผู้กำกับหนังชาวอิหร่านจึงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางบนเวทีโลก พร้อมให้โยกสัญชาติมาเป็นคนทำหนังของชาติตนเองโดยไม่เกรงใจคนทำหนังลูกหม้อที่ยังคอยรอโอกาส! ศาสตร์ในการเขียนบทหนังจึงสามารถยกตัวอย่างดีๆ จากงานสัญชาติอิหร่านกันได้แทบทั้งนั้น แถมยังเป็นชั้นเชิงที่ไม่ซ้ำทางกันกับสูตรการเล่าเรื่องราวในแบบตะวันตก!
วกมาดูเรื่องการแสดงซึ่งทั้งเรื่องก็มีตัวละครหลักสลับกันออกมาแย่งซีนกันเพียงแค่สี่ราย ซึ่งนักแสดงทั้งหมดสามารถถ่ายทอดทุกอุดมการณ์ของตัวเองออกมาได้ ทำให้เรารู้สึกเหมือนไปแอบอยู่หลังตู้เฝ้าดูพฤติกรรมของคนในครอบครัวนี้กันแบบถึงที่ ไม่ปรากฏมีเค้ารอยของการแสดงใดๆ แม้ว่าโดยบทบาทแล้วพวกเขาจะต้องเล่นใหญ่สาดใส่อารมณ์กันจนท่วมจอขนาดไหนก็ตาม ความจริงใจทั้งหมดของทั้งตัวบทและการแสดงทำให้เรารู้สึกได้ว่านี่มิใช่เพียง ‘เรื่องแต่ง’ หากมันคือภาพแสดงของความขัดแย้งภายในครัวเรือนที่เชือดเฉือนกันอยู่จริงๆ ในสังคมอิหร่านยุคปัจจุบัน ถึงจะไม่ได้รู้สึกว่ามันคืองานสารคดี แต่อย่างน้อย ๆ หนังแบบนี้ก็ควรจัดให้อยู่ในหมวด ‘non-fiction’ เพราะในทางหนึ่งมันก็ ‘จริง’ เสียจนไม่รู้ว่าจะจริงอย่างไร ชนิดกล้าท้าได้เลยว่าถ้าดูจนถึงฉากจบ มีอะไร ‘ปลอม’ อะไร ‘ตบตา’ หรืออะไรที่ ‘ไม่น่าเชื่อเลย’ บ้าง ให้หยิบปากกาที่วางเตรียมไว้มาวง รับรองว่าคุณจะงงจนไม่รู้ลงปลายปากกาที่ตรงไหน เมื่ออะไร ๆ ในหนังมันช่างดูเรียลเสียเหลือเกิน!

จริงอยู่ที่ราซูลอฟอาจเดินเรื่องราวสลับกับการนำภาพข่าวที่เจ้าหน้ารัฐใช้กำลังประหัตประหารประชาชนคนที่ไม่พอใจด้วยการใช้กำลังรุนแรงจนเลือดแดงฉานไปทั่วร่างเจิ่งนองอยู่ริมข้างถนน ซึ่งเป็นกลวิธีผสานงานเรื่องแต่งและสารคดีให้มีน้ำหนักอยู่ในมิติระนาบเดียวกันจนเป็นเรื่องเดียว แต่เขาก็สามารถผสานองค์ประกอบทั้งสองได้อย่างกลมเกลียว จนแม้เราจะแยกได้ว่าภาพน่าหวาดเสียวเหล่านี้มาจากแหล่งไหน หนังก็ยังสื่อให้เห็นได้ว่าคลิปเหล่านี้มีการส่งต่อกันทางเครือข่ายในอิหร่านจนกลายเป็นข่าวสารสาธารณะ แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นข้อมูลทางการจากสื่อสารมวลชนคนของรัฐเจ้าไหนก็ตาม ซึ่งภาพความสูญเสียที่เกิดขึ้นจริงเหล่านี้ ก็คงจะมีส่วนทำให้หนังดูหดหู่ขึ้นอีกเป็นทบเท่าทวี และอาจมีผลดลใจในการตัดสินรางวัลกันได้ว่า หนังที่แสดงการเข่นฆ่าโดยไร้ความปรานีจากผู้มีอำนาจแบบนี้ ควรแล้วหรือไม่ที่จะเฉลิมฉลองกันด้วยรางวัลใหญ่ The Seed of the Sacred Fig จึงมักจะต้องจบลงด้วยรางวัลระดับ ‘ปลอบใจ’ ได้รับการยกย่องสดุดี มีโอกาสได้เข้าชิงรอบสุดท้าย แต่ก็ต้อง ‘พ่าย’ ให้กับเรื่องอื่นๆ ไป แม้ว่าในทางคราฟต์และกระบวนการทำหนังใดๆ The Seed of the Sacred Fig ก็ทำได้ไม่แพ้เรื่องไหนๆ ที่ได้เข้ามาร่วมประกวดประชัน!
กลับกัน หากเราจะไม่มองว่าหนังเรื่องนี้คืองาน non-fiction ทว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าเชิงสัญลักษณ์เปรียบเปรยถึงเมล็ดมะเดื่อสวรรค์ที่ทั้งชื่อเรื่องและส่วนนำได้เอ่ยถึงไว้ The Seed of the Sacred Fig ก็อาจจะไปได้ไกลกว่าการเชิดชูให้มันเป็นภาพแทนความจริง! มะเดื่อสวรรค์ชั้นสูงที่เมล็ดอยู่ในมูลนกตกลงมาบนกิ่งไม้ต้นใหญ่ งอกเป็นรากชอนไชบนฟ้าก่อนจะค่อยๆ เรี่ยลงมาถึงพื้นดิน แล้วค่อยๆ โอบกินต้นไม้ที่เคยได้ค้ำชูจนตายไป เหลือเพียงต้นมะเดื่อต้นใหม่ที่หยัดยืนอยู่ได้ด้วยตนเองลำพัง การกระทบกระทั่งดั่งคำพังเพย ‘หยิกเล็บเจ็บเนื้อ’ เมื่อทำร้ายคนใกล้ชิดพิษแห่งความปวดร้อนมันก็จักย้อนมาทำลายเราจึงสามารถเอามาอธิบายความสัมพันธ์ของสมาชิกภายในบ้านของอิมานผู้พิพากษาไต่สวนรายนี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อทั้งหมดอาศัยอยู่ร่วมชายคากันมาจวนจะ 20 ปี แต่ก็ยังมีช่องว่างทั้งระหว่างเพศและวัยมาให้ประกาศสงครามต่อกันได้อยู่เสมอ นิทานปาฏิหาริย์เพ้อเจ้อของผลมะเดื่อสวรรค์จึงกลับอธิบายความสัมพันธ์อันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ว่าทำไมเราจึงต้องเอาแต่มาทะเลาะเบาะแว้งกัน อย่างเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด!