THE ROOM NEXT DOOR ขอจาก‘ไป’อย่างมีส‘ตาย’ล์ ยามลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

“Women’s stories are often sad stories” . . . นี่คือประโยคเปิดบทที่ 4 ของ PART ONE จากนิยายชื่อ What Are You Going Through (2020) ของ ซิกริด นูเนซ (Sigrid Nunez) ที่ผู้กำกับสเปน เปโดร อัลโมโดบาร์ (Pedro Almodóvar) ซึ่งใครๆ ต่างก็ให้สมญานามว่า ‘เจ้าป้า’ ได้นำมาดัดแปลงเป็นบทหนังขนาดยาวภาษาอังกฤษเรื่องแรกในชีวิตการทำงานชื่อ The Room Next Door (2024) มีคู่นักแสดงหญิงชื่อดังอย่าง ทิลดา สวินตัน (Tilda Swinton) และ จูลีแอนน์ มัวร์ (Julianne Moore) ร่วมรับบทนำ เป็นคำกล่าวที่ชวนให้สะท้อนสะท้านหัวใจว่าเหล่าสตรีเกิดมาเพียงเพื่อที่จะมีความทุกข์ ไม่สามารถวิ่งเข้าหาความสุขเหมือนคู่เพื่อนร่วมโลกอย่างฝ่ายบุรุษได้

ดังสถานการณ์หลักที่เล่าไว้ในตัวนิยาย กล่าวถึงสตรีวัยผู้ใหญ่ตอนปลายที่กำลังได้รับการบำบัดรักษาโรคมะเร็งร้ายซึ่งกลืนกินร่างกายเธออย่างน่าทุกข์ทรมาน เมื่อการรักษากลับยิ่งทำให้อาการและฐานสภาพจิตใจเธอมีแต่แย่ลง ชีวิตของเธอก็ถึงจุดปล่อยปลง เจาะจงเลือกเพื่อนหญิงในวัยเยาว์ซึ่งจะเข้าใจหัวอกเธอดีมาร่วมช่วยทำพิธีแห่ง ‘การุณยฆาต’ หรือ Euthanasia อันจะทำให้เธอสามารถ ‘เสียชีวิต’ ตามแนวทางที่เธอจะเป็นผู้ ‘ลิขิต’ บทสุดท้ายของนิยายเล่มนี้ด้วยมือเธอเอง ไม่ต่างไปจากบทเพลงแสนเศร้าอันจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจประโยค “Women’s stories are often sad stories” ที่ว่านี้ ได้ดียิ่งขึ้น

ผู้กำกับอัลโมโดบาร์คงไม่อยากให้คนดูมีพื้นประสบการณ์จากการอ่านเรื่องราวในนิยายเล่มนี้ก่อนจะดูหนัง เพราะเขาปล่อยข่าวตั้งแต่ตอนเริ่มว่ากำลังซุ่มทำหนังยาวพูดภาษาอังกฤษเรื่องใหม่ชื่อ The Room Next Door เมื่อปี 2023 กระทั่งหนังเสร็จพร้อมเปิดตัวออกฉายที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิสในปี 2024 เขาไม่มีการแย้มพรายให้ใครได้รู้เลยว่าหนังดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง What Are You Going Through ของนูเนซ แม้แต่เว็บไซต์โปรแกรมของเทศกาลเวนิสเองแต่เดิมก็ไม่ได้บอกต้นตอที่มา จนกระทั่งหนังฉายรอบปฐมทัศน์ไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน คนดูกลุ่มแรกจึงจะได้เห็นบนเครดิตว่าสร้างมาจากนิยายเล่มใด ก่อนจะแถลงไขให้คณะกรรมการตัดสินรางวัลได้ทราบว่าบทหนังเรื่องนี้เป็นบทดัดแปลงไม่ได้แต่งเองทั้งหมดแบบบทริเริ่มบนหน้าเว็บไซต์ในภายหลัง! ใครที่ยังไม่ได้อ่านนิยายเล่มนี้มาก่อนจึงต้องค่อยย้อนมาอ่านตัวนิยายหลังจากได้ดูหนัง เพื่อจะพบว่าอัลโมโดบาร์ตั้งใจเล่าเรื่องราวอันชวนระทมขมขื่นใจ ของสตรีที่ทั้งชีวิตแทบไม่เคยทำอะไรสำเร็จ (จะเป็นเพชฌฆาตปลิดชีพตัวเองก็ยังลืมยา!) ด้วยน้ำเสียงและลีลาเฉพาะตัวที่ต่างแนวทางไปจากหนังสือต้นฉบับได้อย่างน่าสนใจ

ไหนๆ ก็เริ่มต้นจากการดูหนังก็ขอตั้งต้นจาก The Room Next Door กันก่อน ผลงานใหม่นี้นับเป็นเรื่องที่สะท้อนทั้งวุฒิภาวะและทักษะประสบการณ์ในการทำหนังอันอยู่มือของ เปโดร อัลโมโดบาร์ ได้อย่างน่านับถือ ว่าทุกวันนี้เขาคือหนึ่งในปรมาจารย์ด้านการสร้างสรรค์งานภาพยนตร์ลำดับต้นๆ ของวงการ แม้ว่าในอดีตที่ผ่านมาเขาจะเคยทำหนังตลกรั่วชั่วช้าลามกจกเปรตด้วยความทุเรศทุรังมาแบบไหน โดยเฉพาะในมุมของการทำความเข้าใจหัวอกของผู้หญิงในฐานะของคนนอก เนื่องจากอัลโมโดบาร์ก็แสดงออกอย่างชัดเจนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าเขามีบุคลิกนิสัยเป็น ‘กะเทย’ ชอบผู้ชาย เป็นสหายคอเดียวกันกับเหล่าสตรีทั้งหลาย และสามารถเป็นกระบอกเสียงร่ำระบายความในใจแทนพวกเธอได้ในฐานะของคนที่ไม่มีมดลูกและรังไข่ ให้น้ำเสียงการเล่า “women’s stories” แบบที่ไม่ได้เรียกร้องความเข้าใจ แต่เผยให้เห็นอย่างหมดเปลือกว่า ‘ผู้หญิง’ ในยุคปัจจุบันต้องพบเจอกับอะไรที่ทำให้พวกนางไม่อาจมีความสุขในการ ‘ใช้ชีวิต’ !

อัลโมโดบาร์มิได้กระมิดกระเมี้ยนที่จะเขียนบทสร้างบุคลิกให้ทั้งตัวละครผู้ป่วย มาร์ธา (ทิลดา สวินตัน) และ อิงกริด (จูลีแอนน์ มัวร์) ที่มาเป็นเพื่อนคอยดูแล เป็นสตรีผู้มีความกร้านแกร่งที่กลุ่มกะเทยพร้อมใจกันเรียกขานว่า “คุณแม่” เพราะแม้ในความเป็นจริง ผู้หญิงบนโลกใบนี้ก็มีหลายแบบหลายประเภท แต่อิตถีเพศที่จะเป็น ‘เพื่อนแท้’ ของกะเทยได้จริงๆ จะต้องเป็นหญิงที่สวยสง่า กล้าหาญ และผ่านประสบการณ์ชีวิต ด้วยจริตแห่งความเป็นผู้นำ แบบเหล่านางงามที่จะมาชิงตำแหน่งแย่งมงสาม หรือเมนเทอร์รายการตามหานางแบบหน้าใหม่ เป็นผู้หญิงที่ไม่ต่างจากปัญญาชนคนทำงานอย่างอิงกริดหรือมาร์ธาใช้ชีวิตเรียบโก้แอบหรูหราตกแต่งบ้านช่องและเครื่องแต่งกายให้กลายเป็นงานศิลปะสีแสบตา เป็นผู้หญิง ‘แถวหน้า’ ที่เหล่าบรรดากะเทยเขาเคารพนับถือว่าคือ “ตัวแม่” กันทั้งนั้น แต่ไม่ว่าจะมั่นหน้ามั่นโหนกเจนโลกกันอย่างไร หญิงแกร่งไม่ว่ารายไหนก็ยังต้องพ่ายความไม่อนิจจังแห่งสังขาร เมื่อมาร์ธาผู้น่าสงสารไม่สามารถทนทานการบำบัดเยียวยารักษาโรคมะเร็งร้ายได้อีกต่อไป เธอจึงตัดสินใจจะจบชีวิตตัวเอง ข่มความเกรงใจชวนให้เพื่อนเคยสนิทที่ภายหลังได้ห่างหายอย่างอิงกริดมาร่วมทำพิธีอำลาชีวิตด้วยกัน!

อันที่จริงหนังเกี่ยวกับ ‘อัตวินิบาตกรรม’ ด้วยการกระทำ ‘การุณยฆาต’ อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สักเท่าไรในวงการหนัง ที่ผ่านมาเราก็เคยมีทั้งงานอย่าง Whose Life Is It Anyway? (1981) ของ จอห์น แบดแฮม (John Badham -คนทำหนังชาวอเมริกัน), The Sea Inside (2004) ของ อเลฆานโดร อาเมนาบาร์ (Alejandro Amenábar -คนทำหนังชาวชิลี-สเปน), สารคดี How to Die in Oregon (2011) ของ ปีเตอร์ ริชาร์ดสัน (Peter Richardson -คนทำหนังชาวอังกฤษ) หรือ Everything Went Fine (2021) ของ ฟรังซัวส์ โอซง (François Ozon -คนทำหนังชาวฝรั่งเศส) และ Plan 75 (2022) ของ ชิเอะ ฮายากาวา (Chie Hayakawa -คนทำหนังชาวญี่ปุ่น) แต่ถ้าไม่ได้เป็นเรื่องราวของตัวละครผู้ป่วยฝ่ายชาย ก็มักจะเป็นรายที่แก่ชราเสียจนจำต้องหมดอาลัยตายอยากในชีวิต The Room Next Door จึงเป็นหนัง ‘การุณยฆาต’ ในมุมมองของ ‘อิตถี’ ที่ชีวิตยังไม่ถึงช่วงบั้นปลายดี ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมมีมิติที่แตกต่างไปจากตัวละครชาย

เนื้อหาใน The Room Next Door จึงมุ่งการเน้นถ่ายทอดการย้อนทวนประสบการณ์ของตัวละครมาร์ธา โดยเฉพาะในฐานะของมารดาผู้ไม่กล้ารักลูกสาว (เพราะเธอปฏิสนธิเมื่อคราวที่มาร์ธามีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายก่อนจะแตกหักจากลากันไปกับแฟนหนุ่ม) เป็นแม่เลี้ยงเดียวด้วยความกลัดกลุ้มหัวใจเสมอมา ห่างเหินกันจนบุตรสาวโนสนโนแคร์เลยว่า มารดาจะเลือกรักษาต่อหรือไม่รักษา “แม่จะว่าอย่างไร หนูก็ตามใจ เพราะเราหาได้มีพันธะใดๆ กันอีกแล้ว!” ส่วนแนวร่วมอย่างอิงกริดก็มีโอกาสได้มาทบทวนชีวิตรักของเธอเช่นกัน แอบไปพบแฟนเก่าซึ่งเธอเคยเป็นภรรยา แล้วหลุดปากเอ่ยวาจาเล่าให้อดีตสามีฟังว่ามาร์ธากำลังทำอะไรจนเกือบจะทำให้ความแตก! แต่ส่วนที่แปลกต่างออกมาได้อย่างสนใจคือ เวลาที่ ‘ผู้หญิง’ เลือกที่จะตาย เธออยากจะจากโลกนี้ไปด้วยสภาพแบบไหน พวกเธอต่างภาคภูมิใจที่สามารถกำหนดได้ จนไม่น่าแปลกใจที่มาร์ธาจะพิถีพิถันมากขนาดไหนในการเลือกชุดเสื้อผ้าและแต่งหน้าทาปากให้เป็นตัวของเธอเอง สวยในแบบที่เธอพอใจ ซึ่งก็เป็นอะไรที่ผู้กำกับชาย (แทร้) ทั้งหลาย ไม่น่าจะคิดถึงได้เลย! The Room Next Door จึงเป็นหนังที่มีความเป็นเฟมินิสต์โดยเฉพาะมุมมองต่อชีวิตในช่วงบั้นปลาย ถ่ายทอดวาระสุดท้ายสุดแกลมฯ และมีส(ตาย)ล์ ของมาร์ธา ตรงตามที่นิยายได้พรรณาเอาไว้ว่าเธออยากจากไปแบบ “Going out with poise, with a little dignity. Clean and dry” ในบทที่ 6 PART ONE ซึ่งเปโดร อัลโมโดบาร์ ก็บรรจงถ่ายทอดคืนวันแห่งวาระสุดท้ายเหล่านี้ออกมาได้อย่างซาบซึ้งน่าประทับใจเสียเหลือเกิน

การเดินเรื่องที่ทุกอย่างมีลำดับขั้นตอนใน The Room Next Door ชวนให้รู้สึกว่าคงเป็นข้อดีที่มีมาตั้งแต่ตัวนิยายต้นฉบับ แต่หลังจากที่หนังได้รับรางวัลใหญ่อย่างสิงโตทองคำจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองเวนิสมาครอง ‘กัลปพฤกษ์’ ก็ลองหาซื้อนิยาย What Are You Going Through มาอ่านตาม เพียงเพื่อจะพบความจริงว่า เนื้อหาใน The Room Next Door เป็นเพียงส่วนเสี้ยวเดียวของนิยายเล่มนี้เท่านั้น เพราะในส่วนของงานวรรณกรรม หนังสือได้หันไปนำเสนอเรื่องราวชีวิตจากมุมมองเพื่อนสตรีเป็นภาพใหญ่ ในช่วงเวลาที่เธอมีโอกาสได้พบปะผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะแฟนเก่า หรือเพื่อนเก่าผู้กำลังเผชิญโรคมะเร็งร้าย รวมถึงตัวละครรายอื่นๆ อีกมากมาย จนคล้ายกับว่า The Room Next Door ขอยืม ‘เรื่องสั้น’ จากนิยาย What Are You Going Through มาใช้อยู่เพียงแค่หนึ่งเส้นเรื่อง! โดยอัลโมโดบาร์ยังได้เล่าเรื่องราวที่ต่อเนื่องไปจากบทสรุปของตัวละครในนิยาย ซึ่งไม่ได้ฉายให้เห็นภาพการประกอบ ‘การุณยฆาต’ อย่างชัดเจนแต่อย่างใด ไล่ตั้งแต่เรื่องบานประตูที่จะเปิดอ้าไว้ การไต่สวนของเจ้าหน้าที่พนักงาน หรือการมาเยือนของบุตรสาวผู้มีเค้าเงาเดียวกันกับมาร์ธา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นจินตนาการที่แต่งเสริมโดยอัลโมโดบาร์ทั้งสิ้น แม้หลายๆ ส่วนจะยังหมิ่นเหม่อยู่ว่ามันคือสาระที่สำคัญจำเป็นจริงๆ ไหมในการสรุปเล่าเรื่องราวเหล่านี้

ตัวบทนิยายจึงมีเจตนาที่จะมาร่ำระบายความรู้สึกภายในของตัวละครฝ่ายอิงกริด (แต่ในเรื่องจริงๆ ไม่ได้ระบุชื่อ) เสียมากกว่า พบเจอใครเธอก็จะมาเมาต์มอยให้ผู้อ่านฟัง ไม่ได้ตั้งใจจะมุ่งเล่าเรื่องของฝ่ายมาร์ธามาตั้งแต่ต้น กระนั้น อัลโมโดบาร์ก็ยังหยิบเอารายละเอียดที่น่าสนใจในนิยายมาใส่ไว้ โดยเฉพาะในฉากนั่งดู DVD ที่เปลี่ยนเรื่องจาก Make Way for Tomorrow (1937) ของ ลีโอ แมคคาเรย์ (Leo McCarey -คนทำหนังชาวอเมริกัน) มาเป็น The Dead (1987) ของ จอห์น ฮุสตัน (John Huston -คนทำหนังชาวอเมริกัน) แต่ในส่วนเรื่อง Seven Chances (1925) ของ บัสเตอร์ คีตัน (Buster Keaton -คนทำหนังชาวอเมริกัน) นั้นยังคงอยู่ เพื่อให้ดูมีความย้อนแย้งว่า อันความสนุกหรรษาบันเทิงเริงใจมันชวนให้เราอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปจะตาย ต่อให้เจอมะเร็งร้ายก็ควรจะแข็งใจอยู่กับมันไป ชีวิตยังมีอะไรที่ชวนให้อภิรมย์หัวใจอีกตั้งเยอะแยะ ซึ่งดูจะเป็นคำแนะนำที่แสนจะเปล่าดายในสายตาของผู้หญิงอย่างมาร์ธา!

The Room Next Door จึงไม่อาจจะพูดได้ว่า ‘ปรับแปลง’ มาจาก What Are You Going Through ได้อย่างเต็มปาก เพราะนอกจากบทสรุปที่ได้ปรับเปลี่ยนเขียนเติม ผู้กำกับ เปโดร อัลโมโดบาร์ ก็ยังสำแดงความริเริ่มสร้างสรรค์ในการร่วมปั้นตัวละครกับนักแสดงให้พวกเธอได้มีชีวิตและลมหายใจ ผู้หญิงที่ต่อให้ตัวตายแต่ตัวตนของการเป็นคนอย่างพวกเธอจะไม่ยอมจืดจางหายไปไหน ทุกสีสันจะยังคงต้องสว่างสดใส ให้สมกับเจตนารมณ์ที่บันทึกไว้ในนิยายบทที่ 5 PART TWO ซึ่งกล่าวไว้ว่า “A beautiful death in a nice house in a scenic town on a fine summer night.


บรรณานุกรม

Nunez, S. (2020). What are you going through (1st ed.). Riverhead Books.

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save