มีอยู่บ่อยครั้งที่ผมตัดสินใจเลือกอ่านหนังสือสักเล่ม ด้วยเหตุผลทื่อๆ ว่าผลงานนั้นได้รางวัล
แต่รางวัลด้านวรรณกรรมของต่างประเทศมีอยู่เยอะแยะชุกชุม ขณะที่ผมรู้จักค่อนข้างจำกัดคือ ป้วนเปี้ยนวนเวียนอยู่แค่ โนเบล, พูลิตเซอร์ และ booker prize ซึ่งมีความคุ้นเคยพอจะรู้มาตรฐานและคุณภาพของงานที่ได้รางวัลว่าอยู่ในเกณฑ์ประมาณไหน พ้นจากนี้แล้ว ผมก็มีความรู้เท่ากับเพลงฮิตของพุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่มีชื่อว่า ‘หนูไม่รู้’
เมื่อประกอบกับความจริงที่ว่าแต่ละรางวัลล้วนมีเป้าหมาย เกณฑ์ในการตัดสิน มาตรฐาน รสนิยมของกรรมการ และขอบเขตของงานที่เข้าข่ายได้รับการพิจารณา ผิดแผกแตกต่างกันไป จนบั้นปลายท้ายสุดก็มีปรากฏให้เห็นหลากหลาย ตั้งแต่รางวัลที่น่าเชื่อถือฝากผีฝากไข้ได้ และรางวัลโหลๆ ที่ชวนให้เคลือบแคลงสงสัยว่า ‘รับจ้างเชียร์’ ตะพึดตะพือ อย่างไม่บริสุทธิ์โปร่งใส ‘หนังสือที่ได้รางวัล’ จึงไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็น ‘หนังสือดี’ เสมอไป จำเป็นต้องพิจารณาต่อไปว่ารางวัลที่ได้รับนั้น เป็นที่เชื่อถือยอมรับในวงกว้างมากน้อยเพียงไร และที่สำคัญคือมอบให้แก่งานเขียนลักษณะใด
เรื่อง The One Hundred Years of Lenni and Margot (ชื่อไทยคือ ‘แด่ 100 ปีของเลนนีและมาร์โกต์’) ได้รับรางวัล Alex Awards เมื่อปี 2022
เห็นทีแรก ผมรำพึงรำพันในใจกับตัวเองว่า “รางวัลอะไรวะ?” ไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อ ไม่เคยอ่านผ่านตามาก่อนเลยนะครับ
ตามประสาคน ‘เกียจคร้านและปราศจากจิตใจใฝ่รู้’ เบื้องต้นผมจึงไม่ได้สนใจจะหาคำอธิบายว่าเป็นรางวัลที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเจตจำนงใด มอบให้กับงานเขียนประเภทใด แต่มุ่งไปยังตอนจบทันที ด้วยการค้นดูว่าที่ผ่านๆ มา มีหนังสือเล่มไหนบ้างที่ได้รับรางวัลนี้ และเป็นเล่มที่ผมเคยอ่าน เป็นวิธีหยาบลวก ในการหาตัวช่วยตัดสินใจว่า ‘จะอ่าน’ หรือ ‘ไม่อ่าน’ ภายในระยะเวลาอันสั้น
ขยายความเพิ่มเติมคือหากหนังสือที่ได้รับรางวัลนี้ตรงกับหนังสือที่ผมชื่นชอบ แปลว่ามีแนวโน้มน่าจะ ‘คบกันได้’ แต่ถ้าผลลัพธ์เป็นตรงกันข้าม หรือไม่มีชื่อหนังสือที่รู้จักเลย ก็จะได้ปล่อยผ่านไปสู่เล่มอื่นเรื่องอื่น
รายชื่อหนังสือที่ได้รางวัล Alex Award เฉพาะที่ผมรู้จักและเคยอ่าน สร้างความประหลาดใจเป็นอันมาก เพราะเต็มไปด้วยความหลากหลาย กระจัดกระจาย ขาดทิศทางที่แน่ชัด มีทั้งงานเขียนที่เป็นสารคดี นิยายฮิตเน้นความบันเทิง นิยายแฟนตาซี อัตชีวประวัติ นิยายภาพ (Graphic Novel) บันทึกความทรงจำ นิยายโรมานซ์อิงประวัติศาสตร์ งานของนักเขียนรางวัลโนเบลและพูลิตเซอร์ นิยายวิทยาศาสตร์ นิยายเนื้อหาจริงจังหนักหน่วง
จนเมื่อแก้สงสัย ด้วยการค้นข้อมูลเกี่ยวกับตัวรางวัล จึงพบว่านี่เป็นรางวัลที่น่าสนใจ
Alex Award เป็นรางวัลที่เริ่มมอบตั้งแต่ปี 1998 จัดโดยหน่วยงานที่มีชื่อว่า Young Adult Library Services Association ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของ American Library Association และมี Margaret A. Edwards Trust เป็นผู้สนับสนุนหลัก
ชื่อรางวัลนั้นตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติและรำลึกถึงมาร์กาเร็ต อเล็กซานเดอร์ เอ็ดเวิร์ดส์ (23 ตุลาคม 1902-19 เมษายน 1988) บรรณารักษ์และนักการศึกษาผู้มีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวเพื่อให้ห้องสมุดมีบริการสำหรับเด็กวัยรุ่น โดยนอกจาก Alex Award แล้ว ยังมีอีกรางวัลหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นด้วยเจตนารมย์คล้ายๆ กัน ตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่เธอ นั่นคือ Margaret Edwards Award
หลักเกณฑ์ของ Alex Award ที่ระบุไว้ในเว็บไซต์ของ American Library Association คือมอบให้กับหนังสือ 10 เล่มที่เขียนขึ้นสำหรับผู้ใหญ่ โดยหนังสือเหล่านี้มีความน่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 12 ถึง 18 ปี และคัดเลือกจากหนังสือที่จัดพิมพ์ในปีที่แล้ว
พูดอีกแบบคือเป็นการแนะนำหนังสือที่เข้าข่าย ‘ความน่าจะอ่าน’ สำหรับวัยรุ่น
ดูจากรายชื่อบางส่วนของหนังสือที่ได้รางวัล (และมีการแปลเป็นไทย) ผมมีข้อสังเกต (เดาล้วนๆ นะครับ) เพิ่มเติมว่า คุณสมบัติของงานเขียนที่ได้รางวัลนี้ อย่างแรกคือพยายามคัดสรรงานเขียนที่มีเนื้อหาสาระน่าสนใจ เปิดกว้าง และหลากหลาย
ถัดมาเป็นหนังสือที่เขียนดี อ่านสนุก ชวนติดตาม ไม่แห้งแล้งน่าเบื่อเป็นตำราเรียนหรือยาขม มีความรู้ใจเข้าใจวัยรุ่น และทันต่อยุคสมัย
คุณสมบัติอย่างที่สาม ข้อนี้ไม่น่าจะเป็นหลักเกณฑ์เคร่งครัดตายตัว แต่ดูจากงานส่วนใหญ่แล้วใช่ นั่นคือมักจะมีตัวละครอยู่ในช่วงวัยรุ่น ตรงกับกลุ่มผู้อยากให้อ่าน
ประการสุดท้าย เมื่อเป็นการเลือกหนังสือสำหรับให้วัยรุ่นอ่าน วิธีการสื่อสารเนื้อหาสาระในหนังสือที่ได้รางวัลจึงค่อนข้างง่ายต่อการทำความเข้าใจ ไม่ยากหรือสลับซับซ้อนจนเกินควร ขณะเดียวกันก็ไม่เบาโหวง หรือเต็มไปด้วยท่าทีเทศนาสั่งสอน กระทั่งปิดกั้นโอกาสในการใช้ความคิดของผู้อ่าน
ต่อไปนี้คือรายชื่อของหนังสือ Alex Award ที่ได้รับการแปลเป็นไทยแล้ว ผมไม่ได้ระบุปีที่เขียนและตีพิมพ์ แต่ใส่ชื่อเรื่องไทยไว้ในเครื่องหมายวงเล็บ
Into Thin Air (ไต่ฟ้ากระชากฝัน), Stardust (สตาร์ดัสท์), Flag of Our Fathers (ยุทธภูมินรกอิโวจิมา), The Kite Runner (เด็กเก็บว่าว), The Time Traveler’s Wife (ความรักของนักท่องเวลา), Persepolis (แพร์ซโพลิส), Never Let Me Go (แผลลึกหัวใจสลาย), The Glass Castle:A Memoir (ปราสาทของพ่อ), Water for Elephants (มายา รัก ละครสัตว์), Ready Player One (สมรภูมิเกมซ้อนเกม), All the Light We Cannot See (ดั่งแสงสิ้นแรงฉาน), The Nickel Boys (อยุติทัณฑ์) และ Fourth Wing (โฟร์ทวิง)
รายชื่อข้างต้นนี้ ผมยืนยันสนับสนุนอีกหนึ่งเสียงนะครับ ว่าสนุก เขียนดี และน่าอ่านทุกเล่ม รวมถึง The One Hundred Years of Lenni and Margot ที่กำลังจะเล่าสู่กันฟังนี้ด้วย
พล็อตคร่าวๆ ของนิยายเรื่องนี้ มีลักษณะเป็นสูตรสำเร็จเต็มๆ เด็กสาววัย 17 ปีชื่อเลนนี เพตเตอร์สสันและหญิงชราวัย 83 ปีชื่อมาร์โกต์ มาเคร พบเจอและรู้จักกัน จากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็พัฒนา กลายเป็นมิตรภาพที่แปลกประหลาด งดงาม อบอุ่น น่าประทับใจ และคงทนอยู่เหนือกาลเวลา
ในความแตกต่างของช่วงวัยและประสบการณ์ชีวิต สิ่งหนึ่งที่เลนนีกับมาร์โกต์เหมือนกันก็คือต่างเหลือเวลาในชีวิตอีกไม่นานนัก คนหนึ่งป่วยด้วยโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษา อีกคนหนึ่งเจ็บไข้สภาพร่างกายร่วงโรยตามวัยอายุขัยเป็นไม้ใกล้ฝั่ง
จนวันหนึ่งเลนนีเกิดความคิดน่าตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อรวมอายุของเธอกับมาร์โกต์ จะเท่ากับ 100 ปีพอดี เด็กสาวจึงเสนอโครงการที่จะทำร่วมกัน คือวาดรูปเท่าจำนวนอายุของทั้งสอง แต่ละภาพถ่ายแทนช่วงเวลาหนึ่งปี โดยนัยนี้เท่ากับเลนนีวาด 17 ภาพ มาร์โกต์วาด 83 ภาพ (อย่างไรก็ตาม นิยายไม่ได้แจกแจงสาธยายรายละเอียดครบหมดทั้ง 100 ภาพหรอกนะครับ แค่เล่าเฉพาะช่วงปีที่สำคัญจริง)
เป็นหนึ่งภาพวาดต่อหนึ่งเหตุการณ์ที่มีความหมายต่อชีวิตหญิงต่างวัยทั้งสองคน ที่พวกเธอเลือกจดจำแล้วถ่ายทอดออกมา
การวาดภาพนี้เป็นกุญแจไขไปสู่สารพัดสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ของตัวละคร, ความผูกพันต่อกันและกันอย่างแน่นแฟ้นที่เพิ่มทวีขึ้นตลอดรายทาง รวมถึงแก่นสารสาระอย่างการใช้ชีวิตอย่างเปี่ยมคุณค่าความหมาย การให้อภัย การปลดปล่อยตนเองและคนที่รักให้เป็นอิสระ
ความน่าสนใจอันดับแรกของ The One Hundred Years of Lenni and Margot คือการดำเนินเรื่อง ไอเดียหรือความคิดหลักว่าด้วยตัวเอก ‘ใกล้ตาย’ 2 คน มาพบเจอกัน แล้วนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงภายใน แค่เปิดฉากเริ่มเรื่องได้สักพัก ผู้อ่านก็แทบจะคาดเดาส่วนที่เหลือได้ทะลุปรุโปร่งไปถึงตอนจบ รวมทั้งอารมณ์ต่างๆ ที่จะพึงมีพึงเกิดขึ้น กระทั่งว่าประเด็นเนื้อหาแง่คิดจะเสนอคติธรรมอันใด ก็พอจะนึกคะเนล่วงหน้าได้รางๆ ทีเดียว ยังไม่นับรวม ฉากซึ้ง ฉากเศร้า บทพูดสวยๆ คมคาย ตลอดจนวิธีการเร้าอารมณ์ยอดนิยม ที่ทำกันบ่อยจนเฝือและชวนให้นึกหวาดหวั่น
เค้าโครงเรื่องและเหตุการณ์มากมายใน The One Hundred Years of Lenni and Margot เอื้อให้เกิดลักษณะ ‘น้ำเน่า’ ดังที่กล่าวไว้ในย่อหน้าข้างต้นอยู่มาก แต่ฝีมือการเขียนของแมรีแอนน์ โครนิน ก็เก่งฉกาจฉกรรจ์ และมีชั้นเชิงเหนือกว่านักเขียนดาษดื่นทั่วไปอยู่มาก ความประทับใจแรกของผมในขณะอ่าน เป็นความทึ่งในการนำพาเรื่องราวคืบเคลื่อนรุดหน้าได้อย่างชวนติดตาม และมีวิธีเร้าอารมณ์ที่จับใจเปี่ยมเสน่ห์ตลอดเวลา โดยสามารถหลีกเลี่ยง ‘กับระเบิด’ จำนวนมากที่เรียกว่า cliché ได้อย่างน่าชื่นชม
การดำเนินเรื่องยังเยี่ยมยอดไปอีกขั้น เมื่อนิยายเรื่องนี้นำเสนอในรูปแบบของ ‘เรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า’ ช่วงปัจจุบันที่เป็นเหตุการณ์ชีวิตประจำวันทั่วไปในวอร์ดผู้ป่วยระยะสุดท้าย เล่าผ่านมุมมองของเลนนี ขณะที่อีกเหตุการณ์สำคัญ (อาจกล่าวได้ว่าเป็นอีกพล็อตหลักที่มีน้ำหนักความสำคัญเท่าเทียมกัน) เป็นเรื่องเล่าจากปากคำของมาร์โกต์ เกี่ยวกับชีวิตในอดีตของเธอ ตั้งแต่อายุ 17 เท่าเลนนี ไล่ลำดับมาจนถึงปัจจุบัน
เรื่องเล่าเหล่านี้ แนบพ่วงมากับการวาดภาพ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว ตัวนิยายไม่ได้เน้นที่การวาดภาพอย่างลงรายละเอียด แต่เล่าเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับเชื่อมโยงไปสู่การ ‘ย้อนอดีต’ ของมาร์โกต์เสียมากกว่า เช่นเดียวกับภาพวาดของเลนนี ที่มีจำนวนไม่มากนัก แต่เผยแสดงเพื่อให้เห็นถึงพื้นเพความเป็นมาหนหลังเฉพาะเท่าที่สำคัญจริงๆ
เรื่องเล่าย้อนอดีตของมาร์โกต์ ลำพังตัวมันเองเป็นนิยายรักที่ซาบซึ้งตรึงใจอยู่แล้วนะครับ (มิหนำซ้ำยังนำพาผู้อ่านไปพบกับอีก 2 ตัวละครที่น่าประทับใจมาก คือมีนา และฮัมฟรีย์) แต่ช่วงย้อนอดีตดังกล่าว ยังทำหน้าที่และก่อประโยชน์อื่นๆ อีกหลายอย่าง แน่นอนว่าชั้นต้นสุด คือช่วยทำให้ผู้อ่านรู้จักและเข้าใจตัวละครมาร์โกต์ (ซึ่งในช่วงที่เป็นเหตุการณ์ปัจจุบันมีบทบาทพอประมาณ) ได้กระจ่างถี่ถ้วน ต่อมาคือสะท้อนถึงความเหมือนความต่างระหว่างตัวเอกสองคนสองวัย
มากไกลไปกว่านั้นคือการแบ่งปันเรื่องเล่าเหล่านี้ของมาร์โกต์ (ซึ่งเหมาะแก่คำว่า ‘พลังและอำนาจของเรื่องเล่า’) ทำให้เลนนีมีโอกาส ‘ใช้ชีวิต’ อย่างเต็มเปี่ยมความหมายอีกครั้ง แม้จะเพียงแค่ในจินตนาการ ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริงก็ตาม
นี่ยังไม่นับรวมการทำให้ภาคอดีตกับปัจจุบัน โต้ตอบ รับส่งกันไปมาได้อย่างลื่นไหล ทำให้การดำเนินเรื่อง (ทั้งช่วงอดีตและปัจจุบัน) ซึ่งมีลักษณะเป็นบทสั้นๆ เหตุการณ์ไม่ต่อเนื่อง เปรียบเหมือนเป็นจิ๊กซอว์จำนวนมาก ค่อยๆ ประกอบชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน ส่งผลให้พล็อตในแบบสูตรสำเร็จกลายเป็นการดำเนินเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ เต็มไปด้วยความสดใหม่ มีจังหวะล่อหลอก ลูกล่อลูกชนแพรวพราว
จุดเด่นสำคัญต่อมาของนิยายเรื่องนี้ คือการสร้างตัวละครได้อย่างมีชีวิตชีวา ในแง่ของบุคลิกนิสัย เลนนีคือคนที่โดดเด่นสุด เธอเป็นเด็กเฉลียวฉลาด คิดอ่านโตเกินวัย เจ้าคารม มีน้ำจิตน้ำใจคิดถึงผู้อื่น ขณะเดียวกัน ด้วยพื้นเพหนหลังในครอบครัวที่เศร้าหม่น ความรู้สึกว่าชีวิตไม่ยุติธรรม ความทุกข์ทรมานจากอาการป่วยไข้ รวมไปถึงความรู้สึกกลัวตาย รักชีวิต อยากมีเวลาเนิ่นนานมากกว่าที่เป็นอยู่ ก็ทำให้เลนนีโกรธและขวางหูขวางตาต่อทุกสิ่งรอบตัว จนบางครั้งก็ทำตัวเกะกะเกเร แผลงฤทธิ์แบบน่ารักน่าชัง
มาร์โกต์ไม่ได้มีสีสันจัดจ้านเทียบเท่า แต่ก็เด่นไปอีกแบบไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ในฐานะตัวละครที่เป็นเจ้าของเรื่องเล่าเหตุการณ์มากมาย ตลอดชีวิตอันยาวนาน เธอผ่านทั้งการพบเจอและความสูญเสียพลัดพรากใหญ่ๆ หลายครั้ง มีการพัฒนาและความเปลี่ยนแปลงในเชิงเติบโตตลอดเวลา
บุคลิกนิสัยของเลนนีเป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้เรื่องราวของนิยายว่าด้วยตัวละครที่ยืนอยู่ใกล้ความตายทุกชั่วขณะ ซึ่งควรจะหดหู่หม่นหมอง หรือเศร้ารันทด เต็มไปด้วยโทนและบรรยากาศสดใส รื่นรมย์ และมั่งคั่งด้วยอารมณ์ขัน ขณะที่มาร์โกต์ก็เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในฟากของอารมณ์ดรามาและโรแมนติก
การเล่าพล็อตในแบบสูตรสำเร็จให้หลุดพ้นจากความซ้ำซากจำเจด้วยชั้นเชิงลีลาทางศิลปะที่สวยงาม อาจส่งผลทำให้ The One Hundred Years of Lenni and Margot ไม่ได้สนุกบันเทิงถึงขั้นหวือหวาจัดจ้านอยู่บ้าง ถึงกระนั้นก็มีความน่าอ่านชวนติดตามแบบค่อยเป็นค่อยไปอยู่ตลอด จนถึงจุดหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตอนไหน ผู้อ่าน (คือตัวผมเอง) ก็พบว่าเกิดอาการติดหนึบ อ่านแล้ววางไม่ลง
แต่ที่รู้แน่ชัดคือประมาณ 50 หน้าสุดท้ายของนิยายเรื่องนี้ ได้มอบอรรถรสแห่งการอ่านที่พิเศษเอามากๆ อีกครั้งหนึ่ง ทั้งน่าจดจำและตราตรึงใจเหลือเกิน
ผมไม่ได้พูดถึงแง่มุมเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของ The One Hundred Years of Lenni and Margot เนื่องจากหนังสือสะท้อนเอาไว้ค่อนข้างชัด และทิ้งแง่มุมให้ผู้อ่านครุ่นคิดต่อไว้พอประมาณ แบบไม่ยากไม่ง่ายจนเกินไป อย่างไรก็ตาม พอจะสรุปรวบรัดได้ว่า นอกจากประเด็นอย่าง มิตรภาพ, การให้อภัย, ความรัก, การปลดปล่อยตนเองและผู้อื่นให้เป็นอิสระแล้ว นิยายเรื่องนี้ ยังมีการพูดถึง 2 คำถามสำคัญอันชวนปวดหัว นั่นคือคนเรามีชีวิตเกิดมาทำไม? และทำไมเราจึงต้องตาย?
The One Hundred Years of Lenni and Margot ไม่ได้ไปไกลลึกถึงขั้นเสนอคำตอบที่สามารถไขปริศนาธรรมข้างต้นหรอกนะครับ อาจพูดได้ว่าไม่มีคำตอบใดๆ เลยให้แก่ผู้อ่านเสียด้วยซ้ำ เป็นเพียงความพยายามจะเสนอตัวอย่างกรณีหนึ่ง (คือเรื่องราวของเลนนีกับมาร์โกต์) ซึ่งไม่ได้ให้ความกระจ่างอันใด
แต่สิ่งที่นิยายเรื่องนี้มอบให้กับผู้อ่าน แบบให้เยอะ ให้มากเกินคาด ก็คือความหวังและกำลังใจก้อนโตๆ