คลื่นยักษ์ของโฮคุไซ และการเดินทางของ Soft Power

คลื่นยักษ์

คุณคงคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับ ‘ภาพคลื่นยักษ์’ ของศิลปิน ‘โฮคุไซ’

นิตยสาร The Guardian Weekly เพิ่งมีบทความเกี่ยวกับภาพคลื่นยักษ์นี้ไป โดยยกย่องว่าไม่มีวันเลยที่ใครจะ ‘อยู่ห่าง’ จากภาพนี้ได้ เพราะมันแทรกซึมผ่านไปทุกที่ในมิติของ pop culture

เลโก้ (Lego) มีตัวต่อภาพคลื่นยักษ์ ส่วนพิพิธภัณฑ์บริติช (British Museum) ก็มีกระเป๋าคลื่นยักษ์วางขายอยู่ข้างกระเป๋าควีนเอลิซาเบธที่ 2 หรือแม้แต่แบรนด์เสื้อผ้าอย่างยูนิโคล่ (Uniqlo) ก็ร่วมมือกับพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ (Museum of Fine Arts: MFA) ที่บอสตัน ผลิตเสื้อลายคลื่นยักษ์นี้ออกมาขาย และขายดิบขายดีอีกต่างหาก

ในอังกฤษ บริษัทเครื่องแก้วสำหรับตกแต่งบ้านอย่าง Dartington Crystal ได้ออกแบบแจกันลายคลื่นยักษ์มาจำหน่าย ส่วนแบรนด์แฟชั่นอย่าง Urban Outfitters ก็เลือกพิมพ์ลายคลื่นยักษ์นี้ลงบนเสื้อผ้าด้วย นอกจากนี้ ลายคลื่นยักษ์ยังปรากฏบนของใช้อื่นๆ เช่น ร่มกันฝน ทำให้หลายคนมองว่า ภาพนี้เป็น ‘สัญลักษณ์’ ที่นำไปปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ได้เยอะมาก และตีความได้หลากหลายจนพูดได้ว่า ภาพคลื่นยักษ์กลายเป็น ‘ไอคอน’ สำคัญของศิลปวัฒนธรรมญี่ปุ่น หรือพูดให้ร่วมสมัยกับรัฐไทยหน่อยก็คือ ภาพนี้เป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่นนั่นเอง

ที่จริงภาพนี้มีชื่อว่า ‘ใต้คลื่นนอกชายฝั่งคานางาวะ’ (Under the Wave off Kanagawa) หรือที่รู้จักกันในชื่อ The Great Wave off Kanagawa เป็นภาพหนึ่งในซีรีส์ผลงานที่ชื่อว่า ’36 ทัศนียภาพของภูเขาไฟฟูจิ’ (Thirty-six Views of Mount Fuji) โดย คัตสึชิกะ โฮคุไซ (Katsushika Hokusai) ในภาพแสดงให้เห็นคลื่นยักษ์ที่ทำท่าเหมือนกำลังจะกลืนกินเรือขนาดเล็กเบื้องล่าง และมีภูเขาไฟฟูจิเป็นฉากหลัง แต่กระทั่งภูเขาไฟอันยิ่งใหญ่ ก็คล้ายถูกคลื่นนั้น ‘ข่ม’ จนเหลือเล็กนิดเดียว

ภาพนี้มีอายุเกือบสองร้อยปีแล้ว แต่เสน่ห์ยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน และดึงดูดใจผู้คนในลักษณะ ‘ข้ามชาติข้ามวัฒนธรรม’ ด้วย

คำถามคือ – อะไรคือ ‘กุญแจ’ ที่ทำให้ภาพคลื่นยักษ์นี้ทรงพลังได้ถึงเพียงนั้น?

เมื่อปี 2023 มีการประมูลขายภาพคลื่นยักษ์นี้ที่ Christie’s บริษัทรับจัดประมูลผลงานศิลปะชั้นนำในนิวยอร์ก ปรากฏว่ามีการซื้อขายกันในราคาสูงถึง 2.76 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหลายคนอาจจะบอกว่า อะไรกัน – ราคาไม่เห็นสูงเท่าภาพของแวนโกะห์ หรือโมเนต์เลย แต่ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะภาพนี้คือ ‘ภาพพิมพ์’ จากบล็อกไม้ แปลว่าเป็นงานที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ ‘ทำสำเนา’ ซึ่งหลายคนอาจจะบอกว่า โอ๊ย! เป็นแค่สำเนา จะมีคุณค่าอะไรนักหนา

แต่ต้องบอกคุณว่า ภาพนี้เป็นภาพพิมพ์แกะไม้ (woodblock print) ซึ่งพิมพ์ครั้งแรกในช่วงปี 1831 ด้วยเทคนิคที่เรียกว่าอุคิโยเอะ (Ukiyo-e 浮世絵) อันเป็นเทคนิคสำคัญมากใน ‘ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ’ ของวงการศิลปะ ที่มีการนำ ‘เทคโนโลยี’ ต่างๆ มาใช้ประกอบ ภาพพิมพ์แบบนี้จึงไม่ได้เป็นภาพหนึ่งเดียวสำหรับใครบางคนเอาไปแขวนไว้ในบ้าน แต่จุดมุ่งหมายคือการทำให้กลายเป็น ‘ภาพมหาชน’ ที่คนสามารถหาซื้อได้ หรือจะเรียกได้ว่าเกิดกระบวนการ democratization ภาพขึ้นมาเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นก็ได้

อุคิโยเอะแปลว่า ‘ภาพแห่งโลกที่ล่องลอย’ เป็นเทคนิคที่ใช้กันมากในยุคเอโดะ (1603-1868) เป็นศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ลายเส้นคมชัด สีสันสดใส และสามารถพิมพ์ซ้ำได้ในจำนวนมาก ที่สำคัญคือ เป็นการบันทึกภาพ ‘ชีวิตประจำวัน’ หรือศิลปิน นักแสดง และภูมิทัศน์ของญี่ปุ่นในยุคนั้น โดยต้องใช้คนจำนวนมากมาร่วมมือกันทำ เริ่มตั้งแต่ ‘ศิลปิน’ ที่จะมาออกแบบและวาดภาพต้นฉบับ ตามด้วย ‘ช่างแกะไม้’ ที่จะมาแกะภาพต้นแบบลงบนแผ่นไม้ และ ‘ช่างพิมพ์’ ที่เชี่ยวชาญชำนาญ มาพิมพ์ภาพลงบนกระดาษ แล้วก็​ต้องมี ‘ผู้จัดพิมพ์’ หรือนายทุนมาลงทุนสนับสนุนการผลิตและจำหน่าย

ทุกขั้นตอนยากหมด แต่ขั้นตอนที่โดดเด่นที่สุดก็คือการพิมพ์ ที่ต้องใช้แผ่นแม่พิมพ์หลายแผ่นสำหรับพิมพ์แต่ละสี ช่างจะใช้หมึกที่เรียกว่า ‘ซุมิอิ’ (Sumi-e, 墨絵) สำหรับเส้นสีดำ ส่วนในภาพคลื่นยักษ์นั้น มีสีฟ้าที่เรียกว่า ‘สีฟ้าปรัสเซียน’ (Prussian blue) ประกอบด้วย หมึกซุมิอิทำให้ได้เส้นดำหนาและชัดเจน โดยมีเอกลักษณ์คือการสร้างองค์ประกอบภาพที่ไม่สมมาตร ทำให้เกิดมุมมองที่แปลกใหม่

ข้อสำคัญของภาพนี้ คือเป็นศิลปะที่ขายให้กับ ‘คนทั่วไป’ ไม่ใช่ ‘ชนชั้นสูง’ เหมือนงานศิลปะสมัยก่อนหน้า จึงเป็นงานศิลปะที่แพร่หลายและเข้าถึงประชาชน จนถือได้ว่าเป็น ‘ราก’ ของ pop culture ในญี่ปุ่น และยังข้ามน้ำข้ามทะเลมามีอิทธิพลต่อศิลปินตะวันตกอย่างแวนโกะห์และโมเนต์ด้วย

แล้ว ‘ความแพง’ ของภาพนี้อยู่ตรงไหน?

คำตอบก็คือ มันแพงเพราะเป็นภาพพิมพ์ต้นฉบับ หรือเป็นการพิมพ์ครั้งแรกๆ จากบล็อกไม้ของจริง ซึ่งเมื่อมีการใช้มากเข้า สุดท้ายบล็อกไม้ต้นฉบับก็เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา หรือไม่ก็สูญหายไป (แต่ไม่มีใครบันทึกเอาไว้ว่าหายไปเมื่อไหร่)

ปัจจุบันเรายังพิมพ์ภาพแบบนี้ออกมาได้ เพราะช่างยังสามารถแกะบล็อกไม้ใหม่ออกมาได้ และพิมพ์ด้วยวิธีอุคิโยเอะเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นงานพิมพ์ต้นฉบับจากบล็อกไม้ดั้งเดิมจริงๆ หรือจะพิมพ์ด้วยวิธีสมัยใหม่ก็ได้ โดยใช้วิธีแบบดิจิทัลและพิมพ์แบบออฟเซ็ต แบบนี้ก็จะได้ภาพจำนวนมาก แต่ไม่ถือว่าเป็น ‘ของแท้’ เพราะภาพของแท้ดั้งเดิมที่มีสภาพดีนั้น ประเมินว่าน่าจะเหลืออยู่ไม่เกิน 100 ชิ้นในโลกเท่านั้น

มีผู้วิเคราะห์ไว้เยอะมาก ว่าทำไมภาพนี้ถึงยังมีพลังมาจนถึงปัจจุบัน บางคนบอกว่าภาพนี้ตีความได้หลากหลาย มันจึง ‘ท้าทาย’ มุมมองของเราเอง ภาพมีทั้งเส้นโค้งขนาดใหญ่ มุมมองจากด้านล่างของคลื่น มีกำแพงน้ำมหึมา ฝอยกระเซ็นของคลื่น (ที่ได้รับคำยกย่องว่า ‘เหมือนจริง’ ในทางวิทยาศาสตร์มาก แสดงให้เห็นถึงสายตาอัน ‘คมกริบ’ ของโฮคุไซในการ ‘จับภาพ’ เสี้ยววินาทีของคลื่นเอาไว้ได้เหมือนกล้องถ่ายรูป) แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือองค์ประกอบที่ไม่สมมาตร

ภาพนี้อาจเป็นภาพทิวทัศน์ แต่ ‘คำถาม’ ที่แฝงอยู่ในภาพมีมากมาย เช่น เรือเหล่านั้นจะรอดไหม เราในฐานะผู้ดูภาพมองโลกอย่างไร เห็นความหวังหรือความตายมากกว่ากัน และทำไมภูเขาไฟฟูจิที่ยิ่งใหญ่ถึงถูกคลื่นข่มได้ ศิลปินอย่างวินเซนต์ แวนโกะห์ ชื่นชมภาพนี้มาก โดยบอกว่าคลื่นนี้เหมือน ‘กรงเล็บ’ มีผู้วิเคราะห์ว่าเขาน่าจะได้รับแรงบันดาลใจนำไปสร้างสรรค์เป็นภาพ The Starry Night โคลด โมเนต์เองก็มีภาพนี้แขวนไว้บนผนัง ส่วนแอนดี้ วอร์ฮอล สเก็ตช์ภาพชื่อ Waves (After Hokusai) ซึ่งแสดงถึงการยกย่องโฮคุไซอย่างมาก แม้แต่คีตกวีอย่างโคลด เดอบุสซี ก็ใช้ภาพนี้บนปกโน้ตเพลงอันลือลั่นของเขาอย่าง La Mer

สำหรับนักสักลายบนร่างกาย มีข้อมูลบอกว่า คนจำนวนมากเลือกสักภาพคลื่นยักษ์นี้บนจุดที่เจ็บปวดที่สุดของร่างกาย เพราะมันคือภาพสัญลักษณ์ของความท้าทายและความเจ็บปวด แต่หลายคนเชื่อว่าจะผ่านมันไปได้ เพราะมีภูเขาไฟฟูจิเป็นเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

ถ้าวิเคราะห์ภาพคลื่นยักษ์ในฐานะ ‘เรื่องเล่า’ อันทรงพลัง เราจะพบว่าภาพนี้มีนัยแฝงหลายอย่าง ทั้งการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ สะท้อนผ่านภาพของคลื่นมหึมากำลังโถมเข้าใส่เรือลำเล็ก, การแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของชีวิต เพราะคลื่นไม่ได้เป็นเพียงภาพของความงาม แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความไม่แน่นอน, การแสดงแนวคิดเรื่องความกล้าหาญ และการพยายามเอาชีวิตรอดภายใต้เงื้อมมือของธรรมชาติ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ภาพนี้เต็มไปด้วย ‘เรื่องเล่าทางศีลธรรม’ (moral narratives) ที่ช่วยให้มนุษย์เข้าใจความหมายของชีวิต

การที่ภาพนี้ถูกตีความได้หลากหลายมาก ทั้งในแง่ของความงาม ความกลัว การต่อสู้ หรือแม้แต่ปรับมาใช้กับบริบทของโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนสับสน ภาพนี้จึงถูก ‘ยก’ ขึ้นสู่สภาวะ ‘สากล’ (universality) และไร้พรมแดน สามารถสื่อความหมายได้แม้ในวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอย่างมาก

พูดได้ว่า ภาพคลื่นยักษ์ไม่ใช่แค่ภาพคลื่น แต่มันคือ ‘เรื่องเล่า’ ของมนุษยชาติทั้งปวง ว่าด้วยการเผชิญหน้ากับพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา และความพยายามที่จะเอาชีวิตรอด คล้ายๆ เรื่องสั้น The Old Man and the Sea ของเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์

นั่นจึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภาพคลื่นยักษ์ของโฮคุไซ คือภาพที่ทรงพลังอย่างยิ่ง

และพลังที่ว่า – ก็คือพลังแบบซอฟต์พาวเวอร์ (soft power) ด้วย!

ที่น่าสนใจก็คือ โฮคุไซเป็นศิลปินในยุคเอโดะ ยุคนั้นเป็นยุคที่ญี่ปุ่น ‘ปิดประเทศ’ และไม่ได้มีการสนับสนุนศิลปะในระดับนโยบายของรัฐ หรือมีความพยายามจะผลักดันให้งานศิลปะกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ใดๆ แถมถ้ามองจากสายตาของคนยุคนั้น ภาพแบบนี้น่าจะเป็น ‘ภาพดาษๆ’ เพราะมันเป็นศิลปะของคนชั้นกลางหรือคนทั่วไป ไม่ใช่ศิลปะของชนชั้นปกครอง ทั้งยังเป็น ‘ศิลปะเชิงพาณิชย์’ อีกต่างหาก มองดูโดยสายตาแบบทั่วๆ ไปภาพนี้จึงไม่น่าจะมีคุณค่าอะไรนักหนา

แต่ซอฟต์พาวเวอร์เป็นแบบนี้แหละครับ มันไม่จำเป็นต้องเกิดจากการผลักดันของรัฐเสมอไป แต่เกิดขึ้นได้จากสังคมที่ ‘รุ่มรวย’ ทางวัฒนธรรม และมี ‘เสรีภาพ’ มากพอที่จะผลิตชิ้นงานในรูปแบบใหม่ๆ ออกมาได้ ภาพคลื่นยักษ์จึงเป็นตัวอย่างที่ดีมากของซอฟต์พาวเวอร์ประเภทที่ ‘เกิดขึ้นเอง’ เพราะมันสะท้อนเอกลักษณ์ทางศิลปะของญี่ปุ่น สะท้อนยุคสมัย และมีความเป็นสากลในตัวของมันเอง โดยไม่ต้องมีการโฆษณาหรือผลักดันโดยรัฐแต่อย่างใด

ที่สำคัญก็คือ มีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้จากนอกประเทศด้วย เช่น เกิดความคลั่งไคล้ญี่ปุ่นจากชาวยุโรปในศตวรรษที่ 19 (เรียกว่า Japonisme) ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากญี่ปุ่นถูก ‘บีบ’ ให้ต้องเปิดประเทศ โดย ‘กองเรือสีดำ’ ของนายพลแมทธิว ซี. เพอร์รี ปี 1853-1854 เวลานั้นก็เลยเริ่มเกิดการค้ากับยุโรป ต่อมาในปี 1867 ญี่ปุ่นเข้าร่วมงานนิทรรศการโลก (Exposition Universelle) ที่ปารีส ชาวยุโรปจึงตื่นเต้นมากที่ได้เห็นศิลปะญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ทั้งภาพพิมพ์ไม้และงานเซรามิก

นี่คือ ‘พลังทางวัฒนธรรม’ ที่ ‘เกิดขึ้นเอง’ จากสิ่งที่รัฐอาจจะมองข้ามและไม่ได้สนใจมากมายนักด้วยซ้ำซอฟต์พาวเวอร์แบบนี้ จึงเป็นตัวอย่างของซอฟต์พาวเวอร์ที่เกิดขึ้นจาก ‘พลังทางวัฒนธรรม’ ที่มีอยู่แล้ว – มากกว่าจากนโยบายของรัฐ 

อย่างไรก็ตาม ต่อมาภายหลัง รัฐบาลญี่ปุ่นก็ใช้ภาพนี้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ชัดเจนมากขึ้น เช่น พิมพ์ลายคลื่นยักษ์นี้บนธนบัตรพันเยน หรือส่งเสริมพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับโฮคุไซ และสนับสนุนการนำภาพนี้ไปใช้กับแบรนด์ระดับโลก รวมไปถึงในเกมต่างๆ ด้วย

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ต่อให้ซอฟต์พาวเวอร์หนึ่งๆ ไม่ได้เริ่มจากรัฐ แต่ถ้ารัฐใจกว้างมากพอและเห็นประโยชน์หรือ ‘พลัง’ ของสิ่งนั้นๆ ก็สามารถใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องไป ‘เริ่มใหม่’ ในทุกเรื่อง

เราสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของภาพคลื่นยักษ์ได้หลายมิติ มิติแรกเป็นเรื่องพื้นๆ นั่นคืออาจลองดู ‘กระบวนการเกิด’ ของชื่อเสียงของภาพ ว่ามันกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ได้อย่างไรทั้งที่รัฐไม่ได้สนับสนุนตั้งแต่แรก และภาพนี้ทนทานผ่านกาลเวลายาวนานมาได้อย่างไรนับร้อยๆ ปี แต่ยังคงความนิยมไม่เสื่อมคลาย

เราจะเห็นว่า นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของไทยมีลักษณะแบบ ‘ท็อปดาวน์’ อยู่มาก รัฐผลักดันอย่างเป็นทางการ แต่ยังไม่แพร่หลายแบบ ‘ออร์แกนิก’ หรือเกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างที่ภาพคลื่นยักษ์ทำได้ เราจะมีวิธีการ ‘โดยอ้อม’ อย่างไรไหม ที่จะผลักดันให้ลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นกับศิลปะหรือวิถีชีวิตของไทย โดยไม่ต้องไป ‘ตีกรอบ’ ว่าไอ้นี่เป็นซอฟต์พาวเวอร์ไอ้นั่นไม่ใช่ โดยวางเป้าหมายไปที่ ‘การขาย’ ตั้งแต่ต้น

มิติที่สองที่น่าสนใจกว่า คือ ‘ความหมายเชิงลึก’ ของภาพ

ถ้าเราดูภาพคลื่นยักษ์ของโฮคุไซ เราจะเห็นเลยว่านี่คือภาพของการ ‘ต่อสู้’ กับ ‘อำนาจ’ ที่ยิ่งใหญ่กว่า และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะ

ภาพคลื่นยักษ์จึงไม่ใช่ภาพของ ‘ความสงบเรียบร้อย’ ใดๆ แต่คือภาพของการ ‘ขบถที่หลีกเลี่ยงไม่ได้’ เพราะมันคือการ ‘ขบถ’ ต่ออำนาจของธรรมชาติเพื่อจะมีชีวิตรอด อาจด้วยการแล่นเรือล้อคลื่น หรือตัดฝ่าคลื่นไป หรือหาวิธีใดๆ ก็ตามที่จะอยู่รอดให้ได้ในท่ามกลางความทารุณโหดร้ายของ ‘อำนาจ’ ที่ใหญ่กว่าตัวมนุษย์

แต่ถ้าเรามาดูงานเชิง ‘ศิลปวัฒนธรรม’ ของไทย โดยเฉพาะงานที่รัฐสนับสนุน เราจะเห็นได้เลยว่า งานส่วนใหญ่ในขนบแบบไทยๆ มักจะเป็นงานที่สื่อถึงความ ‘สงบร่มเย็น’ หรือ ‘สงบเรียบร้อย’ ตามอุดมคติสูงสุดทางสังคมของเรามากกว่าจะเป็นงานที่สนับสนุนให้ผู้คนรู้จัก ‘ขบถ’ ต่ออำนาจใหญ่ๆ กระทั่งศิลปินแห่งชาติที่มีแนวคิดไม่สอดคล้องลงรอยกับรัฐ ก็ยังถูก ‘อำนาจที่ใหญ่กว่า’ มีดำริถอดถอนตำแหน่งศิลปินแห่งชาติได้

วิธีคิดแบบนี้ที่แฝงฝังอยู่ในวัฒนธรรมถึงระดับราก จึงมักไม่ก่อให้เกิดการต่อยอด (หรือต่อต้านขนบ) มากเท่ากับการ ‘ทำซ้ำ’ โดยไม่ได้ ‘คิดใหม่’ เพราะการ ‘คิดใหม่’ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้คนตระหนักว่าตัวเองอยู่ในโลกที่มีเสรีภาพและสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ใดๆ ก็ได้เพื่อบอกเล่าถึง ‘ความรู้สึกอันเป็นสากล’ ที่ฝังลึกอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน

ภาพของคลื่นยักษ์อันทรงพลังทางซอฟต์พาวเวอร์นั้น ไม่ใช่ภาพของความสงบสุข แต่คือภาพของการ ‘ตั้งคำถาม’ ต่อ ‘คลื่นยักษ์’ ที่กำลังถาโถมเข้าหามนุษย์

คำถามก็คือ รัฐกำลังทำให้มนุษย์ ‘ยอมจำนน’ กับความเปราะบางของตัวเองไปชั่วชีวิต หรือจะทำให้มนุษย์รู้จัก ‘ดิ้นรน’ เพื่อเปลี่ยนแปลงและเอาชีวิตให้รอดในโลกที่ไม่แน่นอนกันแน่

เพียงสุขสงบอยู่กับอาหารอร่อยนั้นเพียงพอแล้วแน่หรือที่จะอยู่ในโลกอันเต็มไปด้วยคลื่นยักษ์ถาโถม

หรือเราชินชากับความถาโถมเหล่านั้นไปเสียแล้ว?

คลื่นยักษ์

คลื่นยักษ์

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save