1
เดือนหน้า จะครบรอบหนึ่งปีการจากไปของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ และเป็นเดือนที่สอง หลังการจากไปของอาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์
แวดวงนักวิชาการสายสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ย่อมรู้จักอาจารย์สองท่านนี้เป็นอย่างดี และน่าจะรู้ดีว่า เมื่อปราศจากทั้งสองท่านนี้แล้ว – จะมีสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสิ่งหนึ่งที่ ‘ขาดหาย’ ไปจากสังคมไทย
สิ่งนั้นคือ ‘การตั้งคำถาม’ ที่มีคุณภาพ
ผมไม่เคยเรียนกับทั้งคู่โดยตรง แต่ติดตามงานเขียนและการพูดของทั้งคู่สม่ำเสมอ ถ้าคุณเคยเป็นลูกศิษย์ หรือแม้แต่แค่ได้อ่านงานของทั้งอาจารย์นิธิและอาจารย์ชัยวัฒน์มาบ้าง คุณจะรู้เลยว่าคุณูปการอันสำคัญยิ่งที่ทั้งสองท่านได้สร้างไว้ให้แก่สังคมไทย – ก็คือการตั้งคำถาม
ไม่ใช่การตั้งคำถามธรรมดาทั่วไป แต่คือการตั้งคำถามที่ ‘แหลมคม’ ผ่านการคิดที่มี ‘ฐาน’ คนละแบบ
เราอาจพูดได้ว่า อาจารย์นิธิคือนักประวัติศาสตร์ และอาจารย์ชัยวัฒน์คือนักรัฐศาสตร์ แต่ไม่เพียงเท่านั้น เพราะนักประวัติศาสตร์อย่าง นิธิ เอียวศรีวงศ์ ยืนหยัดอยู่บนฐานการวิพากษ์สังคมด้วยมุมมองเชิงวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งและคมคาย ในขณะที่นักรัฐศาสตร์อย่าง ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ก็ก้าวเท้าข้างหนึ่งไปยืนอยู่บนฐานของสันติวิธีที่ไม่ได้มองสันติวิธีอย่างไร้เดียงสา ทว่ามองวิธีสร้างสันติด้วยมุมของความสัมพันธ์เชิงอำนาจ พร้อมกับวิธีตั้งคำถามแบบโสกราตีส
สำหรับผม – สิ่งสำคัญอีกอย่างที่อาจารย์ทั้งสองท่านได้มอบไว้ให้แก่โลกนี้ ก็คืองานเขียน
มีนักวิชาการมากมายที่เขียนหนังสือ แต่มีนักวิชาการน้อยยิ่งกว่าน้อย ที่สามารถ ‘ย่อย’ ความคิดของตัวเองออกมาจนกลายเป็นเรื่องอ่านง่าย จับใจ มีลีลาและวิธีเขียนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาจารย์นิธิ ทำสิ่งนั้นได้อย่างชนิดที่ต้องเรียกว่ามหัศจรรย์ โดยเฉพาะในยุคที่เขียนบทความรายสัปดาห์ทั้งในหนังสือพิมพ์และนิตยสารเดือนละนับเป็นสิบๆ ชิ้น แต่ละชิ้นไม่ใช่งานเขียนธรรมดา ทว่าเต็มไปด้วยคุณภาพของมุมมอง ชวนให้คนอ่านได้เพริศพรายไปกับการขบคิดต่อเนื่องได้ไม่รู้จบ
ส่วนหนังสือของอาจารย์ชัยวัฒน์ นอกจากงานเขียนเชิงวิชาการต่างๆ แล้ว ยังมีงานรวมบทความที่ลึกซึ้งไม่แพ้กัน อาจเรียกว่าเป็น ‘ไตรภาค’ ก็ได้ เพราะมีสามเล่มที่ชื่อคล้องจองกัน ได้แก่ ราวกับมีคำตอบ, มีกรอบไม่มีเส้น และ ถึงเว้นไม่เห็นวรรค นอกจากนี้ ยังมีหนังสือแปลอย่าง The Alchemist หรือ ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน ซึ่งถือได้ว่าเปิดให้โลกวรรณกรรมไทยได้รู้จัก เปาโล โคเอโย และทำให้เราเห็นมุมมองการเดินทางผจญภัยและความฝันของเด็กหนุ่มคนเลี้ยงแกะตัวเล็กๆ จากสเปนที่ตราตรึงน่าประทับใจ
คนหนึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ อีกคนหนึ่งเป็นนักรัฐศาสตร์ นั่นคือความต่าง แต่ที่เหมือนกันก็คือ ทั้งคู่สนใจความรู้นอกเหนือไปจากกรอบคิดเดิมของตัวเอง และแม้จะตั้งคำถามและวิพากษ์สังคมสม่ำเสมอ ทว่าทั้งหมดนั้นเป็นไปด้วยท่าทีปรารถนาดีต่อโลกโดยแท้
คำถามของทั้งคู่เป็นคำถามที่ลึกซึ้ง หลายครั้ง ‘ลงลึก’ ถึงรากเหง้าของปัญหาในสังคมไทย เช่นคำถามที่ยังคงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่เสมอของอาจารย์นิธิ อย่าง ‘ทหารมีไว้ทำไม?’ ที่จนบัดนี้ก็คล้ายยังไม่มีคำตอบ หรือการตั้งคำถามเรื่องหนทางแห่งสันติภาพในสังคมไทยของอาจารย์ชัยวัฒน์ ในหลายวาระโอกาส
คำถามเหล่านี้จำนวนมากท้าทาย status quo ของผู้มีอำนาจในสังคม ด้วยการหยั่งทะลุจนเห็นถึง ‘โครงสร้าง’ ที่บิดเบี้ยว เป็นโครงสร้างแบบลดหลั่นสูงต่ำ ถ่ายน้ำหนักจากบนลงล่าง ความบิดเบี้ยวนั้นได้ถ่ายน้ำหนักมากดทับผู้แบกรับด้านล่างมากขึ้นเรื่อยๆ ในหลายมิติ แต่กระนั้น การ ‘รื้อทำลาย’ ก็อาจไม่ใช่คำตอบ เพราะสิ่งสำคัญกว่าก็คือการทำความเข้าใจกับโลกที่เป็นอยู่อย่างลึกซึ้งในทุกมิติเท่าที่จะเป็นไปได้ และช่วยกันหาวิธีเปลี่ยนผ่านโดยพื้นฐาน เช่นการเปลี่ยนแปลงการให้คุณค่าในทางวัฒนธรรม ซึ่งคือรากฐานของทุกเรื่อง และหาวิธีเปลี่ยนผ่านนั้นๆ โดยไม่ใช้ความรุนแรง
อาจารย์นิธิมักมุ่งเน้นคำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโครงสร้างสังคม ในขณะที่อาจารย์ชัยวัฒน์มักมุ่งเน้นคำถามเกี่ยวกับความขัดแย้ง ความรุนแรง และสันติภาพ
อาจารย์นิธิมักตั้งคำถามที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน โดยใช้ประวัติศาสตร์เป็นฐาน ในขณะที่อาจารย์ชัยวัฒน์มักตั้งคำถามที่มุ่งไปสู่อนาคต โดยเน้นการแก้ปัญหาและสร้างสันติภาพ
อาจารย์นิธิมักตั้งคำถามเชิงวิพากษ์วิจารณ์ตรงไปตรงมา ในขณะที่อาจารย์ชัยวัฒน์มักตั้งคำถามแบบชวนคิด และเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหาให้เราเป็นผู้ครุ่นคิดต่อ
คำถามแบบอาจารย์นิธิ คือคำถามที่พยายามทำให้เรา ‘เห็น’ ให้ได้ ว่า ‘ความจริง’ ทางสังคมที่รากฝังลึกอยู่ในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมนั้น – มันคืออะไร
ในขณะที่คำถามแบบอาจารย์ชัยวัฒน์ คือคำถามที่พยายามชวนเรา ‘คิด’ หา ‘ทางออก’ ที่ไม่ใช้ความรุนแรง และมุ่งสร้างความเข้าใจระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่ขัดแย้งกัน
สำหรับผม อาจารย์นิธิและอาจารย์ชัยวัฒน์ จึงเป็นจิ๊กซอว์ทางความคิดของกันและกัน คนหนึ่งช่วยตบกะโหลกให้ตาสว่าง ในขณะที่อีกคนปลอบโยนให้เราเห็นว่า – โลกไม่ได้เลวร้ายชั่วช้าไปเสียทั้งหมด
และเรายังมีความหวังอยู่เสมอ…
2
ผมชอบนึกอยู่บ่อยๆ ว่าสำหรับผมแล้ว อาจารย์นิธินั้นเหมือนเป็น โฮเวิร์ด ซินน์ (Howard Zinn) เมืองไทย ซินน์เป็นนักประวัติศาสตร์อเมริกันที่เน้นการเล่าประวัติศาสตร์แบบ ‘ล่างขึ้นบน’ (history from below) เรียกได้ว่าเขาเป็นนักประวัติศาสตร์เชิงวิพากษ์เหมือนกับอาจารย์นิธิ คือมักท้าทายมุมมองกระแสหลัก โดยเฉพาะใน ‘ประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ’ ที่เราล้วนรู้ว่ามัน ‘ถูกเขียนขึ้น’ โดยมีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองหลายอย่างแฝงอยู่แต่คนมักมองไม่เห็น
งานเล่มสำคัญของซินน์ คือ A People’s History of the United States ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่าเป็น ‘ประวัติศาสตร์ฉบับประชาชน’ ที่แตกต่างไปจากประวัติศาสตร์กระแสหลัก จึงคล้ายคลึงกับวิธีการของอาจารย์นิธิ ที่มักเสนอ ‘มุมมองอื่น’ ที่ต่างไปจากกระแสหลัก โดยทั้งคู่ใช้ฐานคิดทางประวัติศาสตร์มาอธิบายและวิเคราะห์ปัญหาร่วมสมัยเหมือนๆ กัน
ซินน์เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างชัดเจนด้วย ในขณะที่อาจารย์นิธิ แม้ไม่ได้เป็นนักกิจกรรมทางสังคมโดยตรง แต่ในระยะหลังเราจะเห็นบทบาทในด้านนี้เด่นชัดขึ้นมาก ที่สำคัญ ทั้งคู่เป็น ‘นักเขียน’ ที่เก่งในการ ‘ทำเรื่องยากให้ง่าย’ จึงถือได้ว่าเป็นนักประวัติศาสตร์ที่มีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและมุมมองต่อสิ่งไร้ชีวิตที่เรียกว่า ‘ประวัติศาสตร์’ ในประเทศของตัวเอง โดยเฉพาะประวัติศาสตร์สังคม
ส่วนอาจารย์ชัยวัฒน์ ผมมักชอบคิดว่าคือ โยฮัน กัลตุง (Johan Galtung) ของเมืองไทย กัลตุงเป็นนักสังคมวิทยาและนักสันติวิทยาชาวนอร์เวย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ถือได้ว่าเขาเป็นคนสำคัญและมีบทบาทในการก่อตั้งและพัฒนาการเรียนการสอนในสาขาที่เรียกกันว่า ‘สันติศึกษา’ หรือ Peace Studies
ถ้าใครเคยใช้คำว่า ‘ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง’ (structural violence) ซึ่งทำให้เรา ‘เห็น’ ว่าความรุนแรงไม่ได้มีแค่การใช้กำลังหรืออาวุธเท่านั้น แต่อาจซ่อนตัวอยู่ในโครงสร้างจนเรามองไม่เห็นได้อีกด้วย – ก็น่าจะรู้ว่า คนแรกที่พัฒนาแนวคิดนี้ขึ้นมาคือกัลตุง
นอกจากจะพูดถึงความรุนแรงหลายแบบแล้ว กัลป์ตุงยังเสนอความคิดเรื่องสันติภาพหลายแบบด้วย เช่น สันติภาพเชิงบวกและสันติภาพเชิงลบ หนังสือสำคัญของเขาคือ Peace by Peaceful Means และ A Theory of Peace ชั่วชีวิตของกัลตุง เขาสนใจศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลงโดยปราศจากความรุนแรงมาตลอด เช่นเดียวกับอาจารย์ชัยวัฒน์ ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาแนวคิดและทฤษฎีด้านสันติศึกษา แต่เป็นบริบทแบบไทยๆ ที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน จนอาจทำให้คนจำนวนมากมองไม่เห็นปลายทางร่วมเดียวกัน
สำหรับผม กัลตุงกับอาจารย์ชัยวัฒน์ น่าจะเหมือนกันตรงที่ทั้งคู่พยายามแปร ‘ความคิด’ ให้นำไปประยุกต์ใช้ได้ในสถานการณ์จริง ด้วยการพยายามหาทางออกที่สร้างสรรค์และยั่งยืนเมื่อเกิดความขัดแย้งใหญ่ๆ ขึ้นมา
สิ่งที่สำคัญและทำให้ความคิดกัลตุงกับอาจารย์ชัยวัฒน์ หวนย้อนกลับไปประสานเข้ากับความคิดของซินน์และอาจารย์นิธิก็คือ ปัญหาหรือความขัดแย้งไหนๆ ก็ตาม ต้องพยายามหาทางออกโดยการคำนึงถึง ‘บริบททางวัฒนธรรม’ ด้วย
เพราะในที่สุดแล้ว วัฒนธรรมและ ‘ที่มา’ ของผู้คนที่แตกต่าง ล้วนคือรากฐานสำคัญที่จะทำให้สังคมเดินหน้าต่อไปในทิศทางต่างๆ นั่นเอง
3
เมื่อไม่มีอาจารย์นิธิและอาจารย์ชัยวัฒน์ – สังคมไทยขาดอะไรไป
เปล่า – เราไม่ได้ขาดแคลนศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ ไม่ได้ขาดแคลนนักวิชาการที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง ไม่ได้ขาดแคลนนักคิดที่เราสามารถติดตามการวิพากษ์ของพวกเขาได้ เชื่อได้ คิดคล้อยตามได้ เห็นแย้งได้ โต้เถียงได้ หรือแม้แต่หยาบคายใส่ก็ยังทำได้
แต่สิ่งสำคัญที่สุด – คือสังคมไทยได้ขาด ‘นักตั้งคำถาม’ ที่สำคัญอย่างยิ่งในยุคสมัยที่ต้องการการตั้งคำถามอันแหลมคม, ไปอย่างน่าเสียดายที่สุด
ทุกวันนี้ เรามีนักอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด ตั้งแต่นักวิชาการ นักคิด นักสื่อสาร ไปจนกระทั่งถึงนักฉอด ที่มักมาในนามตัวแทนของ ‘ลัทธิเผ่า’ (tribalism) ทางอุดมการณ์ต่างๆ โดยได้หลอมรวม identity politics เข้ากับ ideology เดิมของตัวเอง จนสองเรื่องที่ต่างกันนี้ได้กลายเป็นเนื้อเดียวกันไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
แต่ในเวลาเดียวกัน เมื่อทอดตามองทั่วแผ่นดิน – ผมกลับคิด (ซึ่งอาจจะผิดก็ได้) ว่า – คุณภาพการ ‘ตั้งคำถาม’ ของเรากำลังตกต่ำลงอย่างมาก เพราะเราไม่ได้ตั้งคำถามโดยยึดฐานอุดมการณ์ มากเท่าการมองว่า ‘ใคร’ เป็นคนที่เรากำลังจะโจมตีหรือยกย่อง เพื่อที่เราจะ ‘หาเหตุผล’ (rationalize) มารองรับคำพูดหรือข้อเขียนของเราไปตามนั้น
เมื่อสังคมขาด ‘นักตั้งคำถาม’ ที่มีคุณภาพ เราจึงมักเห็นแต่ ‘นักโต้วาที’ ที่อาศัย ‘วาทะ’ ประทังชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ ในสังคมที่เอาชนะคะคานกันด้วยคารมและความดังของเสียง ทั้งเสียงของตัวเอง เสียงของสังกัด และเสียงของกลุ่มคนที่อยู่ในสังกัดเดียวกัน
เมื่อปราศจากคำถามที่มีคุณภาพ แล้วเราจะคาดหวังคำตอบที่มีคุณภาพได้อย่างไรเล่า
แม้รู้อยู่ว่าการล่วงผ่านของวันวัยเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่กระนั้น การที่สังคมขาด ‘นักตั้งคำถาม’ ที่ลึกซึ้งและกว้างขวางอย่างอาจารย์นิธิและอาจารย์ชัยวัฒน์ไป – ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง แต่หากเราตระหนักถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้แล้ว นี่อาจเป็นเป็นโอกาสสำคัญก็ได้ ที่เราแต่ละคนจะต้องลุกขึ้นมาหาวิธี ‘ตั้งคำถาม’ ที่แหลมคมและเหมาะสมกับยุคสมัยของเราต่อไปด้วยตัวของเราเอง โดยเฉพาะการตั้งคำถามกับความคิดความเชื่อ อุดมการณ์ และความปรารถนาในตัวเรา
แต่ในโลกที่การ ‘ปล่อยไหล’ ไปกับกระแสของอำนาจเป็นเรื่องง่ายกว่าการตั้งคำถามและการตรวจสอบมากขึ้นเรื่อยๆ นี้
คำถามก็คือ – เราอยากจะทำเช่นนั้นหรือเปล่า…