คำว่า ‘ฟาน’ ในภาษาลาวแปลว่า ‘กวาง’ (deer) ซึ่งดันมีเสียงใกล้เคียงข้ามทวีปกับภาษาอังกฤษในคำว่า ‘ฟอน’ (fawn) ที่แปลว่า ‘ลูกกวาง’ ส่วนคำว่า ‘เนื้อกวาง’ ผู้คนแถบนี้เรียกว่า ‘เฝ้นเน็อซึน’ (venison) คนท้องถิ่นในนิวอิงแลนด์บางคนก็บริโภคเนื้อกวาง เห็นได้จากมีเนื้อกวางวางจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตในบางท้องที่บ้างประปราย แต่ส่วนใหญ่คนอเมริกันทางภาคใต้จะนิยมบริโภคเนื้อฟานมากกว่า เช่น ในรัฐเท็กซัสหรือแอละแบมา จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนเคยอยู่ทางภาคใต้อย่างรัฐแอละแบมามาก่อนหน้านี้
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเสรีประชาธิปไตยขนาดใหญ่ ระบอบการปกครองจึงเน้นการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นดูแลบริหารจัดการตนเองอย่างเป็นอิสระ ทั้งด้านการศึกษา ภาษี โครงสร้างสาธารณะพื้นฐาน และระบบสาธารณสุข มีสิทธิและอิสรภาพในการปกครองตนเองทั้งด้านศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่น รวมทั้งอิสรภาพในการคงอัตลักษณ์ของผู้คนในแต่ละรัฐและชนพื้นเมืองดั้งเดิม ซึ่งในแต่ละรัฐมีความโดดเด่นของแต่ละชนเผ่าที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ยังมีสิทธิในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่าโดยท้องถิ่น ดังนั้นการล่ากวางเพื่อเป็นอาหารหรือเกมกีฬาในแต่ละรัฐของอเมริกาจึงต้องมีใบอนุญาตล่าสัตว์ แม้แต่การตกปลาก็ต้องซื้อ fishing license (ผู้เขียนเองก็ถือครองและต้องต่อใบอนุญาตตกปลาทุกปี เพราะปกติยามว่างก็ไปเลาะหาตกปลาตามชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก มาหมักปลาแดก) ดังนั้นใบอนุญาตล่าสัตว์จึงขึ้นอยู่กับข้อกฎหมายของแต่ละรัฐ และ/หรือแต่ละเมืองจะกำหนดตามลักษณะทางภูมิศาสตร์และขนาดของทรัพยากรธรรมชาติของแต่ละท้องที่นั้นๆ
สำหรับการล่ากวาง มีข้อกำหนดและอนุญาตให้เฉพาะฤดูกาลล่าเท่านั้น เนื่องจากจำนวนประชากรกวางในประเทศนี้มีปริมาณมหาศาล และมักเข้าไปทำลายพืชผลทางการเกษตร หากนับแค่ในพื้นที่เล็กๆ ที่ผู้เขียนอาศัยอยู่ตอนนี้ ประชากรกวางมีจำนวนมากกว่ามนุษย์ผู้อยู่อาศัยเสียอีก เกือบทุกถนนจะมีป้ายเตือนกวางกระโดดข้ามถนนเป็นระยะๆ โดยเฉพาะบนถนนในเขตชนบท
‘ส่มฟาน’ จากเทือกเขาภูพาน
วัฒนธรรมอาหารที่เคลื่อนย้ายตามผู้คน

‘ส่ม’ ออกเสียงแบบภาษาลาว หรือภาษาไทยกลางอาจเรียกว่า ‘แหนม’ ถ้าเทียบเคียงกับของตะวันตกที่คนท้องถิ่นแถบนี้บริโภคกันประจำอาจจะเรียกประมาณว่า salami หรือ antipasto เพราะส่วนผสมคือเกลือและเน้นกระบวนการหมักบ่มเนื้อสัตว์คล้ายๆ กัน ส่มคือกระบวนการถนอมอาหารจากเนื้อสัตว์ให้เกิดรสเปรี้ยวนำ อาจใช้เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อปลา และเติมคำว่า ‘ส่ม’ นำหน้า เช่น ส่มฟาน ส่มซี้น (ส่มเนื้อวัว)
วิธีทำส่มฟานมีเนื้อกวางเป็นส่วนประกอบหลัก จะทำเป็นแบบส่มต่อนฟาน (เนื้อหั่นชิ้นเล็ก) หรือส่มฟักฟาน (เนื้อสับละเอียด) ก็ได้เอาตามที่ชอบ เครื่องปรุงมีแค่เกลือ กระเทียมสับ ข้าวเหนียวนึ่งสุก ทิ้งไว้ให้เย็น นำไปแช่น้ำสะอาด แล้วนำมาผึ่งให้หมาด แล้วก็เริ่มกระบวนการ ‘คั่นส่ม’ คือนำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าให้เข้ากันในชามหรือกะละมังใบใหญ่ ค่อยๆ นวดส่วนผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน พักไว้สักชั่วโมง แล้วก็เริ่มกระบวนการห่อส่มฟานด้วยใบตองสัก 2-3 ชั้น มัดด้วยหนังยางวง (ถ้าต้องการความดั้งเดิม) เนื่องจากใบตองเป็นของหายากในแถบนิวอิงแลนด์ เพราะต้นกล้วยเป็นพืชเขตร้อน ไม่ใช่พืชท้องถิ่นของที่นี่ ผู้เขียนจึงมักซื้อใบตองแช่แข็งที่นำเข้าจากไทยมาเก็บไว้ที่บ้าน (ตามภาพ) มีจำหน่ายบ้างในตลาดเอเชียตามเมืองใหญ่ๆ ใกล้เคียงเช่นบอสตันและนิวยอร์ก

บ้างครั้งผู้เขียนก็เคยเดินไปขอใบตองสดๆ กับคนดูแลโรงเรือนกระจกที่ไว้ปลูกพืชและสมุนไพรเขตร้อนสำหรับการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยา ของคณะเภสัชศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนสอนอยู่ บางครั้งผู้เขียนก็จะมีอาหารไทยจำพวกผัดไทย แกงเขียวหวานติดไม้ติดมือไปฝากคนดูแลโรงเรือนบ้างเพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดี คนดูแลโรงเรือนกระจกก็จะพาเดินชมโน่นนี่นั่น โสเหล่กันตามประสาคนรู้จักมักคุ้น ถึงเวลาผู้เขียนก็ใช้มีดที่เตรียมมาเฉือนใบตองจากก้านอย่างรวดเร็ว ม้วนพับลงในเป้ใบใหญ่ เดินฝ่าละอองหิมะกลับบ้านในช่วงฤดูหนาว หรือแม้บางครั้งก็ขอกันตรงๆ กับคณะอาจารย์คณะเภสัชฯ ที่คุ้นเคยกัน เพราะผู้เขียนได้รับเชิญสอนให้คณะเภสัชฯ เป็นประจำเกือบทุกเทอม จึงทำให้การเข้าถึงใบตองสดเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
มากไปกว่านั้น บางครั้งก็จะได้ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และใบมะขามอ่อนกลับบ้านไปทำอาหารด้วย หรือไม่ก็ได้ใบหนาดกลิ่นหอมมาปักแจกันในบ้าน ใบหนาดที่คนลาวอีสานเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่สามารถไล่ผีปอบและป้องกันผีปอบเข้ามาในบริเวณบ้าน สมัยผู้เขียนเด็กๆ ก็จะเห็นผู้คนในหมู่บ้านนำช่อใบหนาดปักตามบันไดบ้านหรือเสารั้วบ้าน เพราะเชื่อว่าสามารถไล่ผีปอบหรือสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามากล้ำกรายภายในบริเวณบ้านได้


โรงเรือนกระจกที่ไว้สำหรับปลูกพืชและสมุนไพรเขตร้อนสำหรับการศึกษาวิจัยทางเภสัชวิทยาของคณะเภสัชศาสตร์ในมหาวิทยาลัย ภาพนี้ได้ถ่ายไว้ในช่วงฤดูหนาวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ภายในโรงเรือนมีพืชเขตร้อนหลากหลายชนิด ถือได้ว่าเป็นการลงทุนสูงด้านการวิจัยและพัฒนา เพราะต้นทุนการดูแลรักษารวมทั้งการควบคุมความชื้นและอุณหภูมิใช้งบประมาณสูงมาก แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุน บางครั้งภายในสถานที่แห่งนี้ก็เป็นที่ผักผ่อนหย่อนใจของผู้เขียนในช่วงฤดูหนาวมาเยือน นอกจากเป็นที่หลบภัยความหนาวเหน็บแล้ว ยังได้กลิ่นอายความเป็นเมืองร้อนชื้นและกลิ่นของพืชเมืองร้อนท่ามกลางความหนาวเย็นและหิมะปกคลุม รู้สึกเหมือนได้นั่งแคปซูลฝ่าพายุหิมะกลับไปพบปะอดีตแห่งเทือกเขาภูพานบ้านเกิด / ภาพโดยผู้เขียน
ทว่าในบางครั้งถ้าหาใบตองแช่แข็งเพื่อนำมาใช้ในการห่อส่มฟานไม่ได้จริงๆ ก็ต้องประยุกต์ใช้บรรจุภัณฑ์อื่นทดแทน ผู้เขียนมักใช้พลาสติกห่ออาหารในการห่อชั้นที่หนึ่ง และใช้กระดาษฟอยล์ห่อทับอีกสักสองชั้น ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องสักหนึ่งถึงสองวันก็กินได้ ถ้าอยากเก็บไว้กินนานๆ ก็นำเอาส่วนที่เหลือไปแช่ในช่องแช่แข็ง หรือช่วงไหนได้บินไปฟลอริดา ผู้เขียนก็จะขนใบมะยมสดกลับมาจากสวนคนลาว คนเวียดนาม นำใบมะยมมาห่อในส่มฟาน ใช้ใบมะยมสัก 4-5 ใบรองพื้นบนใบตองชั้นในสุด เอาส่มฟานวางทับ ห่อม้วนให้แน่นสนิท แล้วรัดด้วยหนังยางวง ใบมะยมจะช่วยเพิ่มรสชาติและกลิ่นได้เป็นอย่างดีแต่ถ้าหาใบมะยมไม่ได้จริงๆ ผู้เขียนก็จะใช้ยอดอ่อนของต้นแครบแอปเปิล (crab apple) ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นแถบนี้ ผลของแครบแอปเปิลมีรสชาติออกเปรี้ยว ลักษณะคล้ายแอปเปิลแต่ลูกเล็กกว่ามาก ขนาดเท่าผลพุทราที่ไทย ยอดอ่อนเมื่อนำมาใส่ในส่มฟาน รสชาติและกลิ่นจะคล้ายใบมะยม ซึ่งก็สามารถทดแทนกันได้ในยามขัดสนวัตถุดิบ
หมากแครบแอปเปิลออกผลดกในช่วงปลายฤดูร้อน ประมาณต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งปกติคนอเมริกันท้องถิ่นไม่นำมาบริโภคเพราะมีรสเปรี้ยวอมฝาดนิดๆ ในผลที่ยังไม่สุกหรือผลสีเขียวอ่อน ส่วนลูกที่ห่ามๆ จะมีผลสีเหลืองหรือส้มแล้วแต่สายพันธุ์ ส่วนผลที่สุกจะมีสีแดง รสชาติหวานอมเปรี้ยว ผู้เขียนสอบถามจากเพื่อนร่วมงานและคนรู้จักชาวอเมริกันหลายคนบอกตรงกันว่า “มันกินไม่ได้และไม่รู้ว่าจะต้องกินอย่างไร” และปล่อยให้ร่วงโรยตามพื้นดินไปในแต่ละฤดูกาล แต่ผู้คนพลัดถิ่นจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนคนลาว เขมร ม้งลาว เวียดนาม หรือฟิลิปปินส์ จะออกหาเก็บหมากแครบแอปเปิลตามที่สาธารณะเพื่อนำมาเพิ่มมูลค่าและเพิ่มรายได้เสริม โดยนำมาล้างน้ำให้สะอาด บรรจุในถุงซิปล็อก และบรรจุถุงพริกเกลือลงไป พร้อมรับประทานเป็นของว่างยามบ่าย มีวางจำหน่ายตามตลาดเอเชีย หรือไม่ก็ขายตามงานเทศกาลเอเชียต่างๆ
ตามประสบการณ์ที่ผู้เขียนเห็นวางขาย ถุงเล็กมีราคาประมาณ 5 เหรียญฯ ถุงใหญ่ 10 เหรียญฯ และหมดเร็วมาก ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคก็ว่าได้ บ้างก็นำมาดองเก็บไว้กินในช่วงฤดูหนาว ผู้เขียนก็คือหนึ่งในผู้ที่ออกหาเลาะเก็บหมากแครบแอปเปิลกับเพื่อนคนลาวเมื่อมีเวลาว่าง บางครั้งก็จะห่อปลาแดกบอง หรือพริกเกลือไปกินสดๆ จากต้น อีกคนก็จะปีนป่ายขึ้นไปฮาน (ตัด) กิ่งก้านลงมาให้เก็บผลด้านล่าง ทั้งม่วน ทั้งมีรายได้เสริม เหมือนได้ย้อนวัยไปในยุคสงครามเย็น… พุ่นแหล่ว เพราะยุคนั้นวิถีเด็กชนบทในภูมิภาคอีสานอย่างผู้เขียนเข้าไม่ถึงร้านค้าของชำ ไม่เคยรู้จักขนมขบเคี้ยว หรูสุดก็แค่ห่อแจ่วปลาแดกหรือพริกเกลือ เลาะหากินส่มบักทัน (พุทรา) หรือผลไม้พื้นถิ่นตามฤดูกาลกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันในหมู่บ้านแค่นั้น

การตามหาและครอบครองวัถุดิบหลัก (เนื้อฟาน) โดยไม่ต้องล่า แค่คุณตำรวจแถวบ้านโทรมาก็พร้อมไปรับ
ตามกฎหมายของรัฐแมสซาชูเซตส์ เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนกวางตามท้องถนนแล้วกวางตายหรืออยู่ในระยะใกล้ตาย ผู้ขับขี่ที่ชนกวางสามารถครอบครองเป็นเจ้าของกวางได้ถูกต้องตามกฎหมายของรัฐ และตามกฎหมายของกรมประมงและสัตว์ป่าแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์[1] แต่ต้องโทรแจ้งตำรวจเข้ามาตรวจสอบและให้อนุญาตก่อนจึงจะสามารถครอบครองเป็นเจ้าของกวางที่ตายแล้วได้ อย่างไรก็ตามคงไม่มีใครเจตนาชนกวางหรืออยากจะเกิดอุบัติเหตุชนกวางเพื่อครอบครองซากกวางที่ตายแล้วกันหรอก เพราะไม่คุ้มค่ากับความเสียหายของยานพาหนะ
เวลาผู้เขียนเห็นรถชนกวางตามท้องถนนและจอดรอตำรวจเข้ามาตรวจสอบ คาดเดาเอาว่ารถคันนั้นไม่น่าจะซ่อมแซมกลับมาเหมือนเดิมได้ เพราะส่วนหน้าพังยับเยินเกือบทุกคัน แต่ถ้าเจ้าของรถที่ชนกวางไม่ประสงค์จะครอบครองกวางหรือซากกวางที่ตายแล้วก็แค่แจ้งกับตำรวจ ตำรวจก็จะโทรแจ้งหน่วยงานมาจัดเก็บซากกวางซึ่งมีค่าใช้จ่าย อาจเรียกเก็บโดยตรงจากเจ้าของรถ เรียกเก็บโดยตรงจากบริษัทประกันภัยรถยนต์ หรือเจ้าของรถจ่ายไปก่อนแล้วเบิกคืนจากประกันภัยรถยนต์ก็ได้เช่นกัน
ในกรณีที่เฉี่ยวชน กวางมีอาการบาดเจ็บเล็กน้อย ตำรวจประเมินแล้วว่าเยียวยารักษาหายได้ ก็จะนำกวางไปที่ศูนย์บริบาลสัตว์ป่าเพื่อเยียวยารักษาให้หายก่อนปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ก็จะเบิกจ่ายจากบริษัทประกันภัยรถยนต์ ส่วนกรณีที่กวางจะตายแหล่ไม่ตายแหล่ หรือเข้าข่ายใกล้จะสิ้นลม คอหักพับผิดรูป ตำรวจประเมินแล้วว่าเยียวยารักษาไม่ได้แล้ว ตำรวจก็จะลั่นไก กระหน่ำยิงเข้าไปที่ตัวกวางสัก 2-3 นัด เพื่อให้มั่นใจว่าสิ้นลมปราณแน่นอน เรื่องนี้อาจดูโหดร้ายสำหรับใครหลายคน แต่มันคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและดำเนินต่อไปตามเหตุและผลที่สอดคล้องกับข้อกฎหมายของรัฐที่อนุญาตให้ปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว และที่สำคัญมันคือข้อตกลงร่วมของคนส่วนใหญ่ในรัฐ ซึ่งร่างกฎหมายก่อนจะเสนอเพื่อบังคับใช้
จากประสบการณ์ของผู้เขียนเอง ร่างกฎหมายจะผ่านการลงประชามติจากการโหวตในคูหาช่วงเลือกตั้ง ซึ่งแนบท้ายในบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เป็นคำถามให้ตอบแค่ yes/no และการเลือกตั้งที่นี่ไม่ได้แบ่งยิบย่อยให้สิ้นเปลืองงบประมาณเหมือนประเทศไทยเด้อสู คือเลือกตั้งครั้งเดียวจบ ทั้งประธานาธิบดีในระดับประเทศและการเมืองระดับท้องถิ่นในคราวเดียวกัน
สำหรับการได้มาซึ่งเนื้อฟานของผู้เขียนก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากนัก เพียงแค่การ ‘จอบ’ (แอบเฝ้าคอยติดตาม) หรือไม่ก็แค่ ‘ซอมเบิ่งอยู่เด้อ ถ้าหากว่าเธอนั้นเจอกวางที่เขาบ่เอา…‘ ผู้เขียนมีเอื้อยฮัก (พี่สาวบุญธรรม) คนหนึ่งเป็นคนลาวพลัดถิ่นที่รักใคร่สนิทสนมกันกับผู้เขียนมามากกว่าสิบปี รู้จักคุ้นเคยกันตั้งแต่สมัยที่ผู้เขียนสอนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐแมสซาชูเซตส์ ก่อนที่จะย้ายมาทำงานและอาศัยอยู่ในรัฐโรดไอแลนด์จนถึงปัจจุบัน
เอื้อยอพยพมาตั้งรกรากใหม่ในถิ่นฐานอเมริกาพร้อมกับครอบครัวในปี 1976 ตั้งแต่เอื้อยยังเป็นเด็ก หลังเหตุการณ์การปฏิวัติลาวหรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองลาวนั่นเอง เอื้อยชอบทำและกินอาหารลาวเป็นหลัก เราเลยไปกันได้ด้วยดีทั้งสองคนเอื้อยน้อง ประจวบกับเอื้อยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่คุมประพฤติมานานหลายปีในเขตเมืองหนึ่งของรัฐแมสซาชูเซตส์
เนื่องจากหน้าที่การงานของเอื้อยที่ต้องทำงานร่วมกับหลายหน่วยงานโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศาลแขวง เป็นต้น แกเลยมีสายสัมพันธ์ที่ดีและมีเครือข่ายคุณตำรวจท้องถิ่นที่คอยโทรแจ้งเอื้อยหรือโทรแจ้งตัวผู้เขียนเองให้ไปรับกวางที่ถูกรถชนตายตามท้องถนนบ้างเป็นครั้งคราว ในเขตเมืองที่เอื้อยอาศัยอยู่ในระยะทางสักไม่เกิน 20-30 ไมล์ เพราะตำรวจท้องถิ่นจะรู้กันว่าใครในชุมชนที่ต้องการและบริโภคเนื้อฟาน (จากคำบอกเล่าของเอื้อย เพราะแกเคยจอดรถแล้วลงไปถามตรงๆ กับตำรวจว่าขอกวางที่ตายแล้วได้ไหมจะเอาไปทำอาหาร และก็ให้เบอร์โทรศัพท์กับตำรวจท้องที่ไว้เผื่อมีให้ไปรับอีก) ถ้าผู้เขียนว่างและไม่ติดภารกิจใดๆ ก็จะขับรถจากรัฐโรดไอแลนด์ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งไปรับกวางด้วยตัวเอง และคุณตำรวจก็จะช่วยแบกหามขึ้นท้ายกระโปรงรถ แต่ส่วนใหญ่เอื้อยจะเป็นคนไปรับเองเพราะอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากกว่า และโทรตามผู้เขียนมาชำแหละกวางที่บ้านในภายหลัง
มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นและเกือบถูกจับเพราะซากกวางในกระโปรงท้ายรถ มีอยู่วันหนึ่งผู้เขียนและเอื้อยพร้อมลูกสาวของแกที่เป็นลูกครึ่งลาว-อเมริกัน กลับมาจากไปทำธุระต่างเมือง กำลังจะขับรถกลับบ้าน ตำรวจท้องที่ก็โทรเข้ามาหาเอื้อยเพื่อให้ไปรับกวางที่เพิ่งถูกรถชนตายเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา ประจวบเหมาะอยู่ในเส้นทางที่จะกลับบ้านพอดีเลยแวะรับกวาง และยังพูดกันในรถเลยว่า “หมานเนาะ มื้อนี้ได้กวางกลับบ้านแล้วเฮา” (โชคดีเนอะ วันนี้ได้กวางกลับบ้านแล้วเรา)
พอไปถึงก็ทักทายคุณตำรวจตามประสาคนคุ้นเคย ช่วยกันหามกวางตัวอุ่นขึ้นกระโปรงท้ายรถตามเคย ผู้เขียนใช้ถุงขยะพลาสติกใบใหญ่ที่ยังไม่ผ่านการใช้งานปูรองก่อนวางตัวกวางลงไป ระหว่างทางกลับบ้าน ลูกสาวเอื้อยขอแวะร้านดังกิ้นโดนัทสักหน่อย ทั้งสามคนเดินเข้าไปในร้าน รถก็ติดเครื่องทิ้งไว้ด้านนอกเพราะเข้าไปแค่แป้บเดียว แค่สั่งโดนัทกลับบ้าน พอกลับออกมาใกล้จะถึงรถ ก็เจอหญิงผิวขาววัยกลางคนมายืนกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งข้างๆ รถของพวกเรา (นึกภาพตามเวลาคนอเมริกันตื่นตกใจและเล่นใหญ่ ใบหน้า ท่าทาง ตาเหลือกถลน น้ำเสียงจะออกมาชัดเจนแบบไม่ต้องเคอะเขินแต่อย่างใด) ผู้เขียนและเอื้อยก็พยายามพูดคุยบอกกล่าวให้ผู้หญิงคนนั้นใจเย็นๆ สงบสติอารมณ์อยู่พักหนึ่ง หล่อนก็ไม่ยอมหยุดสักที ด้วยความโมโห เอื้อยสบถเป็นภาษาลาวออกไปว่า “โอ้ย…อีห่าทั่งมึง…เอ้ย” ในภาษาอังกฤษก็จะประมาณว่า “ Hey WTF…Bitch…”
ลูกสาวเอื้อยก็กระซิบผู้เขียนว่าเหลือบไปเห็นผู้ชายในรถอีกคันเพิ่งวางโทรศัพท์และเปิดประตูรถออกมา กำลังเดินมาทางนี้ ปรากฏว่าผู้ชายคนนั้นคือสามีของผู้หญิงที่กำลังกรีดร้อง และเดินมาบอกว่าโทรแจ้งตำรวจแล้วและกำลังจะมา ผู้เขียนจึงเดินไปดูที่ท้ายรถปรากฏว่ามีเลือดกวางไหลเป็นทางซึมออกมาจากกระโปรงท้ายรถ ซึ่งรถก็ดันจอดบนเนินพอดิบพอดี ก็ไม่แปลกใจที่หญิงคนนั้นที่เห็นเลือดไหลนองเป็นทางออกมาจากท้ายรถจะกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เพราะหล่อนอาจคิดว่าเป็นเหมือนในหนังฆาตกรรมอำพรางศพ
สักพักตำรวจท้องที่มาถึง สามีของผู้หญิงคนนั้นก็เดินเข้าไปคุยกับตำรวจ ไม่รู้คุยอะไรกันเพราะระยะค่อนข้างไกลจากรถมาก หลังจากนั้นตำรวจเดินมาถามพวกเราว่าใครเป็นเจ้าของรถคันนี้ แล้วบอกว่า “ช่วยกรุณาเปิดกระโปรงหลังให้ดูหน่อย เพราะได้รับแจ้งว่ามีสิ่งผิดปกติในรถคันนี้” เอื้อยเลยอธิบายเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบให้ตำรวจฟัง พร้อมเปิดกระโปรงท้ายให้ตรวจสอบ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ และเอื้อยก็โทรหาตำรวจที่เพิ่งให้กวางมา ยื่นโทรศัพท์ให้ตำรวจกับตำรวจคุยกันเอง สรุปจบที่พวกเราได้กวางกลับบ้าน สองผัวเมียนั่นคุยกับตำรวจสักพักก็วิ่งแจ่นขึ้นรถขับหนีออกไปโดยไม่กล่าวลาใดๆ ซึ่งผู้เขียนก็ชื่นชมที่เขาเห็นอะไรผิดปกติก็โทรแจ้งเหตุ
จากประสบการณ์ผู้เขียน สังคมอเมริกันเป็นสังคมชุมชนเฝ้าระวังให้กันและกัน ถึงแม้ว่าจะรักและหวงแหนความเป็นส่วนตัวและยึดถือปัจเจกนิยมมากขนาดไหนก็ตาม เช่น ถ้าคุณเห็นเพื่อนบ้านใช้ความรุนแรงภายในบ้านแล้วไม่แจ้ง ก็ถือว่าคุณมีความผิดร่วมถ้าสืบทราบได้ภายหลัง หรือแม้แต่เพื่อนบ้านปล่อยสวนหรือสนามหญ้าหน้าบ้านรกหูรกตา คุณก็สามารถโทรแจ้งทางการให้เข้ามาจัดการได้เช่นกัน ฯลฯ เหตุการณ์เลือดกวางไหลนี้ก็เช่นกันที่ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญสำหรับผู้เขียนด้วย
หลังจากวันนั้นเวลาได้กวางจากตำรวจ พวกเราจะดิ่งตรงกลับบ้านอย่างเดียวโดยไม่แวะเวียนที่ไหนเลย ครั้งล่าสุดเอื้อยพาลูกสาวไปเรียนฟ้อนรำที่วัดลาว ซึ่งผู้เขียนก็ติดตามไปด้วย ขาไปเจอกวางถูกรถชนตายพอดี และขอกับตำรวจเป็นที่เรียบร้อย แต่พวกเรายังไม่เอาขึ้นรถเพราะกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เลยต้องปรับเปลี่ยนวิธีการเสียใหม่ โดยพวกเราสามคนช่วยกันหามกวางไปแอบซ่อนไว้ในป่าข้างทางเสียก่อน ขากลับค่อยแวะรับกวางกลับบ้านไปทีเดียว พอถึงบ้านก็เข้าสู่กระบวนการชำแหละแยกชิ้นส่วน (มีภาพแต่ไม่กล้าเอามาลง เพราะอาจดูน่ากลัวสำหรับผู้อ่านจนเกินไป) ซึ่งผู้เขียนเองสามารถชำแหละกวางทั้งตัวให้เสร็จได้ภายในไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง พร้อมแยกชิ้นส่วนเพื่อนำไปประกอบอาหาร และบรรจุเนื้อสดลงถุงใส่ในช่องแช่แข็ง เก็บไว้กินส่วนหนึ่ง หรือแบ่งขายให้กับชุมชนคนลาวหรือคนเขมรขาประจำที่ต้องการ ถ้าเนื้อพอเหลือก็จะนำไปทำเนื้อกวางแดดเดียว (venison jerky) พอเนื้อแห้งได้ที่ก็จะเก็บใส่ถุงเอาเข้าช่องแช่แข็ง เก็บไว้กินได้นานข้ามปีกันเลยทีเดียว หรือไม่ก็แบ่งจำหน่ายจ่ายแจกตามออเดอร์
นอกจากคุณตำรวจโทรตามแล้ว วิธีการได้มาของเนื้อฟานก็ปรับเปลี่ยนพัฒนาขึ้นมาหน่อยตามยุคสมัยและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ เมื่อ 2-3 ปีให้หลัง ผู้เขียนก็หันมาใช้แอปพลิเคชันอย่าง Waze ซึ่งเหมือนจีพีพเอสนำทางทั่วไปแต่จะแจ้งเตือนการซุ่มดักจับความเร็วของตำรวจหรืออุบัติเหตุต่างๆ ด้านหน้า รวมถึงอุบัติเหตุรถชนสัตว์จำพวกกวางและมูส หรือแจ้งเตือนแม้กระทั่งรถติดบนถนนเนื่องจากฝูงเป็ดพาลูกข้ามถนน ฝูงสัตว์ข้ามถนน เต่าข้ามถนน เป็นต้น ซึ่งทำให้ง่ายในการเห็นพิกัดที่จะสามารถ ‘ส่อหล่อ’ เข้าไปขอกวางที่ถูกรถชนตายจากตำรวจได้อย่างทันท่วงที และได้เนื้อฟานที่สดใหม่ไว้เฮ็ดแนวอยู่แนวกินอย่างส่มฟาน


ในช่วงเทศกาลบุญคริสต์มาส (เรียกตามคนลาวที่นี่ ไว้มีโอกาสจะมาเล่าการเติม prefix คำว่า ‘บุญ’ นำหน้าเทศกาลและวันหยุดสำคัญต่างๆ ของอเมริกาของชุมชนคนลาวในอเมริกา ว่ามีนัยยะและวาระซ่อนเร้นที่น่าสนใจอะไรบ้าง) เอื้อยและผู้เขียนเองก็จะส่งการ์ดและของขวัญคริสต์มาสเล็กๆ น้อยๆ เพื่อขอบคุณไปยังคุณตำรวจที่บ้านหรือที่สถานีตำรวจอย่างระมัดระวังภายใต้มูลค่าตามที่นโยบายของแต่ละองค์กรกำหนดไว้อย่างชัดเจน
ในฐานะที่ผู้เขียนทำงานในอเมริกามานานและผ่านประสบการณ์มาจากหลากหลายองค์กร ทั้งมหาวิทยาลัย โรงพยาบาล หรือแม้แต่สถานคุมขังเยาวชนที่กระทำความผิด (training school) จุดร่วมของนโยบายแต่ละองค์กรของสังคมอเมริกันที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานจะมีจิตสำนึกและความระแวดระวังในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนและการรับของกำนัล ภาษาไทยก็จะประมาณค่าน้ำร้อนน้ำชาหรือรับเงินใต้โต๊ะ ซึ่งมีโทษหนักและอาจหมดอนาคตในหน้าที่การงานได้เลย
มีเหตุการณ์ที่น่าเสียใจเกิดกับคนไทยที่รู้จักกันคนหนึ่ง ซึ่งเรื่องราวต่อไปนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนไทยที่อยากมาเรียนหรือมาใช้ชีวิตในอเมริกา สมัยที่ผู้เขียนทำงานสอนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐแมสซาชูเซตส์ ได้รู้จักกับนักศึกษาปริญญาเอกจากไทยคนหนึ่งซึ่งมาทุนแลกเปลี่ยนเพื่อพัฒนาโครงร่างงานวิจัยเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ซึ่งอยู่กันคนละคณะและสาขาวิชากับผู้เขียน นักศึกษาคนดังกล่าวนำเนคไทผ้าไหมสวยงามจากไทยมาเป็นของฝากอาจารย์ชาวอเมริกันผู้ที่จะร่วมดูแลโครงการวิจัยให้ ซึ่งทางผู้เขียนตักเตือนและอธิบายเหตุผลต่างๆ นานาให้นักศึกษาคนดังกล่าวฟังแล้วว่าไม่ควรมอบให้ในระยะนี้ เพราะยังไม่เคยร่วมงานหรือคุ้นเคยกัน อาจมอบให้ในวันที่ใกล้จะกลับ แต่ด้วยเหตุอันใดผู้เขียนก็มิอาจทราบได้ หรืออาจเป็นเพราะต้นทุนทางความคิดแบบไทยๆ นักศึกษาคนนั้นก็มั่นใจนำเนคไทมอบให้อาจารย์ในวันแรกที่เจอ อีกสองวันถัดมา นักศึกษาคนนั้นก็มาร้องห่มร้องไห้ขอความช่วยเหลือให้ผู้เขียนช่วยไปคุยกับอาจารย์ให้หน่อย เพราะไม่รู้จะคุยอย่างไรต่อ ภาษาคนมาใหม่ก็ยิ่งเป็นอุปสรรคในการเจรจาต่อรอง ผู้เขียนจึงอีเมลขอนัดคุยกับอาจารย์ชาวอเมริกันท่านนั้นให้เบื้องต้น หลักใหญ่ใจความสรุปได้ว่า อาจารย์ท่านนั้นบอกกับผู้เขียนตรงๆ ว่าไม่สามารถร่วมงานกับนักศึกษาปริญญาเอกจากไทยคนนี้ได้ เพราะเขารู้สึกอึดอัดและไม่ปลอดภัยจากการที่ถูกติดสินบนจากนักศึกษาปริญญาเอกคนดังกล่าว
ปกติอาจารย์มหาวิทยาลัยที่นี่สามารถรับของกำนัลจากนักศึกษาหรือเพื่อนร่วมงานตามวาระต่างๆ ได้ แต่จะมีมูลค่าไม่เกิน 25-50 เหรียญฯ ตามแต่นโยบายของแต่ละมหาวิทยาลัยจะกำหนด สุดท้ายนักศึกษาปริญญาเอกท่านนั้นก็ต้องกลับไทยมือเปล่า เพราะหาอาจารย์คนใหม่มาร่วมให้คำปรึกษาโครงการวิจัยไม่ได้ เหตุการณ์นี้คิดวิเคราะห์ได้หลากหลายมุมมองแล้วแต่จะตีความ ส่วนตัวแล้วผู้เขียนมองว่าเราไม่ควรนำพาความรุ่มร่ามทางกระบวนคิดวิเคราะห์แบบไทยๆ หรือวัฒนธรรมนอบน้อมถ่อมตน ยิ้มสยาม (ชาติอื่นก็ยิ้มหรือเปล่านะ) ที่ไม่ใช่แนวปฏิบัติสากลไปยัดเยียดให้คนอื่นที่ไม่คุ้นชินเหมือนที่คนไทยคุ้นเคยและปฏิบัติสืบเนื่องต่อกันมารุ่นสู่รุ่นโดยไม่เคยตั้งคำถามกับมัน
ความเป็นอื่นของ ‘ส่มฟาน’ และการถอยห่างจากโครงสร้างไทยๆ
นึกย้อนกลับไปสมัยที่ผู้เขียนเกิดและเติบโตในป่าแทบเทือกเขาภูพาน ก็พอได้กินเนื้อฟานบ้าง ซึ่งน่าจะนับครั้งได้ จากการออกล่าของคนท้องถิ่นในหมู่บ้านสมัยที่ยังไม่เป็นสัตว์คุ้มครองและทางการไทยเข้าไปไม่ถึงพื้นที่ (เพราะแถบนั้นถือได้ว่าเป็นพื้นที่สีแดงเกือบทั้งหมดในสมัยนั้น) ผู้เขียนได้เห็นและเรียนรู้กรรมวิธีทำส่มฟานบ้าง จำได้ว่าเมื่อไทบ้านได้ฟานมา กลุ่มนายพรานก็จะชำแหละกันสดๆ ที่ท้ายหมู่บ้าน เราและเพื่อนก็ได้แต่ปีนต้นไม้แอบมองลงมายังตัวฟานที่กำลังถูกชำแหละออกเป็นชิ้นๆ เหล่านายพรานก็แบ่งปันกันกินในหมู่บ้าน ก้อยฟานก็จะทำสดใหม่ข้างเขียงเลยก็ว่าได้ และกินในวันเดียวเสร็จสรรพ เพราะได้ทั้งความสดใหม่ เนื้อที่เหลือก็แบ่งพูดกัน (แบ่งเป็นสัดส่วนเท่าๆ กัน) เนื่องจากไม่มีไฟฟ้า ตู้เย็นยังเข้าไม่ถึง การถนอมอาหารจึงจำเป็นที่ต้องหาวิธีเก็บไว้กินให้ได้นานที่สุด ทั้งทำเนื้อฟานแห้ง คั่นส่มฟาน เนื้อรมควัน เขาและหนังกวางก็จะเอาไปประดับฝาบ้าน
พอหนีออกจากโครงสร้างไทย ย้ายมาอยู่อเมริกา กลับได้กินเนื้อฟานบ่อยกว่าสมัยเด็กเสียอีก โดยเฉพาะส่มฟานและเนื้อกวางแดดเดียวที่ผู้เขียนชอบทำเอาไว้กินกับข้าวเหนียวและจ้ำแจ่วบองในช่วงเวลาเร่งรีบ หรือในช่วงฤดูหนาวที่อากาศหนาวจัด หิมะโปรยปราย ขั้นตอนการทำไม่ได้ยุ่งยากมากนัก แค่หั่นเนื้อเป็นเส้นๆ เอือบ (marinated) กับเกลืออย่างเดียว เพราะผู้เขียนชอบแบบดั้งเดิมที่เคยกินมามากกว่า
ผู้เขียนมักเอาเนื้อกวางแดดเดียวมาย่างหน้าเตาผิงภายในบ้าน และจี่ข้าวเหนียวทาไข่ จิบไวน์หรือเบียร์แบบสร้างบรรยากาศที่มาช่วยเติมเต็มและเชื่อมโยงความรู้สึกโหยหาอดีตของคนเจนเอ็กซ์ กลับไปดื่มด่ำกับวิถีชีวิตไทบ้านในอดีต มันแลคล้ายได้กลับบ้านบนเทือกเขาภูพานที่คนในหมู่บ้านชนบทอีสาน (ที่ไร้การกระจายความเจริญภายใต้โครงสร้างไทยๆ ที่ต่างก็จ่ายภาษีเหมือนกัน) มานั่งล้อมวงโสเหล่ (small talk) ข้างกองไฟ ช่วงหน้าหนาวตอนเช้า กินข้าวจี่กับย่างเนื้อฟานแห้ง ถองเหล้าขาวในตอนเช้าในแบบฉบับไทบ้านที่ ‘Think global, Eat local.’


จี่ข้าวหน้าเตาผิง กินกับเนื้อฟานแดดเดียว / ภาพโดยผู้เขียน
นึกย้อนกลับไป ผู้เขียนจำได้ว่าข้างกองไฟในหมู่บ้านสมัยก่อน นอกจากไทบ้านในหมู่บ้านแล้ว ก็ยังมีผู้คนที่เพิ่งกลับมาจากการขายแรงงานในต่างแดน บ้างก็เพิ่งกลับมาจากซาอุดีอาระเบีย สิงคโปร์ หรือไต้หวัน ซึ่งในอีกหลายปีถัดมาก็จะได้ยินเพลงหมอลำแนวเสียดสี หยอกล้อ หรือตีแผ่ความจริงในสังคมอีสานของผู้ไปค้าแรงงานในต่างแดนออกมาให้ได้ฟังตามสถานีวิทยุในภาคอีสาน เช่น น้ำตาเมียซาอุ ของพิมพา พรศิริที่โด่งดังในยุคนั้น หรือ เมียป๋าเพราะซาอุ ขับร้องโดยสมโภชน์ ดวงสมพงษ์ และ คอยรักจากต่างแดน ของจินตหรา พูนลาภ หรือจะถัดมาอีกยุคก็จะเป็นเพลงหมอลำ ควายไทยในสิงคโปร์ ของลูกแพร-ไหมไทย อุไรพร และ เสียงครวญจากไต้หวัน ของแดง จิตรกร ฯลฯ ซึ่งบทเพลงก็ถือว่าเป็นสุนทรียภาพที่ร่วมจารึกความเป็นไปแห่งยุคสมัยให้ได้ศึกษาเรียนรู้ของผู้คน
คนลาวอีสานผู้ค้าแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ นอกจากนำเงินตรากลับมาจุนเจือครอบครัวและใช้หนี้ ธกส. แล้ว ผู้เขียนยังเชื่อและเห็นว่าผู้ค้าแรงงานข้ามชาติเหล่านี้ยังส่งผ่านแนวคิดทางประชาธิปไตยพื้นฐาน สิทธิแรงงานและสวัสดิการขั้นพื้นฐาน สู่ผู้คนในหมู่บ้าน ผ่านการโอบกอดและซึมซับจากการบริหารจัดการแรงงานที่เป็นธรรมของนายจ้างในประเทศที่เจริญแล้ว และคนเหล่านี้ก็ไม่เคยได้มานั่งเรียนมานั่งฟังเลกเชอร์รัฐศาสตร์ 101 ในรั้วมหาวิทยาลัยเหมือนชนชั้นกลางเมืองผู้มีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำตามระบบศักดินาการศึกษาไทยๆ แต่มีความคิดทางประชาธิปไตยในจิตใต้สำนึกจากการถูกปฏิบัติบนพื้นฐานความเป็นมนุษย์จากร่มเงาโครงสร้างของประเทศที่ไปค้าแรงงานกลับมา จนหลายคนกลืนกลายมาเป็นไทบ้านผู้ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในไทย เป็นนักคิดนักเขียนในภูมิภาคอีสานก็หลายคน หรือหลายคนก็กลืนกลายมาเป็นคนเสื้อแดง ทั้ง กลุ่ม นปก. นปช. ในภายหลัง
ในทางตรงกันข้าม ชนชั้นกลางไทยๆ ที่เข้าถึงระบบการศึกษากลับโหยหาเรียกร้องการรัฐประหารจวบจนปัจจุบัน ดูตัวอย่างได้จากเหตุการณ์ปี 2014 ที่คณะเราชาวเสาน้ำมันพลายหลักแห่งชาติ ทั้งบุคลากรการแพทย์ ศิษย์เก่าที่ออกมาร่วมเดินขบวน กปปส. จนเกิดรัฐประหารในปี 2014 หรือจะย้อนกลับไปในปี 2006 ที่เกิดการรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (ที่เรียกตัวเองว่า คปค.) ก็มีกลุ่มชนชั้นกลางผู้มีการศึกษาไทยนี่แหละที่แห่ออกมามอบดอกไม้ให้เหล่าบรรดาทหาร มิหน่ำซ้ำยังจำได้ว่ามีเหล่าพระสงฆ์ที่ดัดจริตชอบประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำสวยหรู หรือคำคมขายให้กับกลุ่มชนชั้นกลางเหล่านั้น ออกมาขอบิณฑบาตความรุนแรงและให้กำลังใจผู้ก่อการรัฐประหาร นี่คือความบิดเบี้ยวของโครงสร้างไทยที่เป็นทั้งส่วนต่อขยายให้ระบบการศึกษาและวิธีคิดชนชั้นกลางไทยล้มเหลวและไร้ประสิทธิภาพ
อย่าลืมนะว่าโครงสร้างทางสังคมการเมืองของแต่ละประเทศมีผลโดยตรงกับกระบวนการคิดวิเคราะห์ของพลเมือง พฤติกรรม และสำนึกความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ผู้เขียนเชื่อว่าโครงสร้างทางสังคมและการเมืองคือซอฟต์แวร์ที่จะสร้างพลเมืองให้มีคุณภาพได้
สมัยเรียนและทำงานใช้ชีวิตที่ไทย ผู้เขียนมีความรู้สึกเป็นอื่นจากความเป็นไทยมาตลอด ตั้งคำถาม (ที่ไม่มีสิทธิ์เสียงดัง) กับตัวเองมาเสมอว่าทำไมเราถึงรู้สึกถูกกดทับ ขับเบียด กีดกัน กักขัง จากโครงสร้างไทยๆ ทำไมโครงสร้างไทยๆ จึงอนุญาตให้คนดูถูกดูแคลนความเป็นมนุษย์ของคนในสังคมเดียวกันได้ขนาดนี้ ทำไมโครงสร้างไทยๆ จึงไม่อนุญาตให้พลเมืองมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด หรือเคารพความแตกต่างของกันและกัน ทั้งเรื่องชาติพันธุ์หรือความหลากหลายทางเพศ
สมัยผู้เขียนเข้ามาเรียนและใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ (สมัยยังเป็นหมอชิตเก่า) เพื่อนไม่คบ ไม่ให้การยอมรับ เหตุเพราะเป็นลาว เชย ไม่ทันสมัย ชอบหนีไปฟังลำ เต้นหน่าฮ่านหมอลำ ตามงานปิดวิกแถวโรงงานย่านพระประแดง หรือไม่ก็ไปดูเสียงอีสานแถวตลาดปฐวิกรณ์ เป็นต้น แค่สิทธิเสรีภาพทางสุนทรียและผัสสะส่วนบุคคลหรือสิทธิที่จะแสดงอัตลักษณ์ตัวตนยังหาไม่ได้ในโครงสร้างไทย แต่พอหมอลำออกไปบนเวทีโลก คนพวกนี้ก็ออกมาเคลมความเป็นไทยก่อนใครเขาตลอด
พอเริ่มเข้าสู่วัยทำงาน ก็มาเจอความรุนแรงเชิงโครงสร้างในวัฒนธรรมการทำงานแบบราชการไทยที่ไร้ประสิทธิภาพอีกด่าน ทั้งกดทับและกีดกันศักยภาพความคิดเชิงสร้างสรรค์ของมนุษย์ ต้องตามสั่งเจ้านายเท่านั้น หมอบคลานเป็นไส้เดือนกิ้งกือเพื่อให้ได้มาซึ่งเครื่องราช สายสะพาย หารู้ไม่ว่าสายสะพายพวกนี้ มีเงินประจำตำแหน่งแขวนอยู่เกือบทุกสาย ซึ่งเป็นเงินภาษีจากหยาดเหงื่อแรงงานของอีไข-อีไลทั้งนั้น และที่สำคัญระบบราชการไทยๆ ไม่มีทางปฏิรูปได้ ถ้าไม่ปฏิรูปโครงสร้างไทยก่อนสิ่งอื่นใด เพราะระบบราชการไทยๆ คือส่วนต่อขยายอำนาจที่อยู่เหนือการเมืองและมีผลประโยชน์ร่วมกันอย่างมีนัยยสำคัญทางโครงสร้างไทยๆ
สุดท้ายผู้เขียนก็ต้องเต้ยลาตนเอง อ่านอ่วย (หาลู่ทาง/วางแผน) หลบลี้หนีห่างจากโครงสร้างไทยๆ บืนบกบืนบาก (scramble) โสล่มโสตาย (daredevil) มาหากิน (หมาน) ไกลในสหรัฐอเมริกา จนมาถึงปัจจุบันนี้ เมื่อได้ติดตามข่าวคราวทางเมืองไทย ได้ไปเจอเหล่าสามกีบคนรุ่นใหม่ในปี 2020 ที่กล้าหาญ ออกมาตั้งคำถามกับโครงสร้างไทย เรียกร้องในสิ่งที่สากลเรียกร้องและมีกันไปนานแล้ว ออกมาถามไถ่ถึงแนวทางปฏิรูประบอบกษัตริย์แบบไทยๆ และโครงสร้างสังคมการเมืองไทยๆ เหมือนได้เห็นภาพเงาที่ขุ่นมัวของตัวเองเมื่อสัก 30 กว่าปีที่แล้ว เพียงแต่ตั้งคำถามดังไม่ได้เหมือนวัยรุ่นยุคใหม่สมัยนี้ หรือแค่เพราะเราไม่กล้าหาญพอใน พ.ศ. นั้น ข้าน้อยขอคารวะทุกท่านที่ออกมาเป็นปากเป็นเสียงอีกครั้งในปี 2020 ที่ผ่านมา
รัฐแมสซาชูเซตส์ นอกจากเป็นเมืองแห่งการศึกษาที่หลายคนทั่วโลกมีหมุดหมายอยากเข้ามาศึกษาหาความรู้ในมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก อย่าง MIT และ Harvard University ก็มี ‘ส่มฟาน’ นี่แหละที่ผู้เขียนเคยห่อไปกินเป็นอาหารกลางวันในงานประชุมวิชาการที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นั่งจ้ำส่มฟานร่วมโต๊ะอาหารกับนักวิชาการทางการแพทย์หลายคนอย่างไม่รู้สึกเคอะเขิน เพื่อนร่วมโต๊ะอาหารกลางวันน่าจะเข้าใจว่าส่มฟานของผู้เขียนคือซาลามีเปียกก็เป็นได้

↑1 | Division of Fisheries and Wildlife, Massachusetts (2025), Retrieved from : https://www.mass.gov/regulations/321-CMR-200-miscellaneous-regulations |
---|