กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผู้เขียนเพิ่งมีโอกาสลงแข่งวิ่งเทรล (Trail running) เป็นครั้งแรก
เคยวิ่งเทรลไหมก็ไม่เคย อุปกรณ์ก็ไม่มี ทุกอย่างเริ่มต้นจากศูนย์ เดินเข้าออกร้านขายอุปกรณ์กีฬาไม่รู้ตั้งกี่หน รองเท้าก็ต้องเป็นรองเท้าวิ่งเฉพาะ กระเป๋าใส่น้ำก็ต้องซื้อใหม่เพราะหยิบยืมใครไม่ทัน ยังไม่นับเรื่องต้องจ่ายค่าตั๋วค่าที่พักเดินทางข้ามจังหวัดต่างหาก หมดนี่กินเงินไปเฉียดหมื่น
สองชั่วโมงครึ่งกับระยะทาง 15 กิโลเมตร หอบหายใจจนหูอื้อ ก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นในอกซ้ายเต้นถี่รัวเหมือนไม่มีวันพรุ่งนี้
เหนื่อย ทำไปทำไมไม่รู้ วิ่งไปทำไมไม่รู้
ก็มันสาแก่ใจ -เรื่องอาจมีเท่านี้
1.
เว็บไซต์ Moneyandbanking ให้ข้อมูลว่าปี 2022-2023 ทั้งประเทศไทยมีงานวิ่งเฉลี่ยปีละ 1,400-1,600 รายการ ขยายตัวมากขึ้นจากช่วงปี 2021 ราว 20 เปอร์เซ็นต์ พ้นไปจากมูลค่าทางการตลาดขนาดหลายพันล้านบาท มันย่อมฉายให้เห็นถึงความนิยมและจำนวนผู้คนที่พร้อมกระโจนเข้าสู่การแข่งขัน
ในฐานะคนที่เคยลงแข่งระยะแค่สิบกิโลเมตร เก็บเหรียญรางวัลกลับบ้านมาสะสมไม่กี่งาน ก็เคยเป็นประจักษ์พยานของ ‘มวล’ บางอย่างที่เกิดขึ้นในงานแข่ง กลิ่นน้ำมันคลายกล้ามเนื้อ ความเงียบเชียบหมดจดก่อนจังหวะปล่อยตัว และการโบยตีร่างกายตัวเองเพื่อไปให้ถึงเส้นชัยในเวลาอันสั้นที่สุด
กับการวิ่งเทรล เทือกเขาสูงกับความชันไม่อนุญาตให้วิ่งขึ้นได้ด้วยจังหวะเดียวกันกับที่วิ่งพื้นราบ จับจังหวะหายใจใหม่เพราะไม่คุ้น กล้ามเนื้อที่เคยชินตอนใช้วิ่งพื้นถนนก็ไม่ได้ถูกใช้งานเท่าเดิม ในความหมายว่าต้องใช้กล้ามเนื้อมัดอื่นมารองรับ และกล้ามเนื้อที่ว่าก็ยังเป็นคนละชุดกับกล้ามเนื้อที่ใช้ตอนลงจากเขา
ปล่อยตัวกันตอนฟ้ายังมืด ตะวันโผล่มาให้เห็นตอนกระเสือกกระสนปีนขึ้นเทือกเขาสูงไปแล้ว พ้นไปจากเสียงกรีดสนั่นของนกและแมลง ที่อื้ออึงในหูก็มีแค่เสียงหอบหายใจของตัวเอง
สนุกหรือ, ไม่ใช่ ห่างไกลจากคำนั้น
เพลิดเพลินไหม, ไม่ใช่อีกเหมือนกัน เพราะแม้ธรรมชาติรอบตัวจะสวยจับใจ แต่เงื่อนไขของการแข่งขันทำให้ไม่ได้อยู่พินิจมันนานไปกว่าการกวาดมองให้เห็นทั่วลานสายตา
สุขสมหรือเปล่า, ไม่เลย นาทีที่อัตราการเต้นของหัวใจทะลุเขตแดนความถี่ที่คุ้นชิน มัดกล้ามเนื้อสั่นระริกและรับรู้ถึงก้อนเสียดของลมหายใจตัวเองในหน้าอก ในลำคอ ในเบ้าตา ไม่มีอะไรในจังหวะเวลาเหล่านี้ที่ใกล้เคียงคำว่าสุขสมเสียด้วยซ้ำ
แล้วทำไปทำไม
ออกวิ่งไปทำไม
2.
แม็กกี เมอร์เทนส์ คอลัมนิสต์จาก The Atlantic เพิ่งเขียนบทความว่าด้วยความนิยมของการวิ่งมาราธอน (รวมทั้งการวิ่งเพื่อแข่งขันในรูปแบบอื่นๆ) ที่เติบโตขึ้นมหาศาลในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และปรากฏการณ์ที่ผู้สมัครลงวิ่งมาราธอนอายุน้อยลงเรื่อยๆ โดยปี 2019 คนที่วิ่งจบมาราธอนหรือเต็มระยะทาง 42.195 กิโลเมตรในงานนิวยอร์ก ซิตี้ มาราธอน (New York City Marathon -หนึ่งในสนามแข่งที่ใหญ่ที่สุดของโลก) ราว 15 เปอร์เซ็นต์ยังอยู่ในช่วงวัย 20 ปี และในปี 2023 ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 19 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ปี 2024 นี้ ตัวเลขนักวิ่งที่ยังอยู่ในวัย 20 ที่วิ่งจนจบในงานลอส แองเจลิส มาราธอน (Los Angeles Marathon) อยู่ที่ 28 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าขึ้นมาไม่น้อยจากปี 2019 ที่อยู่แค่ 21 เปอร์เซ็นต์
ระยะทางกว่า 40 กิโลเมตร ค่าเฉลี่ยที่คนส่วนใหญ่วิ่งได้อยู่ที่ 4-5 ชั่วโมง
เวลาบนสนามนานขนาดนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงเวลาที่ทุ่มเทฝึกฝนก่อนลงแข่งจริง ว่าไปอาจกลืนกินไปเป็นหลักเดือน -กับบางกรณี อาจเป็นหลักปี
เรื่องพวกนี้เรียกร้องความแข็งแกร่งเรื่องร่างกาย ข้อนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่พ้นไปจากนั้น ใช่หรือไม่ว่าคือความแข็งแกร่งของจิตใจ ในห้วงเวลาขับเคี่ยวกับตัวเองและมัดกล้ามเนื้อ จะอย่างไรก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย
จากภาพจำ เมื่อก่อนภาพของคนที่วิ่งเต็มระยะมาราธอนคือกลุ่มคนวัย 30 ขึ้นไปที่อาจออกวิ่งจากเงื่อนไขด้านสุขภาพเป็นหลัก อาจเพื่อหนีให้พ้นจากปัญหากล้ามเนื้อไม่ถูกใช้งานจากการนั่งโต๊ะทำงานเป็นเวลานาน หรืออาจแค่เพราะมีเวลาว่างและกำลังทรัพย์มากพอจะเริ่มออกวิ่งอย่างเป็นกิจจะลักษณะ นานเข้าก็กลายเป็นการลงแข่งระยะไกลทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วและโดยไม่ตั้งใจ
แต่ตัวเลขคนที่ลงแข่งและวิ่งจนจบมาราธอนที่น้อยลงเรื่อยๆ ด้านหนึ่งย่อมเป็นหมุดหมายบอกปรากฏการณ์บางอย่าง
บทความของเมอร์เทนส์ตั้งข้อสังเกตว่า การวิ่งมาราธอนรวมทั้งการแข่งขันอื่นๆ ไม่ใช่แค่ ‘การวิ่ง’ หากมันยังให้สำนึกของการได้ควบคุมและบรรลุบางสิ่งซึ่งเป็นสิ่งที่เราคว้าไว้ได้ยากเย็นขึ้นในวัยผู้ใหญ่ “สำหรับคนวัย 20 กว่าๆ ในวันนี้ หมุดหมายของการเป็นผู้ใหญ่ตามขนบ -ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงาน, มีลูก, มีอาชีพที่มั่นคง, เป็นเจ้าของบ้าน- ยากเย็นขึ้นทุกที ในบริบทนี้ คนรุ่นใหม่อาจรู้สึกถึง ‘ความไม่ปกติเชิงตรรกะการใช้ชีวิตบางอย่าง -เช่น ไม่รู้ว่าต้องจ่ายค่าเช่าที่อย่างไร หรือไม่รู้ต้องทำอะไรต่อไป- และยังรู้สึกถึงความไม่ปกติในแง่การดำรงอยู่ของตัวเองด้วย'” เมอร์เทนส์ว่า
“เมื่อหลักชัยของชีวิตดูจะเป็นสิ่งที่เอื้อมคว้าไว้ได้ยาก การวิ่งมาราธอน -ซึ่งฟังดูเป็นกิจกรรมสุดโต่ง- ก็อาจให้สำนึกของการควานหาความหมายบางอย่างบนเส้นทางที่มีกำหนดชัดเจนแน่นอน นั่นคือว่า หากคุณมุ่งมั่นฝึกซ้อมและออกวิ่งตามแผนที่วางไว้ คุณจะได้พบเส้นชัยในที่สุด”
เมอร์เทนส์ารวจประเด็นนี้ด้วยการสัมภาษณ์นักวิ่งที่ยังอยู่ในช่วงวัย 20 หรือกล่าวให้ชัดคือช่วงเวลาหลังเรียนจบและอยู่ในระยะสร้างเนื้อสร้างตัว เธอพบว่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนเผชิญความตึงเครียดที่มองไม่เห็นด้านเศรษฐกิจ, บรรยากาศของความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของการใช้ชีวิต, ความไม่มั่นคงอันเป็นเสมือนเรือโดยสารของคนรุ่นใหม่ และมันพาเธอมายังข้อสรุปที่ว่า การออกวิ่งมาราธอน -แม้จะไม่ได้เป็นคำตอบที่แน่ชัดหรือตายตัว- แต่ก็เป็นอีกหนทางที่หลายคนใช้เพื่อหลีกหนีวิกฤตชีวิตก่อนวัยกลางคนหรือ Quarter-Life Crisis
3.
ไม่ต้องเอาถึงฟูลมาราธอน จากประสบการณ์ที่เคยลงวิ่งแค่ระยะมินิมาราธอนหรือแค่สิบกิโลเมตร หรือแม้แต่แค่วิ่งออกกำลังกายหลังเลิกงาน ก็มอบความรู้สึกกำซาบบางอย่าง ความรู้สึกของการได้บรรลุหมุดหมายที่ทำไม่สำเร็จสักอย่างของวันนั้น และอาจจะของชีวิต
พูดไปแล้วก็อาจฟังดูฟูมฟาย เหมือนเรื่องเล่าของชนชั้นกลางที่หาเรื่องเจ็บปวดให้ตัวเองไม่เลิก แต่ความเจ็บปวดและขมขื่นมันก็มีอยู่จริง ความรู้สึกทดท้อต่ออาชีพการงาน ต่ออนาคต ต่อชีวิต การหาหลักยึดให้ตัวเองไม่เจอก็มีอยู่จริง ตอบไม่ได้ว่าทำงานไปทำไมหรือแม้กระทั่งมันสร้างความหมายอะไรบ้างไหม ซึ่งก็น่าเศร้าที่มันอาจไม่ได้มีคุณค่าอะไรมากมายนัก บ่อยครั้งให้ความรู้สึกของความว่างเปล่า กับคนทำงานเขียน -และเอาเข้าจริงก็อาจรวมถึงงานสายอื่นๆ- เรื่องพวกนี้ทิ่มแทงความรู้สึก มันอาจไม่ได้ปรากฏตัวทุกวัน แต่ทุกครั้งที่มันเผยตัวออกมา ชัดเจนว่ามันมีอานุภาพทำลายล้าง
รู้หมดว่านี่เป็น ‘บรรยากาศ’ ของยุคสมัย งอกเงยขึ้นมาใต้เงาของระบบทุนนิยมที่ปลูกรากความเชื่อที่ว่าเราต้องมีความฝัน ต้องบรรลุถึงคุณค่าบางอย่างของชีวิต เพราะย้อนกลับไปสักร้อยกว่าปีก่อนก็ไม่น่ามีใครมาทดท้อเพราะความรู้สึก ‘ไร้ความหมาย’ เมื่อชีวิตอาจไม่จำเป็นต้องมีความหมายแต่แรก
รู้หมด เข้าใจหมด แต่คนมันก็เป็นส่วนหนึ่งของยุคสมัย เติบโตมาภายใต้บรรยากาศ ใต้สังคม ใต้การหล่อหลอมเช่นนี้ จะเลี่ยงไม่ให้รู้สึกหรือไม่สะเทือนเลยก็อาจเป็นเงื่อนไขที่ต้องเข้าใจทั้งตัวเอง เข้าใจทั้งชีวิตมากกว่านี้
มวลเหล่านี้วัดใจให้อยากเลิกเขียนงาน เบนสายไปทำอาชีพอื่นที่มีขั้นบันไดชัดเจนไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ติดก็แต่ว่าชีวิตนี้ก็ไม่ได้มีทักษะอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอย่างคนอื่นเขา ทางออกจึงมีแค่สบตาเวทนาเงาสะท้อนในกระจกแล้วตื่นมาใช้ชีวิตต่อไป จะขมและเฝื่อนก็ช่างมัน
เราทำงานเหล่านี้ไปทำไม มันพาเราไปไหนได้บ้าง หรือที่สุดแล้วเราก็เพียงแต่ใช้ชีวิตเหมือนหนูในกรงถีบจักร วิ่งต่อไป หอบหายใจต่อไป ดิ้นรนต่อไป ซึ่งไม่ผิดที่จะเป็นเช่นนั้น
แต่สักหน่อย -ขอสักหน่อย ขอกำซาบความรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันมีความหมายได้ไหม รู้ว่าจะมีปลายทางให้เห็นได้ไหม
4.
เคยได้ยินคำว่า Midlife Crisis หรือวิกฤตวัยกลางคนที่เกิดขึ้นกับคนอายุ 45-64 ปีขึ้นไปที่ต้องรับมือกับความท้าทายหรือแม้แต่ไม่ท้าทายของชีวิต ปัญหาสุขภาพและการนอน กล่าวคือเป็นวัยที่หวนกลับมามองเส้นทางที่ผ่านมาของตัวเอง ชั่งตวงวัดน้ำหนักของเส้นทางที่จะไปต่อ
ระยะหลัง วิกฤต ‘ตัวตน’ ที่ว่าหดแคบช่วงวัยเข้ามาถึงกลุ่มคนในช่วงวัย 20 ในชื่อ quarter-life crisis หรือคือวิกฤตหนึ่งส่วนสี่ของชีวิต The Boston Globe ให้นิยามว่าเป็นภาวะที่มักเกิดขึ้นในกลุ่มคนที่เพิ่งเรียนจบและต้องก้าวเข้ามาสู่โลกการทำงานหรือโลกของความเป็นผู้ใหญ่ อันหมายความถึงการต้องออกมาอยู่ตัวคนเดียว, รับผิดชอบตัวเอง
ว่าไป ในวงวิชาการก็ยังถกเถียงกันอยู่เนืองๆ ถึงคำนิยามของวิกฤตเหล่านี้ หรือแม้แต่กับบางคน เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอื่นใดนอกไปเสียจากอีกหนึ่งบทอันยากเข็ญของชีวิตที่คนส่วนใหญ่ต้องเผชิญ แต่ก็อีกนั่นแหละ จะนิยามแบบไหน ก็ยากจะปฏิเสธว่าความอ้างว้าง เคว้งคว้างและไร้ปลายทางเหล่านี้มันมีอยู่จริง เพราะหากสำรวจลงไปให้ลึก เรื่องของสภาพสังคม, เศรษฐกิจและการเมืองล้วนเป็นรากสำคัญ และเราต่างก็รู้ว่าการใช้ชีวิตทุกวันนี้ซับซ้อนมากขึ้น เรียกร้องจากเราเยอะมากขึ้น และแน่นอนว่ายากมากขึ้น
“สำหรับคนรุ่นใหม่ มาราธอนกลายเป็นเครื่องมือในการรับมือกับความเครียด (Coping Mechanisms) […] และแน่นอนว่ามาราธอนหาใช่ยาวิเศษที่จะกำขัดความร้าวรานของวิกฤตก่อนวัยกลางคน มันเป็นกิจกรรมที่เรียกร้องความแข็งแกร่งของร่างกายสุดขีดซึ่งอาจยังผลให้เกิดอาการบาดเจ็บหรือหมกมุ่นจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ” เมอร์เทนส์ระบุ
“ดอยล์ บ็อกค์ ผู้เขียน Quarterlife: The Search for Self in Early Adulthood บอกฉันว่า สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นนักวิ่งอาชีพ อาจต้องเตรียมร่างกายอย่างน้อยที่สุดหกเดือนสำหรับการออกวิ่งระยะไกล และต้องออกวิ่งอย่างน้อย 30-50 ไมลส์ (ราว 48-80 กิโลเมตร) ต่อสัปดาห์ ยังไม่รวมเวลาที่ต้องยืดเหยียดกล้ามเนื้อ วางแผนการคุมอาหารและออกกำลังกายฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การต้องหยุดพักฟื้นหลังวิ่งระยะไกล รวมทั้งการจัดตารางการวิ่งโดยต้องระวังไม่ให้กระทบการทำงาน, ความสัมพันธ์ หรือการเข้าสังคม”
โดยพื้นฐาน กิจกรรมเหล่านี้ -ไม่ว่าจะในระยะใกล้หรือระยะไกล- ด้านหนึ่งมันคือการโยนตัวเองลงไปสู่ความหมกมุ่นกับเป้าหมายบางอย่าง เพื่อจะได้กำซาบความรู้สึกของการวิ่งไปถึงปลายทางภายหลัง ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่การใช้ชีวิตประจำวันมอบให้ไม่ได้ หรือเศร้ากว่านั้น ชีวิตนี้ทั้งชีวิตก็อาจไม่มีวาสนาได้รู้สึกถึง ‘ความสำเร็จ’ ให้เป็นหมุดหมายอย่างคนอื่นเขา
5.
เพื่อนร่วมทางนับร้อยคนในสนาม 15 กิโลเมตรของการวิ่งขึ้นดอยสูง บางคนแวะพัก บางคนถ่ายรูปทิวทัศน์ที่สวยบาดใจ และอีกไม่น้อย ศีรษะมุ่งตรง มองไปแค่ทางข้างหน้า เงียบเชียบและตกอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเอง
ชื้นฝน หนาวลมบนยอดดอย เหลือบมองดูนาฬิกา ตัวเลขบนหน้าจอระบุอัตราการเต้นของหัวใจสูงลิ่ว ก้อนเนื้อในอกซ้ายประท้วงเต้นถี่รัว
เงยหน้า สบตามิตรสหายที่เพิ่งวิ่งลงเนินสวนทางกันมา เหนื่อยหอบไม่ต่าง แวบเสี้ยวอึดใจที่ประสานสายตาก็รู้ว่าอีกคน -และอีกหลายๆ คน- คงอยู่ในภาวะรีดเค้นพลังงานสุดชีวิตเพื่อทำเวลาที่ดีที่สุดช่วงเส้นชัย
ไต่ขึ้นเขาก็เรื่องหนึ่ง ลงจากเขาก็อีกเรื่องหนึ่ง ดิ้นรนดึงตีนตัวเองจากโคลนก็อีกเรื่องหนึ่ง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่มีช่วงไหนเลยที่ไม่ได้ยินเสียงหอบหายใจของตัวเองและคนรอบข้าง
ทำไปทำไม สนุกอะไร
คำตอบคงแล้วแต่คน บางคนก็อาจแค่อยากปีนขึ้นไปดูทิวทัศน์บนยอดดอย กับบางคนก็อาจแค่ชอบเดินป่า แต่กับอีกหลายคน มันคือช่วงเวลาสั้นนิดเดียว นิดเดียวของการวิ่งไปถึงเส้นชัย ได้พักหายใจและโอบกอดความรู้สึกของความสำเร็จบางอย่างที่แทบไม่มีโอกาสสัมผัสในชีวิตประจำวัน
ตีนร้าวระบม ขาสองข้างหนักอึ้งเหมือนถ่วงด้วยเหล็ก ใบหน้าร้อนระอุ
มีไม่น้อยที่สงสัยและไต่ถาม เสียเงินไม่รู้ตั้งกี่พันเพื่อไปวิ่ง ไปเหนื่อย ไปทำให้กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างระบมทำไม
อีกเหมือนกัน คำตอบแล้วแต่คน บางคนแค่อยากพิสูจน์ความแข็งแรงของตัวเอง บางคนก็ชอบ และบางคนก็แค่วิ่งเพราะรู้ว่าตัวเองทำได้
หรือกับอีกบางคน มันอาจเป็นหนึ่งในกิจกรรมบางอย่างที่มอบความรู้สึกของการได้บรรลุบางสิ่ง ให้ได้กลับมา ‘พอทน’ กับความไม่ประสบความสำเร็จในมิติอื่นๆ ของตัวเอง ให้ยังได้พอสบตาคนในกระจกว่าอย่างน้อยก็ได้ทำและได้สำเร็จบางอย่างแม้มันจะไม่ใช่เรื่องงาน เรื่องชีวิตหรือเรื่องใหญ่โตอะไร เพื่อจะได้กล้ำกลืนต่อ ทำงานต่อ ไถชีวิตไปต่อ
เพื่อจะได้ไปให้พ้นเสียจากการทำงานอันเปล่าดาย ไปให้พ้นเสียจากความหมายอันสูญเปล่าของชีวิต