fbpx

การอารยะขัดขืนของเนติวิทย์กับกรณีต้านเกณฑ์ทหาร

ในวันที่ 5 เมษายน 2567 นี้เป็นวันสุดท้ายช่วงการเกณฑ์ทหารประจำปี ซึ่งทั้งสื่อกระแสหลักและกระแสรองต่างประโคมข่าวเกี่ยวกับการตรวจเลือกฯ อย่างแข็งขันดังเช่นทุกปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ปีนี้พิเศษกว่าปีอื่นตรงที่เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย ได้ประกาศทำ ‘อารยะขัดขืน’ ปฏิเสธเข้าร่วมการเกณฑ์ทหารผ่านแถลงการณ์ที่ยืนอ่านหน้าหน่วยตรวจเลือกฯ ซึ่งมีใจความสำคัญระบุว่าเขาจะไม่ร่วมการเกณฑ์ทหาร เนื่องจากเป็นการบังคับพลเมืองอย่างไม่ชอบธรรม โดยจะไม่หนีไปไหนและจะยอมรับผลทางกฎหมายตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป


ภาพเนติวิทย์อ่านแถลงการณ์ในวันที่ 5 เมษายน 2567 ที่มา x (twitter) : @NetiwitC


หากย้อนดูการเคลื่อนไหวของเนติวิทย์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวจะพบว่า ในวันเกิดอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ เขาได้ประกาศจุดยืนเป็น ‘ผู้คัดค้านโดยอ้างมโนธรรม’ (conscientious objector)[1] ซึ่งนัยหมายถึงผู้ที่ปฏิเสธการเกณฑ์ทหารด้วยเหตุแห่งเสรีภาพทางความคิด มโนธรรม หรือศาสนา และเผยแพร่ถ้อยแถลงนี้ไว้ในเว็บไซต์ War Resisters’ International[2] ร่วมกับผู้คัดค้านโดยอ้างมโนธรรมคนอื่นๆ จากทั่วโลก

เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ เขายื่นขอผ่อนผันทุกตามที่กฎหมายระบุไว้ และแสดงออกเชิญสัญลักษณ์เพื่อต่อต้านการเกณฑ์ทหารดังเช่นภาพข่าวที่ปรากฏว่าในช่วงปี 2561 เขาเคยสวมนาฬิกา 14 เรือนที่ยืมเพื่อนมา นอกจากนี้ เนติวิทย์ยังเคลื่อนไหวทางความคิดเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่องผ่านการสนับสนุนให้จัดพิมพ์หนังสือผ่านสำนักพิมพ์สำนักนิสิตสามย่านที่เขาก่อตั้ง เช่น หนังสือ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร: ยุติสังคมอำนาจนิยม[3] หนังสือ ต้านเกณฑ์ทหาร: รวมบทความนานาชาติ[4] เป็นต้น

ในปีนี้ เนติวิทย์อายุเกินกว่า 26 ปีแล้ว จึงไม่สามารถยื่นขอผ่อนผันตามที่กฎหมายกำหนดไว้ได้อีก ด้วยเหตุนี้จึงนำไปสู่การประกาศทำอารยะขัดขืนเพื่อยืนยันจุดยืนที่เขาได้ตั้งใจไว้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

‘อารยะขัดขืน’ อาจฟังดูแปลกใหม่สำหรับคนทั่วไปอยู่บ้าง แต่ศัพท์ดังกล่าวเป็นที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วในแวดวงการต่อสู้แบบสันติวิธี (Nonviolent Resistance) โดยเข้าใจกันว่าเป็นหนึ่งในวิธีการต่อสู้อย่างสันติ คำว่า ‘อารยะขัดขืน’ ถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดยศาสตราจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ซึ่งแปลมาจากคำว่า civil disobedience ในภาษาอังกฤษ โดยคำเดียวกันนี้อาจพบการแปลเป็นไทยในสำนวนอื่นอีก เช่น ‘การดื้อแพ่ง’ ‘การขัดขืนอย่างสงบ’ เป็นต้น สำหรับคนที่เคยได้ยินเกี่ยวกับอารยะขัดขืนมาบ้าง ก็คงจะนึกถึงกรณีตัวอย่างคลาสสิกในการอารยะขัดขืนของ โสกราตีส, มหาตมา คานธี และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์

โสกราตีสเป็นนักปรัชญาชาวกรีกและพลเมืองเอเธนส์ ผู้คอยกระตุ้นให้ชาวเมืองต้องคิดและตั้งคำถามกับความเชื่อที่เป็นนามธรรม เช่น ความดี ความยุติธรรม คุณธรรม จนในที่สุด เขาก็มีปัญหากับผู้มีอำนาจในเมืองเอเธนส์ขณะนั้น และต้องโทษประหารในข้อหาปลุกปั่นเยาวชน (corrupt the youth) แม้ว่าไครโต เศรษฐีใหญ่แห่งกรุงเอเธนส์ ผู้เป็นสหายของโสกราตีส จะเสนอตัวช่วยพาเขาหนีหรือช่วยให้ได้รับโทษเบาลง แต่ต้องแลกกับการเลิกตั้งคำถามอย่างที่เคยทำ โสกราติสก็เลือกที่จะไม่หนี ไม่หยุดตั้งคำถาม และยอมรับโทษตายด้วยการดื่มพิษจากเฮมล็อก เขาตระหนักดีว่ากฎหมายดังกล่าวไม่ชอบธรรมจึงไม่ปฏิบัติตาม แต่เขาก็มีหน้าที่ในฐานะของพลเมืองในการรับโทษจากการละเมิดกฎหมายนั้น

ในสมัยที่อินเดียยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ คานธีเป็นผู้นำชาวอินเดียทำอารยะขัดขืนเพื่อต่อต้านการปกครองของรัฐบาลอังกฤษ โดยเรียกแนวทางของตนว่า ‘สัตยาเคราะห์’ (Satyagraha) ในยุคนั้นการขายเกลือเป็นรายได้สำคัญของรัฐบาลอังกฤษ จึงมีการออกกฎหมายผูกขาดการผลิตและขายเกลือในประเทศอินเดียให้กระทำได้โดยรัฐบาลอังกฤษเท่านั้น ถ้าคนอินเดียต้องการเกลือก็ต้องซื้อจากอังกฤษ หากผู้ใดฝ่าฝืนก็จะต้องโทษจำคุก คานธีและคณะได้เริ่มเดินเท้าเป็นเวลา 23 วัน โดยระหว่างทางได้ผลิตเกลือเพื่อท้าทายกฎหมายที่ไม่ยุติธรรมนี้ จนในที่สุดเขาก็ยอมถูกจับและขึ้นศาล การอารยะขัดขืนของคานธีครั้งนี้รู้จักกันในชื่อ The Salt March ซึ่งนำไปสู่ได้รับเอกราชของประเทศอินเดีย

อเมริกาในยุคของ ดร.คิงมีการเหยียดสีผิวอย่างเข้มข้น รัฐบังคับใช้กฎหมายจิม โครว์ (Jim Crow Laws) แบ่งแยกระหว่างคนผิวขาวและคนผิวดำในสถานที่สาธารณะและการให้บริการทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ โรงพยาบาล โรงละคร โรงเรียน ห้องน้ำ รถประจำทาง คนผิวดำไม่มีสิทธิ์ใช้ร่วมกับคนผิวขาว ดร.คิงเป็นผู้นำมวลชนในการทำอารยะขัดขืนต่อต้านกฎหมายเหยียดสีผิว เขายอมถูกจับกุมและคุมขังกว่า 20 ครั้ง จนในที่สุดก็นำไปสู่การยกเลิกกฎหมายดังกล่าว

แม้ทั้งสามกรณีข้างต้นต่างกันทั้งในบริบทของยุคสมัยและวัฒนธรรม แต่เราพอจะเห็นจุดร่วมได้อยู่ว่าเป็นเรื่องการปฏิเสธที่จะทำตามกฎหมายอันไม่ชอบธรรม ขณะเดียวกันก็ยอมรับผลทางกฎหมายจากการขัดขืนนั้น นอกจากตัวอย่างทางประวัติศาสตร์แล้ว หนึ่งในนิยามของอารยะขัดขืนที่มักถูกหยิบยกมาพูดถึงในวงวิชาการ คือคำนิยามของจอห์น รอลส์ (John Rawls) นักปรัชญาเสรีนิยมชาวอเมริกัน ซึ่งเขาได้เสนอไว้อย่างน่าสนใจในผลงานชื่อก้องโลกอย่างหนังสือ A Theory of Justice ว่า “เป็นการกระทำทางการเมืองที่เป็นสาธารณะ ไม่ใช้ความรุนแรง และมีมโนธรรม แต่ขัดต่อกฎหมาย ซึ่งมักกระทำโดยมุ่งหมายให้มีการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือนโยบายของรัฐ” (Rawls, 1971, p. 364) โดยการสรุปลักษณะของอารยะขัดขืนออกมาเป็น 6 ข้อได้ดังนี้

(1) มาจากมโนธรรม (conscientiousness)[5]

(2) มาจากแรงกระตุ้นทางการเมือง (political motivation)

(3) หวังเพื่อเปลี่ยนกฎหมาย (aimed at changing the law)

(4) เป็นสาธารณะ (publicity)

(5) ปราศจากความรุนแรง (non-violence)

(6) คาดหวังและยอมรับการจับกุมและบทลงโทษ (expectation and acceptance of arrest and punishment)

เมื่อพิจารณากรณีการต่อต้านเกณฑ์ทหารของเนติวิทย์ จะพบว่าจัดเป็นอารยะขัดขืนที่มีลักษณะขนานไปกับสิ่งที่โสกราตีส, คานธี และดร.คิงได้กระทำไว้ก่อนในแง่เป็นการปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งหรือกฎหมายของรัฐที่มองว่าไม่ชอบธรรม ขณะเดียวกันก็ยอมรับผลทางกฎหมายที่จะตามมาจากการขัดขืน แม้จะรู้ดีว่ากฎหมายนั้นไม่ชอบธรรมตั้งแต่แรกก็ตาม

นอกจากนี้ ยังเข้านิยามอารยะขัดขืนของรอลส์ เพราะเป็นการขัดขืนอย่างเป็นสาธารณะ โดยมีแรงขับเคลื่อนทางการเมืองและมาจากมโนธรรม เป็นการกระทำที่ปราศจากความรุนแรง กระทำโดยคาดหวังให้เกิดการยกเลิกกฎหมายบังคับเกณฑ์ทหาร รวมถึงคาดหวังและยอมรับการจับกุมและโทษจากรัฐ ด้วยเหตุนี้ การปฏิเสธการเกณฑ์ทหารของเนติวิทย์จึงเป็นการอารยะขัดขืนทั้งตามตัวอย่างที่เคยได้มีการกระทำมาและนิยามทางวิชาการอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม คำถามหนึ่งที่ตามก็คือ การอารยะขัดขืนแบบดั้งเดิมยังใช่ได้ดีอยู่หรือไม่ นักทฤษฎีจำนวนหนึ่งมองว่าการจำกัดนิยามของสันติวิธีภายใต้กรอบของอารยะขัดขืนในลักษณะดั้งเดิมนั้นอาจไม่เพียงพอต่อการขจัดความอยุติธรรมทางสังคม เช่น หนังสือ พลังแห่งสันติวิธี[6] ของจูดิธ บัตเลอร์ (Judith Butler) เสนอการตีความขอบเขตของสันติวิธีในแบบใหม่ หรือบทความ Political rioting: A moral assessment ของอาเวีย ปาสเตอร์นัค (Avia Pasternak) เสนอว่าการก่อจลาจล (political rioting) ที่ประกอบด้วยความรุนแรงตั้งแต่การก่นด่า การปล้นสะดม (looting) ไปจนถึงการทำลายทรัพย์สินสาธารณะ (vandalism) แม้ไม่อยู่ภายใต้ขอบเขตของอารยะขัดขืน แต่ก็ชอบธรรมได้ เป็นต้น

แน่นอนว่าคำถามนี้คงไม่ได้ตอบได้ด้วยการวิเคราะห์เอาเพียงอย่างเดียว แต่กรณีของเนติวิทย์ที่ต่อต้านการเกณฑ์ทหารก็อาจเป็นหนึ่งในหลักฐานประจักษ์ที่จะช่วยตอบคำถามข้อนี้ได้เป็นอย่างดี ว่าท้ายที่สุดการอารยะขัดขืนของเขาจะนำไปสู่การยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้สำเร็จหรือไม่ หรือว่าอาจต้องเป็นขยายไปสู่การเคลื่อนไหวสันติวิธีแบบอื่นในนิยามที่กว้างขึ้น


บรรณานุกรม

Rawls, J. (1971). A theory of justice. Clarendon Press. 


เชิงอรรถ

[1] อ่านเพิ่มเติม https://th.wikipedia.org/wiki/ผู้คัดค้านโดยอ้างมโนธรรม#:~:text=ผู้คัดค้านโดยอ้างมโนธรรม%20(อังกฤษ%3A%20conscientious%20objector)%20คือ,สหรัฐอเมริกาด้วยเหตุผลทางศาสนา

[2] https://wri-irg.org/en/Netiwit-declaration

[3] https://samyanpress.bentoweb.com/th/product/960146/product-960146

[4] https://samyanpress.bentoweb.com/th/product/601689/product-601689

[5] มาจากการตัดสินทางศีลธรรมอย่างจริงใจ

[6] https://samyanpress.bentoweb.com/th/product/939183/product-939183

MOST READ

Politics

23 Feb 2023

จากสู้บนถนน สู่คนในสภา: 4 ปีชีวิตนักการเมืองของอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

101 ชวนอมรัตน์สนทนาว่าด้วยข้อเรียกร้องจากนอกสภาฯ ถึงการถกเถียงในสภาฯ โจทย์การเมืองของก้าวไกลในการเลือกตั้ง บทเรียนในการทำงานการเมืองกว่า 4 ปี คอขวดของการพัฒนาสังคมไทย และบทบาทในอนาคตของเธอในการเมืองไทย

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

23 Feb 2023

Politics

16 Dec 2021

สิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับและถูกควบคุมตัว (ตอนที่ 1) : เหตุใดจึงต้องพบศาล และต้องพบศาลเมื่อใด

ปกป้อง ศรีสนิท อธิบายถึงวิธีคิดของสิทธิที่จะพบศาลภายหลังถูกจับกุมและควบคุมตัว และบทบาทของศาลในการพิทักษ์เสรีภาพปัจเจกชน

ปกป้อง ศรีสนิท

16 Dec 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save