ไม่เป็นที่น่าแปลกใจนักสำหรับใครหลายคน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา เสมือนดั่งละครที่เดาตอนจบได้ไม่ยาก ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่านี่คือเกมนิติสงครามเพื่อตัดแขนตัดขาศัตรูทางการเมือง
ไม่ใช่แค่คนไทยเท่านั้นที่ออกมาตั้งคำถามและแสดงความกังวลถึงคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ แต่ยังมีปฏิกิริยามากมายจากประชาคมนานาชาติที่ต่างเฝ้าจับตาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศซีกโลกตะวันตกและองค์กรด้านสิทธิต่างๆ
แม้รัฐบาลในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของเรานั้นยังไม่ได้มีการแสดงท่าทีชัดเจนใดๆ ออกมาหลังคำตัดสิน แต่ก็พอได้เห็นปฏิกิริยาเล็กน้อยจากบุคคลมีชื่อเสียงทางการเมือง คนหนึ่งที่โดดเด่นคือ ไซด์ ซาดีค (Syed Saddiq) นักการเมืองหนุ่มวัย 31 อดีตรัฐมนตรีการกระทรวงเยาวชนและกีฬาของมาเลเซียในช่วงปี 2018-2020
“ยิ่งพวกเขากดปราบเราหนักเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ความยุติธรรม และประชาธิปไตย ได้อย่างเข้มแข็งขึ้นเท่านั้น … จงเข้มแข็งไว้ @pita.ig (ชื่อบัญชี Instagram ของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล) และเพื่อนๆ” คือข้อความที่ซาดีคเผยแพร่ทาง Instagram Story ของตัวเองหลังคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญออกมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ท่าทีของซาดีคเรียกได้ว่าเป็นการแสดงกำลังใจในฐานะเพื่อนร่วมอุดมการณ์ โดยซาดีคเคยบอกไว้ว่าเขามีพรรคอนาคตใหม่ (พรรคที่ถูกยุบก่อนมีตั้งพรรคก้าวไกลขึ้นมาใหม่ในปี 2020) เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจ จนนำไปสู่การตั้งพรรคการเมืองสำหรับคนรุ่นใหม่พรรคแรกและพรรคเดียวของมาเลเซียขึ้นมาในปี 2020 ภายใต้ชื่อพรรค MUDA (Malaysian United Democratic Alliance) โดยซาดีครับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเอง พร้อมวางจุดมุ่งหมายของพรรคว่าจะทำการต่อสู้กับปัญหาเชิงโครงสร้าง พาประเทศหลุดพ้นจากวังวนการเมืองแบบเก่าที่สกปรก และเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้มีบทบาทในการกำหนดทิศทางประเทศมากขึ้น และเมื่อปลายปีที่แล้วนี้เอง MUDA ยังได้ประกาศไว้ว่ามีแผนที่จะสานความร่วมมือกับพรรคก้าวไกลอย่างเป็นทางการด้วย
แต่เมื่อย้อนไปพินิจพิจารณาประโยคสั้นๆ ที่ซาดีคเผยแพร่ออกมาอีกครั้งอย่างถี่ถ้วน อาจเห็นได้ว่าข้อความนี้ไม่น่ามีจุดประสงค์แค่เพื่อจะส่งกำลังใจให้พรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่การเลือกใช้คำสรรพนามว่า “เรา” ในข้อความ อาจบ่งบอกถึงเบื้องลึกในใจซาดีคว่าพรรค MUDA ของเขาเอง ก็กำลังลงเรือลำเดียวกัน
ย้อนไปเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2023 ศาลชั้นต้นกรุงกัวลาลัมเปอร์ได้พิพากษาว่าซาดีคมีความผิดในข้อหาทุจริตยักยอกทรัพย์และใช้อำนาจโดยมิชอบ ตั้งแต่สมัยที่ยังดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี พร้อมกำหนดโทษจำคุกถึงเจ็ดปี และที่เลวร้ายกว่านั้นคือเขายังถูกพิพากษาให้ถูกเฆี่ยน ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักการเมืองคนแรกในประวัติศาสตร์ของมาเลเซียที่ต้องรับโทษดังกล่าว (อ่านรายละเอียดของเรื่องนี้ได้ที่ ไซด์ ซาดีค (Syed Saddiq) นักการเมืองโชคร้ายแห่งปีของมาเลเซีย)
อย่างไรก็ตาม ซาดีคได้ยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อเพื่อล้างมลทินให้ตัวเอง โดยเขายืนกรานมาตลอดว่าไม่ได้ทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา และที่สำคัญ คือเขาเชื่ออย่างเป็นมั่นเหมาะผ่านการให้สัมภาษณ์หลายครั้งว่า คดีความเหล่านี้มี “แรงจูงใจทางการเมือง”
ทำไมซาดีคถึงได้พูดอย่างนั้น

ภาพจาก: Facebook – Parti MUDA Malaysia
หากย้อนไปตั้งแต่จุดเริ่มต้น การตั้งข้อกล่าวหาเรื่องการยักยอกทรัพย์ของซาดีคเกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่นานนัก หลังจากที่รัฐบาลแนวร่วมปากาตัน ฮาราปัน (Pakatan Harapan: PH) ที่นำโดยนายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) ในตอนนั้น เป็นอันต้องล่มไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 หลังปกครองมาเลเซียอยู่ได้เพียงเกือบสองปี อันเนื่องมาจากปรากฏการณ์งูเห่าในซีกแนวร่วมรัฐบาล PH ยกโขยงไปจับมือกับแนวร่วมบาริซาน เนชันแนล (Barisan Nasional: BN) ที่นำโดยพรรคอัมโน (UMNO) รวมกันตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้ชื่อแนวร่วมเปอริกาตัน เนชันแนล (Perikatan Nasional: PN) โดยมี มูฮ์ยีดดีน ยาซซีน (Muhyiddin Yassin) หัวหน้าพรรคเบอร์ซาตู (Bersatu) เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยเหตุการณ์ใหญ่ทางการเมืองนี้เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ Sheraton Move หรือความเคลื่อนไหวที่โรงแรมเชอราตัน อันเป็นสถานที่ทำดีลลับข้ามขั้ว
Sheraton Move เป็นเหตุให้ซาดีคที่เพิ่งจะลิ้มลองตำแหน่งรัฐมนตรีได้ไม่นาน และไม่ยอมข้ามขั้วเหมือนสมาชิกคนอื่นๆ ในพรรคต้นสังกัดของเขาอย่างเบอร์ซาตู เป็นอันต้องหลุดจากเก้าอี้ ทั้งยังถูกขับออกจากพรรคเบอร์ซาตูพร้อมกับมหาเธร์ ก่อนที่ในที่สุด เขาจะตัดสินใจแยกวงออกไปตั้งพรรค MUDA ในปลายปีเดียวกันนั้นเอง
แต่กว่า MUDA จะได้เป็นพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแม้จะเปิดตัวตั้งแต่เดือนกันยายน 2020 แต่พรรคกลับถูกปฏิเสธการขึ้นทะเบียนจากหน่วยงานภายใต้กำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทยมาหลายครั้ง โดยไม่มีการแจ้งเหตุผล จนเกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าอาจเป็นเหตุจากความต้องการกลั่นแกล้งทางการเมืองของผู้กุมอำนาจต่อพรรคในตอนนั้น หรืออาจเป็นการกีดกันไม่ให้พรรคขึ้นทะเบียนได้ทันสู้ศึกเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะมาถึง แต่ในที่สุด MUDA ก็ได้รับการรับรองเป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย ในเดือนธันวาคม 2021 หรือนับจากวันเปิดตัวถึงกว่าหนึ่งปี
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความทุลักทุเลของการตั้งพรรคใหม่หลังเป็นอันต้องร่วงจากเก้าอี้รัฐมนตรีและถูกขับออกจากพรรคในตอนนั้น ซาดีคก็ยังคงมีที่นั่งในสภาในฐานะ สส. ซีกฝ่ายค้าน ท่ามกลางภาวการณ์ที่ซีกรัฐบาลในสภากำลังเผชิญปัญหาเสียงปริ่มน้ำอย่างที่ต้องคอยลุ้นกันใจหายใจคว่ำ ด้วยจำนวนที่นั่งในสภาเพียง 110 เศษๆ จากทั้งหมด 220 ที่นั่ง มากกว่าที่นั่งของฝ่ายค้านเพียงเลขหลักหน่วย และในจังหวะนั้นเอง การตั้งข้อหาต่อซาดีคก็เกิดขึ้น ท่ามกลางการตั้งข้อสังเกตของผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองหลายคน รวมถึงซาดีคเอง ว่าการฟ้องร้องคดีความนี้ช่างมาในเวลาที่เหมาะเจาะ จนน่าสงสัยว่าอาจเป็นเกมเพื่อบีบซาดีคให้แปรพักตร์มาเติมเสียงให้ฝั่งรัฐบาล
ในระหว่างการไต่สวนคดีความของศาลชั้นต้น ชาริฟาห์ มาฮานี ไซด์ อับดุล อาซิส (Sharifah Mahani Syed Abdul Aziz) ผู้เป็นมารดาของซาดีค ได้กล่าวต่อหน้าผู้พิพากษาว่า ทุกครั้งที่ลูกชายของเธอโหวตสวนซีกรัฐบาลในสภา เธอและสามีของเธอ (พ่อของซาดีค) มักถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งมาเลเซีย (MACC) เรียกตัวไปสอบสวนทุกครั้ง พร้อมบอกว่าลูกชายของเธอคือ “เหยื่อทางการเมือง”
ไม่ใช่แค่นั้น ชาริฟาห์ยังแฉด้วยว่า ทีมสืบสวนของ MACC บอกเธอว่าการไต่สวนเธอและสามีจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อซาดีคยอมหันไปสนับสนุนรัฐบาล ขณะที่ ไฮจาน โอมาร์ (Hijan Omar) ทนายของซาดีค ก็เปิดเผยเช่นกันว่าเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของ MACC คนหนึ่งได้พยายามพูดจาเกลี้ยกล่อมให้ซาดีคสนับสนุนรัฐบาลมูฮ์ยีดดิน เพราะมูฮ์ยีดดินคือผู้พาซาดีคเข้าสู่พรรคเบอร์ซาตู และยังคงเป็นห่วงเป็นใยซาดีคอยู่ โดยไฮจานบอกว่าบทสนทนาระหว่างเจ้าหน้าที่ MACC กับซาดีคนี้มีหลักฐานที่บันทึกไว้เป็นคลิปเสียงชัดเจน
MACC ที่อาจเปรียบได้กับ ป.ป.ช. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ของบ้านเรา เป็นหน่วยงานที่มักถูกวิพากษ์วิจารณ์เสมอมาว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลในการกำจัดศัตรูทางการเมือง และที่น่าตลกร้ายเมื่ออ้างอิงจากคำบอกกล่าวของทนายซาดีคเอง คือในคลิปเสียงดังกล่าว เจ้าหน้าที่ MACC คนนั้นพูดกับซาดีคด้วยตัวเองว่า MACC ก็มีบทบาทถูกใช้เช่นนั้นจริง
ขณะเดียวกัน ซาดีคยังบอกต่อสื่อด้วยตัวเองว่า เพื่อนๆ รอบตัวเขาหลายคนยังถูกเจ้าหน้าที่ MACC ข่มขู่ในระหว่างการให้ปากคำ กระทั่งเพื่อนของเขาออกแถลงการณ์เปิดเผยเรื่องนี้ การข่มขู่จึงยุติลงไป
แต่ดูเหมือนว่าซาดีคไม่ใช่คนเดียวที่ถูกบีบให้ย้ายฝั่ง เพราะในช่วงเวลานั้น อันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ซึ่งยังเป็นหัวหน้าแนวร่วมฝ่ายค้าน ก็ออกมากล่าวโทษรัฐบาลอยู่เนืองๆ ว่าพยายามใช้อำนาจบีบบังคับ สส. ฝ่ายค้านจำนวนหนึ่งให้แปรพักตร์ไปอยู่ฝั่งรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์บางคนมองว่าการเล่นงานทางกฎหมายต่อซาดีคอาจไม่ใช่แค่การกดดันให้เปลี่ยนขั้วธรรมดา แต่เป็นไปได้ว่าเป็นความพยายามสกัดดาวรุ่ง เช่น อาวัง อัสมาน (Awang Azman) ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมลายา (Universiti Malaya) ที่บอกว่าการพุ่งเป้าไปที่ซาดีคเป็นผลมาจากแรงสนับสนุนของประชาชนในตัวซาดีค จนทำให้เขาถูกมองว่าเป็นภัย ขณะที่ โอ เอ ซุน (Oh Ei Sun) จากสถาบันกิจการระหว่างประเทศแห่งสิงคโปร์ (Singapore Institute of International Affairs) ก็ตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเพราะพรรค MUDA เริ่มมีพลังทางการเมืองมากขึ้น จนอาจถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อผู้มีอำนาจ รวมถึงเป็นความพยายามลดทอนภาพลักษณ์ที่ใสสะอาดของตัวซาดีคเพื่อสกัดคะแนนนิยม
แต่ในระหว่างที่คดีความดำเนินมานี้เอง การเมืองมาเลเซียก็เดินมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้งในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนพฤศจิกายน 2022 อันนำมาสู่การสลับขั้วรัฐบาล โดยแนวร่วม PH กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งด้วยการจับมือแบบข้ามขั้วกับคู่ปรับเดิมอย่างแนวร่วม BN ภายใต้ชื่อ Unity Government หรือรัฐบาลเอกภาพ โดยมีอันวาร์ อิบราฮิม แกนนำ PH เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่
การเลือกตั้งครั้งนั้นถือเป็นการเลือกตั้งใหญ่ครั้งแรกของพรรค MUDA โดยพรรคเลือกจับมือเป็นพันธมิตรอย่างหลวมๆ กับแนวร่วม PH ด้วยความคล้ายคลึงทางอุดมการณ์หลายอย่าง แต่แม้ MUDA จะถูกจับตาในฐานะพรรคน้องใหม่มาแรงในตอนนั้น แต่ท้ายสุดผลการเลือกตั้งก็พิสูจน์ให้เห็นว่าหนทางของพรรคยังอีกยาวไกลมาก เพราะจากการส่งผู้สมัครชิงตำแหน่ง สส. 6 ที่นั่ง พรรคชนะได้เพียง 1 ที่นั่ง นั่นคือที่นั่ง สส. เขตมัวร์ (Muar) ซึ่งผู้ชนะก็คือหัวหน้าพรรคอย่างซาดีคเอง ทำให้เขายังคงยึดที่นั่งในสภาได้ เพียงแต่พลิกกลับไปอยู่ซีกรัฐบาลอีกครั้ง
หากเชื่อเหมือนหลายคนว่าการตั้งคดีความต่อซาดีคมาจากแรงจูงใจทางการเมือง การผลัดเปลี่ยนอำนาจหนนี้ก็ดูน่าจะเป็นผลดีต่อคดีของซาดีค แต่จนแล้วจนรอด ชะตาฟ้าดินก็ยังไม่อยู่ข้างเขา
เดือนกันยายน 2023 หรือเพียงสิบเดือนหลังรัฐบาลอันวาร์เป็นรูปเป็นร่าง ซาดีคก็ประกาศนำพรรค MUDA ถอนตัวจากการเป็นแนวร่วมรัฐบาล เนื่องจากความไม่พอใจที่รัฐบาลอันวาร์เมินเฉย ในกรณีที่ศาลตัดสินให้อาหมัด ซาฮีด ฮามิดี (Ahmad Zahid Hamidi) หัวหน้าพรรคอัมโน ซึ่งก็ร่วมรัฐบาลกับอันวาร์อยู่ หลุดพ้นจากข้อหาทุจริตใหญ่ อย่างไรก็ดี กรณีซาฮีดเป็นแค่ฟางเส้นสุดท้ายของการตัดสินใจสะบั้นความสัมพันธ์ของ MUDA ต่อแนวร่วมรัฐบาลเท่านั้น เพราะก่อนหน้านั้น MUDA กับแนวร่วมแกนนำรัฐบาลอย่าง PH ก็มีความระหองระแหงกันมาเนืองๆ
หลังผ่านพ้นจากการถอนตัวจากแนวร่วมรัฐบาลเพียงสองเดือน การอ่านคำพิพากษาคดีความของซาดีคก็มาถึงแก่เวลา ซึ่งผลปรากฏว่าเขาถูกตัดสินให้มีความผิดตามที่ได้เล่าไปก่อนหน้านี้ คำตัดสินที่ออกมาจึงยังไม่อาจหลุดพ้นจากข้อสงสัยที่ว่าเป็นความต้องการเล่นงานซาดีค อย่างอัสรุล ฮาดี อับดุลลาห์ ซานี (Asrul Hadi Abdullah Sani) นักวิเคราะห์ด้านการเมือง ก็ตั้งข้อสังเกตเรื่องนี้เช่นกัน และให้เหตุผลอีกข้อหนึ่งว่าอาจเป็นเพราะ “บรรดาแกนนำในแนวร่วม PH มองว่า MUDA กำลังแย่งฐานเสียงคนรุ่นใหม่และคนเมืองไป”
หลายคนยังตั้งข้อสังเกตถึงการใช้บทลงโทษด้วยการเฆี่ยน โดยมองว่าอาจรุนแรงเกินกว่าเหตุ และยังดูสองมาตรฐาน เพราะเมื่อมองไปยังคดีทุจริตอื่นๆ อีกหลายคดีที่ใหญ่กว่านี้มาก ก็ยังไม่เคยเห็นว่ามีนักการเมืองคนไหนที่ถูกพิพากษาให้เฆี่ยนมาก่อน แต่เรื่องนี้ก็มีคำอธิบายในทางกฎหมายอยู่ เพราะตัวกฎหมายมีการบัญญัติให้มีข้อยกเว้นพิเศษต่อบุคคลบางกลุ่ม ได้แก่ สตรี และผู้มีอายุเกิน 50 ปี ซึ่งนักการเมืองโดยมากที่โดนคดีก็มักมีอายุกันแล้ว จึงเป็นเหตุให้ไม่ถูกพิพากษาให้ถูกเฆี่ยน
หลังคำพิพากษาออกมา ซาดีคได้แสดงสปิริตด้วยการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค MUDA ด้วยเหตุผลที่เขาบอกว่าผู้นำที่ดีต้อง “whiter than white” หรือบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน ในเมื่อเขายังมีคดีความเป็นชนักติดหลังอยู่อย่างนี้ จึงยังไม่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค นอกเสียจากต้องไปต่อสู้ล้างมลทินตัวเองให้เสร็จสิ้นก่อนในศาลชั้นต่อๆ ไป อย่างไรก็ตาม ซาดีคยังคงไม่ลาออกจากตำแหน่ง สส. โดยประกาศสถานะว่าเป็น สส. ที่ไม่อยู่ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน แต่เป็นขั้วที่สามเพียงเสียงเดียวในสภา
สำหรับนักการเมืองหน้าใหม่อย่างซาดีค และพรรคที่เพิ่งถือกำเนิดมาได้ไม่ถึงสี่ปีอย่าง MUDA เรื่องราวที่ต้องเผชิญนี้นับว่าสาหัสสากรรจ์ แต่หากเทียบกับพรรคร่วมอุดมการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านทางตอนเหนือ อย่างพรรคก้าวไกล หรืออาจย้อนไปถึงพรรคอนาคตใหม่แล้ว วิกฤตที่ MUDA กำลังเจออาจถือได้ว่ายังแค่เศษเล็บ เพราะขณะที่พรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล โดนถึงขั้นขุดรากถอนโคนทั้งพรรค พรรค MUDA ยังโดนแค่ที่ตัวหัวหน้าพรรคเท่านั้น
และหากจะว่าไป ก็ดูเหมือนว่าผู้มีอำนาจในฝั่งมาเลเซียคงไม่ได้มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องบดขยี้พรรค MUDA มากนัก แม้ในช่วงแรกที่ MUDA กำลังกระแสแรงหลังก่อตั้งพรรคใหม่ๆ ข้อครหาที่ว่ามีการใช้นิติสงครามสกัดดาวรุ่งพรรคอาจยังฟังดูสมเหตุสมผล แต่เมื่อเวลาผ่านมาจนวันนี้ กลายเป็นว่าอันที่จริง MUDA ก็ไม่ได้มีพิษสงอะไรที่จะไปท้าทายโครงสร้างได้เหมือนอย่างที่ป่าวประกาศไว้เท่าไหร่นัก เห็นได้จากผลเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่ว่าจะในระดับชาติหรือระดับท้องถิ่นที่พรรคแทบจะไม่ได้ที่นั่งใดๆ จนแทบไม่อาจแสดงบทบาทหรือสร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองได้ ซึ่งต่างจากพรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกลที่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วจนสร้างความตื่นตระหนกต่อระบอบ เพราะฉะนั้น การจะไปเล่นงานพรรค MUDA ทั้งยวงจึงอาจเปลืองแรงโดยใช่เหตุ
หากการโดนลงโทษทางกฎหมายของซาดีคในครั้งนี้คือนิติสงครามจริง จึงดูเหมือนว่าจะเป็นการพุ่งเป้าเฉพาะตัวไปที่ซาดีคมากกว่าจะเป็นการมุ่งหมายทำลายพรรค แต่อย่างไรเสีย นักวิเคราะห์การเมืองมาเลเซียหลายต่อหลายคนกลับมองว่ากระสุนปืนที่ถูกเล็งไปยังซาดีคนี่ล่ะที่จะแฉลบไปตัดถึงขั้วหัวใจของพรรค MUDA จนล้มลงอย่างไม่ตั้งใจ

ภาพจาก: Facebook – Parti MUDA Malaysia
เหตุผลข้อหนึ่งที่หลายคนพูดตรงกันคือเป็นเพราะที่ผ่านมา พรรค MUDA แบกชื่อเสียงไว้บนบ่าของซาดีคแต่เพียงผู้เดียว และไม่เห็นใครที่จะทาบรัศมีหรือก้าวขึ้นมานำพรรคแทนเขาได้ ซึ่งดันแคน แม็กคาร์โก (Duncan McCargo) ประธานฝ่ายกิจการระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (Nanyang Technological University) ประเทศสิงคโปร์ ก็เคยกล่าวเทียบไว้ว่านี่คือสิ่งที่ทำให้ MUDA ต่างจากพรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล ที่สามารถปั้นคนอื่นขึ้นมาให้โดดเด่นได้ไม่แพ้หัวหน้าพรรค เพราะฉะนั้นหลายคนจึงคาดว่า หลังซาดีคตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค MUDA ก็คงอยู่ได้อีกไม่นานนัก
อย่างไรก็ตาม พรรค MUDA เองกลับไม่ได้มองตัวเองเช่นนั้น โดย อามิรา อิสยา อับดุล อาซิส (Amira Aisya Abdul Aziz) รักษาการหัวหน้าพรรค MUDA ได้ออกมาพูดว่า MUDA นั้นไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวบุคคล หากแต่อยู่ที่อุดมการณ์และนโยบายที่จะพาประเทศไปข้างหน้า พร้อมบอกว่า “เรามีหน้าที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าความเห็นเหล่านั้นไม่ถูกต้อง รวมทั้งทำให้พวกเขาเห็นว่าพรรค MUDA ใหญ่กว่าแค่คนหนึ่งคน”
แต่เรื่องผู้นำพรรคก็ไม่ใช่ประเด็นเดียวที่ MUDA ถูกวิพากษ์วิจารณ์ อีกปัจจัยสำคัญไม่แพ้กันที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าจะชี้เป็นชี้ตายอนาคตพรรค MUDA ก็คือการมีฐานสนับสนุนจากมวลชนที่แข็งแกร่งพอ แต่เมื่อย้อนไปดูผลเลือกตั้งที่ผ่านๆ มาแล้ว ก็เห็นได้ว่า MUDA ยังสั่งสมมันได้ไม่มาก
แม้ว่ากลุ่มเป้าหมายหลักของพรรคจะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อายุไม่ถึง 40 ปี ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศก็ตาม แต่กลายเป็นว่า MUDA ยังชนะใจพวกเขาไม่ได้มากนัก ในภาวะที่คนรุ่นใหม่ในมาเลเซียหันหน้าเข้าหาเชื้อชาตินิยมและศาสนานิยม สวนทางกับวิสัยทัศน์ของพรรคที่โอบรับความหลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนา และขณะเดียวกัน ด้วยความที่ MUDA มักถูกจดจำในฐานะพรรคคนเมือง ก็ทำให้พรรคเจอความยากในการทะลวงฐานเสียงชนบท ซึ่งในหลายพื้นที่ก็มีพรรคการเมืองเก่าแก่สร้างฐานเสียงหยั่งรากไว้อยู่แล้วอย่างแข็งแกร่ง
ที่สุดแล้ว ชะตากรรมของ MUDA จึงอาจไม่ได้เหมือนกับพรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกลที่สามารถเอาชนะใจคนในวงกว้าง จนมีฐานเสียงอย่างเหนียวแน่นและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แม้จะโดนยุบพรรคและต้องเปลี่ยนผู้นำทีมยกชุดก็ตาม
แต่หากจะฟันธงเลยว่าอนาคต MUDA กำลังมืดมิด ก็คงจะไม่ได้เสียทีเดียว เพราะในสนามการเมือง อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ จึงอยู่ที่ MUDA ที่จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าพรรคจะยังสามารถยืนหยัดได้จริง โดยบทพิสูจน์แรกที่ต้องจับตาคือหลังการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปลายปีนี้
การขึ้นมาของหัวเรือพรรคคนใหม่อาจทำให้เราได้พอเห็นเค้าลางว่าพรรคจะยังประคับประคองตัวเองไปได้จริงหรือไม่ในวันที่ไม่มีดาวเด่นอย่างซาดีคเป็นหัวหน้าพรรค และในเวลาเดียวกันก็เป็นงานหนักของซาดีคเองที่ต้องพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรมต่อไปว่าไม่ได้มีมลทินใดๆ ตามที่ถูกกล่าวหาจริง เพราะหากอดีตหัวหน้าพรรคที่ประกาศตัวว่าท้าชนคอร์รัปชันและมีผู้นำพรรคที่ “whiter than white” ต้องมาโดนข้อหานี้เสียเอง แบรนด์ของพรรคก็คงเสื่อมไปใช่ย่อย
พรรคคนรุ่นใหม่ในมาเลเซียเพื่อนบ้านของเราจึงกำลังอยู่ในภาวะต้องสู้ยิบตาไม่ต่างจากพรรคคนรุ่นใหม่บ้านเรา แม้ว่าบริบทสถานการณ์ที่ MUDA กับก้าวไกลกำลังเจอจะต่างกันหลายอย่างจนไม่อาจเทียบกันได้ทั้งหมด แต่บทเรียนที่ได้เห็นร่วมกันจากสองพรรคนี้ก็คือ “ไม่ใช่เรื่องง่ายหากคิดจะเป็นพรรคคนรุ่นใหม่ในภูมิภาคแถบนี้”
ภาพประกอบของภาพปก: Chanakarn Laosarakham / AFP + Jack TAYLOR / AFP และ Facebook – Parti MUDA Malaysia
อ่านเพิ่มเติมที่
ไซด์ ซาดีค (Syed Saddiq) นักการเมืองโชคร้ายแห่งปีของมาเลเซีย
ขบวนการคนหนุ่มสาวมาเลเซีย เมล็ดพันธุ์ที่ยังไม่งอก
“ผมมีพรรคอนาคตใหม่เป็นแรงบันดาลใจ”: Syed Saddiq หัวหน้าพรรคคนรุ่นใหม่ ผู้หมายเขย่าการเมืองมาเลเซีย
Muda: We’re bigger than Syed Saddiq
Syed Saddiq faced ‘pressure’ by Malaysia’s PPBM, his parents say during corruption trial
Charges against me were politically motivated: Syed Saddiq
Charges against Syed Saddiq politically suspicious, analyst says
Syed Saddiq’s charges prove Perikatan clinging for life by hounding opposition: observers
Survival of Muda now depends on next leader after Syed Saddiq, say analysts
Syed Saddiq and Muda are finished, say analysts
Tougher road ahead for MUDA in next election without Syed Saddiq, says political analyst