ภาพประกอบ: Facebook – Syed Saddiq Syed Abdul Rahman
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่ศาลชั้นต้น (High Court) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มีผู้สังเกตเห็น ไซด์ ซาดีค ไซด์ อับดุล ราฮ์มาน (Syed Saddiq Syed Abdul Rahman) ชายหนุ่มวัย 30 ปีในสูทสีดำกลั้นน้ำตาขณะนิ่งฟังผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินคดีของตน ใกล้ๆ เขาคือบิดาและมารดาที่มาให้กำลังใจ
ซาดีคคืออดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเยาวชนและกีฬา ก่อนจะมาเป็นหัวหน้าพรรคมูดา (MUDA: Malaysian United Democratic Alliance) พรรคการเมืองที่ประกาศตัวเป็นตัวแทนของคนหนุ่มสาวมาเลเซียในปัจจุบัน
ซาดีคได้ถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริตและใช้อำนาจโดยมิชอบเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยคำพิพากษาระบุว่าเขามีความผิดตามข้อกล่าวหา มีโทษทั้งจำคุกและปรับเป็นเงินมหาศาล ยิ่งกว่านั้นเขากลายเป็นนักการเมืองคนแรกของประเทศที่ถูกพิพากษาศาลให้รับโทษด้วยการโบย เป็นโทษที่น่าอับอายที่ไม่เคยมีนักการเมืองคนใดได้รับมาก่อน คำตัดสินสร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเกินกว่าเหตุ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคดีของนักการเมืองใหญ่บางราย เช่น คำพิพากษาก่อนหน้านั้นที่ให้ อาฮ์หมัด ซาฮีด ฮามิดี (Ahmad Zahid Hamidi) ประธานพรรคอัมโน (UMNO: United Malays National Organisatio) ผู้เป็นรองนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ให้พ้นผิดจากคดีทุจริตบางคดี
คดีของซาดีคย้อนไปถึง พ.ศ. 2563 ขณะที่เขาเป็นนักการเมืองในสังกัดพรรคเบอร์ซาตู (Bersatu: Parti Pribumi Bersatu Malaysia) และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงเยาวชนและกีฬาในรัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี มหาเธร์ โมฮัมหมัด มหาเธร์นำพรรคเบอร์ซาตูจับมือกับแนวร่วมพรรคการเมืองปากาตัน ฮาราปัน (Pakatan Harapan) ของนายอันวาร์ อิบราฮิม (Anwar Ibrahim) ชนะการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 14 อย่างถล่มทลาย ใน พ.ศ. 2560
ในวัยเพียง 25 ปี ซาดีคเป็นรัฐมนตรีหนุ่มอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองมาเลเซีย เป็นนักการเมืองดาวรุ่งพุ่งแรงอนาคตไกล แต่เวลาของความรุ่งโรจน์ช่างแสนสั้น เพราะสองปีต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองที่ไม่คาดฝันทางการเมืองซึ่งเรียกกันภายหลังว่า ‘ความเคลื่อนไหวที่โรงแรมเชอราตัน’ (The Sheraton Move) โดยนักการเมืองกลุ่มหนึ่งจากพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคเบอร์ซาตู รวมทั้ง มูฮ์ยีดดีน ยาซซีน (Muhyiddin Yassin) ผู้นำคนหนึ่งของพรรคและคนสนิทของนายกฯ มหาเธร์ เข้าประชุมกันที่โรงแรมเชอราตันในกัวลาลัมเปอร์และตัดสินใจตบเท้าออกจากแนวร่วมรัฐบาลหันไปจับมือกับพรรคอัมโน ซึ่งขณะนั้นเป็นพรรคฝ่ายค้าน ทำให้รัฐบาลปากาตันสิ้นสุดลงเนื่องจากขาดเสียงข้างมากในสภาฯ ขณะที่เบอร์ซาตูและอัมโนร่วมตั้งรัฐบาลใหม่โดยมีมูฮ์ยีดดีนเป็นนายกรัฐมนตรี
ชีวิตของซาดีค ผันแปรนับแต่นั้น หลังจากรัฐบาลปากาตันล่มเพียงเดือนเดียว ข่าวเรื่องครอบครัวของเขาได้เข้าแจ้งความเรื่องลักทรัพย์เนื่องจากพบว่าเงินสดประมาณ 250,000 ริงกิตมาเลเซีย (ราวกว่า 1.8 ล้านบาท) หายไปจากตู้นิรภัยภายในบ้านก็แพร่ไปทั่ว ผู้ไม่ประสงค์ออกนามเข้าร้องเรียนต่อคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตมาเลเซีย หรือ MACC (Malaysian Anti-Corruption Commission) ว่าเงินนั้นได้มาจากการทุจริต ซาดีคต้องออกแถลงการณ์อธิบายต่อสื่อมวลชนว่าเงินจำนวนนั้นเป็นเงินของเขาและบิดามารดารวมกัน ที่ตั้งใจจะนำไปใช้ในการปรับปรุงบ้านที่เขาและบิดาซื้อร่วมกัน และว่าข้อกล่าวหานั้นมาจากพรรคเบอร์ซาตูซึ่งไม่พอใจที่เขาไม่สนับสนุนมูฮ์ยีดดีนที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยวิธีการที่ไม่ชอบธรรม ผลที่ตามมาคือ MACC เริ่มเปิดแฟ้มสอบสวนกรณีเงินหายและเข้าตรวจสอบบ้านพักของซาดีคในวันที่ 31 มีนาคม นอกจากนั้นยังเปิดแฟ้มสอบสวนตามข้อกล่าวหาอื่นๆ อีกรวมทั้งหมด 5 เรื่อง
หนึ่งเดือนถัดมาในเดือนพฤษภาคม พรรคเบอร์ซาตูประกาศขับสมาชิก 3 รายออกจากพรรคข้อหาแข็งขืนต่อมติพรรคในการสนับสนุนนายกรัฐมนตรีมูฮ์ยีดดีน สมาชิกทั้งสามคือ มหาเธร์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค, มูกริช มหาเธร์ (Mukhriz Mahathir) บุตรชายผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานพรรค และซาดีค ทั้งสามต้องระเห็จไปนั่งที่นั่งในปีกของฝ่ายค้านในห้องประชุมสภาฯ แม้ว่าจะไม่ได้รับการต้อนรับจากแนวร่วมพรรคการเมืองปากาตัน ฮาราปัน ที่กลายเป็นแนวร่วมฝ่ายค้านเลยก็ตาม
เมื่อถึงเดือนกรกฎาคม MACC ตั้งข้อหา ไซด์ ซาดีค ว่ามีพฤติกรรมยักยอกเงินจำนวนหนึ่งล้านริงกิตมาเลเซีย (ราว 7.5 ล้านบาท) จากกองทุนอาร์มาดา (Armada: Angkatan Bersatu Anak Muda) ซึ่งเป็นกองทุนของฝ่ายยุวชนพรรคเบอร์ซาตูที่เขาเป็นประธานเมื่อครั้งที่เป็นรัฐมนตรีในสังกัดพรรคอยู่ นอกจากนั้นยังมีข้อหาใช้ทรัพย์สินของพรรคในทางที่ผิดด้วยการสั่งให้เจ้าหน้าที่พรรคเบอร์ซาตูถอนเงินจากบัญชีกองทุนอาร์มาดาจำนวน 120,000 ริงกิตมาเลเซีย (ราว 900,000 บาท) เพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งของตน รวมทั้งข้อหาฟอกเงินอีกสองกระทงจากการทำธุรกรรมทางการเงินสองครั้งรวมกันจำนวน 50,000 (ราว 375,000 บาท) โดยพบว่ามีการโอนเงินจำนวนนี้ระหว่างบัญชีธนาคารสองบัญชีของตนเอง ที่ MACC กล่าวหาว่าเป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมาย
ในการให้การต่อศาลเมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 อาฮ์หมัด มาร์ซูกิ อิบราฮิม (Ahmad Marzuqi Ibrahim) เจ้าหน้าที่สอบสวนของ MACC ที่เข้าตรวจสอบที่พักของซาดีคให้การว่า เขาพบข้อสงสัยเมื่อเข้าตรวจสอบตู้นิรภัยและพบว่าไม่มีสภาพถูกงัดแงะให้เปิด และมีแต่เพียงลายนิ้วมือของซาดีคปรากฏอยู่เพียงผู้เดียว เจ้าหน้าที่ MACC อีกผู้หนึ่งยังให้การว่าการตรวจสอบการสื่อสารในกลุ่ม WhatsApp กลุ่มหนึ่งชื่อ ‘Ocean 17’ พบข้อความที่เขียนขึ้นวันที่ 30 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็นเวลาที่ MACC เตรียมเข้าตรวจสอบบ้านของไซด์ ซาดีค ข้อความดังกล่าวเขียนว่า “น่าปวดหัวเสียจริง.. เมื่อกี้นี้ ตอนวิดีโอคอล เขาบอกว่ามันเป็นเงินของพรรค” (“Such a headache … just now, in a video call, he said it’s the party’s money.”) ข้อความดังกล่าวมาจากโทรศัพท์มือถือของราฟีค ฮาคิม ราซาลี (Hakim Razali) ผู้ช่วยเหรัญญิกของแผนกยุวชนพรรคเบอร์ซาตู อย่างไรก็ตามไม่มีการระบุว่าบุคคลที่ข้อความนี้ระบุถึงคือใคร
การให้การของพยานฝั่ง MACC ล้วนทำเอาผู้สนับสนุนซาดีคใจแป้ว เจ้าหน้าที่ MACC ยังให้การต่อศาลว่า หนึ่งวันหลังจากที่บ้านพักของตนถูกค้น ซาดีคได้สั่งให้ราฟีคแบ่งแจกจ่ายเงินทั้งหมดหนึ่งล้านเหรียญริงกิตไปยังกรรมการฝ่ายยุวชนพรรคเบอร์ซาตูบางราย เงินจำนวนนี้ถูกถอนจากบัญชีของกองทุนอาร์มาดาตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2563 โดยทรัสตีกองทุนสองคน คือราฟีคและอาฮ์หมัด รีดซวน โมอัมหมัด ชาฟี (Ahmad Redzuan Mohamed Shafi) ผู้ช่วยเลขานุการกองทุน และถูกเก็บไว้ที่บ้านของนายราฟีค จนกระทั่งถูกกระจายแจกจ่ายออกไปตามคำสั่งของไซด์ ซาดีค ในวันที่ 1 เมษายน 2563 โดยการสอบสวนพบว่าในวันที่ 31 มีนาคม 2563 ไซด์ ซาดีค ได้ติดต่อราฟีคและสั่งให้ “เคลียร์” เงินที่ราฟีคเก็บไว้ที่บ้าน เพราะเกรงว่าเงินก้อนนี้จะถูกเจ้าหน้าที่ MACC ยึดไป
เจ้าหน้าที่ MACC ผู้รับผิดชอบในการสืบสวนข้อกล่าวหากรณีกองทุนอาร์มาดาให้การในศาลโดยอ้างปากคำของพยานในการสอบสวนว่า ซาดีคได้พุดคุยกับราฟีคและอาห์หมัดเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2563 และแสดงความกังวลอย่างยิ่งกับความปั่นป่วนทางการเมืองที่มาจากเหตุการณ์ที่เชอราตัน เขาถามราฟีคว่าเวลานั้นเงินในบัญชีของคณะกรรมการกลางฝ่ายยุวชนเหลืออยู่เท่าไหร่ และว่าเงินนี้เป็นผลจากการทำงานหนักของเขาในฐานะประธานฝ่ายยุวชน ราฟีคแจ้งว่าเหลืออยู่กว่าหนึ่งล้านริงกิต ราฟีคและอดีตกรรมการกรรมการฝ่ายยุวชนบางรายให้การต่อ MACC ว่า เงินดังกล่าวถูกถอนออกจากบัญชีกองทุนเมื่อสถานะทางการเมืองของซาดีคในรัฐบาลปากาตันเริ่มสั่นคลอน
ศาลชั้นต้นตัดสินให้ซาดีคมีความผิดในทุกข้อกล่าวหาด้วยเหตุผลว่าเขา “ไม่สามารถพิสูจน์จนสิ้นสงสัย” ในข้อกล่าวหาทั้งหมดได้ ซาดีคถูกตัดสินจำคุก 7 ปี ปรับ 10 ล้านริงกิตมาเลเซีย (ราว 75 ล้านบาท) และโบยด้วยหวาย 2 ครั้ง เขาได้รับการประกันตัวและยังทำหน้าที่ ส.ส. ในรัฐสภาฯ ตามปกติในขณะที่รออุทธรณ์ตามขั้นตอน คดีของเขาคงจะลากยาวเป็นปีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่าผลการตัดสินของศาลอุทธรณ์ไม่เป็นที่พอใจและเขาตัดสินใจยื่นเรื่องถึงศาลแห่งสหพันธรัฐ (Federal Court of Malaysia) ซึ่งเป็นศาลสูงสุดของมาเลเซีย
ย้อนกลับไปในปี 2560 ก่อนลงสมัคร สส. ไซด์ ซาดีค เป็นเพียงคนหนุ่มหน้าตาดีผู้เริ่มสร้างชื่อในฐานะนักปาฐกและคอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์ออนไลน์ฉบับหนึ่ง ชีวิตเขาคงเรียบง่ายกว่านี้ถ้าไม่บังเอิญไปเข้าตานายกรัฐมนตรี มหาเธร์ ผู้หวนกลับสู่อำนาจอีกครั้งในฐานะผู้นำรัฐบาลปากาตัน ฮาราปัน มหาเธร์นั้นนอกจากจะมีบทบาททั้งทางบวกและทางลบต่อการเมืองมาเลเซียมายาวนานแล้ว ยังเป็นผู้มีสายตาแหลมคมเล็งเห็นเห็นศักยภาพของคนรุ่นใหม่ได้อย่างเฉียบขาด ในทศวรรษ 1980 มหาเธร์ประสบความสำเร็จในการดึงตัว อันวาร์ อิบราฮิม นักกิจกรรมหนุ่มออกจากแวดวงกิจกรรมเข้าพรรคอัมโน แล้วปั้นให้เขาเป็นดาวรุ่งในเวลาอันสั้นเริ่มความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งชังที่กลายมาเป็นเป็นมหากาพย์การเมืองมาจนทุกวันนี้
มาครั้งนี้ มหาเธร์คนเล็งเห็นแววบางอย่างในตัวซาดีค จึงชักชวนเขาเข้าพรรคเบอร์ซาตู ซาดีคลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรกในรัฐยะโฮร์และชนะแบบลอยลมด้วยกระแสมหาชนที่เบื่อหน่ายรัฐบาลอัมโน มหาเธร์มอบตำแหน่งรัฐมนตรีให้เขาแบบไม่รีรอ ความแนบแน่นกับมหาเธร์สร้างข่าวลือต่างๆ นานา รวมทั้งข่าวที่วาเขากำลังติดพันหลานสาวคนหนึ่งของผู้เฒ่า แต่เขาปฏิเสธ พูดได้ว่าซาดีคในเวลานั้นคือเด็กปั้นคนสุดท้ายของมหาเธร์โดยแท้
ถ้ามหาเธร์กำลังลงมือปั้นอนาคตของซาดีค เหตุการณ์ Sheraton Move ก็เป็นเหตุให้เขาปั้นไม่เสร็จ หลังกรณีเชอราตัน รัฐบาลอัมโน – เบอร์ซาตู – พาส (PAS: Parti Islam Se-Malaysia) ที่ชิงอำนาจจากปากาตันก็ปั่นป่วนด้วยความขัดแย้งภายในตั้งแต่ต้น นำไปสู่การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีจากมูฮ์ยีดดีนแห่งพรรคเบอร์ซาตู เป็นอิสมาอิล ซาบรี ยาโคป (Ismail Sabri Yacob) แห่งพรรคอัมโน ผู้ที่ในที่สุดประกาศยุบสภาฯ เพื่อเลือกตั้งใหม่ที่จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2565
ผลการเลือกตั้งพบว่าไม่มีขั้วการเมืองใดมีเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาฯ มาเลเซียตกอยู่ในภาวะ ‘hung parliament’ เป็นครั้งแรก อันวาร์ตัดสินใจพาแนวร่วมปากาตันจับมือพรรคอัมโนศัตรูเก่าจัดตั้งรัฐบาลและรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ อดีตนายกรัฐมนตรีมูฮ์ยีดดีนและพรรคเบอร์ซาตูกลับไปเป็นฝ่ายค้านร่วมกับพรรคพาส กลายเป็นขั้วการเมืองอนุรักษนิยมสุดโต่ง และเป็นศัตรูผู้ขมขื่นจากความพ่ายแพ้ต่อแนวร่วมปากาตันและอันวาร์ ส่วนมหาเธร์ผู้ที่เคยยิ่งใหญ่กลายเป็น สส. สอบตกในเขตเลือกตั้งที่ตนเองได้ชัยชนะมาตลอดชีวิตการเมือง อำนาจที่เคยล้นฟ้าจางหาย
แม้ว่ามหาเธร์จะสิ้นอิทธิพล แต่ซาดีคยังอยู่ เขาประกาศตั้งพรรคมูดาในเดือนกันยายน 2563 และพาตัวเองออกห่างจากขั้วการเมืองอนุรักษนิยมรวมทั้งมหาเธร์ผู้อุปถัมภ์เก่า ถึงแม้ว่ามูดาจะไม่ได้เป็นพรรคแนวร่วมปากาตันอย่างเป็นทางการ แต่ก็อยู่ในฐานะแนวร่วมแบบห่างๆ ที่มีแนวทางการเมืองใกล้เคียงกัน ซาดีคพยายามสมัครขอเข้าเป็นพรรคแนวร่วมในกลุ่มปากาตันอย่างเป็นทางการ เขาสามารถเจรจาต่อรองให้พรรคพีเคอาร์ (PKR: Parti Keadilan Rakyat) ที่มีนายกรัฐมนตรีอันวาร์เป็นหัวหน้าพรรค ช่วยหลีกทางแบ่งเขตลงสมัครเลือกตั้งบางเขตให้พรรคมูดาในการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2565 โดยพีเคอาร์ตกลงไม่ส่งผู้สมัครซ้ำซ้อน แต่ปรากฏว่ามีซาดีคเพียงผู้เดียวจากผู้สมัครของพรรคมูดาทั้งหมดที่ชนะเลือกตั้งเข้าเป็น สส. ในสภาฯ ได้สำเร็จ ส่วนที่นั่งในเขตอื่นๆ ที่พีเคอาร์สละให้มูดาตกเป็นของพรรคฝ่ายค้านไป
พรรคมูดามีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะอยู่ที่ผู้มีสิทธิออกเสียงวัยหนุ่มสาวของประเทศ และมีนโยบายที่ร่างขึ้นอย่างน่าสนใจ มูดาประกาศว่าตนคือพรรคของคนหนุ่มสาวที่ disruptive (ป่วน) และสนับสนุนประชาธิปไตยที่มาพร้อมกับนโยบายปฏิรูปการเมืองและอุดมคติสมัยใหม่ ส่งเสริมธรรมาภิบาล การไม่แบ่งแยกทางเชื้อชาติ และมาเลเซียที่อยู่ตรงกลาง (middle Malaysia) รวมทั้งกำหนดเป้าหมายจัดระบบผู้ที่ยังไม่ลงทะเบียนเลือกตั้งด้วย ในเวลาสั้นๆ ของการหาเสียงปี 2565 มูดาระดมกำลังรณรงค์และกลายเป็นปรากฎการณ์ใหม่ของมาเลเซียที่สร้างความตื่นเต้นในภูมิภาคจากกระแสความตื่นตัวทางการเมืองของคนหนุ่มสาวที่รวมถึงในประเทศไทยด้วย เมื่อเข้าเป็นพันธมิตรกับปากาตัน พรรคมูดากลายเป็นหัวหอกสำคัญในการรณรงค์ใช้กฎหมายลดอายุผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจาก 21 ปี เป็น 18 ปีจนสำเร็จ
ทว่าในความเป็นจริงทางการเมือง มูดายังต้องฝ่าฟันหาฐานเสียงสนับสนุนระดับรากหญ้าอย่างหนัก ผลการเลือกตั้งทั้งในการเลือกตั้งทั่วไปและระดับรัฐที่มูดาได้รับการช่วยเหลือจากแนวร่วมปากาตัน ชี้ให้เห็นว่าหนทางยังยาวไกลสำหรับพวกเขา ในการเลือกตั้งระดับรัฐของยะโฮร์เดือนมีนาคม 2565 มูดาสามารถเจรจากับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ปากาตันสองพรรคให้แบ่งจัดสรรเขตเลือกตั้งให้ผู้สมัครของมูดาแบบไม่ทับซ้อนกัน และได้รับการจัดสรรเขตเลือกตั้งที่เคยเป็นของพรรคแนวร่วมปากาตันมาทั้งหมด 7 เขต แต่ท้ายที่สุดผู้สมัครของพรรคมูดาได้ที่นั่งเพียงหนึ่งเขต ทำให้ที่นั่งที่เหลือตกเป็นของฝ่ายตรงข้าม
แม้มูดาจะทำได้ไม่ดีนักในการเลือกตั้ง แต่พรรคคงมีเวลาพิสูจน์ตัวเองต่อแนวร่วมปากาตันมากกว่านี้หากผู้บริหารหนุ่มสาวของพรรคจะไม่ตัดสินใจ disrupt การเลือกตั้งระดับรัฐ 6 รัฐที่จัดให้มีขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมปี 2566 เสียก่อน การเลือกตั้งครั้งนั้นสำคัญอย่างยิ่งสำหรับรัฐบาลอันวาร์ เพราะมันถูกมองว่าเป็นการแสดงเจตจำนงในการสนับสนุนรัฐบาลของประชาชนในรัฐเหล่านี้ และเป็นตัวชี้วัดความมั่นคงที่แท้จริงของรัฐบาลได้ไม่น้อย หากว่าแนวร่วมพรรครัฐบาลเสียที่นั่งที่เคยเป็นของตนในรัฐเหล่านี้ให้แนวร่วมฝ่ายค้านเบอร์ซาตู-พาส ก็เท่ากับว่าปากาตันเริ่มเสียฐานเสียงของตนไป จึงจำเป็นต้องปกป้องฐานเสียงเหล่านี้ให้ได้อย่างเหนียวแน่น แน่นอนที่สุดพรรคพีเคอาร์ย่อมปฏิเสธเมื่อมูดาพยายามต่อรองให้จัดสรรที่นั่งให้ผู้สมัครจากพรรคตนอีกครั้งหนึ่ง
ซาดีคตอบโต้ด้วยการประกาศส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งของมูดาลงสนามอย่างเป็นอิสระ เขายังพูดกับสื่อมวลชนอีกด้วยว่า นายกฯ อันวาร์และผู้บริหารของปากาตันละเลยไม่สนใจความพยายามของมูดาที่จะสมัครเป็นสมาชิกแนวร่วมฯ อย่างเป็นทางการ แถมด้วยการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลว่าไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินนโยบายที่สัญญาไว้เมื่อตอนหาเสียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจำกัดวาระของนายกรัฐมนตรี การต่อต้านการทุจริต และการปฏิรูปบริษัทที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ (government-linked companies)
ท่าทีของซาดีคและมูดานำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์และความคลาดแคลงใจต่อตัวเขาและพรรคมูดามากมาย ผู้สนับสนุนรัฐบาลปากาตันบ้างก็ว่ามูดาขาดความสามารถ ไม่สามารถชนะใจคนรุ่นใหม่ได้ แม้จะได้รับโอกาสจากปากาตันมาแล้วถึงสองครั้งสองหน บ้างก็วิจารณ์เลยไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างซาดีคกับมหาเธร์ในอดีต ถึงขั้นตั้งข้อสงสัยว่าชะรอยจะเป็นเล่ห์กลของมหาเธร์ในการทำลายรัฐบาลปากาตัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมหาเธร์หันกลับไปจับมือกับเบอร์ซาตูและพาสอีกครั้งหนึ่ง
แต่ครั้งนี้ แม้แต่มหาเธร์เองก็ยังออกมาช่วยประสานเสียงห้ามมูดากันเซ็งแซ่ มหาเธร์ให้สัมภาษณ์คัดค้านการตัดสินใจของมูดา โดยชี้ว่าการลงแข่งขันในการเลือกตั้งระดับรัฐครั้งนี้เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ เพราะแม้ว่ามูดาจะได้ที่นั่งบางที่นั่งในรัฐทั้งหก แต่พรรคก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ถ้าหากว่าไม่ได้รับโอกาสในการบริหาร ส่วน ลิม กิต เสียง (Lim Kit Siang) นักการเมืองอาวุโสของพรรค DAP (Democratic Action Party) ได้ออกมาเตือนให้มูดาอย่ารีบร้อน ขอให้ทบทวนการตัดสินใจครั้งนี้ใหม่ อย่าได้ส่งผู้สมัครลงแข่งขันเลย และมาช่วยกันสนับสนุนรัฐบาลปากาตันต่อไปเถิด
แม้แต่เสียงเตือนของนักการเมืองรุ่นใหญ่ก็ไม่สามารถติดเบรคมูดาและซาดีคได้ พรรคมูดาส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งตามที่ได้ประกาศไว้ และแพ้การเลือกตั้งอย่างราบคาบโดยไม่ได้ที่นั่งแม้แต่เก้าอี้เดียว นักวิเคราะห์บางรายกล่าวว่ามูดาอาจสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นพรรคที่มีความหมายในการเมืองมาเลเซียได้ในอนาคต แต่พรรคจำเป็นต้องใช้เวลาในการสร้างฐานเสียงระดับรากหญ้าให้ได้เพียงพอ นอกจากนั้นยังจะต้องแข่งขันแย่งเสียงของคนรุ่นใหม่กับปีกยุวชนของพรรคการเมืองต่างๆ ที่มีทุนรอน เครือข่าย และประสบการณ์ที่สั่งสมมานานปี
ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคมูดากับแนวร่วมปากาตันขาดสะบั้นลงในเดือนกันยายนปีนี้ เมื่อซาดีควิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลให้รองนายกรัฐมนตรีซาอีดพ้นผิดจากข้อหาทุจริตคดีหนึ่ง เขาปราศรัยในสภาฯ วิจารณ์รัฐบาลว่า “ปากอย่างใจอย่าง” (hypocrite) เพราะเมื่อครั้งที่ยังเป็นฝ่ายค้าน แนวร่วมปากาตันปราศรัยโจมตีกระบวนการศาลในกรณีทุจริตกองทุน 1MDB ของอดีตนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก (Najib Razk) ในสภาฯ อย่างหนัก แต่กลับเงียบเชียบในกรณีศาลปล่อยให้รองนายกฯ ซาฮีด พ้นผิด ต่อมาเขาประกาศแยกตัวจากการเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลด้วยเหตุผลว่าพรรคมูดาไม่สามารถยอมรับได้กับการที่รัฐบาลกำลังเคลื่อนไหวให้ยกฟ้องคดีทุจริตของซาอีดอีก 47 กระทง และย้ายที่นั่งตนเองไปนั่งในฝั่งของฝ่ายค้านในสภาฯ
พรรคมูดาและซาดีคโดดเดี่ยวในเวทีการเมือง และยิ่งโดดเดี่ยวหนักขึ้นเมื่อคำพิพากษาอันหนักหน่วงในคดีของเขาตามมาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ก่อนที่ในวันที่ 9 พฤศจิกายน เขาแถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งประธานพรรค และกล่าวตอนหนึ่งว่าการเป็นประธานของพรรคมูดาจะต้องมีความ “whiter than white” (เป็นคนดีที่ไม่เคยทำผิดอะไรเลย)
“ผมไม่คู่ควรต่อบทบาทนี้อีกต่อไป พวกเรา (กรรมการพรรค) ได้ตัดสินใจให้ผมลาออกจากตำแหน่งประธานพรรคระหว่างที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการศาล”
ถ้าหากเขาปรารถนาจะอยู่ในเวทีการเมืองต่อไป ไซด์ ซาดีค คงต้องใช้เวลานับปีในการสู้คดีและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนให้เป็นนักการเมืองที่คู่ควรแก่ความไว้วางใจของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มสาว อนาคตเขาจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ ในมาเลเซีย เขาคือนักการเมืองโชคร้ายแห่งปี 2566 โดยแท้
อ้างอิง
https://fulcrum.sg/whats-the-matter-with-muda-is-it-moody-or-just-misunderstood/