มนุษย์น่าจะหลงใหลการต่อสู้เสี่ยงทายมาแต่ไหนแต่ไร เขาว่าตอนขุดซากอารยธรรมปอมเปอีออกจากกองลาวาก็เจอลูกเต๋ากับอุปกรณ์พนันและโกงพนันกันให้เกลื่อน
แต่กระนั้นการพนันก็ถูกมองในแง่ลบเสมอมา
ไม่ใช่แค่ไทยนะครับ อังกฤษที่ปัจจุบันตู้ม้าไม่เคยว่างคนก็มีมุมมองเช่นนี้ในอดีต
แต่ก่อนเขามองไม่ดี ส่วนหนึ่งเพราะอิทธิพลทางศาสนาและความเชื่อที่ว่าการพนันเป็นกิจกรรมอันตราย
เมื่อศตวรรษที่ 16 กษัตริย์เฮนรีที่ 8 จึงประกาศแบนการพนันทั่วราชอาณาจักร ด้วยเหตุผลที่คนสมัยนี้ฟังแล้วอาจเกาหัว
คือการพนันนั้นไร้ประโยชน์ ทำให้คนเสียเวลาฝึกซ้อมยิงธนู
เพราะสกิลการยิงธนูของอังกฤษยุคนั้นขึ้นชื่อลือชา คล้ายลูกยิงฟรีคิกของเดวิด เบ็คแฮม พร้อมเป็นสูตรโกงเพิ่มราคาต่อรองให้ประเทศในยามต้องขับเคี่ยวกับชาติอื่น
แก่นมุมมองเชิงลบเช่นนี้ยังอยู่มาถึงปัจจุบัน มีคนจำนวนมากที่มองว่าการพนันนั้น
“บาป”
“อันตราย”
หรือ “ไร้ประโยชน์“
แต่จริงหรือ?
ผมมาคิดเรื่องนี้เพราะตัวเองเสพติดการพนันมานาน เสพติดที่ว่าไม่ใช่ชอบเล่น แต่มีงานอดิเรกหมกมุ่นกับประเด็นทางวิชาการรายรอบเรื่องดังกล่าวจนเพื่อนมักแซว เพราะช่วงหนึ่งถึงขั้นนัดสังสรรค์ก็เอาเปเปอร์เรื่องนี้ไปนั่งอ่านด้วยแบบรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ไปโยนเล่นรูเล็ตในคาสิโนเพื่อพิสูจน์ข้อถกเถียงในเปเปอร์ทั้งที่รู้ว่าจะเสียก็เคยมาแล้ว ประจวบกับล่าสุดหัวข้อนี้ถูกบรรจุเข้าวิชาจริยศาสตร์นโยบายสาธารณะที่ผมมีส่วนรับผิดชอบอยู่ จึงยิ่งมีความชอบธรรมในการหมกมุ่น เพราะต้องพยายามปั้นความรู้สะเปะสะปะในหัวให้เป็นรูปเป็นร่าง
กระบวนการนี้พาผมมาเจอกองเอกสารข้อถกเถียงในรัฐสภาอังกฤษซึ่งก็หมกมุ่นกับเรื่องนี้มานาน ตลอดร้อยปีมานี้ สภาอังกฤษฉบับเขาจะมาทบทวนเรื่องการพนันทุกประมาณ 10-20 ปี แต่ละครั้งเริ่มจากตั้งกรรมการจำนวน 7-8 คน ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการพนัน กีฬา เศรษฐศาสตร์ ภาคประชาสังคม นักจิตวิทยา นักจริยศาสตร์ ทั้งหมดทำงานภายใต้ประธานที่ทุกฝ่ายยอมรับว่าเป็นปูชนียบุคคล ให้ทำข้อเสนอหลักมาให้คนในสภาถกกัน
ข้อสังเกตที่ผมอยากนำมาเล่าต่อคือ การถกเถียงของบ้านเขาในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา แทบไม่ได้โฟกัสประเด็นเรื่องศีลธรรมส่วนตัวหรือผลกระทบทางเศรษฐกิจเลย
ไม่รู้ว่าผู้อ่านตกใจหรือไม่ แต่ผมตกใจ ที่ไปอ่านก็เพราะเดาว่าเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจน่าจะเป็นแกนหลักของข้อถกเถียง ว่าจะไปค้นตัวเลขมาประกอบการสอน แต่กลายเป็นว่าไม่มีเสียงั้น
กลับกัน การถกเถียงของเขาวางอยู่บนกรอบเรื่องสิทธิ เขาใช้กรอบนี้ร้อยเรียงประเด็นต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันค่อนข้างครบถ้วน งาม และมีรายละเอียดลงลึกถึงการทำงานและกฎที่ควรจะเป็นของการพนันแต่ละเกม
ฐานคิดเรื่องสิทธิคือเรื่องที่ผมอยากนำมาเล่าต่อ และเนื่องจากประเด็นนี้เป็นเรื่องอ่อนไหว ผมจึงขอสรุปให้ชัดไว้แต่ต้น ว่าประเด็นนำเสนอหลักของผมหลังจากนี้ไม่ได้สื่อถึงการสนับสนุนเสรีหรือแบนการพนันแบบขาวดำ เอาเข้าจริงไม่ได้ชี้ชัดไปทางไหนเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ต้องการนำเสนอมิติการถกเถียงใหม่ ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุปโดยคร่าวว่า
- การพนันไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายในตัวเอง
- สิทธิการเล่นพนันมีอยู่จริง
- ฐานสิทธิมอบกรอบในการจำกัดสิทธิ หาก 2. นำไปสู่ภัย ซึ่งได้แก่ ‘ภัยต่อบุคคลที่สาม’ หรือ ‘ภัยต่อตนเอง’
การตัดสินใจเชิงนโยบายต้องตัด 1. ทิ้ง แล้วโฟกัสที่การหาสมดุลระหว่าง 2. กับ 3. ซึ่งหน้าตาของสมดุลนี้จะออกมาอย่างไร ขึ้นอยู่กับการพิจารณาข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ เช่น รูปแบบและความรุนแรงของภัยที่อาจเกิดขึ้นในบริบทสังคมที่กำลังพิจารณา และทางเลือกในการกำกับดูแล
ข้อเสนอเชิงเงื่อนไขแบบ “หากว่า … ก็ …” (conditionalised arguments) ที่ปั้นได้โดยคร่าวจากกรอบคิดนี้คือ
- หากพบว่าการพนันประเภทใดไม่นำไปสู่ภัย ก็ควรจะเปิดเสรี
- หากมีภัยแต่สามารถยุติได้ด้วยการกำกับดูแล ก็ต้องมีการกำกับดูแล
- หากประเภทไหนไม่มีมาตรการที่สามารถยุติภัยได้ เช่น คนจะติดแบบไม่มีทางป้องกันได้ จนนำไปสู่ภัยต่อตัวเอง รัฐก็ต้องแบน
แต่ถ้าแบนแล้วเกิดภัยอยู่ดี เช่น คนไปเล่นพนันนอกระบบที่ไร้การควบคุมแล้วเกิดภัยมากกว่าเดิม สังคมก็อาจต้องเลือกทางที่ภัยน้อยที่สุด
ไม่รู้ว่าสุดท้ายทั้งหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับประเด็นคาสิโนในไทยแค่ไหน ส่วนตัวผมไม่ได้ตั้งใจว่าต้องเกี่ยว และเพราะไม่เห็นรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับนโยบายนี้จากรัฐบาล แต่ก็แอบแทงไว้ในใจอยู่ว่าไม่มากก็น้อย กรอบการถกเถียงของบ้านเขาอาจเพิ่มมิติการถกเถียงในบ้านเราที่เทราคาให้น้ำหนักกับมิติผลกระทบทางเศรษฐกิจและศีลธรรมเป็นสำคัญ
อคติ อาการเหยียด และการเลือกปฏิบัติในมุมมองเรื่องความชั่วร้ายของการพนัน
ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา สภาอังกฤษพูดเรื่องหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกครั้งที่วาระแห่งชาติเรื่องการพนันเวียนมาถึง ซึ่งผมเห็นด้วยว่าข้อหาที่ว่าการพนันเป็นสิ่งชั่วร้ายในตัวเองและควรถูกแบนโดยสมบูรณ์ (moralistic argument) นั้น ไม่ควรถูกนำมาถกในการพิจารณานโยบายสาธารณะ
เพราะถึงที่สุด มุมมองดังกล่าวสะท้อนอคติที่เกิดจากการเหยียดและเลือกปฏิบัติ
ผู้แทนและผู้นำเสนอรายงานหลายท่านชี้ชวนเรื่องนี้ด้วยการชวนเราคิดไปทีละข้อ ว่าทำไมเราจึงรู้สึกว่ากิจกรรมการพนันชั่วร้าย ก่อนชี้ว่าแม้เราจะพยายามแปลความรู้สึกออกมาเป็นเหตุผลแล้ว ก็จะเห็นแต่อคติล้วนๆ
ถ้าบอกว่าการพนันอันตราย ก็น่าสนใจว่ากิจกรรมในสังคมจำนวนมากอันตรายตามข้อหานี้เหมือนกันหรือมากกว่าด้วยซ้ำ
การพนันต่างอะไรกับการเล่นหุ้นตัวเสี่ยง ขี่ม้า หรือฟอร์มูลาวัน?
เอาเข้าจริง การขี่ม้าและแข่งรถฟอร์มูลานั้นหนักกว่าด้วยซ้ำ เพราะความเสี่ยงสูงสุดคือบาดเจ็บและถึงตาย แต่การพนันไม่มี ถ้าจะมีความรุนแรงและเสียชีวิตจากการทวงหนี้ใต้ดิน ก็เป็นปัญหาของการทวงหนี้นอกระบบ ไม่ได้บ่งบอกว่าการพนันนั้นผิดในตัวเอง เหมือนที่ปัญหาทวงหนี้เงินกู้นอกระบบไม่ได้ทำให้เรามองว่าการกู้ยืมเงินทุกประเภทเลวร้ายในตัวเอง (และความรุนแรงที่ว่าอาจกลายเป็นอีกเหตุผลสนับสนุนการเปิดเสรีเพื่อเอาการพนันใต้ดินเข้าระบบกำกับดูแล)
นอกจากนี้ ต้นทุนการฝึกซ้อมก็แพงกว่าค่าเข้าบ่อนเยอะ คนที่เก่งจนชนะเงินรางวัลการแข่งขันเป็นกอบกำก็จำนวนนับหัวได้ สัดส่วนน้อยกว่าคนถูกแจ็กพอตตามคาสิโนในระยะเวลาที่ใช้เท่ากันแน่ๆ
ทั้งแพง เสี่ยง ผลตอบแทนต่ำกว่า ทำไมไม่เห็นมีใครเสนอแบนกิจกรรมเหล่านี้เลย?
บางคนอาจเถียงว่าขี่ม้ากับแข่งรถเสี่ยงน้อยกว่า เพราะมีการคัดกรองคนเข้าร่วม มีระบบป้องกัน แต่มาตรการอะไรทำนองนั้น กฎหมายก็บังคับให้บ่อนทำได้เช่นกัน
จะบอกว่าต่างกันที่การพนันทำให้เสพติดก็ไม่น่าใช่ ทุกกิจกรรมในโลกล้วนเสพติดได้ และเราก็ไม่เคยใช้เหตุผลเรื่องอาการติดของคนกลุ่มหนึ่งมาแบนกิจกรรมเหล่านี้ เหตุผลดังกล่าวชี้ได้มากสุดแค่ว่ารัฐต้องออกกฎป้องกันอาการเสพติด และกันคนติดออกจากเกม ไม่ใช่ว่าการพนันเป็นสิ่งชั่วร้าย
อีกความพยายามในการตีเส้นแบ่งความต่างระหว่างกิจกรรมเหล่านี้กับการพนัน คือชี้ว่าขี่ม้าและแข่งรถเป็นเกมวัดความสามารถ (game of skills) จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่าหากผ่านการฝึกฝน ในขณะที่การพนันนั้นวัดดวง แต่นี่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ เพราะการพนันหลายประเภทก็ต้องใช้ฝีมือประกอบ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดอาชีพนักพนัน (professional gambler)
และถึงที่สุด หากคนพึงพอใจอยากเสี่ยงวัดดวง รัฐจะยุ่งอะไรกับเขา?
เขยิบถัดมา ข้อหาที่สองคือการพนันนั้นเลวร้ายเพราะไร้ประโยชน์
ข้อนี้ผิดแน่นอน เพราะมนุษย์ไม่ได้มีหน้าที่ทำตัวมีประโยชน์หรือมีสาระตลอดเวลา เช่น เรามีสิทธินั่งมองท้องฟ้าทั้งวันโดยไม่มีใครคาดหวังสาระ แล้วอะไรคือเหตุผลให้เรามาคาดหวังประโยชน์ขึ้นมาเฉย เมื่อได้ยินว่าคนจะไปบ่อน?
ยังไม่นับว่าถึงที่สุดแล้วการพยายามนิยาม ‘กิจกรรมที่มีประโยชน์-ไม่มีประโยชน์’ จะพาเราไปประสานงาขัดแย้งกับหลักที่ว่ารัฐไม่ควรมีอำนาจตัดสินเชิดชูวิถีชีวิตบางแบบให้เหนือวิถีอื่น (impartiality principle)
ถ้ารัฐบอกว่าคนตีกอล์ฟเพราะดีหรือดูดีกว่าเตะบอล เราคงร้องอี๋ทันที ว่ารัฐนั้นขี้เหยียด
ซึ่งไม่ต่างอะไรเลยจากการบอกว่าชีวิตที่ไม่เล่นพนันนั้นดีกว่าชีวิตที่เล่นพนัน (ถ้าคุณอ่านแล้วรู้สึกว่านั่งดูเมฆไม่เหมือนการพนันเพราะไม่อันตราย ให้ย้อนไปดูข้อหาที่เพิ่งปฏิเสธไปก่อนหน้า)
ยังไม่นับว่าถ้าจะตัดสินว่ากิจกรรมบางอย่างดีกว่าบางอย่างนั้น ใครจะเป็นคนตัดสิน? สภาอังกฤษบอกว่าถ้าจะถกกันไปทางนี้ สภาคงไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว เพราะไม่มีทางหาข้อตกลงได้ จะให้คนหนึ่งคนเป็นเผด็จการมีอำนาจเต็มเหมือนเฮนรีที่ 8 เกิดเขาบอกว่ากิจกรรมที่ดีคือการฝึกยิงปืนเพื่อสร้างกองทัพไว้ข่มขู่รุกรานชาวบ้าน หลายคนคงเห็นด้วยกับผมว่าเอาเวลาไปนับถั่ว ไม่ต้องเบียดเบียนใครยังมีประโยชน์กับมนุษยชาติมากกว่า
อีกความพยายามที่น่าสนใจในการตีตราการพนันเป็นสิ่งชั่วร้ายคือบอกว่า แม้หลายกิจกรรมปกติของมนุษย์จะมีบ้างที่ดู อันตราย ‘หรือ’ ไร้ประโยชน์ แต่ไม่มีกิจกรรมไหนที่ทั้ง อันตราย ‘และ’ ไร้ประโยชน์ เหมือนการพนัน
แข่งรถนั้นอันตรายแต่ไม่ไร้ประโยชน์ ในขณะที่การนั่งมองท้องฟ้านั้นไร้ประโยชน์แต่ไม่อันตราย
แต่ก็ไม่จริง ในชีวิตประจำวันเราก็ลงทุนซื้ออะไรหลายอย่างที่ไม่มีประโยชน์เพราะชอบ เช่น เหล้าเบียร์ บัตรกระโดดหน้าผา เครื่องประดับที่ขายต่อไม่ได้ อันนี้หนักกว่าการพนันอีก เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับฝีมืออะไรเลย ไม่มีประโยชน์ รวมถึงเงินที่ลงไปนั้นยิ่งกว่า ‘ความเสี่ยง’ เพราะเสียร้อยเปอร์เซ็นต์แบบไม่มีลุ้นให้ได้อะไรคืนเหมือนการแทงบอลที่ยังอาจได้กำไร
เหล่านี้ยังทำได้ ทำไมการพนันจึงโดนตั้งแง่อยู่เรื่องเดียว?
ถ้าจะเถียงว่าความพึงพอใจจากการซื้อของไร้ประโยชน์คือประโยชน์ประเภทหนึ่ง ก็ถามต่อได้ว่าทำไมคนเราจะเล่นการพนันและเสียพนันเพราะพึงพอใจไม่ได้?
เฉพาะเรื่องนี้ ผมเคยตั้งประเด็นท้าทายให้เด็กในห้องถกเถียงว่า แทนที่คุณจะไปปาร์ตี้คืนวันศุกร์ ให้เอาเวลาและเงินจำนวนเท่ากันมาเล่นพนันยังดีกว่า เพราะกินเหล้าให้ผลร้ายแน่นอน (โง่และไร้ประโยชน์กว่า) แต่การพนันนั้นไม่เสียสุขภาพ ถ้าแทงบอลก็ได้ดูกีฬา มีประโยชน์ต่อใจ สุดท้ายอาจมีผลกำไร โดยที่ทั้งสองทางเลือกสนุกตื่นเต้นเหมือนกัน
และจากทั้งหมดนี้ สุดท้าย รัฐสภาอังกฤษถามว่าหากไม่มีข้อหาชัดเจนแล้ว การพนันจะ ‘บาป’ ได้อย่างไร?
ทางเดียวที่เหลือในการตีตราบาปใส่การพนัน คือการยกเหตุผลทางศาสนาหรือความเชื่อตามวัฒนธรรม แต่ก็เช่นเคย รัฐไม่ควรยกคุณค่าเหตุผลความเชื่อส่วนตัวชุดหนึ่งขึ้นมาบังคับใช้กับคนที่มีความเชื่อชุดอื่นได้
ดังนั้นเอาเข้าจริง ข้อหาที่เราจะมีในใจต่อการพนันนั้น ล้วนประยุกต์สู่กิจกรรมทั่วไปในชีวิตประจำวันของมนุษย์ได้ แต่กลับไม่มีใครเหยียดกิจกรรมอื่นเหมือนการพนัน
คำอธิบายหนึ่งเกี่ยวกับที่มาของอาการเหยียดดังกล่าว อาจเป็นเพราะเรามักได้ยินข่าวของคนที่ติดการพนันจนชีวิตพังทลาย ทำร้ายสังคม จนลืมไปว่าคนเล่นพนันอีกจำนวนมากยังคงมีชีวิตปกติดี (จึงไม่เป็นข่าว) ข่าวเหล่านี้กล่อมเกลาจนสังคมเกิดอคติ และทำให้เราลืมไปว่าสังคมอาจมีทางเฉพาะสำหรับคนกลุ่มที่มีปัญหา ไม่ต้องแบนทุกคน เหมือนที่หลายประเทศควบคุมหรือแบนคนติดเหล้า โดยไม่ต้องห้ามการกินเหล้าแบบถ้วนหน้า
อังกฤษเองก็นาน กว่าคนจะละทิ้งอคติที่ว่าการพนันเป็นสิ่งชั่วร้าย กลายมาเป็นคำทักทายทั่วไป เช่นถามถึงม้าที่แทงในวันแข่งสำคัญ ตัวอย่างการเปลี่ยนครั้งสำคัญก็เช่นช่วงสงครามโลกฯ ที่คนไม่มีอะไรทำแล้วเล่นการพนันกัน แล้วรัฐบาลที่แกล้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ตอนนั้น กลับพบว่ากิจกรรมดังกล่าวมีส่วนในการเพิ่มขวัญกำลังใจ สร้างความผ่อนคลาย และสร้างลักษณะนิสัยกล้าได้กล้าเสียที่จำเป็นต่อกิจกรรมเศรษฐกิจและสงครามของชาติ
การพนันบนฐานสิทธิ
หากไม่ใช่สิ่งที่ชั่วร้ายโดยไม่ต้องพิสูจน์เหมือนการโกง การฆ่าคน การพนันก็เป็นเพียงอีกหนึ่งกิจกรรมธรรมดา และต้องถกกันในกรอบสิทธิ
การคุ้มครองให้คนสามารถทำกิจกรรมทั่วไปได้ ก็สอดคล้องกับหลักสิทธิพื้นฐานในการปกครองตนเอง (autonomy)
นอกจากนี้ ในกรณีทั่วไปแล้ว นักนโยบายมักยกเหตุผลในทางปฏิบัติรูปแบบหนึ่งขึ้นมาอ้างอิงสนับสนุนการเปิดเสรีในแต่ละกิจกรรม คือเขาบอกว่าถ้าข้อเท็จจริงบอกว่าคนทำกิจกรรมนี้กันทั้งบ้านทั้งเมือง ห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์ เอาเข้าระบบให้เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อนำมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลจะดีกว่า อเมริกาเปิดเสรีการซื้อและดื่มสุราด้วยเหตุผลนี้
อังกฤษก็ใช้เหตุผลนี้กับเรื่องพนัน ที่น่าสนใจคือเขาแปล ลดรูป ‘เหตุผลในทางปฏิบัติ’ ที่ว่า เข้าสู่ฐานคิดบนกรอบสิทธิได้อย่างสวยงาม โดยตีความออกมาเป็นอย่างน้อยสามเหตุผล เท่าที่ผมอ่านเจอ
หนึ่ง – หากข้อเท็จจริงทางสังคมบอกเราว่าคนจำนวนมากในประเทศคุ้นเคยกับการเล่นพนัน การพนันก็จะมีลักษณะเป็นวัฒนธรรม ซึ่งหลักการปกครองตนเองย่อมครอบคลุมถึงหลักในการดำเนินกิจวัตรตามวัฒนธรรม เหตุผลข้อนี้ไปไกลถึงขั้นที่อังกฤษอนุญาตให้เด็กเล็กเล่นตู้พนันภายบางประเภทภายใต้ข้อจำกัดที่รัดกุม เนื่องจากเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิม โดยอ้างอิงที่กรณีฝรั่งเศสอนุญาตให้เด็กดื่มไวน์ร่วมกับอาหารบางอย่างตามประเพณี
กลับกัน การห้ามสิทธิทางวัฒนธรรมย่อมส่อนัยการละเมิดวิถีแห่งชีวิต ทำนองเดียวกับห้ามคนแต่งชุดประจำถิ่น (พอเปรียบเปรยเช่นนี้หลายคนอาจร้องเอ๊ะในใจ ว่าเราเปรียบการแต่งชุดประจำถิ่นกับสิ่งชั่วร้ายอย่างการพนันได้จริงหรือ หากใครเอ๊ะเช่นนี้ ให้ย้อนกลับไปอ่านหัวข้อก่อนหน้าที่อธิบายว่าแท้จริงแล้วการพนันไม่ได้ชั่วร้ายในตัวเอง)
บางคนอาจถามว่าการรับรองวัฒนธรรมการพนันที่รัฐสภาว่านี้ มีลักษณะเลือกปฏิบัติเชิงวิถีชีวิต เชิดชูการพนันและเหยียดคนไม่ชอบหรือไม่ คำตอบคือไม่นะครับ กรณีนี้ไม่เหมือนกับการยกเหตุผลเชิงวัฒนธรรมหรือศาสนามาห้ามการพนัน แนวทางหลังนี้เลือกปฏิบัติ เพราะเป็นการเชิดชูวัฒนธรรมความเชื่อแบบหนึ่ง (ไม่เล่นพนัน) แล้วบังคับให้คนในวัฒนธรรมความเชื่ออื่นทำตาม แต่ข้อเสนอให้ ‘รับรองวัฒนธรรม’ นั้นไม่ได้บังคับให้ใครทำตามใคร แต่ให้ทุกวัฒนธรรมความเชื่อมีที่มีทางของตน คนเล่นก็เล่น คนไม่ชอบก็ไม่ต้องเล่น
สอง – เขาว่าภายใต้ข้อเท็จจริงที่คนจำนวนมากเล่นพนัน การจำกัดการพนันอย่างเข้มงวดด้วยเงื่อนไขที่เกินเอื้อม จะทำให้สุดท้ายแล้วคนที่เล่นการพนันอย่างถูกกฎหมายได้มีเพียงคนรวย ส่วนคนจนจะถูกตำรวจจับ ซึ่งเท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิในการไม่ถูกเลือกปฏิบัติบนฐานชนชั้น (classism) ประเด็นนี้ก็น่าคิดว่าเกี่ยวและประยุกต์กับกรณีเปิดคาสิโนให้เฉพาะคนรวยในไทยมากน้อยแค่ไหน
เช่นในบริบทอดีตก่อนการเปิดเสรี อังกฤษอนุญาตให้เล่นพนันได้ผ่านระบบเครดิตและโทรศัพท์เท่านั้น เพื่อจำกัดการเข้าถึงและป้องกันปัญหาความรุนแรงจากการตามทวงหนี้บนท้องถนน ซึ่งสุดท้ายคนที่เล่นได้ก็มีคนชั้นสูงที่เข้าถึงระบบเครดิตและโทรศัพท์ ในขณะที่คนทั่วไปต้องเล่นการพนันตามท้องถนนและวิ่งหนีตำรวจ จนกลายเป็นเรื่องขบขัน (แต่จริง) ว่ากลุ่มคนแรกที่นักเล่นหุ้นจ้างเข้ามาวิ่งเขียนชอล์กในตลาดหุ้นอังกฤษคือพวกที่เติบโตมากับการเดินโพยพนันตามถนน เพราะพวกนี้ขึ้นชื่อว่าแข็งแรงและวิ่งเร็ว ชนและหนีตำรวจได้
สาม – สภาอังกฤษเห็นว่ากฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับวิถีปฏิบัติของคน จะสร้างสิ่งชั่วร้ายทางสังคม (social evil) ที่ทำลายระบบกฎหมายที่ปกป้องสิทธิทั้งระบบ
กล่าวคือในทางปฏิบัติ ตำรวจก็ไม่รู้จะไปไล่จับคนเล่นไพ่ แทงบอล ซึ่งมีทั่วบ้านทั่วเมืองให้หมดได้อย่างไร สุดท้ายจึงต้องแกล้งหลับตาข้างหนึ่ง มากกว่านั้นคือหาทางหากินกับมันไปเสียเลย และต่อให้ไม่หากิน พอจับไม่หมด คนก็อาจตั้งข้อครหาว่าทำไมจับคนโน้น ไม่จับคนนี้ แอบรับเงินหรือเปล่า? สุดท้ายทำลายความเชื่อใจระหว่างประชาชนกับผู้รักษากฎหมาย ก่อนเสื่อมสภาพนิติรัฐทั้งระบบ
ข้อจำกัดของสิทธิในการเล่นพนัน
การเริ่มมองการพนันจากมุมมองสิทธิไม่ได้หมายความว่าเราต้องเปิดเสรีอย่างไม่มีข้อจำกัด
มุมมองนี้เพียงบอกว่าการพนันนั้นไม่ได้ชั่วร้ายในตัวเอง คนจึงมีสิทธิทำ และกิจกรรมดังกล่าวจะมีปัญหาก็ต่อเมื่อมันสร้างผลกระทบไม่พึงประสงค์ตามกรอบคิดเรื่องสิทธิ ซึ่งฐานคิดเรื่องสิทธิเรียกผลไม่พึงประสงค์นี้ว่า ‘ภัยร้าย’ และอนุญาตให้มีการจำกัดสิทธิหากนำไปสู่ภัยในสองลักษณะ
หนึ่งคือ ‘ภัยต่อบุคคลที่สาม’ (บนหลักการป้องกันอันตราย หรือ harm principle) ซึ่งภายใต้กรอบคิดเรื่องสิทธิ ภัยที่ว่าก็ได้แก่การกระทบสิทธิผู้อื่น
คล้ายว่าเรามีสิทธิในการเดิน ตราบใดที่ไม่เดินไปเหยียบเท้าใคร
ในกรณีการพนัน ฐานเหตุผลนี้อาจดูไม่เกี่ยวอะไร เพราะต่อให้คนเล่นจนหมดตัวก็กระทบเพียงตัวเอง (อยู่บนฐานจำกัดสิทธิข้อถัดไป) ไม่ได้กระทบคนอื่น มนุษย์ไม่ได้มีหน้าที่ต้องเหลือเงินไว้ซื้อข้าวเลี้ยงลูกใคร
มากที่สุดของเหตุผลนี้คือการกำหนดให้รัฐมีเพียงหน้าที่ห้ามและลงโทษพวกตามทวงหนี้ ข่มขู่บุคคลที่สามอย่างญาติพี่น้อง ซึ่งคนที่ผิดจากมุมมองกฎหมายก็คือพวกทวงหนี้ข่มขู่ ไม่ใช่คนเล่นพนัน
แต่เอาเข้าจริงเราสามารถสร้างเหตุผลในการจำกัดการพนันบนฐานนี้ได้ในสองทาง
ทางหนึ่งคือการให้เหตุผลว่าหากการพนันทำให้ผู้เล่นไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่ในความสัมพันธ์เฉพาะบางรูปแบบ จะเข้าข่ายเป็นการทำลายสิทธิที่คนในความสัมพันธ์นั้น
เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้นมีลักษณะเป็นความสัมพันธ์พิเศษ (special relationships) กล่าวคือเมื่อความสัมพันธ์ก่อตัวแล้ว แต่ละคนมีหน้าที่และสิทธิเรียกร้องต่อกันในลักษณะที่เราไม่ได้มีกับคนอื่น เช่น ลูกมีสิทธิในการมีชีวิตรอด และพ่อแม่มีหน้าที่ในการป้อนนม แม้เราไม่ได้มีหน้าที่ซื้อนมให้ลูกชาวบ้าน แต่ลูกเรามีสิทธิเรียกร้องเรื่องดังกล่าวจากเรา ในความสัมพันธ์ลักษณะนี้ ถ้าเล่นพนันจนล้มเหลวในการเติมเต็มหน้าที่ ก็ถือเป็นการละเมิดสิทธิที่บุคคลที่สามถือครอง
อีกทางคือการให้เหตุผลว่า หากการพนันทำให้ผู้เล่นต้องเบียดเบียนทรัพยากรรัฐซึ่งคนอื่นถือสิทธิอยู่ด้วย ย่อมเป็นการสร้างภัยแก่บุคคลที่สามทางอ้อม เช่น ติดการพนันจนต้องเข้าบำบัดกลายเป็นคนไร้บ้านต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากรัฐ ก็ละเมิดสิทธิผู้อื่น นี่เป็นเหตุผลทำนองเดียวกับสังคมสมัยใหม่เก็บภาษีหรือแบนบุหรี่ด้วยเหตุผลว่านำไปสู่การเบียดเบียนทรัพยากรและคิวในระบบสาธารณสุข
ข้อนี้อาจมีประเด็นการพิจารณาที่ซับซ้อนขึ้นหน่อย เพราะเป็นการใช้นิยาม ‘ภัย’ ในความหมายกว้างที่ไม่ใช่เพียงการทำลายสิทธิต่อกันโดยตรงเหมือนกรณี นาย ก. เดินเหยียบเท้านาย ข. แต่ครอบคลุมผลกระทบทางอ้อมต่อส่วนรวม เทียบเคียงได้กับผลกระทบเชิงลบตามนิยามทางเศรษฐศาสตร์ (externalities) การใช้นิยามภัยแบบกว้างเช่นนี้อาจสื่อนัยสร้างผลที่ขัดสามัญสำนึกในกรณีอื่น เช่นบอกให้เราต้องแบนร้านอาหารที่ขายอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ด้วยเหตุผลที่เพิ่งอธิบายไป
นอกจากนี้ เราต้องหมายเหตุไว้ว่าหากเรานิยามภัยเป็นผลกระทบภายนอกเชิงลบ ธุรกิจพนันก็จะสามารถแก้ไขได้ด้วยการยอมจ่ายเงินบริจาคหรือให้รัฐเก็บภาษีในภาคส่วนพนันไปสร้างระบบป้องปรามผลกระทบดังกล่าว เช่น ตั้งกองทุนป้องปรามและช่วยเหลือคนติดพนัน ถ้าทำแล้ว ภาคส่วนนี้ก็กล่าวอ้างได้ว่ากิจกรรมของพวกเขาไม่ได้กระทบเชิงลบต่องบประมาณของประเทศ เพราะจ่ายเงินแก้ปัญหาเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากประเด็นหนึ่งหรือทั้งสองนี้พิสูจน์จริงได้ ก็จะให้ความชอบธรรมกับการไม่อนุญาตให้คนเล่นพนัน ‘เกินตัว’ จนไม่เหลือทรัพยากรไว้ทำตามหน้าที่ในความสัมพันธ์พิเศษ หรือต้องเบียดเบียนทรัพยากรส่วนรวม เป็นต้น
ฐานคิดที่สองคือการป้องกัน ‘ภัยต่อตนเอง’ (self-harm) โดยใช้หลักการ paternalistic principle กล่าวคือในบางกรณี รัฐควรทำหน้าที่ ‘ผู้ปกครองรู้ดี’ (paternalistic state) เข้าห้ามปรามหรือระงับกิจกรรมบางอย่างเพื่อคุ้มครองผู้กระทำ
ทำนองการบังคับคนใช้เข็มขัดนิรภัยหรือหมวกกันน็อกบนท้องถนน
ฐานจำกัดสิทธินี้ดูตรงไปตรงมา เกาะกุมสามัญสำนึกของคนจำนวนมากที่อยากให้มีการห้ามหรือจำกัดการพนัน เช่นที่เรามักเป็นห่วงเพื่อนที่ไปบ่อน เพราะกลัวเล่นเพลินจนหมดตัว
แต่ปัญหาคือโดยทั่วไปแล้วรัฐและระบบกฎหมายสมัยใหม่จะพยายามหลีกเลี่ยงบทบาทคุณพ่อคุณแม่รู้ดีเช่นนี้ ด้วยเหตุผลตรงไปตรงมาว่ารัฐไม่ใช่พ่อใช่แม่ จึงไม่ควรแทรกแซงดูแลชีวิตคน และการใช้เหตุผลเรื่องคุ้มครองเจ้าตัวมากเกินไปอาจนำไปสู่การลื่นไถล (slippery slope) สู่รัฐเผด็จการที่ (เช่น) สั่งให้คนสวดมนต์ เลิกกินเหล้า ไม่เข้าสถานบันเทิง
อย่างไรก็ตาม ถึงที่สุดแล้ว แม้แต่สังคมเสรีนิยมเข้มแข็งก็ยอมรับในหลักการ ว่ารัฐสามารถเข้าแทรกแซงคนทำร้ายตัวเองได้ในกรณีที่ภัยร้ายนั้นชัดเจนจนปฏิเสธไม่ได้ อย่างการเสพติดนั่งโยกเครื่องสล็อตไม่เลิกทั้งวันทั้งคืน ซึ่งหมดตัวแน่นอน ความชอบธรรมของแนวนโยบายเหล่านี้ก็อ้างอิงได้อย่างน้อยสองแบบ
หนึ่ง – คือการชี้ว่าภัยที่เกิดขึ้นบางประเภทจะทำลายความสามารถในการปกครองตนเอง ซึ่งความสามารถดังกล่าวเป็นเหตุผลหลักในการปฏิเสธบทบาทผู้ปกครองของรัฐแต่ต้น ดังนั้นหากภัยทำลายความสามารถที่ว่า เช่น เล่นพนันจนสูญเสียสติสัมปชัญญะในการควบคุมตนเอง ก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องต่อต้านการถูกผู้ปกครองพิทักษ์อีกต่อไป
สอง – คือการอ้างอิงว่าการแทรกแซงของรัฐที่ว่าเป็นไปตามหลักการปกครองตนเอง เพราะหากมนุษย์มีเหตุมีผล (หากไปเดินถามคนทั่วไปตอนนี้) เขาย่อมให้สัญญาประชาคมกับรัฐไว้ล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุ ว่าอนุญาตและขอให้รัฐเข้าห้ามปรามช่วยเหลือเขาในกรณีที่ชีวิตเขาจะเดินไปเจอภัยร้ายแรง ‘ชัดเจน’ ที่เขาไม่สามารถรู้เท่าถึงการณ์เองได้
เหตุผลตามแนวทางนี้ก็มีรายละเอียดย่อยให้เถียงอีกมาก เช่น ภัยต่อตัวเองแบบไหนนับว่าทำลายความสามารถในการปกครองตนเอง หรือรุนแรงชัดเจนจนรัฐอ้างอิงสัญญาประชาคมเจ้าแทรกแซงได้ แต่เอาเป็นว่าโดยรวมแล้วข้อถกเถียงนี้เป็นแนวทางที่เป็นไปได้
เรื่องนี้ รายงานข้อเสนอหลักของสภาอังกฤษครั้งล่าสุดช่วงปี 2005 ถึงกับระบุไว้แต่ต้น ว่าการหาสมดุลในความขัดแย้งระหว่างสามัญสำนึกที่ว่ารัฐต้องปกป้องคนจากภัยต่อตัวเอง กับหลักการไม่ทำตัวเป็นคุณแม่คุณพ่อรู้ดี คือข้อพิจารณาที่สำคัญและยากที่สุดในหัวข้อเรื่องการพนัน ทั้งในทางจริยศาสตร์และการถกเถียงในสภาฯ ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา
โดยรวมแล้ว มาตรการป้องปรามภัยต่อบุคคลที่สามและต่อตัวเองที่ว่ามานี้จะมีหน้าตาอย่างไร ต้องขึ้นกับการศึกษาข้อเท็จจริงทางสังคม เช่น ข้อเท็จจริงในแง่จิตวิทยา วัฒนธรรมการพนันของคน ทางเลือกทางกฎหมาย
สุดท้ายมาตรการที่จำเป็นต่อการป้องกันภัย อาจหมายถึงแค่การเปิดเสรี (ลดภัยจากการพนันใต้ดิน) การเรียกร้องมาตรการกำกับดูแลที่เข้มข้น หรือแบนไปเลย (หากเปิดเสรีแล้วภัยเพิ่มและควบคุมไม่ได้มากกว่าเดิม)
เหล่านี้ขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ของสังคมหนึ่งๆ ที่จะมาเติมเต็มสมการเรื่องสิทธิและข้อจำกัดการพนันที่ว่าไป
มายาคติเรื่องการโกงในคาสิโน! สูตรรวยเจ้ามือกับข้อถกเถียงทางจริยศาสตร์เรื่องกำไรจากธุรกิจพนัน