แผนจัดเก็บ ‘ภาษีภาพยนตร์ต่างชาติ’ กับความเป็นอเมริกัน (แบบทรัมป์ๆ) ที่จะสั่นคลอนอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลก

ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพิ่งประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศทั่วโลกสิบเปอร์เซ็นต์ สร้างความแตกตื่นให้ประเทศที่ส่งสินค้าให้สหรัฐฯ ระดับกลายเป็นหนึ่งในวาระใหญ่ที่ต้องจับเข่าคุยเพื่อหาทางออก และหาทางเจรจาต่อรองกับประเทศต้นทางชนิดสุดโกลาหล

และทรัมป์ยังส่งต่อความโกลาหลนั้นมายังอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาเพิ่งประกาศจะเก็บ ‘ภาษีภาพยนตร์’ (Movie Tariffs) 100 เปอร์เซ็นต์เต็มสำหรับภาพยนตร์ที่ผลิตจากต่างประเทศและเข้ามาฉายในสหรัฐอเมริกา เหตุผลสำคัญคือเพื่อป้องกันไม่ให้ฮอลลีวูดหรือภาพยนตร์สหรัฐฯ ต้องตายลง โดยเขาระบุว่า “อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกากำลังจะตาย ทั้งยังเป็นการตายที่รวดเร็วมากด้วย ประเทศอื่นๆ มีข้อเสนอมากมายที่จะพรากคนทำหนังและสตูดิโอของเราไปจากสหรัฐฯ ด้วยการให้ไปร่วมสร้างหนังกับพวกเขา ฉะนั้นแล้ว ผมจึงขอมอบอำนาจให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เริ่มดำเนินการจัดเก็บภาษีนำเข้าภาพยนตร์ที่ผลิตในต่างประเทศและเข้าฉายในประเทศเราทันที 100 เปอร์เซ็นต์ เราต้องการภาพยนตร์ที่ผลิตขึ้นในอเมริกา อีกครั้ง!”

“ฮอลลีวูด และอีกหลายแห่งในสหรัฐฯ กำลังอยู่ในสภาพเสียหายยับเยิน ซึ่งมันเป็นผลจากความพยายามของประเทศต่างๆ รอบนอก ดังนั้น เราจึงนับว่านี่เป็นภัยคุกคามของชาติเราโดยแท้ และพ้นไปจากนี้ มันยังเต็มไปด้วยการส่งต่อข้อมูลและโฆษณาชวนเชื่ออีกด้วย”

ภาพจาก AFP

ทว่า ด้านหนึ่ง ภาพยนตร์ถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญา (intellectual property) ไม่ใช่สินค้า (goods) จึงยังไม่มีมาตรการแน่ชัดว่ามาตรการจัดเก็บภาษีภาพยนตร์จะมีหน้าตาแบบไหน แต่ที่แน่ๆ คือมันย่อมส่งผลต่อคนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์นอกเหนือสหรัฐอเมริกาที่ต้อง ‘เมาหมัด’ โดยไม่อาจเลี่ยงได้ เพราะที่ผ่านมา หลายประเทศมีนโยบายลดหย่อนภาษีให้สตูดิโอหนังในสหรัฐฯ ไปถ่ายทำในประเทศตัวเอง ซึ่งยังผลให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้ให้แก่คนท้องถิ่น 

การยกกองถ่ายไปถ่ายทำยังต่างประเทศ ไม่ว่าจะอย่างไรก็มีค่าใช้จ่ายงอกตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ พ้นไปจากค่าเครื่องบิน ยังมีค่าห้องพัก โรงแรมและค่าเช่าเครื่องไม้เครื่องมือในการถ่ายทำต่างๆ อีกสารพัด… แต่ก็อีกนั่นแหละ ที่พูดมาทั้งหมดนี้ยังถือว่าถูกกว่าการถ่ายทำในเมืองใหญ่ๆ หลายแห่งในสหรัฐอเมริกา ดังนั้น ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งของการที่หนังฮอลลีวูดหลายเรื่องยกทีมงานไปยังต่างประเทศ มีหมุดหมายหลักก็เพื่อลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด 

ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ก็พยายามหานโยบายที่จะจูงใจให้คนทำหนังหวนกลับมาผลิตหนังในบ้านเกิดตัวเองบ้าง เช่น ปลายเดือนตุลาคม 2024 กาวิน นิวซัม (Gavin Newsom) ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียก็เคยเสนอโครงการลดหย่อนภาษีการทำหนังในฮอลลีวูด 750 ล้านเหรียญฯ ต่อปี นับเป็นรัฐที่มีนโยบายลดหย่อนภาษีสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์สูงที่สุดของสหรัฐอเมริกา 

ฮอลลีวูดแดนเหนือ – ฮอลลีวูดแดนล่าง

อย่างไรก็ดี ฮอลลีวูดไม่ได้ ‘เสียหายยับเยิน’ อย่างที่ทรัมป์ว่า เพราะแม้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐฯ จะเจ็บตัวหนักในยุคการระบาดใหญ่เมื่อปี 2020 -ซึ่งก็เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมหนังของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก- ยังผลให้โรงหนังหลายแห่งต้องปิดตัวลง ทั้งพฤติกรรมคนดูหนังก็เปลี่ยนด้วยการหันไปดูสตรีมมิ่งมากขึ้น หากแต่วงการหนังอเมริกาก็ฟื้นตัวกลับมาช้าๆ ในปี 2023 ฮอลลีวูดทำเงินในบ็อกซ์ออฟฟิศไปทั้งสิ้นเกือบเก้าพันล้านเหรียญฯ เป็นเงินจากการซื้อตั๋วไปชมภาพยนตร์ในโรง 819 ล้านเหรียญฯ ทั้งยังเป็นปีที่น่าจะกล่าวได้ว่าโรงหนังกลับมาคึกคักอีกครั้งด้วย Barbie (2023 -ขึ้นแท่นเป็นหนังทำเงินสูงสุดของปี) และ Oppenheimer (2023 -ทำเงินเป็นอันดับห้า) ขณะที่ปี 2024 ทิศทางตลาดหนังอเมริกาก็ไม่แย่ ด้วยการทำเงินในบ็อกซ์ออฟฟิศกว่าแปดพันล้านเหรียญฯ เป็นเงินจากการซื้อตั๋วหนัง 762 ล้านเหรียญฯ โดยหนังทำเงินอันดับหนึ่งคือ Inside Out 2 (2024) ตามมาด้วย Deadpool & Wolverine (2024) ที่ตะบี้ตะบันกวาดรายได้ไปทั้งหมดที่หนึ่งพันกว่าล้านเหรียญฯ 

กรณีอย่าง Deadpool & Wolverine ก็อาจจะนับเป็นตัวอย่างที่ดี ว่าทำไมทรัมป์จึงอยากออกนโยบายจัดเก็บภาษีภาพยนตร์นักหนา เพราะมันเป็นหนังร่วมทุนสร้างสี่สัญชาติ ได้แก่สหรัฐอเมริกา-สหราชอาณาจักร-นิวซีแลนด์-แคนาดา โดยเฉพาะกับแคนาดาที่ถูกเรียกอยู่เนืองๆ ว่าเป็น ‘ฮอลลีวูดแดนเหนือ’ (Hollywood North) เนื่องจากเมืองโตรอนโตและแวนคูเวอร์ถือเป็นเมืองหลักที่คนทำหนังในฮอลลีวูดนิยมยกกองมาถ่ายทำ ขณะที่รัฐบาลแคนาดาเองก็ออกนโยบายเชื้อเชิญให้คนทำหนังอเมริกันเข้ามาถ่ายทำในเมืองตัวเองด้วยนโยบายลดหย่อนภาษี รวมทั้งคืนภาษีให้ผู้สร้างหนัง 16 เปอร์เซ็นต์ บวกกับปัญหาเศรษฐกิจภายในของสหรัฐอเมริกาเอง โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินแข็งตัว ที่ทำให้การออกไปถ่ายทำต่างบ้านต่างเมืองดูจะลดต้นทุนและเหนื่อยน้อยกว่า ลำพังแค่โตรอนโตในแคนาดาเมืองเดียว มีรายงานว่าการผลิตภาพยนตร์ฮอลลีวูดสักเรื่องนั้นสร้างงานสร้างรายได้กว่าสามหมื่นตำแหน่ง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่าสองพันล้านเหรียญฯ 

Deadpool & Wolverine

อีกประเทศหนึ่งที่จับมือทำมาหากินกับฮอลลีวูดมายาวนานคือออสเตรเลีย -ที่ถูกเรียกโดยลำลองว่า ‘ฮอลลีวูดแดนล่าง’ (Hollywood Down Under)- หนังบล็อกบัสเตอร์หลายเรื่องที่เราเคยดูก็เป็นหนังที่ร่วมทุนสร้างกับแดนจิงโจ้ ไม่ว่าจะ Thor: Love and Thunder (2022) จากสตูดิโอมาร์เวลที่กวาดรายได้ไป 700 ล้านเหรียญฯ ถ่ายทำทั้งในแคนาดาและออสเตรเลียโดยไม่ได้ไปถ่ายในสหรัฐอเมริกาเลย, หนังรอมคอม Anyone But You (2023) ก็ถ่ายทำทั้งเรื่องที่ออสเตรเลียเช่นเดียวกับ Furiosa: A Mad Max Saga (2024) และแฟรนไชส์ Mad Max รวมทั้ง Star Wars ของคนทำหนังออสซี่ จอร์จ ลูคัส (George Miller) 

ออสเตรเลียมีคนทำหนังขวัญใจฮอลลีวูดหลายต่อหลายคน ทั้งลูคัสที่นับเป็นหนึ่งในเส้นเลือดหลักฮอลลีวูดไปแล้ว, บาซ เลอห์มานน์ (Baz Luhrmann) จากหนังในดวงใจหลายๆ คน Moulin Rouge! (2001) และ The Great Gatsby (2013), แอนดรูว โดมินิค (Andrew Dominik) ที่กำลังถ่ายทำหนังอีกสามเรื่องหลังจาก Blonde (2022) และมากต่อมาก คนทำหนังออสซี่เหล่านี้ก็พร้อมทำหนังในบ้านเกิดตัวเองโดยที่ก็ร่วมทุนสร้างกับสตูดิโอในสหรัฐฯ ด้วย ขณะที่รัฐบาลออสเตรเลียก็สนับสนุนอุตสาหกรรมหนังด้วยนโยบายสารพัดส่วนลดภาษีสำหรับภาพยนตร์ทุนสูงที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศ ในปี 2023-2024 อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของออสเตรเลียใช้เงินไปกับการสร้างหนังราวๆ 1.7 พันล้านเหรียญฯ โดยในจำนวนนี้เป็นเงินที่ใช้ทำหนังต่างประเทศถึง 767 ล้านเหรียญฯ ซึ่งฉายภาพให้เห็นสายสัมพันธ์และความใกล้ชิดระหว่างฮอลลีวูดกับฮอลลีวูดแดนล่างที่แยกจากกันไม่ขาด 

Furiosa: A Mad Max Saga

หรือล่าสุด Mission: Impossible – The Final Reckoning (2025) หนังแฟรนไชส์มหากาพย์ทุนสร้าง 400 ล้านเหรียญฯ ที่ร่วมทุนสร้างและนำแสดงโดย ทอม ครูซ (Tom Cruise) เจ้าเก่าเจ้าเดิม ก็ถ่ายทำในสตูดิโอแลงครอสส์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษเป็นหลัก (ตัวหนังเองก็เป็นหนังร่วมทุนสร้างระหว่างสหรัฐอเมริกา-สหราชอาณาจักรด้วย) รวมทั้งในนอร์เวย์และแอฟริกาใต้ ทั้งมันยังเป็นหนังที่ถือเป็น ‘ยักษ์ใหญ่’ ของปีนี้ด้วย

จริงอยู่ว่าเวลานี้ก็ยากจะบอกว่านโยบายจัดเก็บภาษีภาพยนตร์ของทรัมป์จะส่งผลอย่างไรต่ออุตสาหกรรมหนังออสเตรเลีย แต่ถ้าคิดกันแบบสุดขั้ว ก็เป็นไปได้ว่าหากคนทำหนังชาวออสซี่อย่างจอร์จ มิลเลอร์หรือบาซ เลอห์มานน์ -ที่ทำหนังฉายในสหรัฐฯ มาโดยตลอดและมีกลุ่มแฟนคลับเหนียวแน่นอยู่แล้ว- ทำหนังสัญชาติออสเตรเลียและส่งเข้าไปฉายในสหรัฐอเมริกา ก็เป็นไปได้ว่าราคาตั๋วอาจจะแพงขึ้น หรือหนักหนากว่านั้นคือมันอาจไม่ได้เข้าฉายเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง นี่จะส่งผลลูกโซ่ต่อความหลากหลายของระบบนิเวศภาพยนตร์ของสหรัฐฯ ในระยะยาวด้วย

ฮอลลีวูดว้าวุ่น

อันที่จริง ทรัมป์ดูจะแสดงความสนใจ-ใส่ใจต่ออุตสาหกรรมฮอลลีวูดมาตั้งแต่เดือนมกราคม ก่อนหน้าการประกาศสาบานตนเป็นประธานาธิบดีไม่กี่วัน เขาตั้งเป้ากระตุ้นให้คนดูอเมริกันหันมาดูหนังในบ้านเกิดตัวเองมากขึ้น ด้วยการจัดตั้งนักแสดงอเมริกัน ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone), เมล กิบสัน (Mel Gibson) และ จอน วอยต์ (Jon Voight) รับหน้าที่เป็น ‘ทูตพิเศษ’ สำหรับวงการภาพยนตร์ “นักแสดงผู้เปี่ยมพรสวรรค์ทั้งสามคนนี้จะเป็นเสมือนหูและดวงตาให้ผม ทั้งผมจะทำทุกสิ่งตามที่พวกเขาแนะนำ และบอกเลยว่ายุคทองของฮอลลีวูดจะหวนกลับมาอีกครั้ง เช่นเดียวกับการผงาดของสหรัฐอเมริกา!” ทรัมป์ประกาศ 

ความเหวอแตกคือ เมล กิบสันให้สัมภาษณ์งงๆ ว่า “ผมก็รู้ข่าวว่าตัวเองได้เป็นทูตพิเศษจากทวิตเขาพร้อมกันกับทุกคนนี่แหละ ประหลาดใจชะมัด” เขาบอก “แต่ก็นะ ผมตอบรับข้อเรียกร้องของเขาแหละ ในฐานะพลเมือง หน้าที่ผมคือการให้ความร่วมมือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้นี่หว่า”

สตูดิโอหนังหลายแห่งไม่ปลื้มกับนโยบายนี้ของทรัมป์นัก สำนักข่าว CNN รายงานว่าแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัววิพากษ์วิจารณ์นโยบายนี้อย่างเผ็ดร้อนว่า “ทรัมป์แค่พูดไปเรื่อยโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง เขาไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะตามมาในภาพใหญ่ด้วยซ้ำ”

ที่ทำเนียบขาว ทรัมป์บอกเพิ่มเติมแค่ว่า “ผมไม่ได้อยากจะทำร้ายอุตสาหกรรมนี้ แค่อยากช่วยต่างหาก และเดี๋ยวเราจะไปเจอตัวคนในอุตสาหกรรม ผมอยากแน่ใจว่าพวกเขาโอเคกับนโยบายนี้กัน เพราะเราต่างให้ความสำคัญกับงานเป็นหลักน่ะ” ขณะที่ คุช เดไซ (Kush Desai) โฆษกทำเนียบขาวก็ประกาศว่า “แม้ตอนนี้จะยังไม่มีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายต่อประเด็นนโยบายการเก็บภาษีภาพยนตร์ต่างประเทศ แต่ทางฝ่ายบริหารก็พยายามพิจารณาทางออกเพื่อให้สอดรับกับคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ ในการปกป้องความมั่นคงของชาติและเศรษฐกิจประเทศเรา พร้อมกันกับที่ก็จะทำให้ฮอลลีวูดกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งด้วย”

ทรัมป์ (ภาพจาก AFP)

อย่างไรก็ดี แม้ฮอลลีวูดอาจไม่ได้อยู่ในสภาพ ‘เสียหายยับเยิน’ อย่างที่ทรัมป์บอก หากแต่มันก็มีแผลใหญ่ที่สมานได้ยากอยู่ โดยเฉพาะในปี 2023 ที่สมาคมนักเขียนบทแห่งอเมริกา (Writers Guild of America-WGA) และสมาคมนักแสดงและศิลปิน (The Screen Actors Guild – American Federation of Television and Radio Artists -SAG-AFTRA) นัดประท้วงหยุดงานเพื่อเรียกร้องสวัสดิการและค่าแรงที่เป็นธรรมให้แก่คนทำงานทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาหดตัวลงอย่างน่าใจหาย กล่าวให้เห็นภาพชัดคือ คนในอุตสาหกรรมฮอลลีวูดเองหลายคนก็เดือดร้อนจากการที่สตูดิโอยกกองไปถ่ายทำต่างประเทศเพื่อประหยัดต้นทุน เนื่องจากแรงงานต่างประเทศถูกกว่าแรงงานในสหรัฐอเมริกา หลายคนจึงต้องกระเสือกกระสนหาเลี้ยงชีพกันสุดชีวิต โดยล่าสุด SAG-AFTRA ออกแถลงการณ์ว่าสมาคมฯ สนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์และสตรีมมิ่งในสหรัฐอเมริกา และจะสนับสนุนนโยบายที่กระตุ้นการทำงานของคนในอุตสาหกรรม เพิ่มเม็ดเงินทางเศรษฐกิจและสร้างงานที่ดีสำหรับชนชั้นกลางชาวอเมริกันต่อไป และเราตั้งตารอแผนงานจากประธานาธิบดี เพื่อจะได้ร่วมกันผลักดันไปให้ถึงเป้าหมายของเราได้”

แต่คำถามสำคัญคือ หากทรัมป์ประกาศใช้นโยบายนี้ขึ้นมาจริงๆ ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นจะส่งผลบวกหรือลบต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์อเมริกามากกว่ากัน หรือแม้แต่ในอุตสาหกรรมหนังต่างประเทศเอง จะต้องเจอ ‘ลูกหลง’ จากนโยบายนี้กี่มากน้อย เช่น หนังอเมริกันที่พูดถึงประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองที่ต้องถ่ายทำต่างประเทศ หรือแม้แต่หนังบางฉากบางตอนที่ดันมีฉากที่ถ่ายทำนอกสหรัฐฯ แค่ไม่กี่นาที หนังเหล่านี้จะต้องถูกเก็บภาษีด้วยหรือไม่ กระทั่งการร่วมทุนสร้างหนังจะเป็นไปในแง่ใด สตูดิโอต่างประเทศจะถูกตีค่าว่า ‘เป็นอื่น’ ในนโยบายของทรัมป์หรือเปล่า

ภาพยนตร์กับความเป็นอเมริกัน (แบบทรัมป์ๆ)

นโยบายเปลี่ยนแปลงการเก็บภาษีภาพยนตร์และโทรทัศน์ของรัฐแคลิฟอร์เนียร์ กับนโยบายการเก็บภาษีภาพยนตร์สหรัฐฯ ที่ไปถ่ายทำต่างประเทศนั้น พูดถึงการจัดเก็บภาษีเหมือนกัน แต่ให้ภาพต่างกัน

อย่างง่ายที่สุด นโยบายของรัฐแคลิฟอร์เนียมีลักษณะ ‘เชื้อเชิญ’ ให้คนทำหนังกลับมาถ่ายทำในรัฐหรือในฮอลลีวูด มากกว่าจะมีลักษณะ ‘ลงโทษ’ แบบของทรัมป์ ที่คล้ายว่าหากหนังอเมริกันเรื่องไหนไปถ่ายทำต่างประเทศ ก็ต้องรับโทษทัณฑ์ด้วยการจ่ายภาษี 100 เปอร์เซ็นต์ (แม้จะยังไม่ประกาศชัดว่ารูปแบบการจัดเก็บภาษีนั้นจะออกมาหน้าตาแบบไหนก็ตาม)

และอีกด้านหนึ่ง มันสะท้อนวิธีคิดที่ทรัมป์มีต่อหนังต่างประเทศ รวมทั้ง ‘ความหลากหลาย’ ในภาพใหญ่ อันเป็นคุณค่าที่ฮอลลีวูดพยายามเชิดชูมาในช่วงทศวรรษให้หลัง ซึ่งก็แน่นอนว่าเป็นวิธีคิดที่ทรัมป์ดูจะ ‘ไม่ค่อยซื้อ’ เท่าไหร่

วินซ์ แมนซินี (Vince Mancini) คอลัมนิสต์เว็บไซต์ GQ ชี้ประเด็นนี้อย่างน่าสนใจว่า เมื่อครั้งที่ Parasite (2019) หนังสัญชาติเกาหลีใต้ของ บอง จุนโฮ (Bong Joon-Ho) กวาดรางวัลออสการ์ถล่มทลาย รวมทั้งเป็นหนังต่างประเทศเรื่องแรกที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมได้ ทรัมป์ก็ออกมาพูดถึงประเด็นนี้ระหว่างการหาเสียงเมื่อปี 2020 ว่า “ออสการ์ปีนี้มันแย่จริงๆ เลยนะ คุณได้ดูกันหรือเปล่า ตอนประกาศว่าผู้ชนะเป็นหนังจากเกาหลีใต้น่ะ” เขาบอก “มันอะไรกันวะเนี่ย เรามีปัญหากับเกาหลีใต้เรื่องดุลการค้ามากพออยู่แล้ว นี่ยังจะไปให้รางวัลหนังยอดเยี่ยมกับพวกนั้นอีกเรอะ”

Gone with the Wind

“ผมอยากเห็นหนังแบบ Gone with the Wind (1939) อีกครั้ง” เขาบอก อ้างอิงถึงหนังของ วิกเตอร์ เฟลมมิง (Victor Fleming -คนทำหนังชาวอเมริกัน) หนังมหากาพย์รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมของออสการ์ ที่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของอุตสาหกรรมฮอลลีวูด และเป็นภาพแทนความเป็น ‘อเมริกัน’ ที่เด่นชัดในยุคสมัยนั้น “เราทำหนังแบบ Gone with the Wind ขึ้นมาอีกได้ไหม หรือจะหนังแบบ Sunset Boulevard (1950 -หนังฟิล์มนัวร์ เล่าเรื่องผู้คนในวงการฮอลลีวูด) ก็ได้”

การที่ทรัมป์ยก Gone with the Wind และ Sunset Boulevard ในฐานะตัวอย่างหนังที่เขา ‘อยากได้’ หรืออย่างน้อยเขาก็คิดว่ามันควรค่าแก่รางวัลใหญ่ที่สุดของออสการ์ สะท้อนภาพ ‘ฮอลลีวูดในฝัน’ ของเขาไม่มากก็น้อย เพราะไม่เพียงแต่หนังเหล่านี้เป็นหนังสัญชาติสหรัฐฯ และถ่ายทำในสหรัฐฯ เท่านั้น หากแต่มันยังเล่าเรื่องราวของคนอเมริกัน ของผู้คนในฮอลลีวูดซึ่งสำหรับทรัมป์แล้ว ก็เป็นไปได้ที่เขาอาจจะรู้สึกว่าฮอลลีวูดในยุคหลังๆ เริ่มหันไป ‘หลากหลาย’ มากขึ้น ซึ่งทำให้ความเป็น ‘อเมริกัน’ ลดลงอย่างช่วยไม่ได้

เป็นไปได้ว่าสำหรับทรัมป์ ฮอลลีวูดไม่เพียงแต่ต้องฉายภาพของความเป็นอเมริกัน หากแต่ควรต้องสร้างในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย กระนั้น การแปะป้ายให้หนังก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ตาเห็น เพราะธรรมชาติของการสร้างภาพยนตร์ -โดยเฉพาะในทศวรรษให้หลัง- มักเกิดจากการร่วมทุนสร้างข้ามประเทศ ทั้งเพื่อความแปลกใหม่ในการเล่าเรื่อง, การหาทุน หรือมีจุดประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่ายและลดภาษีของสตูดิโอ ยังไม่ต้องพูดถึงการมาเยือนของระบบสตรีมมิ่งที่ทำให้เส้นแบ่งต่างๆ พร่าเลือนเข้าไปอีก หนังจากเน็ตฟลิกซ์หรือแอมะซอนอาจสร้างโดยสตูดิโอในสหรัฐฯ ผลิตจากบริษัทในสหราชอาณาจักรแต่ไปถ่ายทำในยุโรปใต้ ฯลฯ 

ลำพัง หนังที่เข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาโดยประเทศใดประเทศหนึ่ง หากแต่มันมีลักษณะของการร่วมทุนอย่างเห็นได้ชัด I’m Still Here (2024) ที่เพิ่งคว้ารางวัลปีล่าสุด ก็เป็นหนังร่วมทุนสร้างระหว่างบราซิล-ฝรั่งเศส (แต่ส่งในนามบราซิล) The Seed of the Sacred Fig (2024) ที่เข้าชิงสาขาเดียวกัน ก็เป็นหนังร่วมทุนสร้างสามสัญชาติ ระหว่างฝรั่งเศส-เยอรมนี-อิหร่าน

The Room Next Door

พ้นไปจากเรื่องถ่ายทำที่ประเทศไหนและเป็นหนังของใคร ที่ผ่านมา คนทำหนังกับนักแสดงสหรัฐฯ เองก็เสาะแสวงหาโอกาสในการไปร่วมงานกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ชาติอื่นๆ โดยเฉพาะฝั่งยุโรปที่แม้จะจ่ายน้อยกว่า แต่มีแนวโน้มจะเปิดโอกาสให้ทำหนังที่หลากหลายกว่า (อีกนัยหนึ่ง -เดือดดาลมากกว่า ท้าทายมากกว่า) 

ในทางกลับกัน ฮอลลีวูดเองก็มีท่าทีสนใจอยากร่วมงานกับผู้กำกับต่างประเทศอยู่เนืองๆ ส่วนหนึ่งก็เพื่อหลีกหนี ‘รสมือ’ ของคนทำหนังชาวอเมริกัน หรือความอึกทึกโครมครามอันเป็นเอกลักษณ์ของหนังฮอลลีวูดส่วนใหญ่ หลายปีให้หลัง เราจึงได้เห็นผลงานร่วมทุนสร้างของคนทำหนังต่างชาติในสตูดิโอฮอลลีวูด ที่เพิ่งสร้างปรากฏการณ์หนังที่ได้รับเสียงวิจารณ์แง่บวกถล่มทลายคือ The Substance (2024) ก็กำกับโดย กอราลี ฟาร์ฌาต์ (Coralie Fargeat) ผู้กำกับชาวฝรั่งเศส รวมทั้ง The Room Next Door (2024) หนังพูดภาษาอังกฤษเรื่องแรกของเจ้าป้านักทำหนังชาวสเปน เปโดร อัลโมโดบาร์ (Pedro Almodóvar) ก็ล้วนเป็นหนังที่สหรัฐฯ เข้าไปร่วมทุนสร้างกับชาติอื่นทั้งสิ้น ที่ก็แน่นอนว่ามีออกกองไปถ่ายทำนอกเหนือสหรัฐฯ ด้วย (โดยเฉพาะ The Substance ที่ถ่ายในฝรั่งเศสทั้งเรื่อง)

คำถามที่จะตามมาแน่ๆ หลังการประกาศทิศทางนโยบายเก็บภาษีภาพยนตร์ของทรัมป์คือ เขาจะวางเส้นแบ่งการทำหนังอย่างไร ในโลกที่ทุกอย่างเกิดจากการร่วมสร้าง ร่วมพัฒนาเช่นนี้

แล้วไทยเราล่ะ…?

กล่าวสำหรับประเทศไทย ที่เอาเข้าจริงก็อาจไม่ได้เป็น ‘ผู้เล่น’ ใหญ่ยักษ์ในสมการสงครามทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่หากว่าทรัมป์ประกาศใช้นโยบายขึ้นมาจริงๆ และยังผลให้หนังอเมริกาต้องถ่ายทำในประเทศตัวเองเพื่อเลี่ยงปัญหาด้านภาษี สิ่งที่ไทยได้รับผลกระทบแน่ๆ คือรายได้และการสร้างงานจากกองถ่ายต่างชาติเหล่านี้

ที่ผ่านมา ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในโลเคชันยอดนิยมของหนังฮอลลีวูด โดยเฉพาะยุคหลังสงครามเวียดนามที่คนทำหนังนิยมสำรวจประเด็นว่าด้วยความขัดแย้งระหว่างโลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์ ทั้ง The Killing Fields (1984) และ The Deer Hunter (1978) หรือล่าสุด The White Lotus (2025) ซีซันที่สามซึ่งเพิ่งออกฉายเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็เข้ามาถ่ายทำในไทยหลายเดือน และไม่มากก็น้อย โปรดักชันฮอลลีวูดเหล่านี้ก็จ้างทีมงานไทยไปเป็นส่วนหนึ่งของกองถ่ายที่ทั้ง ‘สร้างงาน สร้างรายได้’ และเสริมสร้างทักษะในการร่วมงานกับโปรดักชันสัญชาติอื่นด้วย

ยังไม่แน่ชัดว่านโยบายเก็บภาษีภาพยนตร์ของทรัมป์จะออกมามีหน้าตาแบบไหน บังคับใช้อย่างไร หากแต่อย่างหนึ่งที่มั่นใจได้คือ จะมากจะน้อย มันย่อมส่งผลสะเทือนต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ ทั้งในระดับประเทศและระดับสากลโลกอย่างที่ยากจะปฏิเสธแน่นอน

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save