EMILIA PÉREZ เพศที่ขอลิขิต แด่ชีวิตที่ผิดขนบ

วันพุธที่ 26 มีนาคมปี 2025 ทางมงคล เมเจอร์ (Mongkol Major) ชักชวน ‘กัลปพฤกษ์’ ไปร่วมพูดคุยในรายการ Movie Talk ก่อนการฉายรอบพิเศษภาพยนตร์ฝรั่งเศสเรื่อง Emilia Pérez (2024) ของผู้กำกับ ฌาคส์ ออดิอาร์ด (Jacques Audiard) ซึ่งเพิ่งคว้ารางวัลออสการ์มาได้ถึงสองตัวด้วยกัน นั่นคือ รางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม แด่ โซอี ซัลดาญา (Zoe Saldaña) และ รางวัลเพลงประกอบยอดเยี่ยม El Mal ร่วมกันประพันธ์โดย เคลมองต์ ดือโคล (Clément Ducol), คามิลล์ (Camille) และออดิอาร์ด ในหัวข้อที่ว่า “รัก เกลียด ตีแผ่ทุกมุมความฉาว” เล่าเรื่องราวด้วยการเม้าท์มอยถึงหนังที่เหมือนจะโด่งดังในทางไม่ค่อยจะดี ตั้งแต่เมื่อครั้งที่หนังประกวดชิงรางวัลปาล์มทองคำ ณ เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์เมื่อปีกลาย! โดยมีคุณ BM แห่งช่อง BM Broadway Boy มาร่วมดำเนินการสนทนากันให้น้ำลายแตกฟอง แลกเปลี่ยนกันสองคนต่อหน้าคนดู ณ โรงภาพยนตร์เฮาส์ สามย่าน ตั้งแต่เวลา 17.50 น. จนหนังใกล้ฉาย 18.20 น. ได้เนื้อหาด้านความฉาวของหนังแบบปังๆ ฉ่ำๆ แซ่บๆ ที่แอบเสียดายแทนคนไม่ได้มาร่วมงาน เลยขอถือโอกาสเล่าผ่านงานวิจารณ์ชิ้นนี้ featuring กับคุณ BM Broadway Boy ผู้ที่ไม่ค่อยจะปลาบปลื้มกับตัวหนังสักเท่าไหร่!

ไล่กันตั้งแต่ครั้งที่หนังเริ่มเปิดตัวที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 ที่ต้องเกริ่นกล่าวกันเสียก่อนเลยว่าออดิอาร์ด เขาเป็นลูกรักลูกหม้อถูกคอกับผู้จัดเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์กันอย่างไร ได้ทำหนังยาวเรื่องแรก See How They Fall (1994) งานอาชญากรแนว Boys’ Love ก็เริ่มเติบโตในสาย Directors’ Fortnight และพอมีเรื่องใหม่ A Self-Made Hero (1996) ก็ได้ขยับมาอยู่ในสายประกวดหลัก! และสุดท้ายก็กลายเป็นลูกรัก มักจะได้เข้าประกวดอีกรัวๆ ซึ่งต่อให้โดยน้ำเสียงส่วนใหญ่เขาจะชอบใช้แนวทางแบบฟิล์มนัวร์ แต่ตัวประเด็นเนื้อหาก็ขยายอาณาเขตไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ทุกครั้ง อย่างหนังเรื่อง Dheepan (2015) ที่ว่าด้วยแรงงานอพยพจากประเทศศรีลังกา ก็คว้ารางวัลปาล์มทองคำไปได้ด้วยความสดใหม่ หรืออย่างใน Emilia Pérez เองเรื่องก็ไม่ได้เกิดขึ้นที่ฝรั่งเศสอีกต่อไป หากข้ามสมุทรแอตแลนติกอันกว้างใหญ่ แล้วให้เรื่องราวหลักเกิดขึ้นในประเทศเม็กซิโก!

เคล็ดลับการเป็นลูกรักที่เหมือนจะเติบโตมากับเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ จึงมิได้ต้องการเพียงความชัดเจนด้านลายเซ็นในการทำหนังเท่านั้น หากมันยังจะต้องมีความแปลกใหม่ในทุกครั้งที่สร้างผลงานออกมา คือถ้าผู้กำกับรายไหนเริ่ม ‘ซ้ำ’ เริ่ม ‘ย่ำวน’ กับแนวทางเดิมๆ เมื่อไหร่ เทศกาลคานส์ก็พร้อมที่จะปฏิเสธหนังเรื่องใหม่ของเขาได้ในทันที!

และด้วยความที่ Emilia Pérez เป็นหนังฟิล์มนัวร์ประเภทที่ออดิอาร์ดไม่เคยคิดทำมาก่อน นั่นคือ 1) เล่าเรื่องราวของอาชญากรแปลงเพศ 2) เปลี่ยนภาษาและประเทศให้เป็นสเปนและเม็กซิโก 3) โชว์สเต็ปลีลาสุดลั้ลลาแบบหนังเพลง มันจึงกลายเป็นหนังสุดอลวนอลเวงที่แม้แต่ติ่งเดนตายของออดิอาร์ดเองก็จะยังไม่เคยได้พบได้เห็น กระทั่งได้กลายเป็นหนึ่งในหนังสายประกวดชิงรางวัลปาล์มทองคำประจำเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เรื่องที่ 6 ในชีวิตการทำงานของเขาล่ะ!

พอคุณ BM ถามถึงปฏิกิริยาตอบรับตอนที่ฉายเทศกาลคานส์ เราก็รายงานโดยทันทีว่าหนีไม่พ้นที่จะเสียงแตก! โดยหนังสือพิมพ์ ScreenDaily เขาได้รวบรวมคะแนนดาวจากนักวิจารณ์เป็นที่แรก เกรดของหนังเรื่องนี้มีทั้งที่โดนแหกด้วยระดับคะแนนเพียงหนึ่งดาว (โดยนักวิจารณ์ชาวไทยที่ขอไม่บอกก็แล้วกันว่าเป็นใคร) กับนักวิจารณ์ที่ประเคนให้แบบเต็มที่ทั้งสี่ดาว! แถมทางเทศกาลฯ เองก็ขอจัดฉายหนังสายประกวดเรื่องนี้อย่างเอิกเกริกเกรียวกราวด้วยรอบกาล่าเวลาดีที่สุดนั่นคือ 18.30 น. ในวันที่ 18 พฤษภาคมให้ดาราดังอย่าง เซเลนา โกเมซ (Selena Gomez), ซัลดาญา, อาเดรียนา ปาซ (Adriana Paz) และ การ์ลา โซฟีปา กัสกอน (Karla Sofía Gascón) ได้มาเดินกันจนว่อนพรมแดงก่อนแสงสุดท้ายจะหมดวัน พอฉายจบก็ได้รับสแตนดิ้ง โอเวชันยาวนานถึง 11 นาที โดยฝ่ายที่ชอบที่ชอบก็จะสดุดีลีลาหนังเพลงอันสดใหม่ของออดิอาร์ดที่มาพร้อมเนื้อหาหนักๆ ของตัวละครกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งจัดว่าล้ำสมัย ในขณะที่ฝ่ายไม่ชอบอย่างนักวิจารณ์ชาวไทย ก็ตั้งข้อหาใหญ่ว่าออดิอาร์ด เล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างไม่จริงใจ ใส่ประเด็น LGBTQ+ เข้ามาเพียงเพื่อขาย หากไม่ได้เข้าอกเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆ ของตัวละครเลยสักนิด!

เหล่านักวิจารณ์จะคิดเห็นกันอย่างไรก็เชิญว่ากันไป แต่คณะกรรมการตัดสินต่างพร้อมใจกันชื่นชอบหนังเรื่องนี้ และยินดีจัดรางวัลใบปาล์มให้ถึงสองใบ นั่นคือรางวัล Jury Prize ขวัญใจกรรมการทั้งคณะ และรางวัลการแสดงยอดเยี่ยมโดยนักแสดงหญิง โดยแบ่งกิ่งใบปาล์มให้กับงามงอนทั้งสี่นางโกเมซ, ซัลดาญา, ปาซและกัสกอน ย้อนประวัติศาสตร์การมอบรางวัลให้นักแสดงหญิงทั้งคณะ หลังจากที่หนังอย่าง A Big Family (1954) ของ โยซิฟ เคอิฟิตส์ (Iosif Kheifits), Brink of Life (1958) ของ อิงมาร์ แบร์จมัน (Ingmar Bergman) , A World Apart (1988) ของ คริส เมงเกส (Chris Menges), The Dreamlife of Angels (1998) ของ แอร์ริค ซงกา (Erick Zonca), Volver (2006) ของ เปโดร อัลโมโดบาร์ (Pedro Almodóvar) และ Beyond the Hills (2012) ของ คริสเตียน มุนจู (Cristian Mungiu) เคยชนะแบบยกโขยงมาแล้วก่อนหน้านี้  ซึ่งตอนที่หนังได้รางวัลก็ไม่ถึงกับมีใครมาตั้งข้อกังขาแต่อย่างใด เพราะยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Emilia Pérez เป็นหนังประกวดที่จัดว่า ‘แข็งแรง’ มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในปีนั้น

ส่วน ‘กัลปพฤกษ์’ เองก็ขออยู่สาย ‘ที่ชอบ’ ด้วยความ ‘ทะลุกรอบ’ ในหลายๆ ด้านของมัน สีสันหลักก็เห็นจะเป็นประเด็น LGBTQ+ อันร่วมสมัย เพราะเรื่องราวได้เล่าถึง มานิตัส เดล มอนเต (กัสกอน) พ่อค้ายาขาใหญ่ในเม็กซิโก ที่เมื่อธุรกิจได้โตเต็มพิกัด ก็ถึงเวลาที่เขาจะได้ตัดขาดจากศรีภรรยา เจสซี (โกเมซ) และบุตรธิดาของตน ผ่าตัดอวัยวะให้กลายเป็นคนใหม่และใช้ชื่อว่า เอมิลิอา เปเรซ แปลงเพศจากชายเป็นหญิงอันเป็นสิ่งที่เขาเฝ้าฝันเสมอมาตั้งแต่อายุยังน้อย และได้ว่าจ้างทนายสาว ริตา (ซัลดาญา) ให้คอยดูแลธุรกรรมด้วยเงินก้อนใหญ่ เพื่อให้ครอบครัวของเขายังใช้ชีวิตต่อไปได้ แม้จะไร้ชายที่ชื่อมานิตัส เดล มอนเตอีกแล้ว! หากแนวทางเควียร์ของหนังมิได้สิ้นสุดลงแค่นั้น เพราะเมื่อมานิตัส เดล มอนเตผันมาเป็นเอมิลิอา เปเรซในเพศใหม่ เธอก็มีคนคบหาดูใจอีกราย ท้าทายกรอบกำหนดทางเพศที่เหมือนไม่ว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ ชวนให้ต้องพิเคราะห์ ‘หัวใจ’ ของเปเรซว่า ‘คนพิเศษ’ ของเธอจักต้องเป็นคนประเภทไหนและอย่างไรกันแน่นะ?

ส่วนที่ประทับใจอีกอย่าง ก็คงต้องอ้างอิงไปถึงเรื่องฟอร์มของหนัง ที่อาศัยพลังแห่งบทเพลงมาเร่งเร้าให้เราเข้าใจหัวอกของตัวละครผ่านกานท์กลอนของเนื้อร้องและจังหวะทำนองแห่งเมโลดี ซึ่งสิ่งที่วิเศษก็คือ มันถ่ายทอดด้วยภาษาสเปน สำเนียงเม็กซิกัน ที่ฉันเองก็ยังไม่เคยได้เสพงานมิวสิคัลที่ใช้ภาษานี้มาก่อน ตอนได้ดูเลยรู้สึกเปิดหูเปิดตาเป็นพิเศษ อีกสาเหตุคือมันจะไม่ใช่หนังเพลงแนว extravaganza (ฟู่ฟ่าอลังการงานยักษ์) เหมือน La La Land (2016) ของ ดาเมียน ชาเซลล์ (Damien Chazelle) หรือ West Side Story (2021) ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) จากสหรัฐอเมริกา ทว่ามันยังคงลีลาหนังเพลงในแบบฝรั่งเศส ‘น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ไฮแฟชั่น’ อะไรทำนองนั้น ประมาณพูดคุยกันอยู่ดีๆ เมโลดี้ก็ลอยเข้ามา หรือฉากโชว์สเต็ปลีลา ก็ไม่ต้องจ้างนักเต้นมาเป็นร้อยๆ เอาน้อยๆ แค่หกคนพร้อมดนตรี นี่ก็ได้แบบเก๋ๆ แล้วหนึ่งซีเควนซ์นับเป็นแนวทางมิวสิคัลที่แตกต่าง สร้างความโดดเด่นแตกต่างได้อย่างแปลกหูแปลกตา

จากนั้นคุณ BM ก็เล่าว่าดราม่าจะกลับมาอีกครั้ง ตอนที่ฝรั่งเศสตัดสินใจส่งหนังเรื่องนี้เป็นตัวแทนประเทศเข้าร่วมชิงชัยรางวัลออสการ์ในสาย Best International Feature ทำให้เจอกระแสต่อต้านว่านี่มันคือผลงานที่มีความเป็น ‘ฝรั่งเศส’ ตรงไหน ภาษาที่ใช้ก็สเปนเม็กซิกัน คั่นด้วยภาษาฝรั่งเศสประมาณสองประโยคตอนที่ตัวละครต้องโยกย้ายไปสวิตเซอร์แลนด์ เหมือนจะแค้นที่รอบรางวัลปี 2024 ไม่ได้ส่ง Anatomy of a Fall (2023) ของ ยุสตีน ทริเยต์ (Justine Triet) ไป เพราะใช้ภาษาฝรั่งเศสกันไม่ถึงครึ่งเรื่อง ปีนี้เลยเคืองจนกลับลำส่ง Emilia Pérez ไปชิงตำแหน่งแทน! คือแม่นละหนอ! ก็ควรต้องง้อเขาไหมหากอยากจะได้รางวัล กรรมการเขาตัดสินกันที่เนื้อหนัง แล้วจะมานั่งแบ่งแยกภาษากันอีกทำไม เรื่องไหนโดดเด้งก็จงเร่งส่งไปไม่ต้องคิดอะไรเยอะ! แล้วยังไง ดราม่ากันไปเหอะ สุดท้ายก็ ‘เชอะ’ เข้ารอบผู้เข้าชิงห้าเรื่องสุดท้าย แต่ที่ต้องร้อง ‘ว้าย!’ ดังกว่าก็คือ Emilia Pérez คว้าตำแหน่งผู้ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาต่างๆ จำนวนมากที่สุดแห่งปี นั่นคือเบ็ดเสร็จแล้ว 13 สาขาเป็นรองก็แค่สามเรื่องในประวัติศาสตร์ที่เคยเข้าชิงมากที่สุด 14 category ได้แก่ All About Eve (1950) Titanic (1997) และ La La Land (2016)! จนหลายๆ คนตกอกตกใจกันไปตามๆ กัน!

และนั่นเอง กระแสดราม่า ออสการ์ vs Emilia Pérez จึงบังเกิด ซึ่ง ‘กัลปพฤกษ์’ ก็ขอเปิดประเด็นเลยว่า จุดที่หนังโดนด่ามากที่สุดก็คือ ‘ความปลอม’ ในการนำเสนอภาพชีวิตอาชญากรรมยาเสพติดและเหล่ามิจฉาชีพในเม็กซิโกซึ่งช่างโม้ได้แบบเกินเลย เผยด้านมืดของประเทศอย่างเกินขอบเขตโดยไม่คิดเคยลงพื้นที่ (หนังทั้งเรื่องใช้วิธีถ่ายกันในสตูดิโอชานกรุงปารีส) ซึ่งฝ่ายที่โจมตีหนังหนักหน่วงที่สุดก็คือเหล่าคนเม็กซิกันนั่นเอง! แล้วมีอย่างที่ไหน หนังใช้สถานการณ์ ‘อุ้มหาย’ ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมอันน่าอับอาย แต่ออดิอาร์ดกลับไม่ให้เกียรติผู้ตาย หากถ่ายทำทุกอย่างออกมาด้วยลีลาของ ‘หนังเพลง’! ไม่มีเกรงใจกันเลยสักนิด! จนคุณ BM ก็ร่วมเสริมว่า ภาษาสเปนสำเนียงเม็กซิกันที่ใช้ก็ถูกๆ ผิดๆ เหมือนสั่งให้ปัญญาประดิษฐ์แปลมา นักแสดงนอกเหนือจากปาซแล้ว ก็ไม่มีใครเป็นชาวเม็กซิกันจริงๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งเพี้ยน เป็นสินค้าเลียนแบบที่แทบจะหาคุณภาพใดๆ ไม่ได้ เห็นกระแสตีกลับรุนแรงขนาดนี้ก็มีอันต้องใจหาย กรรมการที่โหวตก็คงไม่ปล่อยให้หนังได้รางวัลไปง่ายๆ และสุดท้ายก็คงเป็นผู้ท้าชิง 13 สาขาที่จำต้องกลับบ้านแบบมือเปล่าๆ!

หากกระแสดราม่าก็ไม่ได้จบลงเท่านั้น คุณ BM ยังกล่าวต่อว่าหนึ่งใน 13 สาขา ที่ตัวหนังเข้าท้าชิงรางวัลออสการ์ ก็คือสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ที่การ์ลา โซฟีอา กัสกอน ได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นนักแสดงหญิงข้ามเพศคนแรกที่ได้รับเกียรติเข้าชิงรางวัลกับนักแสดงเพศกำเนิดหญิงคนอื่นๆ! แต่แทนที่แวดวง LGBTQ+ จะตื่นเต้นสดุดี ก็ดันมีคนไปขุดบัญชี X (อดีตคือ twitter) ของเธอ จนเจอข้อความที่เคยทวีตไว้ ตอนที่กัสกอนปากแจ๋วใช้วาจาด่าทอเพราะเหยียดเชื้อชาติ ประกาศความกลัวต่อศาสนาอิสลาม แถมยังเคยตามไปแขวะนักแสดงร่วมทีมอย่างโกเมซว่าเป็นนังหนูเงินถุงเงินถังสาดใส่พลังด้านลบ น่าตบเสียจนไม่น่าจะมีใครทนโหวตลงคะแนนให้เธอได้! ความหวังว่าหนังจะคว้ารางวัลออสการ์จึงเหมือนประตูที่ถูกปิดตาย เมื่อหนังโดนเบ้ปากส่ายหน้าใส่จนแทบจะมองไม่เห็นอนาคต

ปรากฏคืนวันประกาศผล Emilia Pérez ก็พ้นมลทินปลาบปลื้มยินดีไปกับรางวัลออสการ์ที่คว้ามาครองได้ถึงสองตัวด้วยกัน นั่นคือ รางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม อันได้แก่เพลง El Mal ซึ่งร้องเป็นภาษาสเปน และ รางวัลนักแสดงสมทบหญิงดีเด่น แด่ซัลดาญาซึ่งเราก็ได้คุยกันว่า ‘สมมงฯ’ ไหม? คำตอบคือ “ก็ไม่ติดอะไร” ยังไงๆ หนังเพลงก็ย่อมมีภาษีสำหรับกรณีเพลงประกอบภาพยนตร์ เพราะมันคือกลไกในการดำเนินเรื่องหลัก ส่วนนักแสดงซัลดาญาได้รางวัลไปก็ไม่เซอร์ไพรส์ แต่ที่ประหลาดใจมากกว่าคือทำไมเธอจึงได้มาเข้าชิงในสาขานี้ เพราะถ้าลองวัดกันดีๆ เธอในบทริตานั้นมีเวลาตามที่ได้ปรากฏบนจอหนังมากกว่ากัสกอนตั้งเยอะ เปิดฉากมาก็เจอะเธอเป็นคนแรก เป็น ‘นางแบก’ ให้ทั้งเจ๊เอมิลิอาและเฮียมานิตัสแบบจะขาดนางไปไม่ได้ ฉากสุดท้ายเธอก็ต้องกลับมาคอยคลี่คลาย คือจะย้ายไปแข่งในสายนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมร่วมกับกัสกอนก็ยังได้ แต่ให้เข้าชิงในสายนี้ก็คงดีอยู่แล้ว เพราะสุดท้ายการแสดงของเธอก็ถือว่าแพรวพราว ต้อง ร้อง-เล่น-เต้น-แสดง กันแบบยาวๆ ใครเคยก้าวเข้ามาทำงานในสายนี้ จะรู้ดีเลยว่าการเล่นหนังหรือละครมิวสิคัลมันต้องการความแม่นเป๊ะโป๊ะเชะกันขนาดไหน ต้องใช้ทั้งทักษะ ประสบการณ์ ความรู้ และที่สำคัญคือ ‘ไฟ’ ยากเย็นกว่าการแสดงตระกูลอื่นใดจนยกรางวัลให้พวกเขาไปเหอะ! ไม่ต้องคิดมาก!

ใกล้เวลาฉายหนัง คุณ BM ก็เชิญให้ฝากฝัง พร้อมสรุปด้วยว่าหนังเรื่องนี้ได้กี่ดาว (เอามาตรฐานเดิมเมื่อคราวยังมีนิตยสาร FILMAX) ข้าพเจ้าก็ขานได้ในทันทีว่าเรื่องนี้จบลงที่ ‘สองดาวครึ่ง’ ต้องหักคะแนนไปหน่อยนึง เพราะไม่ค่อยซาบซึ้งกับฉากโรงพยาบาล transplant dance ไปกับการแปลงเพศ vaginoplasty/mammoplasty ที่กรุงเทพมหานคร อันอ่อนอ่อมและจอมปลอมสักเท่าไหร่ คือเห็นแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมคนในเม็กซิโกถึงโมโหกับคำโกหกคำโตของออดิอาร์ดในหนังเรื่องนี้ เพราะฉากที่กรุงเทพฯ ปลอมอย่างไร ฉากในเม็กซิโกก็คงจะ ‘ไม่ใช่!’ ได้เบอร์นั้น แต่คุณจ๋า! งานหนังเพลงมันย่อมมีความแฟนตาซีหลีกหนีความจริงอยู่เป็นเรือนใจ จะทำทุกอย่างให้ ‘จริง’ ไปเลยมันก็คงจะไม่ใช่ เพราะเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่น่าจะมีใครมาสื่อสารผ่านท่วงทำนองเวลาที่ต้องหันหน้ามาสนทนากัน ฉะนั้นปล่อยให้มันกึ่งจริงกึ่งฝันแบบนั้นก็เหมาะสมแล้ว หนังแนวมิวสิคัลมันต้องดูแล้ว ‘ลั้ลลา’ ไม่ว่าประเด็นหลักจะหนักหนาสาหัสถึงเพียงไหนก็ตาม!

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save