จาก ‘ความสามัคคี’ ถึง ‘ลัทธิเผ่า’ : เหตุที่สังคมไทยไร้ฉันทามติ

จาก ‘ความสามัคคี’ ถึง ‘ลัทธิเผ่า’ : เหตุที่สังคมไทยไร้ฉันทามติ

หลายสิบปีก่อน ‘คาถา’ สำคัญอย่างหนึ่งที่ใช้กำกับคนไทย คือคาถาเรื่อง ‘ความสามัคคี’

บทเรียนหนึ่งที่ ‘ฮิต’ มากๆ ในหนังสือเรียนสมัยก่อน คือครูจะเอาไม้มาหนึ่งแท่ง หักให้นักเรียนดู แล้วบอกว่าถ้าอยู่แท่งเดียวก็จะถูกหักได้ง่าย แต่ถ้าลองเอาไม้มากอบรวมกันเป็นกำใหญ่แล้วเอาเชือกรัดไว้ด้วยกัน ต่อให้หักอย่างไรก็หักไม่ได้ แม้จะทำท่า ‘หักด้ามพร้าด้วยเข่า’ ก็ยังหักกำแท่งไม้นั้นไม่ได้เลย

แล้วครูก็สอนว่า – นี่แหละ คือคุณค่าของ ‘ความสามัคคี’

โดยมาก เราจะมอง ‘ความสามัคคี’ ว่าเป็นเรื่องการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว รักใคร่ ผูกพัน พร้อมเพรียง และมีความรู้สึก ‘เป็นพวกพ้อง’ เดียวกัน ก่อให้เกิดสังคมที่มีความ ‘สงบเรียบร้อย’ เป็นระเบียบขึ้นมาเหมือนแท่งไม้เหล่านั้นที่ลักษณะเหมือนกันทุกประการ

ดังนั้น ถ้าเกิดมีอะไรทำให้ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวหรือสงบเรียบร้อยนี้หายไป ก็มักจะมีคนยื่นมือเข้ามา ‘จัดการ’ หากพูดให้ถึงที่สุด ก็อาจเป็น ‘ฐานคิด’ ที่อยากให้คนไทยเกิดความสามัคคีมากๆ นี้ก็ได้ ที่ก่อให้เกิดรัฐประหารขึ้นหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อสังคมไทยดูมีท่าทีแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายจนดูท่าจะขาดความ ‘สงบเรียบร้อย’ เพราะฉะนั้น หลังรัฐประหาร เราจึงเห็นการพูดถึงความสมานฉันท์หรือการปรองดองกันบ่อยๆ

มันคือ ‘ความฝัน’ ในการสร้างสังคมที่มีความ ‘สามัคคี’ แบบน้ำหนึ่งใจเดียวกันนี่เอง!

แต่คำถามก็คือ – ‘ความหมาย’ ของคำว่า ‘ความสามัคคี’ แบบนี้ที่หมายถึงการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและมีลักษณะ ‘เหมือนกันไปหมด’ (อย่างน้อยก็ในเชิงความคิด) นั้น เป็น ‘อุดมการณ์’ ที่ยัง ‘ใช้การได้’ ในโลกยุคใหม่ที่มี ‘ความแตกต่างหลากหลาย’ ผุดบังเกิดขึ้นมาเป็นอุดมการณ์ชุดใหม่ที่ทรงพลังมากกว่าหรือเปล่า

ลองมาหาคำตอบด้วยกันนะครับ

เรื่องแรกที่อยากชวนพิจารณา คือการย้อนกลับไปดูโลกเมื่อหลายสิบปีก่อนว่ามีสภาพเป็นอย่างไร และสภาพที่ว่ากลายเป็น ‘เงื่อนไข’ อย่างไรบ้างที่ทำให้ผู้มีอำนาจต้องพยายามรณรงค์เรื่อง ‘ความสามัคคี’ ขึ้นมา

ถ้าย้อนกลับไปราว 40-50 ปีก่อน เราจะพบว่าโลกเผชิญกับการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ตามด้วยสงครามเย็น ดังนั้น การพยายาม ‘สร้าง’ ความสามัคคีให้เป็นคุณธรรมสำคัญของชาติ (โดยเฉพาะในความหมายที่ว่ามาข้างต้น) จึงเป็นเรื่องจำเป็นในหลายระดับ ตั้งแต่ระดับวัฒนธรรมถึงยุทธวิธี เพราะความสามัคคีจะสร้าง ‘ภูมิคุ้มกันทางอุดมการณ์’ (ideological immunity) ขึ้นมาให้สังคม เพราะสังคมที่มีความสามัคคีหรือ ‘คิดเหมือนกัน’ ทั้งสังคม มักจะถูกความคิดแบบอื่นๆ ชักจูงได้ยาก เนื่องจากถูก ‘สร้าง’ จิตสำนึกร่วมแบบเดียวกันให้เหนียวแน่นเอาไว้เป็นฐานแล้ว

อย่างไรก็ตาม ข้อที่น่าสังเกตก็คือ – คำว่า ‘ความสามัคคี’ ในแบบดั้งเดิม ที่เน้นย้ำการ ‘ทำเพื่อส่วนรวม’ นั้น – ดูเหมือนจะไม่ได้กินความถึงพรมแดนของคำว่า ‘สาธารณะ’ ที่หมายถึงพื้นที่หรือความคิดที่ ‘คนทุกคน’ เป็นเจ้าของร่วมและมีอำนาจในการจัดการกับพื้นที่หรือความคิดทางสังคมด้วย เพราะคำว่า ‘ส่วนรวม’ ในการ ‘ทำเพื่อส่วนรวม’ นั้น ดูจะมี ‘นัยเชิงอำนาจ’ ที่เอาไว้ ‘กำกับ’ คนที่มีอำนาจน้อยกว่า ให้ ‘ทำตาม’ สิ่งที่คล้ายว่าจะเป็นฉันทามติ (consensus) ของสังคม – โดยที่คนทั่วไปไม่รู้หรือแทบไม่ได้มีโอกาสกำหนดฉันทามตินั้นเลย

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชวนให้คนทำเพื่อส่วนรวม แต่ถ้าถามว่า แล้ว ‘ส่วนรวม’ จริงๆ คืออะไรหรือคือใครกันแน่ – คนจำนวนมากอาจตอบไม่ได้!

ความสามัคคีในความหมายดั้งเดิมจึงมีแนวโน้มที่จะสร้าง ‘ความเป็นเนื้อเดียวกัน’ (homogeneity) แบบลุ่นๆ ให้กับคนชั้นกลางใต้การปกครองทั้งหลาย เพราะมันง่ายดีที่จะบอกคนที่ไร้อำนาจเหล่านี้ให้ ‘เสียสละ’ ในด้านต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของ ‘ส่วนรวม’ เป็นหลัก

แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนไป เกิดการหลั่งไหลถ่ายเทของข้อมูลข่าวสารมากขึ้น คนเริ่มเห็นคุณค่าของอุดมการณ์อีกแบบ คืออุดมการณ์เรื่อง ‘ความแตกต่างหลากหลาย’ (diversity) มากขึ้น จึงเกิดแรงตึงเครียดระหว่างกลุ่มที่มีอำนาจนำและต้องการรักษา homogeneity เอาไว้ (เช่น ชนชั้นนำแบบจารีต) กับกลุ่มเรียกร้อง ‘ความหลากหลาย’ (เช่น ชนกลุ่มน้อย หรือชนชั้นแรงงาน) ที่มักจะมีอำนาจน้อยกว่า

ความขัดแย้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสังคมไทยนะครับ แต่เรียกได้ว่าเป็น ‘ปรากฏการณ์โลก’ ก็ว่าได้ เราจะเห็นการก่อตัวของการเรียกร้องความแตกต่างหลากหลายได้ชัดในปลายศตวรรษที่ 20 (คือในยุค 1990s) ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันในกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่ม LGBTQ+ กลุ่มผู้พิการ ชนกลุ่มน้อย การต่อสู้เรื่องสิทธิพลเมือง สิทธิสตรี สิทธิมนุษยชน แม้กระทั่งสิทธิของสัตว์ เพื่อสร้างการยอมรับในศักดิ์ศรี เสรีภาพ และความเสมอภาคของความแตกต่างหลากหลายในสังคม (ไม่ใช่แค่เรื่องชนชั้นอย่างเดียว) มากขึ้น

ทั้งหมดนี้จึงนำมาสู่เรื่องที่สองที่อยากชวนพิจารณาร่วมกัน – นั่นคือคำถามที่ว่า, ‘ความสามัคคี’ แบบดั้งเดิมยังเป็นเรื่องจำเป็นอยู่อีกไหม ในโลกที่อุดมการณ์เปลี่ยนไปอย่างมาก

ในโลกยุคใหม่ คำที่อาจฟังดูมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า ‘สามัคคี’ ก็คือคำว่า ‘ฉันทามติ’

สองคำนี้ให้ ‘ผล’ ที่แลดูเหมือนกัน คือเกิดความสงบเรียบร้อยในการอยู่ร่วมกันหรือลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่แตกต่างกันมากก็คือ ‘วิธีการ’ ให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์นั้น

อย่างที่ตั้งข้อสังเกตไปตอนต้นว่า ความสามัคคีแบบดั้งเดิมมักมุ่งเน้นไปที่การกระทำเพื่อ ‘ส่วนรวม’ โดยผู้มีอำนาจมักออกมาบอกว่าต้องสามัคคีกันนะ บ้านเมืองจะได้สงบเรียบร้อย แต่ก็มักเป็นการเรียกร้องความสามัคคีแบบหลวมๆ ไม่มีนิยาม และมีลักษณะแบบบนลงล่าง เราจึงไม่เห็นภาพของการ ‘ถกเถียงสาธารณะ’ เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันเสียก่อนว่าจะสามัคคีเรื่องอะไร สามัคคีเพื่ออะไร เรื่องไหนสามัคคีได้ เรื่องไหนสามัคคีไม่ได้ และคำว่า ‘ผลประโยชน์ส่วนรวม’ ที่เกิดจากการเสียสละของคนไร้อำนาจนั้น สุดท้ายได้ถูกนำมา ‘เกลี่ยกระจาย’ ให้ทั่วถึงทั้งสังคมจริงหรือเปล่า หรือว่ากระจุกอยู่ในคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ ‘ได้ประโยชน์จากความสามัคคี’ เท่านั้น

ในขณะที่คำว่า ‘ฉันทามติ’ ของสังคมนั้นไม่เหมือนความสามัคคี แม้จะให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นสังคมที่คิดเห็นตรงกันคล้ายๆ สามัคคีกัน แต่ที่จริงแล้วเกิดจากการกำหนดประเด็นเพื่อนำมาแลกเปลี่ยน ถกเถียง และหาข้อสรุปร่วมกัน เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ ‘ทุกฝ่าย’ (ที่คิดเห็นแตกต่างกัน) ยอมรับได้ โดยอาจไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก่อให้เกิดข้อตกลงสุดท้ายที่ ‘อยู่ร่วมกันได้’ แม้รายละเอียดอาจแตกต่างกันไปบ้างก็ตามที

ฉันทามตินั้นสำคัญมากในกระบวนการประชาธิปไตยนะครับ เพราะแม้ประชาธิปไตยจะเน้นเรื่องความแตกต่างหลากหลาย แต่สุดท้ายถ้าสังคมจะขับเคลื่อนไปได้ ก็ต้องมีฉันทามติร่วมกันในเรื่องต่างๆ เพื่อให้คนอยู่กันได้อย่างสันติ โดยไม่จำเป็นต้องสงบเรียบร้อยเป็นระเบียบเหมือนแท่งไม้ที่เหมือนกันไปหมด

อีกเรื่องหนึ่งที่อยากชวนพิจารณาร่วมกันเป็นเรื่องที่สามก็คือ แล้วสังคมไทยในปัจจุบันมีความสามารถที่จะสร้าง ‘ฉันทามติ’ ร่วมกันได้หรือเปล่า โดยเฉพาะฉันทามติในสังคมการเมือง

ต้องยอมรับว่า สังคมการเมืองไทยในปัจจุบัน มีลักษณะแยกตัวออกไปเป็นกลุ่มความคิดที่ไม่ได้แตกต่างกันแค่ทาง ‘อุดมการณ์’ เท่านั้น แต่ยังแตกต่างลึกลงไปถึง ‘วิถีชีวิต’ อีกด้วย ความแตกต่างแบบนี้เรียกว่ามีลักษณะแบบชนเผ่าที่อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘ลัทธิเผ่า’ (tribalism) เลยทีเดียว

สมัยหนึ่ง ความแตกต่างทางอุดมการณ์ทางการเมืองมักไม่ได้แปลว่าเราจะต้องมีตัวตน อัตลักษณ์ วิธีคิด และไลฟ์สไตล์แตกต่างกันนะครับ แต่ในยุคนี้ เราจะเห็นได้ชัดเลยว่าคนที่อยู่ใน ‘ลัทธิเผ่า’ นั้น จะมี ‘ความภักดี’ ต่อกลุ่มของตนอย่างเหนียวแน่น (เรียกว่ามี in-group loyalty) ในทุกเรื่อง จนก่อให้เกิด ‘อัตลักษณ์’ (identity) และ ‘ไลฟ์สไตล์’ บางอย่างร่วมกันขึ้นมา คนที่อยู่ในลัทธิเผ่า บ่อยครั้งจะมีอคติในการมองโลก จนเกิดการมองแบบขาวจัดดำจัด มักคิดว่ากลุ่มของตนเหนือกว่าและถูกต้องเสมอ

ในลักษณะเช่นนี้ กลุ่มก้อนทางการเมืองไม่ได้เป็นแค่กลุ่มก้อนทางการเมืองอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็น ‘เผ่า’ ที่ต้องสนับสนุนและปกป้องสมาชิกในเผ่าอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู แถมยังมักมองว่าคนนอกเผ่าเป็นภัยคุกคามด้วย ในปัจจุบัน อัตลักษณ์เหล่านี้กินความไปจนถึงการ ‘พยุงเผ่า’ ของตัวเองให้อยู่ได้ในทางเศรษฐกิจด้วย เช่น คนในสังกัดของกลุ่มลัทธิเผ่าหลายกลุ่มนั้นจะซื้อหาและใช้สินค้าและบริการที่ ‘ชนชั้นนำ’ ในเผ่าของตัวเองผลิตขึ้นมาขายเท่านั้น จึงค่อยๆ ก่อให้เกิดอัตลักษณ์และไลฟ์สไตล์ของเผ่าขึ้นมา พร้อมกับช่วยสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของเผ่าไปด้วยพร้อมๆ กัน

จะว่าไป ลัทธิเผ่าที่ว่านี้แทบไม่ต่างจากการสร้าง ‘ความสามัคคี’ ในแบบดั้งเดิมสักเท่าไหร่ เพราะมันคือการ ‘สร้าง’ กลุ่มคนที่คิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน เกลียดเหมือนกัน รักเหมือนกันขึ้นมา แต่เนื่องจากกลุ่มลัทธิเผ่ามีขนาดเล็ก จึงก่อให้เกิด ‘ความเป็นเนื้อเดียวกัน’ ที่เข้มข้นมากกว่า ทว่าเป็นความสามัคคีแบบ ‘ล้นเกิน’ ที่มีมอบให้เฉพาะคนในเผ่าของตัวเองเท่านั้น ดังนั้นในภาพรวม หากเกิด ‘ลัทธิเผ่า’ ขึ้นมามากๆ ก็เป็นไปได้ที่สังคมในภาพใหญ่จะอยู่ร่วมกันได้ยากขึ้นเรื่อยๆ

คำถามสำคัญในที่นี้จึงคือ – แล้วจะทำอย่างไรให้ผู้คนที่สังกัดใน ‘ลัทธิเผ่า’ ที่แตกต่างหลากหลายนั้น สามารถพูดคุยกันได้ เพื่อให้สังคมที่แตกต่างหลากหลายสุดขั้วมากขึ้นนี้ สามารถขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้าได้

คำถามนี้มีได้หลายคำตอบ (เช่น การใช้ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนผ่านการเลือกตั้งที่ไม่ถูกรัฐประหารมาขัดขวาง) แต่คำตอบหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ ในการอยู่ร่วมกันอย่างแตกต่างหลากหลายนั้น ต้องมีการสร้าง ‘ฉันทามติ’ ขึ้นมาให้ได้ท่ามกลางความขัดแย้ง ซึ่งทำได้หลายแบบ เช่น สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกฝ่ายแสดงความคิดเห็นได้ รวมทั้งต้องเปิดกว้างรับฟังเหตุผลของกันและกัน โดยมุ่งเน้นไปที่ ‘เป้าหมาย’ เป็นเรื่องใหญ่ เช่น การแก้ปัญหา ไม่ใช่มุ่งโจมตีหรือ ‘เอาชนะ’ ฝ่ายตรงข้ามถ่ายเดียว

ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องระบุให้ได้ว่าอะไรคือ ‘ผลประโยชน์ร่วม’ หรือ ‘ผลประโยชน์สาธารณะ’ ที่สังคม ‘โดยรวม’ จะได้ประโยชน์ในแบบสาธารณะจริงๆ ไม่ใช่ให้ผู้คนเสียสละแล้วประโยชน์กลับไปตกกับคนแค่บางกลุ่มในแบบดั้งเดิม หรือยึดถือแต่ผลประโยชน์ของเผ่าจนมองข้ามประโยชน์สาธารณะไปได้หน้าตาเฉย

ทั้งความสามัคคีแบบดั้งเดิมและความสามัคคีแบบลัทธิเผ่านั้น มีเป้าหมายคล้ายกันคือการทำให้คนในสังคมหรือกลุ่มก้อนของตัวเองมีอัตลักษณ์ วัฒนธรรม และวิธีคิดที่เหมือนกันไปหมดจนเป็นเนื้อเดียวกัน

ลักษณะแบบนี้จะทำให้สังคมหา ‘ฉันทามติ’ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ยากเย็นยิ่ง!

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save