สักวันหนึ่งบุคคลอันเป็นที่รักของเราต้องจากไป หากคุณมีโอกาสดูแลบุคคลอันเป็นที่รักในยามที่เจ็บไข้ หากคุณมีโอกาสใช้ ‘ช่วงเวลาสุดท้าย’ กับบุคคลอันเป็นที่รักอย่างมีความหมายโดยไม่ต้องพะวงหน้าระแวงหลังกับหน้าที่การงาน – ยินดีด้วย คุณคือคนที่โชคดี
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่โชคดีเช่นนั้น หากยังจำกันได้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพิ่งมีข่าวพนักงานขอร้องและอ้อนวอนที่จะ ‘ลางาน’ เพื่อดูแลและดูใจบุพการีกำลังป่วยวาระท้าย แต่หัวหน้า -หรือใครก็ตามแต่ที่มีอำนาจ- กลับปฏิเสธอย่างเย็นชา ทั้งยังตอบกลับให้ลาออก แม้พนักงานจะแจ้งว่าบุพการีของเธอเสียชีวิตก็ตาม
ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่รับรองสิทธิ ‘ลาไปดูแล’ และ ‘ลาไปบอกลา’ อย่างเป็นทางการ ขณะที่สิทธิลากิจขั้นต่ำถูกกำหนดไว้ที่สามวันต่อปีเท่านั้น การลาลักษณะนี้จึงขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบริษัท ซึ่งคนทำงานจำนวนหนึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้ลาหยุดเพื่อดูแลและดูใจผู้ป่วยระยะสุดท้าย สร้างภาวะไร้ทางเลือกและส่งผลให้ต้องใช้สิทธิลาประเภทอื่นๆ อย่างที่ไม่ควรจะเป็น
เลวร้ายที่สุดคือเสียโอกาสในการดูแล เสียโอกาสในการใช้ชีวิตร่วมกันช่วงวาระท้าย และเสียโอกาสแม้กระทั่งการกล่าวคำอำลาก่อนจากกัน
นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาทางจิตใจ อันที่จริง การไร้สิทธิลาไปดูแลและลาไปบอกลาส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งในแง่ของความมั่นคงทางอาชีพ ตลอดจนประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วย หากจินตนาการผลกระทบข้อหลังไม่ออก ให้ลองนึกถึงการที่ผู้ป่วยต้องเลื่อนนัดแพทย์โดยอิงตามวันว่างของคนทำงาน ส่งผลให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการสุขภาพช้าลงและอาจทำให้อาการลุกลามจนไม่ทันได้รักษา
“พ่อล้มระหว่างไปโรงพยาบาลตามนัดคนเดียว” “ไม่มีคนพาแม่ไปหาหมอเพราะไกล จนต้องเลื่อนนัดพบแพทย์” “ยายไม่เข้าใจสิ่งที่หมออธิบาย กลับบ้านมาบอกญาติไม่ถูก ส่งผลต่อการรักษา” เหล่านี้คือตัวอย่างผลกระทบที่คนทำงานต้องเผชิญ ทั้งนี้ ผลสำรวจความต้องการสิทธิลาไปดูแลและลาไปบอกลาของคนทำงาน จัดทำโดยทีมงาน Peaceful Death พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 51%[1] ไม่ได้รับสิทธิลาไปดูแล ต้องใช้สิทธิลากิจไปดูแลแทน
วันที่ 17 มิถุนายน 2568 เครือข่ายผู้สนับสนุนการดูแลแบบประคับประคองจึงยื่นหนังสือต่อบอร์ดประกันสังคม เรียกร้องสิทธิลาไปบอกลาจำนวน 30-60 วันต่อปี โดยต้องได้รับเงินชดเชยเต็มจำนวนเช่นเดียวกับที่ผู้ประกันตนได้รับจากสิทธิลาป่วยหรือลาคลอด และไม่กระทบต่อสถานการณ์จ้างงาน เพื่อคุณภาพชีวิตผู้ป่วยระยะท้ายให้ได้จากไปอย่างสงบสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตลอดจนเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงของคนทำงาน
อ.นพ.อิทธิพล วงษ์พรหม แพทย์เวชศาสตร์ประคับประคอง ภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี คือหนึ่งในสมาชิกที่ร่วมยื่นหนังสือ วันโอวันเดินทางไปพูดคุยกับคุณหมอเพื่อบทสนทนาสำคัญนี้

ประทับใจที่เห็นบุคลากรทางการแพทย์ให้ความสำคัญกับนโยบายลาไปดูแลและลาไปบอกลา ซึ่งเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์มากๆ ในฐานะหมอคุณมีวิธีทำความเข้าใจประเด็นเหล่านี้อย่างไร
เป็นมายาคติ (myth) ประมาณหนึ่งที่สังคมมักจะมองคนสายสุขภาพเป็นเด็กเนิร์ดที่รู้จักแต่วิทยาศาสตร์ ไม่คุ้นเคยกับสังคมศาสตร์ แต่จริงๆ แล้วเราต้องเรียนสังคมศาสตร์เยอะมากตอนที่เรียนหมอหกปี โดยเฉพาะช่วงที่ผมเรียนต่อเวชศาสตร์ครอบครัวซึ่งมีกรอบแนวคิดดูแลคนไข้แบบองค์รวม เพราะฉะนั้นจึงต้องเข้าใจมิติด้านสังคมและจิตใจของคนไข้ด้วย ดังนั้น ประเด็นด้านสังคม รวมถึงประเด็นด้านอื่นๆ นอกจากทางร่างกายจึงอยู่ในสมรรถนะที่เราต้องดูแล จึงเป็นที่มาว่าหมอก็ต้องทำความเข้าใจมิติเหล่านี้เช่นกัน ไม่ว่าจะความตาย การเกิด หรือความหมายของการชีวิตอยู่ และถ้ามองกรอบของคำว่า ‘สุขภาพ’ จะพบว่ามีความหมายรวมถึงมิติเหล่านี้ด้วย กล่าวคือสุขภาพนั้นไม่ใช่แค่สุขภาพทางกาย แต่รวมถึงสุขภาพทางใจและสุขภาพทางจิตวิญญาณ
โรงเรียนแพทย์สอนให้คุณเข้าใจมิติเหล่านี้อย่างไร อย่างคำถามเรื่องความหมายของการมีชีวิตอยู่ แม้กระทั่งในเชิงปรัชญายังถกเถียงกันไม่มีที่สิ้นสุด
โรงเรียนแพทย์ก็สอนตามที่นักปรัชญาสอนนั่นแหละ เราศึกษาว่ามีนักคิดและวิธีคิดหลายแบบ กรอบของปรัชญาคืออะไรบ้าง หนึ่ง สอง สาม สี่ จากนั้นก็ให้ลองนำกรอบวิธีคิดเหล่านี้มาสังเกตและอธิบายตนเอง เพื่อทำความเข้าใจตนเองมากขึ้น และนำไปสู่การทำความเข้าใจคนอื่น ทำความเข้าใจว่ามีคนที่คิดต่างจากเรา และทำความเข้าใจว่าแต่ละคนมีความแตกต่างกัน
แต่อาจจะไม่ใช่หมอทุกคนที่สนใจประเด็นเชิงสังคม
ใช่ หมอบางคนก็ชอบทำคลอด หมอบางคนก็ชอบผ่าตัด แต่ละคนก็จะมีประเด็นและความถนัดที่ไม่เหมือนกัน
อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณมองว่าสิทธิลาไปดูแลและลาไปบอกลาคือเรื่องสำคัญและต้องเป็นสิทธิที่ถูกรับรองในประเทศไทย
ตอนที่ผมไปเรียนต่อด้านเวชศาสตร์ประคับประคองที่ประเทศแคนาดา ผมไม่ค่อยรู้และเข้าใจว่านโยบายเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ ญาติคนไข้ที่นู่นสามารถลางานไปดูแลผู้ป่วยได้ หมอก็ไม่ต้องเขียนเอกสารอะไรมากมาย เขียนแค่ใบรับรองแพทย์ว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไรเท่านั้น จนทำงานมาเรื่อยๆ ในประเทศไทยก็เข้าใจสถานการณ์ ญาติคนไข้มักจะถามผมว่า “พ่อเหลือเวลาอีกเท่าไหร่”
ในทางการแพทย์ก็จะมีวิธีตอบ โดยปกติเราจะทำความเข้าใจก่อนว่าคำถามมีที่มาที่ไปอย่างไร อะไรอยู่เบื้องหลังคำถามเหล่านั้น ในกรณีที่ญาติคนไข้ต้องการวางแผนลางาน ผมก็จะบอกตามข้อมูลที่มีและการประเมิน เช่น อาจจะมีระยะเวลาประมาณนี้นะ หลักวันแบบนี้ หลักชั่วโมงแบบนี้ ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือแบบนี้ เพื่อให้ญาติคนไข้ตัดสินใจ
บางครั้งญาติคนไข้ไม่ได้ต้องการอะไร เขาปรับตัวได้และรู้ดีว่าคนสำคัญใกล้เสียชีวิต เขาเพียงแค่อยากรู้ว่าตัวเองจะต้องลางานวันไหนเพื่อให้สามารถอยู่ในช่วงสุดท้ายก่อนจากกันได้ ผมรู้สึกว่าคำถามลักษณะนี้น่าสนใจ และเจอบ่อยๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
มีเคสไหนไหมที่เป็นแรงบันดาลใจหรือทำงานกับคุณมากๆ จนทำให้อยากผลักดันนโยบายนี้
ผมโชคดีที่ไม่เคยเจอเคสญาติคนไข้โดนไล่ออกจากงาน แต่ไม่นานมานี้เพิ่งมีข่าวคนทำงานโดนให้ลาออกเพราะแม่เสียชีวิต ผมไม่เคยเจอกับตัวจึงไม่รู้รายละเอียด แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นอย่างมาก พ่อแม่เราตายครั้งเดียว ผมจึงตั้งคำถามว่านายจ้างหรือหัวหน้าต้องทำขนาดนี้เลยหรือไม่ ส่วนเคสที่ทำงานกับความรู้สึกผมเยอะคงจะเป็นเคสที่เล่าตอนต้น เรื่องญาติคนไข้ถามว่าควรต้องลางานเมื่อไหร่ ส่วนใหญ่ผมจะเจอแบบนี้ บางคนอยู่ต่างจังหวัดหรืออยู่ต่างประเทศก็จะคอยถามว่าต้องลางานกลับมาเมื่อไหร่
เมื่อคนที่รักป่วยหรือใกล้จากไป บางคนจะเลือกทิ้งงานไปก่อน ถ้าหลังจากนั้นถูกต่อว่า ไม่ปรับเงินเดือน ไม่ได้ค่าจ้าง หรือมีผลกระทบเรื่องการจ้างงานอื่นๆ ก็มองว่าไม่เป็นไร ปัญหาคือเราไม่อยากให้เขาต้องตัดสินใจแบบนั้น สังคมควรมองสิทธินี้เป็นเรื่องเดียวกับหลักประกันในชีวิตอื่นๆ เช่น หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นต้น เนื่องจากสิทธิลาไปดูแลและลาไปบอกลาเปรียบเสมือนตาข่ายความปลอดภัย (safety net) ที่ปล่อยให้คนทำงานและใช้ชีวิตต่อไป แต่หากถึงจังหวะที่คุณตกลงมาเมื่อไหร่ ก็จะเจ็บน้อยลงหน่อย และยังมีความมั่นคงในอาชีพการงาน
คุยไปคุยมารู้สึกว่าการลาไปดูแลและลาไปบอกลากลายเป็นสิทธิพิเศษ (privilege) ของบางคน เพราะไม่ใช่ทุกคนที่สามารถลางานได้จริงๆ
ถูกต้อง คือเวลาคุยเรื่องนี้ก็มักจะมีคนบอกว่า “โชคดีที่บริษัทเข้าใจ” หรือ “บังเอิญบริษัทเข้าใจ” จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ มันคือสิทธิพิเศษหรือ privilege ที่คุณมีโอกาสอยู่บริษัทที่สวัสดิการดี คำถามคือใครจะปกป้องลูกจ้างในบริษัททั่วไป ซึ่งเวลาพูดถึงลูกจ้าง เราก็มักจะนึกถึงผู้ใช้แรงงานหรือคนหาเช้ากินค่ำ แต่จริงๆ ลูกจ้างประกันสังคมคือพนักงานออฟฟิศ มันคือเรื่องใกล้ตัวมาก แต่บางคนอาจมองไม่เห็นภาพนั้น

ทำไมสิทธิลาไปดูแลและลาไปบอกลาถึงไม่ควรเป็นเพียง ‘ความใจดี’ ส่วนบุคคลของนายจ้าง แต่ควรเป็นสิทธิที่ถูกรับรองอย่างจริงจัง
สิทธิลาประเภทนี้ในภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า ‘compassionate leave’ ผมชอบคำนี้มาก เพราะคำแรกมีความหมายว่าความเห็นอกเห็นใจ ผมว่าสิทธิควรต้องวางอยู่บนพื้นฐานหลักคิดนี้ก่อน และต้องตระหนักว่าสังคมมีคนตาย พ่อแม่ของเราสักวันหนึ่งก็ต้องตาย เรื่องเหล่านี้คือปัญหาที่ทุกคนต้องเจอ ดังนั้น ถ้าเราอยากอยู่ในสังคมที่มีความเห็นอกเห็นใจกัน ก็ควรจะมีสิทธิเหล่านี้
ประเทศไทยควรให้สิทธิลาไปบอกลาและลาไปดูแล เพราะช่วงเวลาสุดท้ายเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ในมุมของคนที่ทำงานด้านเวชศาสตร์ประคับประคอง มันคือช่วงเวลาทองสุดท้ายของทุกคนที่จะได้ลาคนที่รักและได้ให้การดูแล และแน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถอยู่โรงพยาบาลตลอดเวลาหรือสามารถจ้างผู้ดูแล
การดูแลไม่ใช่เรื่องง่าย การรับมือกับความสูญเสียก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอีก นี่คือสิ่งที่สังคมจะให้กันได้ง่ายที่สุด กล่าวคือแค่ตกลงกันว่าหากคุณสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก คุณก็ยังไม่ต้องทำงานในตอนนี้ ไปจัดการเรื่องของตัวเองให้เรียบร้อยก่อน ผมว่านี่คือขั้นต่ำที่สุดที่สังคมควรจะตกลงกัน
เมื่อกี้คุณเรียกช่วงเวลาสุดท้ายว่า ‘เวลาทอง’ ทำไมช่วงเวลานี้ถึงเป็นเวลาทอง มันสำคัญอย่างไรกับทั้งคนดูแลและคนจากไป
มีสองประเด็น หนึ่งเพราะช่วงเวลาสุดท้ายเป็นช่วงเวลาที่ต้องการการดูแลทางกาย ในวาระท้ายบางคนจะมีอาการรบกวน เช่น ปวด เหนื่อย และต้องได้รับการดูแลอาการเหล่านี้ ยังไม่รวมการจัดเตียง พลิกตัว หรือให้ยา ซึ่งคุณไม่สามารถทิ้งผู้ป่วยไว้ที่บ้านคนเดียวแล้วไปทำงาน มันไม่ใช่แค่ไข้หวัดที่อาการเล็กน้อย
ประเด็นที่สอง มันคือวันสุดท้ายแล้ว เขาจะไม่ได้อยู่กับเราอีกแล้ว คำว่าเวลาทองคือโอกาสที่จะได้จัดการกับความสัมพันธ์ เช่น บางครอบครัวมีความขัดแย้ง มีความไม่เข้าใจ หรือมีสิ่งที่ยังต้องคุยกัน หากจากกันจะไม่มีโอกาสคุยหรือจัดการอีก
ผมเห็นเยอะมากที่ครอบครัวสมานฉันท์กันได้ในช่วงสุดท้าย ได้คืนดี ได้ทำความเข้าใจ ได้จัดการความสัมพันธ์ และได้สั่งเสีย แล้วคนไข้ก็จากไปอย่างสงบ ช่วงเวลานี้คือโอกาสที่ครอบครัวจะได้จัดการความสัมพันธ์ก่อนเสียชีวิต ผมจึงเรียกมันว่าเวลาทอง
ในทางการแพทย์ วาระท้ายที่ดีหรือการมีเวลาให้กันในช่วงสุดท้ายมันมีความหมายและมีคุณค่ากับมนุษย์อย่างไร
หากตอบแบบวิชาการ กรอบแนวคิดหนึ่งที่อธิบายสุขภาพได้ดี คือสุขภาพประกอบด้วยกาย จิตใจ จิตวิญญาณ และสังคม ซึ่งจิตวิญญาณกับจิตใจก็เป็นส่วนหนึ่งของสุขภาพ และสุขภาพก็ไม่ได้หมายถึงแค่การไม่ป่วย แต่คือการมีสุขภาวะ (well-being) ที่ดีในทุกมิติ
หากขยายความให้เข้าใจง่าย คำว่าจิตวิญญาณคือการหาว่าความหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไร และเมื่อเดินทางมาถึงระยะสุดท้าย มนุษย์มักจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าเขาคือใคร เขามีความหมายอย่างไรต่อโลกใบนี้ เขามีความหมายอย่างไรต่อคนรอบตัว คนรอบตัวมีความหมายอย่างไรต่อเขา ทำไมเขาถึงมาอยู่ตรงจุดนี้ หากเขาจากโลกนี้ไปแล้วอย่างไรต่อ เป็นต้น นี่คือสิ่งที่มนุษย์ต้องใคร่ครวญเมื่อเข้าสู่ระยะสุดท้าย
หากถามว่าทำไมเราต้องมีชีวิตที่มีความหมาย (meaningful life) ก็ถ้าเราไม่มีชีวิตที่มีความหมายเลย เราก็อาจจะไม่มีชีวิตตั้งแต่ต้น คุณค่าความหมายเหล่านี้คือมิติหนึ่งในสุขภาวะและเป็นธรรมชาติของมนุษย์
รายละเอียดของนโยบายลาไปดูแลและลาไปบอกลาคืออะไร
ในเชิงเทคนิคอาจขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่รับลูกต่อ ไม่ว่าจะรัฐบาล ภาคประกันสังคม หรือภาคอื่นๆ ว่าจะออกแบบนโยบายนี้อย่างไร แต่หากหลักการชัด กล่าวคือความต้องการให้มีสิ่งนี้เกิดขึ้นมันชัด ในทางปฏิบัติก็จะออกมาง่ายขึ้น
รายละเอียดของนโยบายมีหลายแบบ แต่ละประเทศก็แตกต่างกัน ผมยกตัวอย่างประเทศแคนาดาที่มีสองแบบ แบบแรกคือให้สิทธิลาได้สองแบบ จะลาไปดูแลคนไข้ป่วยหนักหรือลาไปดูคนไข้ระยะสุดท้ายที่ใกล้เสียชีวิตก็ได้ เป็นสิทธิการลาที่จะไม่โดนเลิกจ้าง แต่ก็จะไม่ได้เงินชดเชย แบบที่สองคือให้สิทธิลาได้สองแบบเช่นกัน โดยที่ได้เงินชดเชยระหว่างการลา
ลาไปดูแลอาจมีรายละเอียดต่างจากลาระยะสุดท้าย นโยบายอาจกำหนดให้ลาไปดูแลได้เพียงคนไข้ที่ป่วยหนัก เข้าไอซียู หรือไม่รู้จะเป็นอย่างไรจึงต้องลาไปจัดการและตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาทางการแพทย์ ส่วนการลาไปบอกลาคือการลาเพื่อไปดูคนไข้ระยะท้ายจริงๆ อย่างไรก็ตาม การลาทั้งสองแบบมีความคล้ายคลึงกันอยู่ นอกจากนี้ เราไม่รู้ว่าการป่วยหนักจะเคลื่อนสู่การเป็นผู้ป่วยระยะท้ายหรือไม่ ในความเป็นจริงมันบอกไม่ได้ว่าคนไข้รายนี้ป่วยหนักหรือกำลังจะตาย บอกไม่ได้ว่าการอยู่ห้องไอซียูคือป่วยหนักหรือกำลังจะตาย มันอาจจะรวมกันก็ได้
ในทางปฏิบัติจึงขึ้นอยู่กับว่าจะกำหนดรายละเอียดอย่างไร บางประเทศกำหนดเพดานการลาไว้หกเดือน โดยระบุว่าจะลาแบบไหนก็ได้ สมาชิกครอบครัวกี่คนรวมกันก็ได้ แต่ระยะเวลารวมกันนั้นต้องไม่เกินหกเดือน ไม่ว่าจะลาไปดูแลหรือลาไปบอกลา เป็นต้น
คุณประเมินว่าฝั่งประกันสังคมจะรับลูกนโยบายอย่างไร
ผมได้ยินว่าเขารับเรื่องและคงพูดคุยในบอร์ดสิทธิประโยชน์ต่อไป ส่วนรายละเอียดนโยบายคงขึ้นอยู่กับทางนู้น มันคงบอกยาก แต่ผมก็อยากเห็นจำนวนวันลาประมาณ 30 วัน ซึ่งผมเข้าใจว่าจำนวนวันลา 15 วันอาจเป็นตัวเลขที่หลายฝั่งสบายใจที่จะคุยต่อ
แต่แหม… 30 วันใน 70 ปี คนสำคัญอยู่มาตั้ง 70 ปีแน่ะ เขาขอแค่ 30 วันสุดท้ายเพื่อไปดูแลพ่อแม่ที่อยู่มาขนาดนี้เท่านั้นเอง

บางคนตั้งคำถามว่านโยบายนี้อาจเปิดช่องให้คนฉวยโอกาสลางานโดยไม่มีญาติป่วย หรือลางานเรื่อยๆ อย่างไม่มีสิ้นสุด นโยบายต้องกำหนดเงื่อนไขเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร
นโยบายต้องเกิดจากข้อตกลงระหว่างหลายฝ่าย ไม่ว่าจะหน่วยงานรัฐ นายจ้าง ลูกจ้าง และทีมนักวิชาการ มันควรจะตั้งต้นด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนทุกฝ่ายมากที่สุด และอาจไม่ควรตั้งต้นด้วยการคิดว่าต้องมีข้อยกเว้นหรือกีดกันคนบางกลุ่ม อย่างกรณีลาป่วย มันมีคนที่โกหกและใช้สิทธิลาป่วยก็จริง แต่ก็ขึ้นอยู่กับหลักคิดว่าถ้ามันเป็นสิทธิ ถ้าพนักงานแค่รู้สึกไม่สบายหรือไม่แข็งแรงพอที่จะทำงานวันนี้ เขาก็ควรได้ใช้สิทธิลาป่วย ตราบใดที่จำนวนสิทธิยังเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติก็อาจต้องกำหนดเพดาน คงไม่ได้อนุญาตให้ลางานสองสามปีไปเรื่อยๆ และคงต้องกำหนดช่วงเวลาว่าลาได้กี่วันต่อปี หากเกินจำนวนวันเหล่านี้ก็ต้องใช้สิทธิลาประเภทอื่นแทน และอีกประเด็นที่น่าจะพอช่วยได้คืออาจต้องมีหลักฐานเบื้องต้นที่แสดงว่าป่วยหนักจริงหรือมีอาการระยะสุดท้ายจริง
คนทำงานจำนวนมากกังวลว่าการลา (แม้จะเป็นสิทธิลาตามกฎหมายก็ตาม) จะส่งผลต่อความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน โบนัส และเงินเดือนในอนาคต นโยบายจะรับรองอย่างไรว่าการลาจะไม่มีผลต่อความกังวลเหล่านี้
เราจะเคยได้ยินประโยคทำนองว่า “พี่ไม่เคยลาเลยนะ” หรือ “ใครไม่ใช้วันลาป่วยหรือลากิจจะได้โบนัส” ประโยคทำนองนี้อาจกำลังส่งเสริมว่าใครที่บังเอิญเกิดมาโชคดีกว่า ก็จะมีอาชีพการงานที่ก้าวหน้ากว่า ทั้งยังส่งเสริมให้คนป่วยมาทำงานแล้วแพร่เชื้อ หรือทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ผมคิดว่านี่คือค่านิยมที่สังคมเราควรต้องปรับเปลี่ยน
สิทธิลาไปดูแลและลาไปบอกลาจะผลักดันให้บริษัทหรือหน่วยงานกำหนดกติกา ว่าการลาประเภทนี้ไม่ควรถูกนับเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ก่อนที่ประเทศไทยจะมีสิทธิลาคลอด ก็ต้องผ่านการขับเคลื่อนและผลักดันอย่างหนักโดยที่ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย ปัจจุบันคงไม่ค่อยมีคนถามกันแล้วว่าลาคลอดแล้วจะไม่ได้ขึ้นเงินเดือนหรือเปล่า เรื่องนี้ก็ควรไปสู่จุดนั้นเหมือนกัน ลาไปดูแลคือลาไปดูแล ลาไปบอกลาคือลาไปบอกลา จบ ไม่ควรต้องมีใครมาถามอะไรอีก
ผลกระทบต่อผู้ดูแลและผู้ป่วย จากการที่สังคมไทยไม่รับรองสิทธิลาไปบอกลาและลาไปดูแลคืออะไร ทั้งในแง่ของการกระบวนการรักษาและมิติทางอารมณ์
การรักษาจะเป็นไปได้ยากมากหากผู้ป่วยขาดผู้ดูแล โดยเฉพาะผู้ดูแลที่เป็นคนในบ้าน สมมติคนไข้ป่วยเป็นมะเร็งปอด มีอาการปวดเยอะ และต้องกลับไปอยู่ที่บ้าน หมอบอกคนไข้ว่าหากปวดให้กินยาตัวนี้อยู่บ้าน หากไม่ไหวให้มาโรงพยาบาล คำถามคือถ้าคนไข้อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีผู้ดูแล ใครจะคอยป้อนยา ใครจะคอยถามว่าไหวหรือไม่ ใครจะคอยสังเกตอาการว่าซึมหรือไม่ มันไม่สามารถตั้งกล้องเหมือนดูแมวได้ แค่นี้ก็ลำบากแล้ว
คนไข้บางคนไม่มีคนพามาโรงพยาบาล นัดบ่อยก็ไม่ได้ คนไข้ระยะท้ายเป็นคนไข้ที่ต้องการการดูแลใกล้ชิดประมาณหนึ่ง เนื่องจากอาการเปลี่ยนแปลงเร็ว บางครั้งหมอนัดให้มาพบในอีกหนึ่งสัปดาห์เพราะอยากรู้ว่ายาที่ให้ไปเพียงพอสำหรับคนไข้หรือไม่ หากไม่เพียงพอจะได้ปรับยา หากปรับยาเร็ว คนไข้ก็สบายตัวเร็ว แต่บางครั้งคนไข้ไม่มีลูกหลานพามาและไม่มีคนดูแล พอถามคนไข้ว่าทำอย่างไร เขาก็ตอบว่าไม่เป็นไร อดทนไปก่อนให้ครบหนึ่งเดือน เพราะหนึ่งเดือนลูกลาได้แค่หนึ่งครั้ง นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนมาก
หากไม่มีนโยบายนี้ คำถามคือครอบครัวของคนไข้ระยะท้ายที่ใกล้เสียชีวิตในหลักวันจะทำอย่างไร เขาต้องทำงานเรื่อยๆ จนกระทั่งวันสุดท้ายถึงจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันจริงๆ หรือ บางคนต้องมานั่งอธิบายกับนายจ้างอีกว่า ‘ไม่ไหว’ ของพ่อแม่คืออะไร ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งอธิบายกันแล้ว และพูดกันตรงๆ เราก็ไม่อยากดูใจตอนที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัวแล้วหรือเปล่า ถึงเวลานั้นจะทำอะไรล่ะ อาจได้แค่แตะๆ เขี่ยๆ เราคงอยากดูใจในช่วงที่ผู้ป่วยยังพอคุยรู้เรื่อง ยังสั่งเสียได้ และยังทำให้การบอกลาไม่ใช่แค่ดราม่าละคร แต่เป็นการบอกลาจริงๆ
ทั้งนี้ การบอกลาในมิติสุขภาพก็มีความหมาย ต้องอธิบายว่าอาการทางกาย หมอให้ยาแก้ปวดได้ แต่สำหรับอาการทางใจหรือทางความสัมพันธ์ หมอไม่สามารถจ่ายยามอร์ฟีนให้กินแล้วหาย มันต้องการการคุยและการเคลียร์ใจกันก่อนตาย ช่วงเวลาวาระท้ายจึงเป็นช่วงเวลาทอง เพราะคนที่ไปแล้วก็ไปเลย แต่คนที่ยังอยู่นั้นก็ยังอยู่ มันคงมีอะไรบางอย่างที่ต้องการพูดคุยหรือสั่งเสีย ผมมองว่าถ้าไม่มีนโยบายเหล่านี้ก็จะไม่มีช่วงเวลาที่ได้รับการคุ้มครอง (protect time) ให้สมาชิกครอบครัวได้จัดการกับเรื่องเหล่านี้เลย
นอกจากนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำใจได้กับการจากไปของคนที่รัก ทางการแพทย์จะมีภาวะการปรับตัวที่ผิดปกติจากการสูญเสีย (abnormal grive) โดยปกติคนเราจะรู้สึกอาลัยเมื่อสูญเสียอะไรไป แต่ก็มักจะปรับตัวได้ ทว่าสำหรับบางคนแม้จากกันแล้วเป็นปีก็ยังรู้สึกโศกเศร้าอยู่ เกิดภาวะซึมเศร้า และไม่สามารถปรับตัวได้ ซึ่งการเตรียมตัวก่อนการสูญเสียที่ดีจะสามารถลดและป้องกันภาวะเหล่านี้ได้ด้วย
ขณะเดียวกัน สิทธิเหล่านี้จะสร้างประโยชน์ต่อระบบสาธารณสุขในภาพรวมอย่างไร
ในระยะสั้นที่สุดและเห็นชัดที่สุดคือคุณภาพการดูแลจะดีขึ้น มันอาจขยายความเยอะไปหน่อย แต่ผมคิดว่าเมื่อระบบเอื้อให้สมาชิกครอบครัวสามารถลางานไปดูแลผู้ป่วยมากขึ้น ผู้ดูแลก็อาจมีสุขภาพใจที่ดีขึ้น คนไข้อาจมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวดีขึ้น ผมว่าสิทธิเหล่านี้จะเติมเต็มระบบการดูแลและระบบผู้ดูแลในภาพรวมได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน สิทธิเหล่านี้อาจช่วยลดภาระทางสาธารณสุขได้ ต้องเล่าว่ามีหลายเคสที่ขอฝากคนไข้ที่โรงพยาบาลเพราะดูแลที่บ้านไม่ได้ อันที่จริงโรงพยาบาลไม่ได้รับฝาก แต่จะให้ทำอย่างไร เราไม่สามารถไล่คนไข้ออกไป เราจึงต้องปรึกษาพูดคุยกันว่าจะทำอย่างไรให้คนไข้กลับไปอยู่บ้านได้ และอย่าลืมว่าการคุยกันหนึ่งครั้งไม่ได้จบลงภายในห้านาที การคุยในโรงพยาบาลอาจต้องใช้หมอ 4-5 คน พยาบาลอีกไม่รู้เท่าไหร่ ที่พูดคือไม่ได้จะบอกว่าโรงพยาบาลไม่อยากรักษา แต่ประเด็นคือคนไข้อยากอยู่บ้านแต่ไม่มีผู้ดูแล
ส่วนประเด็นอื่นๆ ในระดับภาพรวม สมมติเราไม่มีสมาชิกครอบครัวคอยดูแล บางครอบครัวก็อาจต้องจ้างผู้ดูแลมาดูแล ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนหนึ่ง ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็จะเพิ่มขึ้น หากบ้านไหนไม่สามารถจ่ายเงินได้ก็จะขาดผู้ดูแล และสุขภาพของผู้ป่วยก็จะแย่ลง
คนทำงานสาธารณสุขมีท่าทีต่อนโยบายนี้อย่างไรบ้าง
ผมคิดว่าคนทำงานภาคสาธารณสุขส่วนใหญ่มักจะเห็นด้วย เพราะเราเจอปัญหาที่เกี่ยวข้องกับนโยบายนี้อยู่เรื่อยๆ เราเจอสถานการณ์ที่ต้องหาทางออกว่าจะทำอย่างไรกับคนไข้ มันคือสิ่งที่เจอทุกเมื่อเชื่อวัน ส่วนในระดับภาคนโยบายหรือหน่วยงาน ก็คงต้องรอแต่ละหน่วยงานว่าจะมีท่าทีเชิงนโยบายอย่างเป็นทางการอย่างไร แต่เท่าที่ทราบคือหลายภาคส่วนก็เห็นด้วยเชิงนโยบายและหลักการ

ในเชิงหลักการคงมีหลายคนสนับสนุนแน่ แต่ความท้าทายสำคัญคือจะทำอย่างไรให้นายจ้างเห็นด้วยกับสิทธิลาเหล่านี้ – นายจ้างบางคนได้ยินคำว่า ‘ลา’ เฉยๆ ยังแทบจะทนไม่ได้ด้วยซ้ำ
วันที่ไปยื่นหนังสือให้บอร์ดประกันสังคม ผมคิดว่าฝั่งนายจ้างเองก็เข้าใจในหลักการและเข้าใจถึงความสำคัญของโนบาย ผมคิดว่านายจ้างเองก็มีพ่อและแม่ วันหนึ่งเขาก็ต้องเผชิญสถานการณ์เหล่านี้ ไม่ว่าจะนายจ้าง ลูกจ้าง หรือรัฐบาล เราทุกคนอยู่บนฝั่งเดียวกันในเรื่องนี้ ความตายของบุคคลสำคัญในครอบครัวนั้นเป็นสากล มันจึงควรเป็นกติกาที่สังคมตกลงว่าจะให้สิทธิกัน
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้อาจตั้งคำถามว่า แล้วคนที่ไม่ได้มีญาติที่รักให้ต้องบอกลาจะได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งนี้
ผมก็ท้องไม่ได้นี่ครับ เราทุกคนจะได้รับประโยชน์จากนโยบายใดนโยบายหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งนโยบายควรจะเป็นตาข่ายความปลอดภัย (safety net) ให้กับประชาชนทุกคนในสังคม
แล้วเสียงแย้งนโยบายนี้ในมิติอื่นๆ หน้าตาเป็นอย่างไร พวกเขาเห็นต่างด้วยวิธีคิดแบบไหน
ผมชอบเห็นคอมเมนต์ประมาณว่า “แค่นี้นายจ้างก็จะตายอยู่แล้ว”
คุณอยากตอบกลับความเห็นนี้อย่างไร
ทุกคนดูเห็นอกเห็นใจนายจ้างและดูเป็นห่วงนายจ้าง ผมเคยดูคลิปหนึ่ง จริงๆ ไม่ค่อยเกี่ยวกับประเด็นนี้โดยตรง แต่ก็เป็นคลิปที่ถูกวิจารณ์และเรียกร้องสิทธิแรงงาน เข้าใจว่าเป็นยูทูบที่นายจ้างบ่นว่าสิทธิแรงงานกระทบกับนายจ้าง ซึ่งมุมหนึ่งเข้าใจมากเพราะก็มีเพื่อนที่ทำธุรกิจ แต่แรงงานไม่ใช่แค่ตัวเลขไง ไม่ใช่แค่เกมที่ซื้อคนมาแล้วคิดเป็นจำนวนเงินเท่านั้น ขณะที่ฉากหลังที่นายจ้างคุยกันในคลิปวิดีโอคือฉากที่เขาเที่ยวอยู่ต่างประเทศ คำถามคือแรงงานไปเที่ยวไกลสุดได้แค่ไหน สวนจตุจักรหรือครับ มันอดไม่ได้ที่จะคิดว่า โอ๊ย ทุกคนดูเป็นห่วงนายจ้างเนอะว่าจะไม่มีเงินไปเที่ยวญี่ปุ่น นี่คือสิ่งที่คิดในหัว (ยิ้ม)
คนจำนวนหนึ่งมักจะเห็นใจนายจ้างเมื่อเกิดนโยบายลักษณะนี้ ผมเข้าใจว่าถ้าไม่มีนายจ้าง ลูกจ้างก็อยู่ไม่ได้ แต่บริษัทหลายแห่งก็สามารถทำตามมาตรฐานสิทธิแรงงานระดับโลกและมีสวัสดิการที่ดีให้แก่ลูกจ้างโดยที่ก็ดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งพอสวัสดิการดี พนักงานก็ทำงานแบบไม่ต้องระวังหลัง
หลังจากยื่นหนังสือแก่บอร์ดประกันสังคม คุณและเครือข่ายวางแผนถัดไปอย่างไรบ้าง มีแผนจะเรียกร้องสิทธิให้ครอบคลุมแรงงานนอกประกันสังคมด้วยหรือไม่
ที่เรายื่นไปครั้งแรกคือข้อเสนอในหลักการและเสียงสนับสนุนจากภาคประชาชน ว่านโยบายเหล่านี้คือสิ่งที่จำเป็นต้องพูดคุยกัน เท่าที่ผมเข้าใจคือมีทีมทำนโยบายที่กำลังคุยกับหลายภาคส่วน เช่น อาจดึงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยประคับประคองมาทำนโยบาย เพื่อเพิ่มทางเลือกในรายละเอียดมากขึ้น
ผมคิดว่าประกันสังคมอาจต้องคุยกันต่อว่าทางเลือกจะเป็นอย่างไรบ้าง สิทธิลาเหล่านี้ควรอยู่ในสิทธิประโยชน์ไหน และต้องครอบคลุมอย่างไร นอกจากนี้ เรายังไม่ได้พูดถึงข้าราชการซึ่งไม่ใช่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ข้าราชการก็ยังต้องใช้สิทธิลากิจ ซึ่งหลักการลาไปบอกลาและลาไปดูแลก็ควรจะเป็นหลักการเดียวกันสำหรับประชาชนทุกคน ผมคิดว่าควรต้องขับเคลื่อนไปทางฝั่งข้าราชการด้วยเช่นกัน
อะไรคือสิ่งที่ภาคสาธารณสุขต้องพัฒนาและปรับปรุงเพิ่มเติม เพื่อให้นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการตายดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น
โอ้โห คำถามนี้น่าจะเป็นวิทยานิพนธ์ได้เล่มหนึ่งเลยนะ (หัวเราะ) สิ่งแรกคือภาคสาธารณสุขคงต้องใจเย็นๆ และทำความเข้าใจกับรายละเอียดเชิงเทคนิคที่จะออกมาคู่กับนโยบาย ยกตัวอย่างเช่น นโยบายลาไปดูแลและลาไปบอกลา สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่ๆ คืออาจต้องมีเอกสารทางการแพทย์บางอย่าง อาทิ ใบรับรองแพทย์ เป็นต้น ซึ่งผมอยากบอกว่าไม่ต้องกังวลว่าถ้าออกไปแล้วเขาไม่ตาย เพราะไม่มีใครทำนายเรื่องเหล่านี้ได้ และรายละเอียดนโยบายก็คงจะคล้ายประเทศอื่นที่ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แค่ต้องการการยืนยันว่าป่วยหนักจริงหรือไม่ ก็ให้ออกใบรับรองแพทย์ตามหลักความเป็นจริง หากหลังจากนั้นคนทำงานใช้วันลาเกินหรืออะไรก็ตาม นั่นคือเรื่องของภาคปฏิบัติแล้ว ภาคสาธารณสุขไม่มีอะไรที่ต้องกังวล
อีกเรื่องที่ต้องระวัง คือการที่สมาชิกครอบครัวสามารถเป็นผู้ดูแลได้ ไม่ได้หมายความว่าจะทดแทนผู้ดูแลมืออาชีพ (paid caregiver) จริงๆ ได้ คนทำงานเชิงระบบอาจต้องคำนึงว่าระบบผู้ดูแลมืออาชีพที่คอยไปดูแลตามบ้าน หรือพยาบาลที่คอยไปดูแลตามบ้านเป็นครั้งคราว อาจยังเป็นระบบที่จำเป็นต้องมี ขณะเดียวกันสถานพยาบาลสำหรับผู้ป่วยระยะท้ายซึ่งที่บ้านดูแลไม่ไหวก็ยังจำเป็นต้องมีเช่นกัน เพราะการให้ครอบครัวดูแลไม่ใช่หัวใจหลักของนโยบายลาไปดูแลและลาไปบอกลา สิ่งที่เราขับเคลื่อนกันจะไม่ใช่การผลักภาระให้สมาชิกครอบครัว แต่คือการทำงานร่วมกันของทั้งครอบครัวและระบบดูแล
การตายดีเป็นประเด็นที่ใครๆ ก็ให้ความสนใจ คุณคิดว่าทำไมการตายดีถึงไม่ควรเป็นแค่เรื่องโรแมนติก แต่เป็นสิทธิที่รัฐต้องรับรอง
คนชอบโรแมนติไซส์ (romanticize) การตายดี ในเชิงวิชาการเอง คำว่า ‘ตายดี’ คืออะไรก็ยังต้องมาคุยกันว่ามีจริงหรือไม่ การตายมันดีจริงหรือเปล่า ในฐานะหมอเวชศาสตร์ประคับประคอง ผมไม่เคยมองว่าการตายเป็นสิ่งสวยงามเลย การตายก็คือการตาย ประเด็นสำคัญคือผู้ป่วยที่กำลังจะตายและครอบครัวที่เผชิญความตายจะรับมืออย่างไร
การที่เราโรแมนติไซส์การตายดี อาจแปลว่ามันมีการตายที่ไม่ดีอยู่ ผมคิดว่าทุกอย่างควรจะเป็นกลาง และสิ่งสำคัญคือเราจะทำอย่างไรให้การเปลี่ยนผ่านจากเอสู่บีเกิดขึ้นอย่างราบรื่นที่สุด ขณะที่การเปลี่ยนผ่านไม่ควรเป็นเรื่องของประชาชนฝ่ายเดียว เพราะอาจมีคนบางกลุ่มที่เข้าไม่ถึงทรัพยากร ไม่ว่าจะเชิงกายภาพอย่างเงิน ตลอดจนเชิงนามธรรมอย่างความรู้และความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ เหล่านี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีพร้อม ถ้ารัฐไม่สนับสนุน ไม่ให้เงินอุดหนุน หรือไม่ส่งเสริมนโยบายตายดี บางคนก็จะยิ่งเข้าไม่ถึงการตายที่ดี
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ สมมตินาย ก. อยากเสียชีวิตที่บ้าน โดยที่มีเงินจ้างผู้ดูแลสองคนสำหรับกะเช้าบ่ายและมีอุปกรณ์ทุกอย่างครบครัน เขาสามารถกลับบ้านได้และจะตายวันนี้เลยก็ได้ แต่สำหรับนาย ข. ที่ไม่มีผู้ดูแล ไม่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพ และอยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาล โอเค ต่อให้ไม่มีนโยบายเขาก็ตายได้ แต่ถ้ารัฐสนับสนุนนโยบายตายดี นาย ก. และนาย ข. ก็จะได้รับโอกาสในการจากไปและโอกาสในการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นอย่างเท่าเทียมกัน
เป็นบทสนทนาที่ดีมากเลย ชวนคุณทิ้งท้ายเรื่องสำคัญเกี่ยวกับประเด็นนี้สักหน่อย อาจจะเรื่องที่ไม่ได้ชวนคุยแต่อยากเล่าก็ได้
เวลาคุยกันประเด็นนี้ เราอาจติดกรอบว่าทางปฏิบัติจะทำอย่างไร กล่าวคือนโยบายจะกระทบนายจ้างหรือลูกจ้างอย่างไร ใครจะโกหกหรือไม่ และการลาจะต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง แต่ผมอยากให้ถอยกลับมาคุยกันก่อนว่านี่คือ ‘จุดเริ่ม’ และ ‘จุดร่วม’
จุดร่วมคือถ้าทุกภาคส่วนในสังคมตกลงกันว่านี่คือตาข่ายความปลอดภัย (safety net) และเป็นกติกาขั้นต่ำของสังคม หลังจากนี้ค่อยไปคุยกันในเชิงรายละเอียดก็ได้ ไม่ว่าจะตัวเลขกี่วัน เงินกี่บาท มันคุยกันได้ ขอแค่เพียงสิ่งนี้เกิดขึ้น
ส่วนจุดเริ่ม ถามว่าทำไมต้องรีบคุยวันนี้ ทั้งที่รู้ว่าคุยวันนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่เกิด เดือนหน้าก็คงไม่เกิด แต่ถ้าทุกภาคส่วนไม่คุยกันตั้งแต่วันนี้ วันข้างหน้าก็จะไม่เกิดนโยบายลาไปดูแลและลาไปบอกลาเลย วันนี้คือจุดเริ่ม อย่างน้อยสังคมควรจะคุยกันว่ามีประเด็นนี้ และหากสังคมสนใจอยากให้เกิดขึ้นจริง โจทย์คือภาคส่วนอื่นๆ จะทำอย่างไรต่อไป

↑1 | จากผู้ตอบแบบสอบถาม 244 คน |
---|