แนวโน้มการโกงข้อสอบด้วย ChatGPT: แม้ไม่รู้ แต่ทำไมเราต้องกังวล?

ตอนก่อนผมเล่าไปว่า ChatGPT (และ AI ในลักษณะเดียวกัน) มีศักยภาพมากพอที่จะช่วยเด็กโกงสอบในวิชาระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่ได้และอาจข้ามไปถึงระดับปริญญาโท พร้อมกับเสนอว่า คนในแวดวงความรู้ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยควรกังวลเรื่องนี้ให้มาก อย่างไรก็ตาม การนำเสนอเช่นนี้อยู่บนสมมติฐานที่ว่า มนุษย์พร้อมจะเลือก ‘ทางง่าย’ อยู่เสมอ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าทางเลือกนั้นผิดก็ตาม

อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจเห็นต่างจากผมในเรื่องนี้ด้วยเชื่อว่า ต่อให้โมเดลโกงได้จริง นักเรียนและนักศึกษาก็อาจจะไม่ใช้โกงก็ได้? เพราะเอาเข้าจริงทุกวันนี้ก็มีเครื่องมือสารพัดที่สามารถใช้โกงในลักษณะคล้ายกันนี้ได้ เช่น การจ้างคนทำรายงานและเขียนบทความให้ ซึ่งคนในแวดวงต่างรู้ดีว่ามีตลาดนี้ แต่ก็ใช่ว่านักศึกษาจำนวนมากจะใช้บริการดังกล่าว อาจเพราะไม่เห็นด้วย ไม่ได้สนใจ เข้าไม่ถึง หรือมองว่าไม่ได้คุณภาพก็ตาม

เช่นเดียวกับตลาดจ้างคนทำงานส่งแทน การประเมินแนวโน้มการใช้ ChatGPT ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนตัว คนนอกไม่สามารถไปนั่งนับนิ้วเก็บข้อมูลได้ เอาเข้าจริงต่อให้นั่งอยู่ในห้องเดียวกันยังยากจะรู้ว่าเด็กที่นั่งตรงข้ามกับเราใช้หรือไม่ได้ใช้ ChatGPT ทำอะไร แค่ไหน อย่างไร หากไปไล่ถาม ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะได้คำตอบแบบง่ายๆ

แต่เท่าที่สืบค้นมา ผมเจอข้อมูลบางอย่างที่อาจจะช่วยให้เราคาดคะเนเรื่องนี้ได้ โดยข้อมูลที่ว่าแบ่งเป็นผลสำรวจสองชุด กับอีกหนึ่งข้อสังเกต แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อเอาทั้งหมดมาเรียงร้อยกันก็พอจะบอกได้ว่ามหาวิทยาลัยไทยกังวลเรื่องนี้ไว้หน่อยน่าจะดี

งานสำรวจชิ้นแรกมาจากการสำรวจนักศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป 1,000 คน โดยเว็บไซต์ BestColleges.com พบว่ามีผู้เรียนกว่า 43 เปอร์เซ็นต์ที่มีประสบการณ์ใช้โมเดลดังกล่าว และกว่า 32 เปอร์เซ็นต์หรือเกือบหนึ่งในสามมีเจตนาใช้โมเดลช่วยทำงานที่อาจารย์สั่งหรือใช้ทำข้อสอบ

สมมติเราตั้งเกณฑ์ฟันธงแบบหยาบๆ ไว้ก่อนว่า การใช้ ChatGPT ทำการบ้านหรือข้อสอบโดยเจตนา ถือว่าเข้าข่ายโกง จะเห็นว่าหนึ่งในสามเป็นสัดส่วนที่ไม่น้อยเลยนะครับ (เดินมา 3 คน โกง 1 คน) แต่หากยังสนใจเรื่องโกงหรือไม่โกง สิ่งที่บอกได้ชัดเจนคือ ChatGPT ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยแล้ว และเดาได้ไม่ยากว่าแนวโน้มนี้น่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  

ส่วนอีกข้อมูลทำนองเดียวกันที่อยากชวนดูคือผลสำรวจเมื่อไม่นานมานี้ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ที่พบว่านักศึกษาของตน 47.3% จาก 400 คนยอมรับว่าใช้ ChatGPT หรือ AI chatbots อื่นช่วยทำงาน โดยหนึ่งในห้าของผู้ใช้ระบุว่าตนใช้ ‘บ่อย’ หรือ ‘เสมอ’

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ล่าสุดผมพบอีกข้อมูลที่น่าสนใจ คือเวลาผมลองเข้าไปเล่นกับ ChatGPT มักจะเจอการเข้าถึงเว็บดังกล่าวค่อนข้างยากมากในบางช่วงเวลาสำหรับคนที่ไม่ได้สมัครสมาชิกระดับพรีเมียมเอาไว้ เพราะมีคนใช้เยอะแล้วเว็บรองรับไม่ไหว ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ผมเลยลองค้นดูว่าในปี 2023 ที่ผ่านมาตามปกติคนจะเข้าใช้ช่วงไหน แล้วก็เจอว่าในกรณีประเทศอังกฤษ (ผมอยู่อังกฤษ) เว็บจะชุลมุนตั้งแต่ช่วงมีนาคมเป็นต้นมา ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะเป็นไปได้ว่า ChatGPT เพิ่งเปิดตัวในช่วงธันวาคม 2022 ดังนั้นช่วงต้นปี 2023 คนอาจจะยังไม่รู้จักเว็บไซต์มากนัก แต่ที่น่าสนใจคือความชุลมุนดังกล่าวลากยาวไปถึงเดือนมิถุนายน ก่อนจะตกลงในช่วงเดือนกรกฎาคม ก่อนจะกลับมาพีกอีกครั้งตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป

ลองไปดูเทรนด์ในประเทศอเมริกาก็คล้ายกัน

ปริมาณการสืบค้นคำว่า ‘ChatGPT’ ใน Google Search Engine ในสหราชอาณาจักรตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา

ปริมาณการสืบค้นคำว่า ‘ChatGPT’ ใน Google Search Engine ในสหรัฐอเมริกาตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา

คนที่คุ้นเคยกับปฏิทินการศึกษาในอังกฤษและสหรัฐอเมริกาจะเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่า ความฮอตฮิตของ ChatGPT นั้นขึ้นลงสัมพันธ์กับกำหนดสอบในแต่ละเทอม กล่าวคือในช่วงสอบคนจะใช้เป็นจำนวนมาก พอสอบเสร็จก็เลิกใช้กัน

ผมมีโอกาสสนทนากับรุ่นน้องที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่หลายคนและก็ได้รับการยืนยันว่า ปรากฏการณ์นี้เป็นความรู้ทั่วไป (common knowledge) ของนักศึกษาแล้ว บางคนถึงกับรีบเริ่มใช้ ChatGPT ในการเขียนงานส่งเร็วกว่าชาวบ้านเพราะกลัวจะเข้าใช้เว็บช่วงชุลมุนไม่ได้

ไม่ใช่แค่นักศึกษาเท่านั้นนะครับที่มีความเสี่ยงที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อ ‘โกง’ ฝั่งนักเรียนอาจตอบกลับว่าที่เว็บล่ม เพราะพวกอาจารย์นั่นแหละที่เข้ามาใช้ ChatGPT ออกข้อสอบและตรวจงาน ซึ่งเรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นจริง นักเรียนอเมริกันคนหนึ่งเคยจับได้ว่า อาจารย์ของเขาตรวจงานกลางภาค ซึ่งเป็นเรียงความหลักพันคำโดยใช้เวลาแค่ชิ้นละไม่ถึงห้านาที (ฮา)

ข้อมูลเหล่านี้บอกไม่ได้ว่านักศึกษา (และครูอาจารย์) มีแนวโน้มใช้ ChatGPT ในการโกงมากแค่ไหน เพราะการใช้เทคโนโลยีสามารถทำได้หลายแบบ หากให้เล่าจากประสบการณ์ตรง ผมก็เล่าได้เลยว่าเด็กต่างชาติจำนวนมากที่มาเรียนปริญญาโทในอังกฤษใช้ ChatGPT กันกระจุย และใช้ในความเข้มข้นในระดับที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ช่วยหาข้อมูล วางโครงร่างงาน ตรวจแก้ภาษา บางคนใช้ทำงานสอบทั่วไป บางคนใช้ทำวิทยานิพนธ์ และมีแบบที่ใช้กันแบบเข้มข้นชนิดที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทไปแบบยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าวิชาเรียนชื่อว่าอะไร

แน่นอนที่สุดว่าต่อให้ผมจะประสบพบเจออะไรมาก็ฟันธงไม่ได้อยู่ดีว่าแนวโน้มในการโกงของนักศึกษาจะเพิ่มขึ้น แต่ถ้าให้ผมสรุปว่า ในสังคมไหนก็ตาม อย่างน้อยต้องมีคนกลุ่มน้อยจำนวนหนึ่งที่พร้อมจะโกงระบบเมื่อโอกาสอำนวย เรื่องนี้คงไม่มีใครปฏิเสธหรือหาว่าผมเคลมข้อมูลเกินจริง 

ในแง่นี้ การคาดคะเนที่ว่านักศึกษาจำนวนมากจะใช้ ChatGPT โกงในการเรียนหนังสือจึงไม่ใช่การตั้งแง่ เพราะคุณลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลคือ ‘ปริมาณ’ และ ‘ขนาด’ ของธุรกรรมที่โลกแอนะล็อกเทียบไม่ได้เลย การที่ตลาดการจ้างเขียนรายงานยังมีลักษณะจำกัด ก็เพราะราคาค่าบริการแพง ผู้ให้บริการที่มีนั้นคุณภาพมีจำกัด (การผลิตงานใช้เวลานาน และกว่าจะรู้ว่างานได้คุณภาพไหมก็ต้องใช้เวลาทำจนกว่าจะเสร็จ) ความเสี่ยงก็สูง (มีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง การใช้บริการต้องอาศัยความไว้วางใจกันระดับหนึ่ง) แต่ Chat GPT ยกเลิกข้อจำกัดเหล่านี้ไปโดยสิ้นเชิง

ดังนั้น กลุ่มเล็กๆ ที่ว่าจึงมีโอกาสขยายตัวกลายเป็น ‘จำนวน’ ที่มีนัยสำคัญได้

ยังไม่ต้องพูดถึงว่า การใช้เทคโนโลยีเพื่อ ‘โกง’ แล้ว มีแนวโน้มที่จะทำให้พฤติกรรมลุกลามขยายตัวด้วย นักศึกษาที่ไม่อยากโกงอาจถูกสถานการณ์บังคับให้คิดว่าต้องโกงไปด้วย เนื่องจากผลการเรียนเป็นเรื่องของการแข่งขัน หากคนอื่นใช้แล้วเราไม่ใช้จะทำให้เสียเปรียบอะไรทำนองนั้น

ในบางแง่ การเป็นผู้ตามทางเทคโนโลยีก็มีข้อดีอยู่บ้าง มหาวิทยาลัยและสถาบันความรู้ในประเทศไทยมีโอกาสในการเตรียมรับมือความเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า ซึ่งเป็นโอกาสแบบที่มหาวิทยาลัยตะวันตกซึ่งเป็นด่านทดลองแรกของ ChatGPT ไม่มี และต่อให้มีโอกาสที่ความกังวลเหล่านี้จะไม่เป็นจริง ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรหากเราจะคิดวางแผนรับมือกรณีที่แย่ที่สุดไว้ก่อน แบบเดียวกับการวางแผนรับมือภัยพิบัติอะไรทำนองนั้น หากไม่ทำเช่นนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าเราได้ทิ้งข้อดีในฐานะผู้ตาม (ซึ่งมีสถานะแย่อยู่แล้ว) ไปอย่างน่าเสียดาย

การจะคลี่คลายวิกฤตดังกล่าวต้องตั้งต้นจากการเข้าใจวิธีการทำงานของ ChatGPT ข้อจำกัด รวมถึงทางเลือกยุทธศาสตร์ในการรับมือและปรับใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ ไว้เดี๋ยวผมจะเอาผลวิจัยที่น่าสนใจของสถาบัน STIPI มาทยอยคลี่ให้ฟังต่อครับ


บทความนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง สถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (STIPI) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ The101.world

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save