ลาบไก่งวงในเช้าวันอาทิตย์: วิถีคริสต์อีสานที่ ‘คำเกิ้ม-ท่าแร่’

1

เป็นครั้งที่เท่าไหร่ คงไม่มีใครนับ เพราะการเข้าโบสถ์เป็นวัตรปฏิบัติของคนบ้านคำเกิ้ม

เช้าวันอาทิตย์ที่อากาศดีเช่นนี้ สำหรับบางคนอาจยังซุกตัวอยู่ในผ้าห่มหนาบนเตียงนอน แต่คนบ้านคำเกิ้มพร้อมใจกันเข้ามาทำพิธีมิสซาตั้งแต่ 7.30 น. ที่วัดนักบุญยอแซฟ บ้านคำเกิ้ม ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้าน

อากาศตอนเช้าเย็นสบาย โบสถ์สีขาวสว่างตั้งอยู่บนหญ้าสีเขียวสด ประตูไม้ทุกบานเปิดอ้าออก ทำให้เสียงขับร้องเพลงของคนในโบสถ์ดังลอยออกมาด้านนอก

ผู้คนกว่าร้อยชีวิตยืนร้องเพลงประจำที่เก้าอี้ สวมเสื้อสีสดใส เด็กชายหลายคนสวมเสื้อฟุตบอลผ้ามันเลื่อม ยืนขาหยุกหยิกแต่ปากก็ยังร้องเพลงอย่างตั้งใจหน้าพระเยซูบนไม้กางเขน เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ เด็กๆ ในชุมชนจึงสามารถเข้าร่วมกิจกรรมของโบสถ์ได้ แต่ในวันปกติ พวกเขาต้องไปโรงเรียนแต่เช้า ทำให้โบสถ์ในวันจันทร์-ศุกร์มีเพียงผู้ใหญ่เท่านั้นที่เข้าร่วม วันอาทิตย์จึงเป็นวันที่จะเห็นผู้คนในหมู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตาที่สุด

บ้านคำเกิ้มเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในอำเภอเมือง จังหวัดนครพนม อยู่รวมกันประมาณ 150 หลังคาเรือน นับถือคาทอลิกราว 95 เปอร์เซ็นต์ของหมู่บ้าน นอกนั้นมีชาวพุทธอยู่ร่วมด้วยประปราย

หากขับรถผ่านเข้ามาในหมู่บ้าน บ้านคำเกิ้มไม่แตกต่างจากหมู่บ้านในภาคอีสานพื้นที่อื่นๆ กล่าวคือบ้านเรือนตั้งบนพื้นที่ติดกัน มีทั้งบ้านไม้และบ้านปูน มีถนนเทปูนผ่ากลางหมู่บ้าน มีศาลา (ที่มักจะเป็นร้านขายของชำและขายน้ำมันด้วย) ตั้งไว้กลางหมู่บ้าน ส่วนพื้นที่ไร่นาจะอยู่แยกออกไปรอบชุมชน แต่สิ่งที่แตกต่างจากหมู่บ้านที่นับถือพุทธคือ พวกเขาไม่ได้สวมเสื้อขาวเดินเข้าวัดเพื่อสวดมนต์เป็นภาษาบาลี หากพวกเขาสวมเสื้อสีสดเดินเข้าโบสถ์ร้องเพลงภาษาไทยเพื่อสรรเสริญพระเจ้า

บ้านคำเกิ้มอยู่ห่างจากริมฝั่งโขงเพียงสองกิโลเมตร เคยเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางมิสซังภาคอีสาน รวมถึงเป็นศูนย์ดูแลกลุ่มคริสตชนที่อยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงด้วย ก่อนจะมีการย้ายศูนย์ไปที่หนองแสงในปี 2439 (ค.ศ.1896) ซึ่งเหมาะสมกว่าเพราะตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำโขงมากกว่า

บ้านคำเกิ้มที่เราเห็นเป็นภาพจากการเดินทางอันยาวนานของประวัติศาสตร์ ย้อนไปเมื่อ 139 ปีที่แล้ว มีมิชชันนารีเดินทางมาสำรวจเส้นทางและเผยแผ่ศาสนาในพื้นที่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง จนได้พบกับกลุ่มคริสตชนชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ทางทิศเหนือของนครพนม ก่อนจะมีการหารือกันว่าอยากย้ายไปอยู่ในที่ที่เหมาะสมกว่า จนมาเจอบ้านคำเกิ้มที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของนครพนมประมาณ 3 กิโลเมตร ที่นี่มีคนอยู่เพียง 3-4 ครัวเรือนซึ่งพร้อมรับเอาศาสนาคริสต์ หลังจากนั้นกลุ่มคริสตชนจึงเริ่มถางป่าและสร้างหมู่บ้านในปี 2428 (ค.ศ.1885)

ผู้คนที่ยืนอยู่ในโบสถ์นับเป็นคนรุ่นที่สามและสี่ของบ้านคำเกิ้ม พวกเขาไม่ทันโบสถ์หลังแรกที่สร้างขึ้นในปีเดียวกันกับการสร้างหมู่บ้าน – วัดชั่วคราวที่ใช้หลังคามุงหญ้าฝาขัดแตะที่ไม่มีแม้แต่ร่องรอยเหลือให้เห็นในปัจจุบัน

โบสถ์สีขาวสว่างที่ประดับรูปด้วยพระเยซูสีทองอร่ามนี้ เป็นโบสถ์หลังที่สี่ของชุมชนคำเกิ้ม ตั้งอยู่เคียงกันกับโบสถ์หลังที่สองซึ่งสร้างขึ้นในปี 2447 (ค.ศ.1904) ผนังก่ออิฐถือปูน หลังคามุงด้วยไม้ แต่ใช้ไปได้เพียง 30 กว่าปีก็ถูกไฟไหม้ในปี 1940 ในป้ายประวัติเขียนไว้ว่าโบสถ์ถูกวางเพลิงเพราะ ‘กรณีพิพาทอินโดจีนและการเบียดเบียนศาสนา’ โบสถ์หลังนี้ได้รับการบูรณะในเวลาต่อมา

แม้โบสถ์หลังเก่านี้มีร่องรอยการถูกไฟไหม้ แต่ผนังปูนเปลือยติดคราบตะไคร่นี้ ไม่สามารถทำลายความงามและประวัติศาสตร์ที่ฝังในก้อนอิฐได้เลย

กว่าจะเดินทางมาถึงวันนี้ คริสตชนบ้านคำเกิ้มรวมถึงคริสตชนในอีสาน ต้องต่อสู้กับการเบียดเบียนทางศาสนา เพราะการระแวงสงสัยจากรัฐไทยว่าพวกเขา ‘เอาใจฝักใฝ่ฝรั่ง’ ในช่วงสงครามอินโดจีน ฝรั่งเศสถูกมองเป็นจักรวรรดินิยมผู้รุกราน และแน่นอนว่าการเป็นคาทอลิกย่อมหมายถึงการเป็นอื่นที่ไม่ใช่ไทย – เป็นศาสนาของฝรั่งเศส – ความขัดแย้งอันรุนแรงนี้ก่อให้เกิดเรื่องราวมรณสักขีแห่งสองคอนที่มุกดาหาร ซึ่งล้วนมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับคนคริสต์ที่นครพนมและสกลนคร

เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง เสียงร้องเพลงในโบสถ์จบลง ก่อนจะกลายเป็นเสียงเทศน์ผ่านไมโครโฟนของคุณพ่อสุรพงศ์ นาแว่น บาทหลวงประจำโบสถ์คำเกิ้ม ผู้คนนั่งฟังอย่างสงบ พิธีกรรมดำเนินไปอย่างเรียบง่าย ก่อนที่สุดท้ายทุกคนจะเดินต่อแถวรอรับแผ่นปังกับบาทหลวง แม้แต่เด็กที่ดูซนที่สุดก็ยังดูสงบนิ่งตอนที่เดินอยู่ในแถว มีเสียงเพลงขับขานตลอดพิธี

“วัดเป็นสถานที่รวมใจของชาวบ้าน ทุกข์หรือสุขก็มาอยู่ที่นี่” ครูคำสอน มลิวรรณ แก้วบุญกว้าง เล่าตอนที่คนเริ่มทยอยเดินออกจากโบสถ์ไปแล้ว

ครูคำสอนมะลิวรรณเกิดและโตที่นี่ หลังจากคลอดได้สองอาทิตย์ก็เข้าพิธีล้างบาปที่โบสถ์ เติบโตมากับการเป็นคริสตชนอย่างเคร่งครัด ปัจจุบันเป็นครูคำสอนมาได้สิบปี และคอยดูแลเด็กรุ่นใหม่ในชุมชนที่ฝึกนำกิจกรรมที่โบสถ์

ฮอลลีวูดอาจสร้างภาพจำเรื่องการเข้าโบสถ์ให้เราอีกแบบ แต่ที่แน่ๆ คนที่นี่ไม่ได้ใส่สูท คุณยายหลายคนใส่ผ้าซิ่นถือไม้เท้าเดินออกจากโบสถ์อย่างเชื่องช้า ชายหลายคนเดินถือเสียมออกไปเพื่อทำไร่ทำนาต่อ บางคนกลับไปพักผ่อนที่บ้าน เด็กหลายคนปั่นจักรยานออกไปอย่างรื่นรมย์

เมื่อคนเดินออกไปจากอาคารของโบสถ์จนหมด ครูคำสอนค่อยๆ เดินปิดประตูโบสถ์ทีละบาน แสงสว่างจากภายนอกค่อยๆ น้อยลง จากแสงสว่างจ้ากลายเป็นความมืด และเมื่อตอนที่เราเดินออกมานอกโบสถ์แล้วนั่นแหละ ประตูบานสุดท้ายจึงถูกปิดลง จากโบสถ์ที่คึกคักยามเช้า กลายเป็นอาคารเงียบงันในยามสาย

อากาศเริ่มกลับเป็นปกติคือร้อนขึ้น ร้านลาบไก่งวงคือหมุดหมายต่อไปของเรา

2

ไม่ไกลจากโบสถ์มากนัก มีร้านลาบไก่งวงที่เป็นวิสาหกิจชุมชนของบ้านคำเกิ้มตั้งอยู่ ที่ร้านไม่มีลูกค้า มีเพียงเด็กๆ นั่งตกปลาอยู่ริมสระในร้านเท่านั้น

ในครัวกว้างขวางมีแม่ครัวกำลังง่วนกับวัตถุดิบ เมื่อได้รับออเดอร์เป็นลาบไก่งวงจากคณะของเรา ‘ป้ายง’ แม่ครัวก็ลงมือสับไก่ทันที ก่อนเทไก่ลงไปรวนในกระทะ กลิ่นหอมลอยออกมาจนท้องร้อง ป้ายงเล่าให้ฟังว่าส่วนมากรับไก่งวงมาจากฟาร์มในหมู่บ้าน หรือไม่ก็เครือข่ายชมรมผู้เลี้ยงไก่งวงในนครพนม

“สูตรไก่งวงไม่ได้ต่างจากลาบทั่วไปมาก แต่ก็มีบางที่เขาจะใส่ปลาร้า ซึ่งลาบไก่งวงไม่ใส่ปลาร้า” ป้ายงเล่าไป บีบมะนาวลงในหม้อปรุงลาบไปด้วย ก่อนจะหันมาถามว่า “เอาไก่งวงทอดด้วยไหม” มีหรือที่เราจะไม่ตอบตกลง

ป้ายงเล่าว่าในชุมชนมีคนทำอาหารไปเลี้ยงที่โบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ส่วนลาบไก่งวงไม่ได้มีทุกครั้ง หากมีงานบุญประจำปีก็จะทำไปบ้าง

“ไก่งวงเอาไปทำได้หลายอย่างนะ ทั้งทอด อ่อม ผัดเผ็ด ไส้อั่ว” ป้ายงเล่าไปพลาง ตักลาบลงจานไปพลาง กลิ่นหอมข้าวคั่วลอยออกมาพร้อมควันฉุย ข้าวเหนียวร้อนๆ ถูกเสิร์ฟมาพร้อมสำรับด้วย

หากมองเผินๆ ลาบไก่งวงมีหน้าตาไม่ต่างจากลาบไก่ทั่วไป แต่เมื่อได้ลองตักเข้าปากแล้ว สัมผัสของเนื้อมีความแตกต่างกว่าไก่ปกตินิดหน่อย แม้ไม่มากจนถึงขั้นสังเกตได้ชัด แต่ก็ให้ความรู้สึกหนึบต่างกันอยู่บ้าง ส่วนรสชาติไม่ต้องพูดถึง อร่อยจนข้าวเหนียวหมด

ป้ายงเล่าให้ฟังว่าปกติแล้วมีทัวร์นักท่องเที่ยวและหน่วยงานมากินที่ร้านเป็นประจำ ถือว่าเป็นร้านที่มีชื่อเสียงในนครพนม ด้วยเมนูพิเศษอย่างลาบไก่งวง เมนูที่ทำจากไก่งวงในบ้านคำเกิ้มดูจะไปกันได้ดีกับเรื่องราวของชุมชนคริสต์ในอีสาน เพราะเป็นการผสานกันระหว่างธรรมเนียมการกินไก่งวงในวันคริสต์มาสของชาวตะวันตก รวมกับการกินลาบของคนอีสานเข้าไว้ด้วยกัน นี่จึงกลายเป็นเอกลักษณ์ที่หาได้จากบ้านคำเกิ้ม

หลังจากกินไก่งวงจนหมดเกลี้ยง พวกเราเดินออกมาหน้าร้าน เจอ ‘ลุงโย’ หรือ เชษฐา กัญญะพงศ์ กำลังซ่อมหลังคาร้านอยู่ เขาเป็นประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงไก่งวงบ้านคำเกิ้ม เป็นคนแรกในชุมชนคำเกิ้มที่เลี้ยงไก่งวง และยังเหลือเป็นสองฟาร์มสุดท้ายในหมู่บ้านด้วย

ลุงโยเล่าถึงประวัติเมนู ‘ลาบไก่งวง’ ของบ้านคำเกิ้มให้ฟังว่าเกิดจากการคิดกันเองในกลุ่มว่าอยากต่อยอดผลิตภัณฑ์จากไก่งวงขึ้นมา

“ลาบไก่งวงเกิดจากกลุ่มวิสาหกิจผู้เลี้ยงไก่งวงชุมชนเรานี่แหละ เมื่อก่อนคนเลี้ยงไก่งวงเยอะ เราก็รวมตัวกันวางเงินมาทำร้าน มานั่งกินกัน รสชาติไหนน่าจะขายได้ พอได้รสชาติที่โอเค ก็ตกลงเอารสชาตินี้เลย ตั้งเป็นสูตรเฉพาะของที่นี่ ที่อื่นไม่เหมือนเรา” ลุงโยเล่าถึงครั้งอดีต และบอกต่อว่าครั้งแรกที่เปิดร้านได้รับความนิยมอย่างสูงมาก เรียกว่าได้กำไรตั้งแต่หกเดือนแรก แต่ตอนนี้ถือว่าพอพยุงตัวไป ไม่ได้คึกคักเท่าตอนเปิดตัว

คุยไปคุยมา จึงรู้ว่าลาบไก่งวงจานที่กินเมื่อครู่มาจากฟาร์มลุงโย เราจึงขออนุญาตไปดูฟาร์มไก่งวงที่ใหญ่ที่สุดในคำเกิ้ม

ขับรถพ่วงข้างมอเตอร์ไซค์ไปไม่นาน ลุงโยก็พาเรามาถึง ‘คำเกิ้มฟาร์ม’ ฟาร์มไก่งวงขนาดสามไร่ของเขา พื้นที่ดินกว้างขวาง มีป้ายของกรมปศุสัตว์ติดยืนยันคุณภาพอยู่หน้าฟาร์ม เสียงหมาเห่าดังต้อนรับ ส่วนไก่งวงส่งเสียงร้องเบาๆ ออกมาจากด้านในเท่านั้น

“เหลือแค่นี้แหละครับ มีอีกคอกนึง อยู่ฝั่งนู้น” ลุงโยพูดระหว่างพาเดินไปดูในฟาร์ม มีไก่งวงอยู่ในคอกขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่ถือว่าแออัด เราเดินย่ำดินลึกเข้าไปคอกด้านในที่ลุงโยชี้ตอนแรก

“ตอนนี้มี 300 ตัว แต่ก่อนมีเป็นพันตัว” ลุงโยเริ่มเล่าเรื่องท่ามกลางเสียงไก่ร้องดังระงม เขาเริ่มเลี้ยงไก่งวงครั้งแรกในปี 2545 ถือเป็นบ้านแรกในคำเกิ้ม เมื่อก่อนเลี้ยงที่บ้านในหมู่บ้านหลักสิบตัว ก่อนจะขยายออกมาทำฟาร์มด้านนอกเพื่อไม่ให้รบกวนเพื่อนบ้าน ก่อนที่บ้านคำเกิ้มจะบูมเรื่องการเลี้ยงไก่งวงมาก เพราะกรมปศุสัตว์เข้ามาสนับสนุน จนกลายเป็นโด่งดังมากในช่วงราวปี 2556-2559 ออกข่าวหลายสำนักว่าด้วยเรื่องราวของชุมชนที่เลี้ยงไก่งวงทั้งหมู่บ้าน

“ตอนนั้นบ้านคำเกิ้มเลี้ยงไก่งวงทุกหลังคาเรือน แต่ตอนนี้เหลือแค่สองบ้าน คือฟาร์มผมกับอีกเจ้า เจ้านั้นเขาเหลือแค่ 4-5 ตัว” ลุงโยเล่า ก่อนจะขยายความให้ฟังว่า เหตุผลที่สถานการณ์แปรเปลี่ยนมาจากข้อจำกัดของรัฐในการขยายธุรกิจ รวมถึงการถูกกดราคา กล่าวคือรัฐเข้ามาผลักดันให้ชุมชนเลี้ยงไก่งวง แต่เมื่อชุมชนอยากขยายไปสู่การส่งออก กลับมีข้อจำกัดมากมายที่ไม่สนับสนุนให้ชาวบ้านต่อยอดได้ แม้จะมีกลุ่มลูกค้าจากต่างประเทศมาดูถึงฟาร์มและอยากจะซื้อ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง ก็ตาม

แม้ชาวบ้านจะถามถึงมาตรฐานที่ต้องไปให้ถึง แต่สุดท้ายแล้วด้วยกฎกติกาที่กีดกันผู้ค้ารายย่อย ก็ทำให้คนเลี้ยงไก่งวงทำได้แค่ขายกันในพื้นที่ ก่อนที่จะค่อยๆ ล้มหายตายจากเพราะสู้ทั้งการกดราคาและค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงไม่ไหว  

“ตลาดไก่งวงเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ คนอยากซื้อเราก็มี แต่ภาครัฐไม่ให้ขาย เพราะติดระบบต่างๆ เช่น พวกใบรับรองโรงเชือด ซึ่งคือกรมปศุสัตว์ที่มาส่งเสริมให้เราเลี้ยงนั่นแหละ พอเราเลี้ยงเป็นกลุ่มก้อนแล้ว ไก่เราเยอะแล้ว เราอยากจะส่งออก แต่ส่งออกไม่ได้ อาจเพราะไปขัดผลประโยชน์กลุ่มทุนใหญ่”

ลุงโยยังเล่าอีกว่า จุดเด่นของไก่งวงบ้านคำเกิ้มคือการเลี้ยงอย่างธรรมชาติ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของซากเนื้อที่ดี

“เราผสมอาหารให้ไก่เอง เลี้ยงด้วยระบบปล่อยอิสระ ทำให้คุณภาพซากไก่เราดี เพราะมีจุลินทรีย์ดี ผมยกตัวอย่างเทียบกับเนื้อวากิวที่อร่อย เพราะเขาใช้กากเบียร์ให้วัวกิน ทำให้วัวมีไขมันแทรกเนื้อ ไก่งวงบ้านเราก็มีลักษณะเดียวกันกับวากิว พอเอาซากไก่เราไปตรวจ มันอร่อยไง เขาเลยอยากได้ แต่ตอนนี้ยังติดตรงนี้อยู่ ขยายไม่ได้ ขายตามมีตามเกิด คนที่เลี้ยงกันเยอะๆ ในหมู่บ้านก็ล้มหายตายจาก สุดท้ายก็เลิกไป” ลุงโยเล่า

จากเรื่องราวในโบสถ์ ลาบไก่งวง ลากยาวมาถึงการผูกขาดธุรกิจในประเทศ แม้ดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่เรื่องราวทั้งหมดมีจุดเชื่อมโยงกันคือเรื่องอำนาจรัฐ

ลุงโยยังยืนยันว่าจะทำไก่งวงต่อ เขาเกิดที่นี่ และเลือกจะอยู่ที่นี่ต่อ รวมถึงยังใช้ชีวิตแบบคาทอลิกอย่างที่บรรพบุรุษเป็นมา เขาเล่าประวัติศาสตร์ของชุมชนให้ฟังว่า เหตุผลที่บรรพบุรุษนับถือคริสต์เพราะมิชชันนารีเข้ามาช่วยเหลือจากโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่ว่ามิชชันนารีช่วยไถ่ผู้คนออกจากการเป็นทาส

“ที่บรรพบุรุษเรานับถือศาสนาคริสต์เพราะมิชชันนารีมาช่วยเหลือ เมื่อก่อนคนแถบนี้ยังนับถือผีนะ พอฝรั่งเศสเข้ามา มียารักษาแบบยาแผนปัจจุบัน เมื่อก่อนคนป่วยเป็นมาลาเรีย ไข้รากสาดน้อย หรือถูกหาว่าเป็นผีปอบ พอเจอเข็มยาของหมอฝรั่งเศส ผีปอบก็กระเจิงหมด คนป่วยหายจากโรค” ลุงโยเล่า ก่อนขยายความต่อว่า “เมื่อก่อนใครเป็นผีปอบก็ต้องถูกไล่ออกจากหมู่บ้าน แต่พอบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเขารักษาหาย เขาก็รับเข้าหมู่บ้าน อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ที่มาของชุมชนศาสนาคริสต์ในอีสานจะคล้ายกันแทบทุกหมู่บ้าน แล้วก็ต้องถูกไล่ ต้องหนีเพื่อหาที่อยู่กัน”

เสียงหมายังเห่าขรมระหว่างการพูดคุย ก่อนที่เราจะร่ำลากันเพื่อมุ่งหน้าสู่ท่าแร่ จ.สกลนคร จังหวัดที่ติดนครพนมไม่ไกล เพื่อไปดูโบสถ์ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในภาคอีสาน

3

ตอนเที่ยงวันอาทิตย์ ที่อาสนวิหารอัครเทวดามีคาแอลร้างไร้ผู้คน พื้นที่กว้างขวางที่สะอาดสะอ้านนั้นเงียบสงบ บรรยากาศแตกต่างกับบ้านคำเกิ้ม ที่นี่ใหญ่โตและทันสมัย ดูเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและมีไว้รองรับคนจำนวนมาก แต่เมื่อเป็นตอนกลางวันที่พิธีล้วนเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นอาคารที่ตั้งอย่างเงียบเชียบเท่านั้น

เรื่องราวของชุมชนบ้านท่าแร่เริ่มขึ้นเมื่อปี 2426 (ค.ศ.1883) เมื่อบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเข้ามาสอนศาสนาคริสต์ริมหนองหาร สกลนครเป็นครั้งแรก มีการสร้างโบสถ์ด้วยอิฐและหิน คนส่วนมากที่เข้าร่วมศาสนามักเป็นทาสหรือกรรมกรที่ยากจน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่นำมาสู่การตั้งชุมชนบ้านท่าแร่ในปัจจุบัน คือเมื่อครั้งที่บาทหลวงเกโกและครูทันเดินทางเข้ามาทำพิธีล้างบาปให้ผู้ที่เข้ารีตในเมืองสกลนคร แล้วพบว่าผู้ที่นับถือศาสนาศริสต์ถูกทางราชการกลั่นแกล้ง พวกเขาจึงตัดสินย้ายสถานที่ใหม่ กลุ่มคริสตังรื้อถอนบ้านเรือนทั้งหมด โดยทําการต่อเรือแพเพื่อบรรทุกผู้คนและสิ่งของที่จําเป็น จากเรื่องเล่าบอกว่าผลจากคำอธิษฐานต่อเทวดามีคาแอล ทำให้พวกเขามาเจอกับที่ดินอีกฝั่งหนึ่งของหนองหาร เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยป่าไม้ มีพื้นดินมีก้อนดินที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘หินแฮ่’

พวกเขาเริ่มต้นตั้งถิ่นฐานกันที่นี่ในปี 2427 (ค.ศ.1884) ก่อร่างสร้างชุมชนและโบสถ์ วางผังหมู่บ้านตามแบบตะวันตก กลายเป็นเมืองแห่งความหวังที่เปลี่ยนสถานะของทาสให้ดีขึ้น

มาวันนี้โบสถ์สีขาวสูงใหญ่ตั้งสู้แดด ภายในโบสถ์มีเก้าอี้เรียงเป็นสโลปสวยงาม และภายในช่วงเวลาที่เงียบเชียบนั้นเอง ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากโบสถ์ เธอตาแดงก่ำและมีแววตาโศก เดาได้ว่าเพิ่งร้องไห้เสร็จ

จริงอยู่ที่ไม่ใช่เรื่องต้องไปก้าวก่ายน้ำตาของใคร แต่ภาพนี้ทำให้เห็นว่าแม้ในวันที่โบสถ์เงียบสงัดในตอนเที่ยง ก็ยังเป็นที่รองรับความทุกข์ของใครหลายคนได้

แดดบ่ายยังแรงตอนที่เราขับรถเข้าไปในหมู่บ้าน ชุมชนท่าแร่มีพื้นที่ใหญ่กว่าบ้านคำเกิ้มอยู่มาก ตั้งอยู่ริมหนองหารอันกว้างใหญ่ – หนองหารอันเป็นที่ตั้งของความเชื่อเรื่องพญานาคล่มเมือง ขณะเดียวกันก็อยู่เคียงข้างหมู่บ้านชุมชนคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

ความหลากหลายนี้สมกับเป็นเรื่องเล่าของมนุษย์ และเรื่องเล่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงหนึ่งวันอาทิตย์ที่อาจเกิดขึ้นซ้ำๆ มาแล้วไม่รู้กี่อาทิตย์

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

Life & Culture

26 Mar 2021

ผี เรื่องผี อดีต ความทรงจำและการหลอกหลอนในโรงเรียนผีดุ

เมื่อเรื่องผีๆ ไม่ได้มีแค่ความสยอง! อาทิตย์ ศรีจันทร์ วิเคราะห์พลวัตของเรื่องผีในสังคมไทย ผ่านเรื่องสั้นใน ‘โรงเรียนผีดุ’ วรรณกรรมสยองขวัญเล่มใหม่ของ นทธี ศศิวิมล

อาทิตย์ ศรีจันทร์

26 Mar 2021

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save