เรื่องของนักมวยหญิงชาวแอลจีเรีย อิมาน เคลิฟ (Imane Khelif) ที่กลายเป็นข่าวโด่งดังในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 มีแง่มุมที่น่าสนใจอยู่มาก การอภิปรายก็กว้างขวางตั้งแต่เรื่องทางชีววิทยาว่าร่างกายของเธอเป็นหญิงหรือชายกันแน่ เพราะอาจมีส่วนทำให้ได้เปรียบหรือเสียเปรียบกับกีฬาชกมวยที่เธอเข้าแข่งขัน ไปจนถึงเรื่องเพศสภาพและกฎระเบียบในการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ของโลกที่มีมาตรฐานไม่เหมือนกัน
อย่างไรก็ดี นี่อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดคำถามเกี่ยวกับ ‘เพศทางชีวภาพ’ ของนักกีฬาโอลิมปิก โดยอาจย้อนกลับไปได้ถึงโอลิมปิกเบอร์ลินปี 1936 เป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นยุคสมัยที่ฮิตเลอร์ครองอำนาจ
ในยุคนั้น มีผู้ตั้งคำถามเกี่ยวกับสเตลลา วอลช์ (Stella Walsh) นักกีฬาหญิงชาวอเมริกันประเภทลู่และลานที่มีลักษณะกล้ามเนื้อและโครงหน้าคล้ายผู้ชายมากเสียจนคณะกรรมโอลิมปิกต้องตรวจสอบ แต่ก็ได้ข้อสรุปว่าเป็นผู้หญิง จนเมื่อเธอเสียชีวิตจากเหตุโดนยิง ผลชันสูตรจึงทำให้ทราบว่าเธอมีอวัยวะเพศคล้ายกับอวัยวะเพศชายที่ไม่พัฒนาเต็มที่
ที่น่าสนใจคือเธอมีเซลล์ในร่างกายแบบลูกผสม กล่าวคือส่วนใหญ่เป็นเซลล์ที่มีโครโมโซมแบบ XY (แบบผู้ชาย) และมีเซลล์ส่วนน้อยที่มีโครโมโซมแบบ X หรือ X0 (เอกซ์ศูนย์ คือมีโครโมโซมเอกซ์แท่งเดียว) แต่ชั่วชีวิตของเธอเติบโตมาภายใต้สังคม วัฒนธรรม และกฎหมายแบบหญิงสาว แสดงให้เห็นว่าในตอนแรกเกิด เธอมีอวัยวะเพศที่ดูกำกวมชวนให้สับสนและคิดว่าเป็นผู้หญิง
ทุกครั้งที่ถกเถียงในหัวข้อทำนองนี้ ต้องแยกแยะคำสองคำในภาษาอังกฤษออกจากกันให้ชัดเจนเสียก่อน คือคำว่า sex และ gender คำแรกมักหมายถึง ‘เพศ’ ที่เป็นลักษณะทางชีวภาพหรือสรีรวิทยา หรือบางคนอาจใช้คำว่าลักษณะทางกายภาพก็ได้ ส่วนคำที่สองในภาษาไทยยังใช้กันเป็นหลายแบบ มีทั้งเพศภาวะ เพศสภาวะ และเพศสภาพ ซึ่งในบทความนี้จะไม่ได้พูดถึงในแง่หลัง แต่จะเน้นไปที่ความหมายแรก เพราะแค่นั้นก็สลับซับซ้อนมากแล้ว ดังจะได้เห็นกันต่อไป
ขอตั้งข้อสังเกตเพียงอย่างเดียวว่า ‘เพศสภาพ’ มีคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ทางเพศ (gender identity) และการแสดงออกทางเพศ (gender expression) เยอะมาก แบ่งกันเป็นสเปกตรัมละเอียดยิบ โดยอาจมีคำศัพท์ที่อธิบายรูปแบบที่หลากหลายมากถึง 68 หรือ 72 แบบทีเดียว!
ลำพังแค่การจำแนกเพศแบบชีววิทยา (biological sex) ก็มีคนเห็นว่า การแบ่งเป็นชายและหญิงอย่างที่ทำกันอยู่ยังคับแคบและไม่สะท้อนความเป็นจริง เพราะเมื่อพิจารณาเฉพาะสารพันธุกรรม กล่าวคือแท่งโครโมโซมที่เซลล์ในร่างกายมีอยู่ ก็อาจแบ่งมนุษย์เป็นประเภทต่างๆ ตามระดับความถี่ที่พบบ่อยได้เป็นอย่างน้อย 6 จำพวก โดยพวกที่แตกต่างไปมากกว่านี้มักไม่สามารถรอดชีวิตอยู่ได้
สองแบบแรก คือแบบมาตรฐานที่สอนในห้องเรียนและพบได้บ่อยที่สุด ได้แก่ คนที่มีโครโมโซม XX ที่เป็นหญิงทั่วไป และคนที่มีโครโมโซม XY ที่เป็นชายทั่วไป
ส่วนอีก 4 แบบจะเป็นกลุ่มที่มีโครโมโซมน้อยกว่าหรือมากกว่าคนทั่วไป กลุ่มแรกคือคนที่โครโมโซมแบบ X หรือ X0 (เอกซ์ศูนย์) ได้แก่ หญิงที่ขาดคู่โครโมโซมไป 1 แท่งต่อเซลล์ หรือบางทีอาจขาดแค่บางส่วนก็ได้ กล่าวคือมีโครโมโซมแบบ XX แต่มีแท่งหนึ่งไม่สมบูรณ์ครบถ้วน กลุ่มนี้จะถือว่ามีลักษณะแบบกลุ่มอาการเทิร์นเนอร์ (Turner’s syndrome) ซึ่งพบราว 1 ใน 5,000 ถึง 1 ใน 2,000 ของประชากร
กลุ่มถัดไป คือกลุ่มที่โครโมโซมแบบ XXY ซึ่งถือว่ามีลักษณะแบบกลุ่มอาการไคลน์เฟลเทอร์ (Klinefelter syndrome) พบได้ราว 1 ใน 1,000 ถึง 1 ใน 500 ของประชากร ขณะที่กลุ่มที่สามมีโครโมโซมแบบ XYY พบได้ราว 1 ใน 1,000 ของประชากร ส่วนกลุ่มสุดท้ายมีโครโมโซมเป็น XXXY พบได้ราว 1 ใน 18,000 ถึง 1 ใน 5,000 ของประชากร
ถ้าคำนวณคร่าวๆ จากจำนวนประชากรโลก 7,000 ล้านคน นั่นแปลว่าเรามีคนที่มีเพศไม่ใช่ชายหรือหญิงแบบที่เราคุ้นเคยกันอยู่หลายสิบล้านคน ซึ่งบ่อยครั้งคนเหล่านี้ไม่รู้โครโมโซมที่แท้จริงของตัวเองด้วยซ้ำ มีการศึกษาในอังกฤษที่พบว่ามีมากถึง 97 คนจาก 100 คนที่มีโครโมโซมแบบ XYY โดยไม่รู้ว่าตนเองมีความแตกต่างแบบนี้อยู่ในร่างกาย
พวกเขาคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นผู้ชายปกติทั่วไป
อ่านถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า การบอกว่าคนเราเกิดมาเป็นชายหรือหญิงเท่านั้น เป็นการสรุปที่ถูกทำให้ง่ายเกินจริง (oversimplify) เพราะเมื่อดูจำนวนและชนิดของโครโมโซมในเซลล์ของแต่ละคน มนุษย์ก็ยังมีเพศแบบ ‘สเปกตรัม’ หรือเป็นแถบที่แตกต่างกันเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าจะเป็นแบบหัว-ก้อยดังที่เคยเข้าใจกัน
แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องทั้งหมด ยังมีความสลับซับซ้อนเกี่ยวกับ ‘ความเป็นเพศ’ ที่ชวนปวดหัวมากกว่านี้อีก เพราะกระบวนการทางชีววิทยาของการสร้างเพศในร่างกายของคนสลับซับซ้อนมาก
ปี 2010 มีหญิงออสเตรเลียวัย 46 ปีที่ตั้งครรภ์ เดินทางไปเจาะถุงน้ำคร่ำเพื่อตรวจโครโมโซมของลูกในท้องเนื่องจากเธอตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก ผลออกมาว่าทารกปกติดี แต่เรื่องประหลาดคือแม่กลับมีผลตรวจเซลล์ที่เหมือนมาจากคนสองคน ซึ่งแพทย์ตั้งสมมุติฐานว่าเซลล์จากอีกคนอาจเป็นแฝดที่ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเธอระหว่างอยู่ในครรภ์ของแม่ และเหตุที่รู้ว่าเป็นเซลล์จากสองคนเพราะชุดหนึ่งมีโครโมโซม X สองแท่งที่เป็นเซลล์ของเธอ แต่อีกชุดหนึ่งกลับมีโครโมโซม XY ที่เป็นแฝดเพศชายของเธอ
เรื่องราวอย่างกับมาจากพล็อตไซไฟ เธอใช้ชีวิตเกือบ 50 ปี โดยไม่เคยรู้ถึงความผิดแปลกแตกต่างของสภาวะเพศในร่างกายตนเอง และแม้จะมีเซลล์ของสองเพศในร่างกาย แต่เธอก็ใช้ชีวิตเป็นผู้หญิงและให้กำเนิดลูกที่ปกติมาแล้วถึง 2 คน!
บางครั้งก็มีเด็กที่มีสภาพร่างกายทำนองนี้ ซึ่งอาจเรียกว่ามีสภาวะเพศแบบก้ำกึ่งหรือกำกวม (intersex) หรือบางทีก็เรียกกันว่า มีความแตกต่างหรือความผิดปกติของการพัฒนาทางเพศ (differences or disorder sex development) ที่มักเรียกย่อว่าดีเอสดี (DSD) และบ่อยครั้งก็ยากที่จะตัดสินว่าควรเลี้ยงให้เป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง
นักวิจัยบางคนประเมินว่า อาจมีความถี่ของการพบภาวะ DSD ทุกแบบมากถึง 1 ต่อ 100 ของประชากร ซึ่งไม่น้อยเลย
สภาวะ DSD ยังมีอีกหลายแบบ ยิ่งเรามีเทคโนโลยีใหม่ๆ ในการอ่านลำดับดีเอ็นเอและศึกษาชีววิทยาของเซลล์ (cell biology) เราก็ยิ่งพบระดับความแปรผัน (variation) มากขึ้นเรื่อยๆ และการมีโครโมโซม XX หรือ XY ก็ไม่ได้เป็นตัวกำหนดความเป็นเพศหญิงและเพศชายที่แน่นอนขนาดนั้น
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างเครือข่ายของโมเลกุลที่ซับซ้อนในร่างกายก็เป็นตัวกำหนดความเป็นเพศใดเพศหนึ่ง หรือแม้แต่ไม่เป็นเพศใดเพศหนึ่งเช่นกัน ความรู้ใหม่นี้ทำให้เกิดความเป็นห่วงว่า ความคิดความเชื่อทางสังคมและกฎหมายต่างๆ จะปรับตัวทันหรือไม่กับความสลับซับซ้อนที่ยากเข้าใจเช่นนี้
หากดูลึกลงไปถึงการพัฒนาของเอ็มบริโอในครรภ์ หลังจากการผสมระหว่างไข่กับอสุจิเกิดขึ้น 5 สัปดาห์ เอ็มบริโอยังมีลักษณะทางกายวิภาคที่อาจกลายไปเป็นชายหรือหญิงก็ได้ แต่เมื่อถึงสัปดาห์ที่ 6 ก็จะเริ่มชัดเจนขึ้นว่ากระจุกเซลล์ที่จะบ่งบอกความเป็นเพศจะกลายไปเป็นรังไข่หรืออัณฑะ ซึ่งก็จะสร้างฮอร์โมนเพศหญิงและชายอย่างเหมาะสมต่อไปตามลำดับ ซึ่งความผิดปกติของฮอร์โมนจะส่งผลกระทบเป็นอย่างมาก หากมียีนสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับฮอร์โมนผิดปกติไปในขั้นตอนนี้ แม้แต่คนที่มีโครโมโซม XY (ที่ควรจะกลายไปเป็นผู้ชาย) ก็อาจมีลักษณะต่างๆ ที่ดูเหมือนผู้หญิงได้ ในทางกลับกัน คนที่มีโครโมโซม XX และมีลักษณะเหมือนผู้ชายก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน
ปี 1990 พบว่ายีนชื่อ SRY เพียงยีนเดียวก็สามารถเปลี่ยนเซลล์ที่กำลังพัฒนาไปเป็นรังไข่ให้แปรไปสร้างอัณฑะได้ โดยหากคนที่มีโครโมโซม XX บังเอิญมียีน SRY จากโครโมโซม Y หลุดเข้ามาอยู่ในเซลล์ด้วย จะกลายไปเป็นผู้ชายในที่สุด
ปี 2011 นักวิจัยพบว่า หากยีนชื่อ RSPO1 ที่สร้างรังไข่ทำงานผิดปกติ จะทำให้คนที่มีโครโมโซม XX สร้างต่อมเพศ (gonad) ที่พัฒนาเป็นทั้งรังไข่และอัณฑะในร่างกายเดียว
การตอบสนองต่อฮอร์โมนที่ผิดปกติทำให้สภาวะเพศเปลี่ยนได้เช่นกัน โดยร่างกายของคนที่มีความผิดปกติแบบ Complete Androgen Insensitivity Syndrome หรือที่มักเรียกย่อว่า CAIS จะไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนเพศชาย ทำให้แม้จะมีโครโมโซม Y และมีอัณฑะข้างในตัว แต่หากดูจากสรีระภายนอกและอวัยวะเพศก็จะดูเป็นผู้หญิง และเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นก็จะกลายเป็นผู้หญิงไป
ครอบครัวคงแปลกใจกันน่าดูที่เลี้ยงลูกชายมาดีๆ แต่พอโตขึ้นหน่อยกลายเป็นวัยรุ่น ไหงกลายเป็นลูกสาวเฉยเลย!
ในช่วงทศวรรษ 1990 นักวิจัยค้นพบยีนที่เกี่ยวข้องกับภาวะ DSD มากกว่า 25 ยีน ซึ่งคนที่มีภาวะเช่นนี้จำนวนมากไม่รู้ตัว จนกระทั่งไปตรวจเพื่อหาคำตอบว่าทำไมจึงไม่มีลูกสักที หรือตรวจทางการแพทย์เรื่องอื่นจึงได้ทราบ
ปี 2017 มีกรณีที่ศัลยแพทย์รายงานว่า ขณะกำลังผ่าตัดไส้เลื่อนให้ชายอายุ 70 ปีผู้เป็นพ่อของลูก 4 คน กลับพบว่าชายคนดังกล่าวมีมดลูกอยู่ในช่องท้อง!
อีกกรณีที่แสนประหลาด คือในปี 1996 พบหญิงหลายรายที่มีเซลล์ของลูกไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือด รายหนึ่งนานถึง 27 ปีหลังการคลอด ในทางกลับกันก็เคยพบกรณีที่ลูกมีเซลล์จากแม่คงค้างอยู่ในกระแสเลือดจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากลูกเป็นผู้ชาย การระบุเพศของทั้งแม่และลูกชายก็คงก้ำกึ่งและเบลอไป ซึ่งในทางทฤษฎี เซลล์แม่ที่หลุดไปในร่างกายลูกหรือกลับกันจะโดนทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกัน ไม่อาจหลงเหลืออยู่ได้ เพราะร่างกายมองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม
เรื่องยังไปไกลกว่านั้นมาก คือมีนักอิมมูโนวิทยาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันที่ตรวจสอบเซลล์สมองของหญิงหลายคนหลังเสียชีวิต ทำให้พบว่าพวกเธอมีเซลล์แบบ XY อยู่ในสมองด้วย โดยรายที่อายุมากที่สุดคือ 94 ปี ซึ่งเซลล์ลูกชายสามารถอยู่ในสมองเธอได้ชั่วชีวิตของเธอนับตั้งแต่ตั้งครรภ์เลยทีเดียว
แถมไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่ผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสมองส่วนที่ทำงานได้ด้วย!
ทั้งหมดนี้เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งของข้อมูลการวิจัยที่ชี้ว่า ความรู้และเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นทำให้การบอกว่าเป็นเพศชายหรือหญิงในสมัยนี้อาจไม่ง่ายดายเหมือนสมัยก่อน และ ‘ความเป็นเพศ’ อาจมีลักษณะเป็นสเปกตรัมมากกว่าเป็นแบบหัว-ก้อยหรืออย่างใดอย่างหนึ่งเพียงแค่นั้น
สังคมจะต้องตัดสินใจว่าจะเลือกใช้ ‘ไม้วัด’ แบบใดกับเรื่องความเป็นเพศในด้านกีฬา กฎหมาย สังคม วัฒนธรรม และไลฟ์สไตล์ต่อไป