กันยายน 2568 ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบันครบวาระ และวังบางขุนพรหมจำเป็นต้องหาผู้นำคนใหม่ และเป็นอีกครั้งที่การสรรหาผู้มาดำรงตำแหน่งสำคัญด้านเศรษฐกิจมหภาคนี้ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิด – ทั้งด้วยความตื่นเต้นและวิตกกังวล
ในสถานการณ์ปัจจุบัน “ผู้ว่าแบงก์ชาติ” อาจเป็นหนึ่งในตำแหน่งที่ยากและท้าทายที่สุดในประเทศ ในฐานะผู้กำหนดนโยบายการเงิน ผู้ว่าแบงก์ชาติมีบทบาทสำคัญในการชี้ทิศทางและพาเศรษฐกิจไทยฝ่าคลื่นวิกฤตและความเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน ในฐานะผู้นำองค์กร ผู้ว่าฯ ยังต้องกำหนดทิศทางการทำงานของสถาบันเศรษฐกิจหลักที่ดำรงอยู่มากว่า 80 ปี พร้อมกับนำพาทีมงานกว่า 3,000 คน ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค
ยากจะปฏิเสธว่า สังคมไทยต้องการขุนพลเศรษฐกิจระดับหัวแถว—ผู้ที่มีหลักคิดมั่นคง มีฝีมือ และกล้าตัดสินใจ—เพราะหากไม่ใช่เช่นนั้น ก็ยากที่จะพาเศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง
หลังปิดรับสมัครปรากฏว่ามีผู้ยื่นใบสมัครทั้งสิ้นถึง 7 รายชื่อ ซึ่งล้วนแต่มีคุณสมบัติและภูมิหลังที่โดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ทว่าชื่อของ ‘สมประวิณ มันประเสริฐ‘ หรือ ‘ดร.เม่น’ เป็นชื่อที่อยู่ในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในแวดวงวิชาการเศรษฐศาสตร์และภาคการเงินการธนาคาร
สมประวิณเริ่มต้นชีวิตนักเศรษฐศาสตร์ด้วยการสอนหนังสือที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกลายนักวิชาการ ‘ดาวรุ่ง’ ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคนหนึ่งตลอดช่วง 10 กว่าปีในรั้วมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นสมประวิณตัดสินใจลงจาก ‘หอคอยงาช้าง’ ไปสู่การทำงานความรู้ที่ต้องเอาไปใช้ปฏิบัติจริงในภาคการเงินการธนาคาร โดยรับตำแหน่งสำคัญ อาทิ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ (Chief Economist) และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงายวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ก่อนย้ายไปรับตำแหน่ง รองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Economic Intelligence Center (EIC) และรองผู้จัดการใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานกลยุทธ์องค์กร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัดธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นงานที่ต้องผสมผสานทั้ง ‘วิชาการ’ และ ‘การจัดการ’ ให้เข้ากันอย่างสมดุล ลงตัว
นอกจากนี้ ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา สมประวิณยังเข้าไปมีส่วนในการคิดและทำนโยบายสาธารณะอยู่หลายบทบาท อาทิ กรรมการบริหารสถาบันนโยบายสาธารณะและการพัฒนา มูลนิธิพระยาสุริยาวัตร (2564 – 2566) กรรมการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) (2565 – ปัจจุบัน) และอนุกรรมการติดตามภาวะเศรษฐกิจ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ปลายเดือนเมษายน 2568 สมประวิณลาออกจากงานประจำในภาคเอกชน เตรียมพร้อมรับความท้าทายใหม่ในวัย 50 ด้วยการเสนอตัวเป็นแคนดิเดตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
“เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญโจทย์ที่ท้าทาย และผมเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยและภาคเศรษฐกิจการเงินมีบทบาทสำคัญ อย่างยิ่งในการผลักดันให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม” สมประวิณบอกเหตุผลและแรงจูงใจในการตัดสินใจสมัครงานใหม่ในตำแหน่งที่จะส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจการเงินไทยอย่างสำคัญ
อะไรคือโจทย์ยากของเศรษฐกิจไทยและโจทย์ใหญ่ของแบงก์ชาติ – ต่อให้สมประวิณไม่ลงสมัครเป็นแคนดิเดตผู้ว่าฯ ความคิดเขาก็ยังน่ารับฟัง และยิ่งเมื่อเขาตัดสินใจลงสนามแล้ว ยิ่งควรต้องฟัง

:: โจทย์ยากเศรษฐกิจไทย ::
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ในด้านหนึ่งระเบียบเศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนโลกาภิวัตน์ที่มุ่งเน้นการเปิดเสรีไปสู่โลกที่ของการกีดกันทางการค้า ในขณะที่เศรษฐกิจไทยก็กำลังเผชิญกับแรงกดดันสำคัญจากปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ ภายใต้โจทย์เหล่านี้คุณเฟรมโจทย์เศรษฐกิจไทยอย่างไร
ตอนนี้หลายคนมุ่งให้ความสำคัญกับการเจรจาเพื่อลดภาษี ซึ่งผมเห็นด้วยว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำในระยะสั้น แต่คำถามที่ต้องคิดคือ อะไรอยู่เบื้องหลังทรัมป์
ย้อนกลับไปเมื่อ 20-30 ปีก่อน ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศบอกว่า การค้าเสรีจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นสำหรับทุกฝ่าย โดยมีข้อสมมติสำคัญคือ ต้องมีการเคลื่อนย้ายทรัพยากรได้อย่างเสรี เพราะปัจจัยการผลิตมาจะเคลื่อนจากที่ประสิทธิภาพต่ำไปประสิทธิภาพสูง เมื่อการผลิตมีประสิทธิภาพสูงก็จ่ายได้แพงกว่า ซึ่งโดยหลักการก็น่าจะดี แต่อย่าลืมว่าในทฤษฎีการค้าก็บอกเอาไว้เหมือนกันว่า การค้าเสรีทำให้เกิดทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ เพราะผลประโยชน์นั้นแบ่งไม่เท่ากัน โดยตอนแรกผู้ชนะก็จะเสียงดังหน่อย เพราะผู้แพ้เป็นคนกลุ่มน้อยกว่า ไม่งั้นข้อตกลงการค้าก็คงไม่เกิดตั้งแต่แรก แต่จำนวนคนที่น้อยกว่านี่เป็นจริงแค่ ณ หนึ่งหน่วยเวลา เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนผู้แพ้ก็เริ่มสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มกลายเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่เสียงดัง
หากย้อนไปดูหลักคิดทางเศรษฐศาสตร์และพัฒนาการที่เกิดขึ้นจริง ทรัมป์เป็นผลของช่องว่างระหว่าง ‘สิ่งที่ควรจะเป็น’ และ ‘สิ่งที่เป็นจริง’ และในฐานะนักการเมือง ทรัมป์ก็ไวต่อเสียงสะท้อนและความเดือดร้อนของผู้คนและหยิบเอาประเด็นนี้มาทำนโยบายหาเสียง แน่นอนว่าบุคลิกเฉพาะตัวอาจทำให้นโยบายและท่าทีดูสุดโต่ง แต่โดยแก่นแล้วทรัมป์สะท้อนให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจอเมริกาและเศรษฐกิจโลกจากมุมมองของคนอเมริกัน
ปัญหาปากท้องของคนอเมริกันมีอยู่จริง อย่าลืมว่าไบเดนไม่ได้ยกเลิกภาษีที่ทรัมป์ 1.0 เคยขึ้นกับจีนเลย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผลได้ของโลกาภิวัตน์ต่อเศรษฐกิจอเมริกาอิ่มตัวมาสักพักแล้ว และด้วยโครงสร้างเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาแบบที่เป็นอยู่ คนชั้นกลางอเมริกันเป็นเป็นกลุ่มที่อิ่มตัวก่อน เป็นกลุ่มที่สูญเสียจากการค้าเสรีมากกว่าได้ (net welfare loss)
ถ้าการปรับระเบียบเศรษฐกิจโลกครั้งนี้เป็นผลมาจากการที่มหาอำนาจเห็นว่าตัวเองไม่ได้ประโยชน์ หรือได้ประโยชน์น้อยแล้ว เราพอจะมองเห็นไหมว่า ระเบียบเศรษฐกิจโลกในอนาคต ซึ่งมหาอำนาจได้ประโยชน์จะมีหน้าตาเป็นแบบไหน
มีงานศึกษาที่ทำเรื่องนี้ไว้เยอะเหมือนกัน และผมก็เคยเขียนบทความเล่าให้ฟังตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งเริ่มเห็นชัดมากขึ้นว่า ระเบียบเศรษฐกิจโลกกำลังวิวัฒน์จากการมีห่วงโซ่อุปทานโลก (global value chains: GVCs) ไปห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค (Regional Value Chains: RVCs)
ในระเบียบโลกแบบโลกาภิวัตน์การค้าเสรี โลกมีแค่ห่วงโซ่อุปทานเดียว การที่คุณจะเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตสินค้าใดๆ ได้คุณจะต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลก ส่วนที่เหลือตกหมด ในโลกแบบนี้หมายความว่า มีคนอีกเป็นร้อยคนที่ไม่ได้อยู่ในห่วงโซ่มูลค่า และถ้าเมื่อไหร่ที่คนที่เก่งที่สุดคนนั้นล้มก็มีปัญหาทั้งห่วงโซ่เลย ในกรณีประเทศไทยเริ่มเห็นปัญหานี้มาก่อนแล้วตอนน้ำท่วมปี 2554 ซึ่งทำให้โรงงานหลายแห่งที่แม้ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยต้องชะงักไปด้วย แล้วก็มีเจอโควิด-19 ซึ่งหยุดชะงักกันทั่วโลกเลย ตอนนี้คนเริ่มเห็นแล้วว่า การมีห่วงโซ่อุปทานเดียว เก่งคนเดียว เป็นระบบที่เริ่มจะไม่เวิร์กแล้ว
ปัญหานี้ถูกซ้ำเติมด้วยเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) และเทคโนโลยี ระเบียบการเมืองโลกเคยมั่นคงและราบรื่นมาตลอดกลับเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามและหลายประเทศจะไม่คบค้ากัน เช่น กรณียุโรปกับรัสเซีย หรือสหรัฐอเมริกากับจีน เป็นต้น นอกจากนี้ เทคโนโลยีการผลิตทั้งระบบออโตเมชั่นและดิจิทัลก็กลายมาเป็นตัวเปลี่ยนเกม บางประเทศ บางคนที่อาจจะไม่ได้เก่งทั้งหมด แต่พอใช้เทคโนโลยีสวมเข้าไปกลายเป็นเก่งขึ้นมาเลย ดังนั้น บริษัทใหญ่เลยมีทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงได้มากขึ้น
ทั้งหมดนี้ทำให้เราพอจะบอกได้ว่า ลักษณะห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคจะมีหน้าตายังไง (1) วงจะเล็กลง (2) กระจายตัวมากกว่าขึ้นกว่าเดิม (3) ภูมิศาสตร์จะเป็นตัวกำหนดที่สำคัญ การเกาะกลุ่มจะขึ้นกับประเทศที่อยู่ไม่ห่างกันมาก และ (4) เทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญในการกำหนดโครงสร้างห่วงโซ่ระดับภูมิภาคมากกว่าที่เป็นมา
สถาบันการเมืองจำเป็นต้องเปลี่ยนด้วยไหมเพื่อรองรับภูมิทัศน์ใหม่นี้
ภาพที่เห็นในปัจจุบันคือการที่สถาบันการเมืองและเศรษฐกิจกำลังถ่วงดุลกันละกัน และกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่าจะไปทางไหน ที่ผ่านมา สถาบันทางเศรษฐกิจให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพ (efficiency) และต้นทุนเป็นสำคัญ และคล้ายว่าสถาบันการเมืองก็จะมาทางเดียวกันหรือไม่ได้มีอะไรที่ขัดข้อง จึงเกิดระเบียบเศรษฐกิจโลกที่เน้นการค้าเสรีขึ้นมา แต่สถาบันการเมืองนั้นสะท้อนคุณค่าที่หลากหลายกว่านั้น เช่น ความเท่าเทียม ความเป็นธรรม ผลประโยชน์แห่งชาติ ฯลฯ และตอนนี้คุณค่าเหล่านี้ก็หันมาตั้งคำถามและถ่วงดุลกับเรื่องประสิทธิภาพและต้นทุน
ส่วนตัวผมอยากจะเน้นย้ำว่า คุณค่าที่สถาบันทางการเมืองควรให้ความสำคัญคือเรื่อ inclusiveness หรือการที่ทุกคนมีส่วนในผลได้จากการพัฒนาเศรษฐกิจ เราไม่สามารถสร้างระบบเศรษฐกิจภายใต้ ‘ระบบตลาด’ ที่ทำให้คนเกิดมาไม่เท่ากันตายเท่ากันได้ แต่เราสามารถสร้างระบบเศรษฐกิจที่ ‘ให้โอกาส’ คนในการเข้าถึงทรัพยากร พัฒนา และเติบโตที่เท่าเทียมกันได้ หลายประเทศหันมาให้ความสนใจเรื่องนี้ เช่น จีนที่ดูจะไวและจับสัญญาณเรื่องนี้ได้เร็ว สะท้อนผ่านการที่เขาพูดเรื่อง common prosperity มาสักระยะแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาและเราควรต้องจับตาให้ดี
ถ้าโลกการค้ามีแนวโน้มที่จะไปสู่ความภูมิภาคมากขึ้น แล้วโลกการเงินจะเป็นอย่างไร เพราะถึงทุกวันนี้ทรัมป์จะขึ้นภาษีและทำสงครามการค้า แต่ภาคการเงินยังเป็นโลกของการเคลื่อนย้ายทุนค่อนข้างเสรี มีความเป็นโลกาภิวัตน์อย่างเข้มข้นต่อเนื่อง คุณคิดว่าภาพนี้จะเปลี่ยนไปไหม
เป็นคำถามที่ไม่เคยคิด แต่น่าคิด (นิ่ง)
ถึงที่สุดแล้ว ธุรกรรมทางการเงินทำหน้าที่สนับสนุนภาคธุรกรรมจริง ถ้าของจริงแยกออกจากกัน ภาคการเงินคงเปลี่ยนไปด้วย ในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่เราจะมีระบบการเงินที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อรองรับธุรกรรมคนละแพลตฟอร์ม ท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจ ถ้าเราไม่อยากเลือกข้าง เราจำเป็นต้องมีระบบที่รองรับความหลากหลายนี้
คำถามที่ต้องคิดต่อคือ การมีระบบที่หลากหลายทำให้ต้นทุนสูงขึ้นแน่นอน แต่ต้นทุนที่สูงขึ้นเป็นการสูงขึ้นโดยเปรียบเทียบ ก็ต้องชั่งน้ำหนักดูว่าต้นทุนของการมีระบบที่หลากหลายกับความเสี่ยงของการอยู่บนระบบเดียวแบบไหนมากกว่ากัน ผมเดาว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหากับไทยมากนัก จากบริบทเศรษฐกิจไทย ขนาดเศรษฐกิจไทย และวิถีนิสัยของคนไทย เราคงไม่เลือกและน่าจะไปหลายระบบ (หัวเราะ)
ไทยชอบบอกว่าเราเป็นกลางในเรื่องต่างประเทศ แต่เป็นกลางมี 2 แบบนะ เป็นกลางมีแบบที่ไม่มีใครคุยด้วยเลยกับแบบที่ทุกคนมาคุย ซึ่งเราควรจะเป็นแบบหลัง

มองแบบนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ก็ได้ภาพแบบหนึ่ง แต่จากสายตาของคนทำกลยุทธ์และนักบริหาร ประเทศไทยควรต้องรับมือเรื่องนี้อย่างไร
ความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลก ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิทัลและเอไอ ความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ ประเด็นเหล่านี้ทำความเข้าใจได้ไม่ยากนัก อ่านรายงานหรือบทวิเคราะห์ก็พอเห็นทางอยู่ ประเด็นที่สำคัญกว่าคือ เรามีวิธีการแบบไหนในการรับมือบ้าง
ประเทศใหญ่มีศักยภาพในการบริหารจัดการโลกเพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจและการเมืองของตัวเอง สิ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ และสหรัฐอเมริกาคือการบริหารจัดการโลก เพราะเขามีอำนาจและทรัพยากรมากพอที่จะทำอย่างนั้น ในทำนองเดียวกันสี จิ้นผิง และจีนก็ทำคล้ายกันคือการใช้ศักยภาพและทรัพยากรของประเทศที่มีในการบริหารจัดการข้างนอกเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจข้างใน
สำหรับประเทศไทยโจทย์ไม่ใช่แบบนั้น เราต้องยอมรับก่อนว่าไทยเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กและเปิด ยากมากที่เราจะไปบริหารจัดการโลก แต่ผมรู้สึกว่า วันนี้เราพยายามบริหารจัดการโลกเพื่อมาบริหารจัดการภายในประเทศ ซึ่งผิดฝาผิดตัว แต่ในความเป็นจริงเราต้องบริหารจัดการข้างในของเราเอง เพื่อไปรับมือกับโลก เพราะเราเป็นประเทศเล็ก
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะ ‘โตช้า เปราะบาง ไม่แน่นอน’ ซึ่งมีมาก่อนทรัมป์ หรือก่อนโควิด-19 ด้วยซ้ำ นั่นคือ ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เราพูดกันมานาน โจทย์สำคัญประเทศไทยคือ การวางกรอบสถาบันทางเศรษฐกิจ ซึ่งหมายถึง ‘แรงจูงใจ’ ของคนในการทำธุรกิจ ในการประกอบอาชีพ ให้ถูกขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันมากกว่าการมีอำนาจเหนือตลาด การมี ‘know how’ มากกว่า ‘known who’ และการแข่งขันที่คุณภาพมากกว่าราคา สิ่งเหล่านี้จะทำให้เศรษฐกิจไทยแข่งขันได้ มีเสน่ห์ดึงดูดการลงทุนใหม่ๆ เข้ามา เราอยากให้คนอื่นมาคบเรา แต่ก่อนที่จะออกไปชวนคนอื่นมาคบ เราต้องทำตัวเองให้น่าคบด้วย นี่คือจุดเริ่มต้นสำคัญ
การรับมือกับความท้าทายและความผันผวนในเศรษฐกิจโลกจึงแยกไม่ออกจากโจทย์ข้างในประเทศ เราจำเป็นต้องทำเศรษฐกิจข้างในให้แข็งแรง เพื่อรับมือกับปั่นป่วนข้างนอก เพราะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกับขนาดและศักยภาพของเรา พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องมีกลยุทธ์ด้านต่างประเทศเลย ที่แน่ๆ เราต้องติดตามสถานการณ์ข้างนอกและติดตามทำความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง แต่ภายใต้ทรัพยากรที่มีจำกัดก็ต้องเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร
แล้วคุณประเมินการเลือกทำ และเลือกไม่ทำอะไรของไทยอย่างไร อะไรที่เราเลือกทำผิดจุด อะไรที่เราทำน้อยเกินไป
เวลาคุยเรื่องภาษีการค้าเรามักสนใจว่า ทรัมป์จะทำอะไรต่อไปและจะส่งผลกระทบต่อเราอย่างไร แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ต้องคิดให้มากคือ ไทยจะทำอะไรและเสนออะไรให้กับเขา ภาษาที่ทรัมป์ใช้คือ “you don’t have the card” ดังนั้นการเจรจากับทรัมป์เราต้องมีอะไรไปนำเสนอ แต่ถึงตอนนี้ผมยังเห็นไม่ชัดว่าเรามีไหม ในขณะญี่ปุ่น สิงคโปร์ และแคนาดาเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ การออกมาสื่อสารและดำเนินการต่างๆ สะท้อนว่า เขามีมาตรการหมดแล้วและเห็นชัดว่าตัวเองจะเสนออะไรเพื่อแลกกับอะไร
อย่างไรก็ตาม การเจรจาในวันนี้ไม่ใช่เพื่อวันนี้ แต่ต้องวางกลยุทธ์ให้กับประเทศในอนาคตด้วย ในภูมิทัศน์เศรษฐกิจใหม่ ผมยังเชื่อโดยสนิทใจว่าไทยมีที่ยืนในโลก ประเทศที่มีทรัพยากรค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ สงบสุขพอสมควร และโดยเปรียบเทียบแล้วคนไทยก็ถือว่าเก่งพอใช้ได้เลย ดังนั้น โลกห่วงโซ่อุปทานแบบภูมิภาคมไม่ได้หาคนเก่งที่สุด ถูกที่สุดแค่อย่างเดียว ถ้าโลกมีอยู่ 10 ซัพพลายเชนคุณไม่ต้องเก่งที่สุดทั้งสิบวง คุณเก่งที่สุดในวงที่คุณอยู่ก็พอ ดังนั้นถ้าวางที่ยืน (position) ของประเทศควบคู่กับการวางกรอบสถาบันทางเศรษฐกิจที่ดี เรามีโอกาส
มาร์กาแรต แธตเชอร์ (Margaret Thatcher) อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษเคยกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า ถ้าหากจัดเรียงประเทศจากทรัพยกรธรรมชาติที่มี รัสเซียจะเป็นประเทศอันดับหนึ่ง เพราะมีทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่มีค่า แร่สำหรับอุตสาหกรรมทุกชนิด ป่าไม้อุดมสมบูรณ์ และมีดินที่เหมาะกับการเพาะปลูกเป็นอย่างมาก แต่ที่สุดแล้วประเทศก็ไม่ได้ร่ำรวยเพราะการมีทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก แต่เป็นเพราะนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนให้คนมีความคิดสร้างสรรค์ เริ่มต้นอะไรใหม่ สร้างธุรกิจใหม่ และตระหนักถึงแรงปรารถนาของผู้คนที่อยากให้ครอบครัวตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้น
แต่การมีนโยบายที่ดียังไม่พอ สังคมไทยพูดเรื่องการสร้างความสามารถในการแข่งขัน สังคมสูงวัย คุณภาพแรงงาน การลงทุนใหม่ๆ มา 20-30 ปีแล้ว แต่ไม่เคยเกิดขึ้นสักที ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราติดอยู่ในความขัดแย้งที่รุนแรงด้วยและทุกวันนี้ก็ยังดำรงอยู่ ในหลายประเทศ เช่น แคนาดา สิงคโปร์ หรือยุโรป ปัญหาทรัมป์กลายเป็นปัญหาร่วมของคนทั้งชาติ ยิ่งในจีนนี่ชัดมากคนเป็นพันล้านคนมองตรงกันว่านี่เป็นปัญหาที่ทุกคนต้องช่วยให้ประเทศชนะ แต่ในไทย เราเจอปัญหาและความท้าทายที่ใหญ่ขนาดนี้ ความรู้สึกว่าต้องร่วมแรงร่วมใจกันในการช่วยแก้ปัญหายังมีน้อย เรามักรู้สึกว่าการแก้ปัญหาสาธารณะเป็นงานของคนอื่น แต่แท้จริงแล้วสาธารณะเป็นเรื่องของพวกเราทุกคน
ในสังคมที่หาฉันทมติร่วมกันไม่ได้ มีคน 67 ล้านคน มี 67 ล้านความต้องการ (หัวเราะ) การทำงานสาธารณะหรือการขับเคลื่อนประเทศเป็นไปได้ยากมาก ไม่มีทางเลย
แต่ความแตกต่างหลากหลายเป็นเรื่องปกติของสังคมหรือเปล่า
ใช่! แต่อย่างน้อยเราควรต้องหาอะไรที่ ‘ร่วมกัน’ (common) ได้บ้าง โดยเฉพาะเมื่อเจอความท้าทายใหญ่ขนาดนี้
สังคมไทยควรตกลงกันใน ‘ขั้นต่ำ’ ให้ได้ว่าอยากเห็นประเทศเป็นอย่างไร (wish lists) เมื่อมองขั้นต่ำก็ไม่จำเป็นต้องมีเยอะอาจจะมีแค่ไม่เกิน 10 ข้อ สำหรับสิ่งที่เป็นพื้นฐานแบบที่ อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เคยเขียนไว้ในบทความเรื่อง ‘จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน’ ซึ่งดีมากเลยและเป็นอะไรที่ไม่ล้าสมัยตามกระแส แต่สะท้อนถึงความจำเป็นพื้นฐานของการเป็นประชากรในระบบเศรษฐกิจหนึ่งๆ อยู่ในครรภ์แม่ก็ควรได้สารอาหารครบถ้วน เกิดมามีอากาศที่บริสุทธิ์ ได้รับการศึกษาที่ดีตามสมควร นี่ผมเพิ่งย้อนไปอ่านอีกครั้งพบว่าที่อาจารย์ป๋วยเขียนมาวันนี้สวนทางหมดเลย ตอนเป็นเด็กผมไม่เห็นเลยว่าอากาศบริสุทธิ์จะเป็นปัญหาอย่างไรมาวันนี้เจอ pm 2.5 เข้าไป รู้เลย (หัวเราะ)
อย่างไรก็ตาม การหาฉันมติร่วมและการมีนโยบายที่ดีก็ยังไม่พอ ต้องเข้าใจเศรษฐศาสตร์การเมืองของการขับเคลื่อนนโยบายด้วย เพราะถ้าไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์การเมืองก็จะไม่สามารถสร้างสถาบัน (institutional set-up) และออกแบบโครงสร้างแรงจูงใจได้ (incentive design)
สิ่งหนี่งที่ผมเรียนรู้อย่างมากหลังจากออกจากรั้วมหาวิทยาลัยคือ ‘ธรรมชาติของคน’ ตอนที่อยู่ในมหาวิทยาลัย เราเชื่อว่าโลกที่เห็นอยู่เป็นโลกของเหตุผล และบางทีก็ทำให้มองพฤติกรรมบางอย่างของคนนอกรั้วมหาวิทยาลัยว่าไม่มีเหตุผลเสียเลย แต่พอมาออกมาเจอโลกที่กว้างขึ้น ผมพบว่าทุกคนมีเหตุมีผลหมด แต่ด้วยปัจจัย เงื่อนไข และข้อจำกัด ที่เผชิญจึงทำให้แต่ละคนตัดสินใจและมีพฤติกรรมแสดงออกแบบที่แตกต่างกัน บางทีเรื่องบางเรื่องก็ง่ายมากอย่างไม่น่าเชื่อ เรื่องบางเรื่องคนทำไปเพราะไม่รู้ แค่เราไปบอกเขาก็แก้ปัญหาได้ง่ายๆ เลย บางเรื่องเป็นเรื่องเงื่อนไข เช่น เราแนะนำคนไปว่ากะเพราเนื้อร้านนี้อร่อยมาก ต้องลองกินให้ได้ พยายามแล้วพยายามอีกที่จะให้เขากิน แต่สุดท้ายไม่เคยรู้ว่าเขาเป็นคนไม่ทานเนื้อ แบบนี้ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ การขับเคลื่อนนโยบายก็เช่นกัน ถ้าอยากให้นโยบายสัมฤทธิ์ผล คิดนโยบายที่ดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องเข้าใจเงื่อนไขและข้อจำกัดของคนที่อยู่ในระบบด้วย
ในบริบทของสังคมเศรษฐกิิจไทย คุณเห็นความเป็นไปได้ในการออกแบบสถาบันทางเศรษฐกิจและโครงสร้างแรงจูงใจใหม่มากน้อยแค่ไหน
แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมืองเชื่อว่า ‘Crisis induces reform’ หรือวิกฤตนำไปสู่การปฏิรูป เราจะเห็นว่า หลายประเทศมีความสำเร็จในการปฏิรูปเศรษฐกิจหลังจากมี Shock ทางเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัส หลังจากวิกฤติต้มยำกุ้งเกาหลีใต้มีการปฏิรูปจากการใช้เพียงบริษัทยักษ์ใหญ่เป็นหัวหอกการผลิตและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มาเป็นการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ทั่วถึงและเอื้อให้หน่วยเศรษฐกิจในทุกระดับมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น จีนที่มีปัญหาเชิงโครงสร้างในประเทศก็มีการปฏิรูปไปสู่ Common Prosperity และในปัจจุบัน ผมก็เชื่อว่าเวียดนามก็กำลังใช้โอกาสจากเรื่อง Geopolitics และการกีดกันทางการค้าต่อยอดการปฏิรูปทางเศรษฐกิจต่อไปอีก (เพราะเรื่องนี้เป็นเกมส์ยาว)
ดังนั้น เราต้องยอมรับก่อนว่าเรากำลังเจอวิกฤตและสภาพที่เป็นอยู่มีปัญหา ที่ผ่านมา สิ่งที่ประเทศไทยล้มเหลวที่สุดคือ การใช้โอกาสการปฏิรูปเศรษฐกิจเมื่อเกิดวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นวิกฤต Subprime วิกฤตการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้น และวิกฤตโควิด เพราะเรามัวแต่ดีใจว่าเรามีเสถียรภาพ บอกว่าเศรษฐกิจไทยภูมิคุ้มกันสูง ซึ่งก็มีส่วนจริง แต่เราก็ลืมไปว่าเราต้องปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาในระยะยาวด้วย เพราะมิเช่นนั้นแล้ว การไม่พัฒนา/การไม่ปฏิรูปมันจะวนกลับมาที่เสถียรภาพอยู่ดี อย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ผมคิดว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่มีเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยคือ ‘เครื่องมือและนโยบายสาธารณะ’ จะเห็นได้ว่าทั้งภาคการเงิน ภาคการคลัง มั่นคงมาก แต่ถ้าถามว่า ‘สาธารณะ’ ซึ่งหมายถึงประชาชนและผู้ประกอบการไทย มีเสถียรภาพหรือไม่ เราก็คงเห็นตรงกันว่า ‘ไม่มีเสถียรภาพ’ ดังนั้น การมีเสถียรภาพนั้นเป็นสิ่งที่ต้องมีเป็นฐาน แต่ไม่ใช่มีเสถียรภาพเพื่อเสถียรภาพ แต่มีเสถียรภาพเพื่อให้เราสามารถปฏิรูปเพื่อการพัฒนาได้
ไทยยังมีโอกาส แต่เราต้องปฏิรูป

:: โจทย์ใหญ่แบงก์ชาติ ::
จากรั้วมหาวิทยาลัย เข้าไปอยู่ในโลกการเงินด้วยการเป็นผู้บริหารธนาคารขนาดใหญ่เป็นเวลาหลายปี เห็นศักยภาพของภาคการเงินในการช่วยให้เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนผ่าน หรือรับมือความผันผวนในช่วงเวลาแบบนี้ไหม
ผมเคยเสนอไว้ว่าเศรษฐกิจไทยเสี่ยงที่จะเกิดเป็น ‘โลกสองใบ’ หรือบางคนเรียกว่า ‘K shaped’ ซึ่งโลกใบแรกจะประกอบไปด้วยคนที่ ‘เข้มแข็ง เจ้าใหญ่ โลกใหม่’ ในขณะที่โลกอีกใบจะประกอบไปด้วย คนที่ ‘อ่อนแอ ตัวเล็ก โลกเก่า’ คนในโลกใบแรกมีโอกาสทางเศรษฐกิจมากกว่า ในขณะที่คนในโลกอีกใบ ซึ่งมีจำนวนมากกลับถูกทิ้งไว้ข้างหลัง สถานการณ์นี้ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของไทยในระยะยาว
ในสถานการณ์เช่นนี้ บทบาทของภาคการเงินจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดช่องว่างดังกล่าว ถ้าภาคการเงินทำงานได้ดี จะ 1) ช่วยสร้าง ‘การเติบโต’ โดยการเคลื่อนย้ายทรัพยากรจากคนที่มีเงินเหลือแต่ไม่เห็นโอกาส ไปยังคนที่มีศักยภาพ แต่ขาดโอกาส และ 2) จำกัดความเสียหายจากจาก Shock ที่เกิดขึ้นผ่านการจัดการและกระจายความเสี่ยงให้กับหน่วยเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายในระบบเศรษฐกิจ
พูดแบบหลักการคือ ภาคการเงินทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรและกระจายความเสี่ยงระหว่างคนและกระจายความเสี่ยงระหว่างเวลา ถ้าหากภาคการเงินสามารถทำงานได้ดีจะช่วยคนและช่วยประเทศได้อีกมาก
คุณพูดถึงบทบาทของภาคการเงินในการสร้างประสิทธิภาพและการบริหารจัดการความเสี่ยง แต่ในขณะเดียวกัน ภาคการเงินก็ถูกวิจารณ์มาตลอดว่า ห่วงแต่ความเสี่ยงของตัวเอง ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพมากเกินไปจนทำหน้าที่ได้ไม่ค่อยดีหรือเปล่า
(ยิ้ม)
ถามว่าทุกวันนี้สถาบันการเงินไทยมีเสถียรภาพไหม คำตอบคือใช่! เพราะเราเคยผ่านวิกฤตใหญ่ปี 2540 ทำให้หลังจากนั้นการบริหารจัดการทำด้วยระมัดระวังมาก คำถามที่ต้องถามต่อคือ แล้วเศรษฐกิจการเงินไทยมีเสถียรภาพไหม ตรงนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้ว เพราะเศรษฐกิจการเงินไม่ใช่แค่สถาบันการเงินหรือธนาคารเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงส่วนอื่นด้วย ดูง่ายๆ คนไทยเป็นหนี้บานเลย ถามต่ออีกแล้วประเทศไทยมีเสถียรภาพไหม โอ้โห! อันนี้ยิ่งชัดเลยว่าไม่มี
คำตอบของสามคำถามนี้สะท้อนว่า เสถียรภาพของสถาบันการเงินเพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้ส่งผลโดยตรงกับการพัฒนาประเทศ แต่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบอื่นด้วย ผมมักถูกถามเสมอว่าระหว่างเสถียรภาพ (stability) กับการเจริญเติบโต (growth) ต้องเลือกอะไร คำตอบคือ เราไม่ต้องเลือก เพราะเป็นเรื่องเดียวกัน ถ้าเศรษฐกิจจริงไปไม่ได้ ประเทศล้มละลาย ภาคการเงินเจ๊งไหม เจ๊งนะ
เศรษฐกิจไทยต้องการ 3 ขาคือ ‘ทั่วถึง มีประสิทธิภาพ และมีเสถียรภาพ’ (inclusiveness, efficiency, stability) ซึ่งจะเกื้อหนุนให้เกิดการพัฒนาอย่างมีคุณภาพและยุ่งยืน (quality development) ถ้าเน้นประสิทธิภาพ แต่กระจุก ก็ไม่ยั่งยืน ถ้ามีเสถียรภาพ มีการกระจาย แต่ไม่มีประสิทธิภาพ ก็ลำบาก ตรงนี้เป็นเรื่องเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม น้ำหนักหรือประเด็นที่สำคัญแต่ละช่วงเวลาอาจจะหมุนได้ ถ้าวันนี้ความเสี่ยงสูงมาก เสถียรภาพสำคัญก็เน้นเสถียรภาพได้ วันหน้าสถานการณ์เปลี่ยนก็วางน้ำหนักใหม่ แต่คำถามคือทุกวันเราจัดน้ำหนักได้ดีหรือยัง เน้นเสถียรภาพเกินไปไหม ซึ่งเป็นคำถามที่เสียงดังมากขึ้น
แล้วคุณตั้งคำถามในประเด็นนี้ไหม และตอบคำถามอย่างไร
ในปี 2561 ซึ่งเป็นช่วงปีท้ายๆ ที่ผมทำงานอยู่ธนาคารกรุงศรีอยุทธยา ผมเคยขึ้นนำเสนอในเวทีสัมมนาประจำปีของแบงก์ชาติว่า ทุกวันนี้ลูกค้ากลุ่มที่มีความมั่งคั่งเหลือไม่รู้จะลงทุนอย่างไร ไม่รู้ว่าจะไปฝากเงินที่ไหนถึงจะได้รับผลตอบแทนที่ดี ในขณะกลุ่มที่ต้องการสินเชื่อก็หากันแบบสุดๆ แต่ไม่ค่อยได้ ภาคธนาคารซึ่งเป็นคนกลางในการจัดสรรเงินทุนก็ไม่รู้จะให้ใครกู้ดี ทุกอย่างดูผิดไปหมด คนหนึ่งอยากให้กู้ คนหนึ่งอยากกู้ คนที่จัดสรรก็ไม่รู้จะจัดสรรยังไง ถ้าเจอแบบนี้ก็น่าคิดว่า ระบบกลไกแบบที่เป็นอยู่นั้น ‘ทั่วถึง มีประสิทธิภาพ และมีเสถียรภาพ’ ไปพร้อมกันหรือยัง และระบบกลไกที่เป็นอยู่เหมาะสมกับบริบทของเศรษฐกิจ สังคม และวิถีชีวิตคนไทยหรือไม่
ทุกวันนี้ปัญหาก็ยังไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ เรายังเห็นคนที่เข้าถึงเงินทุนแบบล้นเกิน (overfinance) และเข้าไม่ถึงเงินทุน (underfinance) อยู่มาก ความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงและการใช้กลไกทางการเงินในการเคลื่อนย้ายทรัพยากรและการจัดการความเสี่ยงอาจทำให้ปัญหา K-Shaped ในระบบเศรษฐกิจไทยห่างขึ้น ภาคการเงินที่ทำงานได้ดีควรมีส่วนลดในการช่วยลดช่องว่างตรงนั้น
สถาบันการเงินน่าจะอยากปล่อยสินเชื่ออยู่แล้ว เพราะได้ดอกเบี้ย คำอธิบายหลักในเรื่องนี้คือ ผู้ที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงมากเกินไป คำอธิบายนี้สมเหตุสมผลไหม
ระบบการเงินที่ดีไม่ใช่ระบบที่ให้บริการเฉพาะคนที่มีความเสี่ยงต่ำแล้วบอกว่าตัวเองมีเสถียรภาพ แข็งแรงดี ไม่ใช่นะ! (เน้นเสียง) ในเศรษฐกิจหนึ่งๆ คนมีความเสี่ยงไม่เท่ากันอยู่แล้ว ดังนั้น ระบบการเงินที่ดีควรถูกออกแบบเพื่อตอบสนองต่อทุกระดับความเสี่ยง แต่ด้วยเครื่องมือและกลไกที่แตกต่างกัน โดยต้องเลือกให้เหมาะสมกับแต่ละความเสี่ยง นั่นหมายความว่า ระบบการเงินควรที่จะให้บริการกับคนทุกคนในสังคม ไม่ใช่เฉพาะคนที่ความเสี่ยงต่ำเท่านั้น
หากภาคการเงินถูกออกแบบมาให้บริหารเฉพาะความเสี่ยงแค่แบบเดียว และให้บริการเฉพาะคนที่ดูดี แต่คนส่วนใหญ่กลับเป็นคนที่มีความเสี่ยงสูงกันทั้งนั้น สภาพที่เห็นเลยเป็นแบบนี้ ตัวเลขหนี้เสีย (NPL) ในระบบดีมาก สถาบันการเงินดูแข็งแรงมาก แต่คนเป็นหนี้นอกระบบกันทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม คงต้องพูดด้วยว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้การออกแบบสถาบัน (institutional design) ของภาคการเงินไทยเป็นแบบนี้ เพราะเราเคยเจอวิกฤตการณ์เงินมาก่อน ซึ่งความเสียหายในครั้งนั้นหนักมาก บทเรียนสำคัญจากตอนนั้นคือ ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นในระบบสถาบันการเงิน โอกาสที่จะลุกลามไปถึงระบบเศรษฐกิจรวมจะง่ายมาก เลยต้องมีการป้องกันตรงนี้ไว้
ฟังแล้วเหมือนเป็นเดดล็อคที่แก้ไม่ออก
ภาคการเงินไทยน่าจะต้องออกแบบโครงสร้างทางสถาบันใหม่ เช่น ถ้าเห็นว่าระบบธนาคารพาณิชย์มีความสำคัญและควรต้องกำกับดูแลให้เข้มงวดก็ไม่เป็นไร เพราะโดยหลักการ ภาคการธนาคารก็มุ่งให้บริการกลุ่มคนที่ความเสี่ยงต่ำสุดอยู่แล้ว แต่คำถามคือ เราจะออกแบบให้มีผู้เล่นอื่นมาให้บริการคนที่ความเสี่ยงสูงกว่าที่ธนาคารพาณิชย์รับได้ไหม และให้มีกลไกการส่งผ่านคนได้ระหว่างสถาบันหลายๆ แบบ
ตัวอย่างเช่น virtual bank เป็นไปได้ไหมที่จะออกแบบมาให้มุ่งตอบโจทย์กลุ่มคนที่ความเสี่ยงสูงกว่าเกณฑ์ที่ธนาคารพาณิชย์รับได้ โดยที่ตั้งเป้าเลยว่าจะเข้ามาแข่งกับกลุ่มหนี้นอกระบบ ให้กลุ่มลูกหนี้นอกระบบรีไฟแนนซ์มาที่ virtual bank ได้ และเมื่อเข้ามาที่ virtual bank แล้วเห็นว่ามีประวัติการเงินที่ใช้ได้ก็ทำกลไกให้สามารถส่งคนเข้ามาในระบบธนาคารปกติได้ ถ้านอกระบบเจอดอกเบี้ย 200% เข้ามา virtual bank สมมติว่าเจอ 30% และถ้าเข้าระบบปกติได้ 15% เท่านี้ก็ช่วยได้มากแล้ว
ประเด็นนี้มีความสำคัญมาก ถ้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจมีต้นทุนทางการเงินสูงและคนไม่มีทางเลือกเลย เราจะมีความสามารถในการแข่งขันได้อย่างไร
การเข้าไม่ถึงบริการภาคการเงินของคนไทย ซ้อนทับกับวิกฤตหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นอีกปัญหาใหญ่ของประเทศ สมมติถ้ามีการออกแบบให้มีผู้เล่นใหม่ที่สามารถให้บริการแก่กลุ่มคนที่ความเสี่ยงสูงแบบที่บอก จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาหนี้ครัวเรือนหรือไม่ อย่างไร
กระบวนการแก้ปัญหาหนี้ต้องใช้เวลา และต้องดูผลลัพธ์สุดท้าย หลายคนพูดว่าการแก้หนี้ต้องทำให้รายได้โต และลดรายจ่าย ซึ่งไม่ผิด แต่ผมอยากท้าทายเสนอว่า การยอมให้คนเป็นหนี้เพิ่มอาจเป็นกระบวนการที่จำเป็นในการแก้หนี้ที่ยั่งยืน แต่ต้องเป็นหนี้ที่ดีนะ เพราะถ้าหากคุณไม่มีทุนในการทำงานหรือประกอบกิจการ คุณจะมีรายได้เพิ่มได้อย่างไร
นอกจากจะเป็นหนี้ที่ดีแล้ว การจะเป็นหนี้เพิ่มต้องให้จัดการให้ถูกต้องด้วย ไม่ใช่ว่ากู้เงินไปทำธุรกิจ แต่ใช้ช่องทางของสินเชื่อส่วนบุคคล อันนี้ไม่ได้เลย ดอกเบี้ยของสินเชื่อธุรกิจแค่ 7-8% แต่สินเชื่อส่วนบุคคลซัดไป 20% ถ้าใช้เงินกู้ผิดประเภท ยิ่งเป็นนอกระบบ เจ๊งลูกเดียว เพราะจะมีธุรกิจไหนที่ให้ผลตอบแทนสูงชนิดที่ว่าเอามาจ่ายดอกอย่างเดียว 20% ได้ เศรษฐกิจไทยมีปัญหาแบบนี้เยอะมาก แต่ถ้าทำให้หนี้ถูกฝา ถูกตัวเมื่อไหร่ จะช่วยให้คนทำมาหากินฟื้นได้เร็วมาก
สิ่งที่ผมต้องการที่สุดคือ การสร้างระบบการเงินที่ไม่ได้เป็นข้อจำกัดของคน แต่มีส่วนในการสร้างโอกาสให้คนมากขึ้น ถ้าเชื่อว่าคนมีเหตุมีผลในการตัดสินใจภายใต้เงื่อนไขของตัวเอง การตัดสินใจทางการเงินก็ควรเป็นแบบนี้ด้วย ผมไม่เห็นด้วยที่ ระบบสินเชื่อต้องมีวิธีการคิดดอกเบี้ยแค่แบบเดียว เช่น กำหนดไว้ว่าไม่ควรเกิน 20% เพราะถึงที่สุดแล้ว คนควรจะได้รับดอกเบี้ยที่ ‘ถูกที่สุด’ ภายใต้ความเสี่ยงของตัวเอง และถ้าใครขยัน ตั้งใจทำมาหากิน ก็ควรมีระบบที่สามารถประเมินได้ว่าความเสี่ยงของเขาลดลงแล้ว ดอกเบี้ยก็ควรจะลดลงด้วย ระบบที่เป็นอยู่ตอนนี้คือ ใครที่มีความเสี่ยงระดับหนึ่งจะถูกผลักออกไปนอกระบบเลย
มีปัจจัยอื่นอีกไหมที่ทำให้เศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากภาคการเงินได้อย่างเต็มที่
ในการพิจารณาสินเชื่อธุรกิจ เรายังติดกับดักเรื่องการประเมินศักยภาพผู้ประกอบการอยู่ ถ้าพิจารณาให้ดีคำว่า ‘ศักยภาพ’ ควรจะหมายถึง ความสามารถที่ยังไม่เป็นที่ประจักษ์ การทำธุรกิจมีโอกาสไม่ประสบความสำเร็จ นั่นคือ ‘ความเสี่ยง’ แต่วันนี้ระบบการเงินเน้นให้เงินเฉพาะกับคนที่มีทุนเป็นที่ประจักษ์แล้ว ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจเลยที่ บริษัทที่มีธุรกิจใหญ่โตแล้วจะเข้าถึงเงินทุนดอกเบี้ยต่ำได้ง่าย กลายเป็นลักษณะเงินต่อเงินไปอีก ในขณะที่คนที่มีศักยภาพไม่ได้รับโอกาส
บนเวทีแบงก์ชาติผมเคยยกตัวอย่างขำๆ ว่า โทมัส เอดิสัน ทดลองหลอดไฟ 1,000 ครั้งกว่าจะสำเร็จ ตอนเด็กๆ เราเรียนเรื่องนี้มาได้คติเลยว่าต้องมีความอดทนและมีความพยายาม แม่ก็สอนผมว่าคนนี้มีความอดทน พอโตมาทำงานในภาคธนาคาร ต้องถามก่อนเลยว่า ใครนะให้ทุนเอดิสันไปทดลองหลอดไฟตั้ง 1,000 ครั้ง และถ้าเอดิสันเกิดที่เมืองไทยจะเป็นอย่างไรนะ
การประเมินศักยภาพและความเสี่ยงควรเป็นเรื่องที่คนในภาคการเงินถนัดและมีความรู้ความเชี่ยวชาญอยู่แล้วหรือเปล่า
เรามีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในระดับหนึ่ง เช่น ดู business model ที่นำเสนอ และดูตลาดว่ามีความพร้อมไหม นอกจากนี้ก็คงต้องประเมินจากตัวผู้ประกอบการเองด้วย อย่างไรก็ตาม เครื่องมือพวกนี้ยังมีช่องว่างในเชิงระบบและสถาบันอยู่ โดยเฉพาะการที่อำนาจตัดสินใจกระจุกตัวอยู่ศูนย์กลาง
สมัยก่อนการตัดสินใจเรื่องสินเชื่อมันถูกกระจาย ก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 อำนาจในการให้สินเชื่ออยูที่ธนาคารสาขา แต่การกำกับดูแลที่อ่อนแอทำให้เกิดปัญหา หลังวิกฤตจึงมีการปฏิรูปครั้งใหญ่รวบอำนาจในการพิจารณาสินเชื่อเข้ามาอยู่ในส่วนกลางทั้งหมด ปัญหาคือสิ่งที่หายไปไม่ใช่แค่การตัดสินใจเท่านั้น ข้อมูลที่ช่วยประกอบการตัดสินใจหายไปด้วย เช่น คนที่อยู่สาขาจะรู้ข้อมูลดีว่า ลูกค้าคนไหนตื่นมาตีห้าขายก๋วยเตี๋ยวทุกวัน ทำงานขยันขันแข็ง คนสาขาสมัยก่อนนี่รู้ถึงขนาดว่าลูกค้าคนนี้ขับรถเบนซ์ก็จริง แต่ว่าหนี้เยอะ ส่วนอีกคนนุ่งกางเกงขาสั้นมา แต่ขยัน เงินเก็บเยอะ เป็นต้น
ปัญหาข้อมูลข่าวสารคือ สาเหตุหนึ่งของการปฏิเสธสินเชื่อเลยก็ว่าได้ เพราะมีเคสเป็นจำนวนไม่น้อยที่ธนาคารปฏิเสธสินเชื่อ เพราะไม่มีข้อมูลที่ดีพอในการตัดสินใจ โดยปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับไทยเท่านั้น แต่หลายประเทศที่มีการรวบอำนาจตัดสินใจไว้ที่ส่วนกลางต้องเจอเหมือนกัน ฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกที่แก้ปัญหานี้ด้วยการออกแบบสถาบันใหม่ที่จะช่วยให้ข้อมูลข่าวสารไม่ถูกรวมศูนย์ไปด้วย โดยตั้งหน่วย Credit Mediator ขึ้นมาช่วยจัดการข้อมูลของพื้นที่เป็นการเฉพาะ ถ้าผู้ประกอบการคนใดยื่นขอสินเชื่อแล้วถูกปฏิเสธ สามารถนำเอกสารไปยื่นให้ Credit Mediator ช่วยเตรียมข้อมูลและจัดเอกสารสำหรับขอสินเชื่อใหม่ได้ โดยหน่วยงานและองค์กรในระดับพื้นที่ เช่น สมาคมหอการค้าผู้ประกอบการ รวมทั้งตัวแทนของธนาคารกลางที่อยู่ภูมิภาค จะต้องมาช่วยเตรียมเอกสารและข้อมูลด้วย
เมื่อแก้ปัญหานี้ การปฏิเสธสินเชื่ออาจเกิดขึ้นได้ เพราะความเสี่ยงของผู้ขอสินเชื่อไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของผู้ให้กู้ ไม่ใช่ปฏิเสธเพราะ ‘ไม่รู้ว่ารู้’ และเมื่อประกอบกับผู้เล่นใหม่ที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้หลากหลายพร้อมกับการสร้างกลไกส่งต่อสินเชื่อตามความเสี่ยง ระบบการเงินก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั่วถึง และมีเสถียรภาพมากขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์มักจะเชื่อในการแข่งขันที่เป็นธรรมในภาคธุรกิจ เพราะยิ่งภาคธุรกิจยิ่งแข่งขันกันมากเท่าไหร่ ผู้บริโภคก็ยิ่งได้ประโยชน์มากเท่านั้น ในขณะเดียวกันภาคธนาคารมักถูกวิจารณ์อยู่เสมอว่า กำไรสูงมากปีหนึ่ง 2 แสนกว่าล้านบ้าน การเป็นนักเศรษฐศาสตร์ในภาคการเงิน-การธนาคารของไทย มองประเด็นนี้อย่างไร
ผมขอแยกเป็นสองส่วนคือ หลักการกับข้อเท็จจริง ซึ่งสัมพันธ์กัน แต่ขอพูดในเชิงข้อเท็จจริงก่อน ทุกวันนี้ผมกล้าพูดว่า การแข่งขันในภาคธนาคารสูงมาก ในฐานะคนทำกลยุทธ์ให้กับธนาคารบอกเลยว่า ‘โคตรเหนื่อย’ ในการคิดว่าจะหารายได้มาจากไหน คนวิจารณ์ว่าภาคธนาคารกำไรสูงมากรวมทั้งอุตสาหกรรมปีละ 200,000 ล้านบาท แต่อย่าลืมว่าทุนทั้งหมดของอุตสาหกรรมสูงถึง 2.6 ล้านๆ บาท อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ที่หุ้น (Return On Equity: ROE) ก็ถือว่าต่ำมาก อย่าลืมว่า ROE คือตัวเลขที่สะท้อนผลตอบแทนของการทำธุรกิจ ถ้า ธุรกิจไหน ROE ต่ำ ผู้ถือหุ้นก็จะทิ้งแล้ว
ในส่วนของหลักการ ธนาคารพาณิชย์จำเป็นที่จะต้องถูกกำกับดูแล ซึ่งการกำกับดูแลที่ดีไม่ได้หมายถึงการทำให้ธนาคารกำไรน้อย แต่คือการออกแบบกลไกและเงื่อนไขที่ทำให้ธนาคารยังมีกำไรได้ตามศักยภาพ และนำเงินกำไรไปพัฒนาต่อยอดระบบการเงิน เช่น ให้คนนำไปขยายกิจการให้บริการครอบคลุมมากขึ้น พัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ เป็นต้น ให้คนเห็นว่าภาคการเงินช่วยสร้างโอกาส ช่วยให้พัฒนา และช่วยให้จัดการความไม่แน่นอนในชีวิตได้ ดังนั้น ในภาพกว้างแล้ว ธุรกิจที่ดีไม่ใช่ที่กำไรมากหรือน้อย แต่คือธุรกิจที่สร้างประโยชน์ให้กับระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้
สิ่งที่สังคมตั้งคำถาม ผมเองก็ถามมาตลอดเกือบ 10 ปี และพบว่าเรื่องนี้ย้อนกลับไปถึงการวางกรอบโครงสร้างเชิงสถาบันของระบบเศรษฐกิจการเงินไทย
อะไรคือความเสี่ยงใหญ่ของภาคเศรษฐกิจการเงินไทยที่คุณคิดว่าจำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก
ภาคเศรษฐกิจการเงินแยกไม่ออกจากเศรษฐกิจจริง และยิ่งแยกไม่ออกจากคุณภาพชีวิตของคนไทย ในแง่นี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนซึ่งคอยฉุดรั้งทุกอย่างจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดและอาจต้องกินเวลาในการแก้ปัญหาไปอีกหลายปี ยิ่งเจอความเสี่ยงและความไม่แน่นอนจากนอกประเทศด้วยยิ่งทำให้ปัญหาน่ากังวลมาก ถ้าถามว่าภาคการเงินไทยโอเคไหม ก็คงพอไปต่อได้ แต่ยากที่จะมีอนาคตสดใส ถ้าคุณภาพชีวิตคนไทยเป็นแบบนี้
ผลกระทบของหนี้ครัวเรือนจะค่อยๆ เผยออกมาให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเราต้องแข่งกับเวลาเหมือนกันและภาวนาให้ไม่มีวิกฤตใหญ่เกิดขึ้นอีก

ในฐานะแคนดิเดทผู้ว่าการฯ คุณตีโจทย์แบงก์ชาติอย่างไร เพื่อให้พร้อมรับมือกับปัญหาและความท้าทายที่เราคุยกันมาทั้งหมด
โดยหลักการ แบงก์ชาติเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะและกำกับดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในภาคการเงิน ซึ่งองค์กรลักษณะนี้มีโจทย์ที่ควรต้องคิดในสามระดับ
ระดับแรกคือ บทบาทและหน้าที่ขององค์กร ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น หน่วยงานนโยบายสาธารณะและองค์กรกำกับดูแลควรต้องกลับมาทบทวนบทบาทและหน้าที่ขององค์กรตัวเองใหม่ ต้องถามไปให้ถึงแก่นเลยว่า วัตถุประสงค์ (objectives) และ เป้าหมาย (purposes) ขององค์กรคืออะไร ยังจำเป็นอยู่ไหม ต้องปรับบทบาทและหน้าที่อย่างไร
ระดับที่สองคือ การทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (engage stakeholder) ซึ่งสำหรับงานสาธารณะอาจแบ่งได้เป็น 2 แบบคือ (1) งานสาธารณะที่รัฐทำเอง (2) งานสาธารณะที่รัฐคิดแต่เอกชนทำ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน คุณต้องเปิดให้เขาเข้ามามีส่วนร่วม ที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐมักจะไม่ให้เอกชนเข้าไปช่วยคิด-ช่วยทำเท่าไหร่ นโยบายที่ออกมาเลยไม่ค่อยได้ผล เพราะไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์การเมืองของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตอนนี้รัฐให้น้ำหนักกับการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน กลัวคนที่เข้าไปทำได้ประโยชน์ แต่ไม่ค่อยในคิดในมุมว่า ถ้าเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น นโยบายก็มีโอกาสที่จะมีประสิทธิผลมากกว่าและประโยชน์ที่เกิดจากสาธารณะก็มากกว่า
ประเด็นนี้มีความสำคัญมากในการทำงานนโยบาย การคิดที่ดีไม่ใช่คิดกันเอง แต่เมื่อคิดเสร็จแล้วจำเป็นต้องเช็คและตรวจสอบจากคนที่ต้องรับไปทำต่อ บทบาทสำคัญอย่างหนึ่งของคนทำงานบริหารและขับเคลื่อนคือ การเข้าไปตรวจสอบว่าทำไมนโยบายและไอเดียที่คิดไว้จึงไม่เกิด บางทีหลายคนไปอคติว่า การที่นโยบายดีไม่เกิด เป็นเพราะคนไม่ยอมรับไปปฏิบัติ ไม่เห็นแก่สังคมโดยรวม แต่จริงๆ แล้วอาจเป็นเพราะการออกแบบแรงจูงใจผิดตั้งแต่แรก และหลายครั้งที่มีข้อจำกัดในทางปฏิบัติหน้างานอะไรบางอย่างภายใต้เงื่อนไขที่เขาเผชิญ ในฐานะคนมีอำนาจและมีหน้าที่ขับเคลื่อนก็ต้องเข้าไปแก้ไขให้ ต้องมองในมุมคนที่เขาเจอปัญหา (empathize) ปัญหาและขับเคลื่อนให้คนที่เกี่ยวข้องทำงานไปในทางเดียวกัน (alignment)
ระดับที่สามคือ การปรับโครงสร้างองค์กรและวิธีการทำงานภายใน ซึ่งต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพ ต้องออกแบบกระบวนการทำงานให้กระชับและให้โอกาสคนทำงานใช้ศักยภาพที่ตัวเองมีให้เต็มที่
เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของแบงก์ชาติควรเป็นอย่างไรในภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจปัจจุบัน
เป้าหมายสูงสุดของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจคือ การสร้างระบบเศรษฐกิจเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย โดยใช้ความรู้ เครื่องมือ และทรัพยากรที่มี เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ ดังนั้น แบงก์ชาติจึงมีหน้าที่ดำเนินนโยบายสาธารณะทางด้านการเงินเพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย ซึ่งต้องมีองค์ประกอบหลัก 2 ประการ คือ (1) การรักษาเสถียรภาพ และ (2) การพัฒนาระบบเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะผู้ดำเนินนโยบาย เราไม่สามารถสร้างระบบเศรษฐกิจดังกล่าวขึ้นมาจากองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง
พูดแบบเป็นรูปธรรมมากขึ้น การดำเนินนโยบายการเงินควรมีเป้าหมายเพื่อทำให้ระบบเศรษฐกิจการเงินสามารถช่วยสนับสนุนให้เกิดการเติบโตที่ ‘มีส่วนร่วมและยั่งยืน’ ได้ ครัวเรือนมีโอกาสเข้าถึงระบบการเงินเพื่อนำไปพัฒนาศักยภาพทุนมนุษย์ของตนเอง ภาคธุรกิจมีโอกาสในการเริ่มธุรกิจ การขยายกิจการ หรือการลงทุนในนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างมูลค่าเพิ่มใหม่ที่สร้างผลตอบแทนที่มั่นคง ขณะเดียวกัน การสร้างบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ทำให้คนสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงที่กระทบต่อฐานะการเงินของตนได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ครัวเรือน ภาคธุรกิจ และระบบเศรษฐกิจโดยรวมมีเสถียรภาพมากขึ้น
ภายใต้กรอบอำนาจและหน้าที่แบงก์ชาติทำได้ การขับเคลื่อนองค์กรให้มุ่งไปสู่เป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้จะต้องทำอย่างไร
การที่ภาคเงินจะบรรลุเป้าหมายทั่วถึง มีประสิทธิภาพ และมีเสถียรภาพได้ ควรต้องประกอบด้วยสามส่วนหลักคือ (1) การสร้างนโยบาย กลไก และแรงจูงใจ เพื่อให้ภาคการเงินสามารถจัดสรรทรัพยากรทางการเงินได้อย่างทั่วถึงและเหมาะสมกับบริบทของหน่วยเศรษฐกิจที่หลากหลาย ซึ่งโจทย์รูปธรรมคือ การทำให้ประชาชนและหน่วยเศรษฐกิจทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่เหมาะสม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินที่จำเป็น (2) การพัฒนาประสิทธิภาพของการทำนโยบายการเงิน ให้มีความสามารถในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะในระบบเศรษฐกิจที่มีความเหลื่อมล้ำสูงและข้อมูลไม่สมบูรณ์ และ (3) การเตรียมเครื่องมือทางการเงินเพื่อรองรับภาวะวิกฤติและความไม่แน่นอน เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจการเงินมีความพร้อมต่อแรงกระแทกทางเศรษฐกิจที่รุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต โดยการรองรับแรงแรงกระแทกและความผันผวนจะต้องไม่ใช่เพียงการตั้งรับ แต่ต้องเป็น ‘เชิงรุก’ ที่สามารถทำนโยบายเศรษฐกิจได้อย่างยืดหยุ่นในภาวะปกติและในยามวิกฤต
อีกประเด็นที่มีความสำคัญไม่แพ้กันคือ แบงก์ชาติไม่ได้ทำงานอย่างโดดเดี่ยว และไม่สามารถทำงานอย่างโดดเดี่ยวได้ เพราะความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยเผชิญอยู่ในปัจจุบันมีลักษณะเป็นปัญหาเชิงระบบที่เชื่อมโยงหลายมิติ และไม่สามารถจัดการได้โดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งโดยลำพัง การสอดประสานบทบาท นโยบาย และกลไกของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจึงเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายโดยรวม
เวลาอยู่ในหมวกนักวิชาการการวิจารณ์รัฐและทุนไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไหร่ แต่ประสบการณ์ในรอบหลายปีที่ผ่านมาทำให้คุณเข้าใจรัฐและทุนมากขึ้นไหม และถ้าวันหนึ่งต้องไปอยู่ในบทบาทที่ต้องกำกับหรือดูแลผลประโยชน์สาธารณะ จะจัดวางดุลเหล่านี้อย่างไร
ภาษาง่าย ๆ เลยคือ ต้องมีหลัก ทุกการกระทำหรือทุกการตัดสินใจต้องเอาไปทาบกับสิ่งที่เป็นหลักการได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าบทบาทและหน้าที่ของเราในตอนนั้น ถ้าเราเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของเรา เราก็จะพบคำตอบเองโดยไม่มีอคติครับ
หมายเหตุ บทสัมภาษณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจที่จะให้สาธารณะมีส่วนในการติดตามการสรรหาผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดย ‘วันโอวัน’ ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์แคนดิเดตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหลัก 4 ท่าน จากผู้สมัครทั้งหมด 7 ท่าน โดยแจ้งจุดประสงค์ในการขอสัมภาษณ์ชัดเจน และมีแคนดิเดตตอบรับการสัมภาษณ์ในประเด็นนี้ 2 ท่านได้แก่ ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ และ ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส