พลันที่เก้าอี้ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนต่อไปปิดรับสมัครไปเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 หลายสายตาล้วนจับจ้องว่าใครบ้างที่ลงชิงตำแหน่งอันสำคัญยิ่งต่อภาคเศรษฐกิจการเงินของประเทศ ยิ่งในยามนี้ที่ระเบียบเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยกำลังถูกปั่นป่วนด้วยพายุหลายลูก การสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งนี้จึงนับได้ว่ากำลังเป็นที่จับตามากที่สุดครั้งหนึ่ง
หลังปิดรับสมัครปรากฏว่ามีผู้ยื่นใบสมัครทั้งสิ้นถึงเจ็ดรายชื่อ ซึ่งล้วนเป็นผู้มีประสบการณ์ในวงการเศรษฐกิจการเงินอย่างแตกต่างหลากหลาย ทว่าในชื่อเหล่านั้นมีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็น ‘คนใน’ ของธนาคารแห่งประเทศไทย ชื่อนั้นคือ รุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงินในปัจจุบัน
ตลอดระยะเวลาที่คร่ำหวอดทำงานในธนาคารแห่งประเทศไทยมากว่า 20 ปี รุ่งผ่านเก้าอี้สำคัญมาแล้วมากมาย ยิ่งในระยะหลังที่ภาคเศรษฐกิจการเงินของไทยต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน รุ่งก็ได้รับมอบหมายให้เป็นหนึ่งในหัวเรือใหญ่นำพาภาคการเงินและธนาคารแห่งประเทศไทยฟันฝ่าคลื่นแห่งวิกฤตและความเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่ภารกิจการขับเคลื่อนระบบการเงินให้ตอบโจทย์ภูมิทัศน์ใหม่ การบรรเทาปัญหาหนี้ครัวเรือน ตลอดจนการจัดการภัยการเงินรูปแบบใหม่
แน่นอนว่าโจทย์โลกการเงินเหล่านี้จะยังคงเป็นสิ่งที่ผู้ว่าฯ คนถัดไปต้องขบคิดต่อไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม และขณะเดียวกันคำถามจากสาธารณชนต่อธนาคารแห่งประเทศไทยที่ดังขึ้นในห้วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องความเป็นอิสระจากการเมืองที่ถูกมองว่าอาจมีมากจนเกินไป ก็ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของผู้ว่าฯ คนใหม่เช่นกัน
ระหว่างสนทนากับรุ่ง เธอบอกกับเราว่าท่ามกลางโจทย์เหล่านี้ แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงต้องรักษายืนยันจุดยืนเดิมหลายสิ่ง แต่การปรับเปลี่ยนบางเรื่องก็อาจหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
แล้วจุดไหนที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้ตอบโจทย์ภูมิทัศน์เศรษฐกิจการเงินใหม่มากขึ้น และภูมิทัศน์ใหม่ที่ว่านี้หน้าตาเป็นอย่างไร วันโอวันชวนฟังแนวคิดของรุ่ง มัลลิกะมาส หนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนถัดไป

โจทย์เศรษฐกิจโลกตอนนี้สำหรับคุณเป็นอย่างไร
เศรษฐกิจโลกจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะสหรัฐอเมริกาตอนนี้สร้างความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก ซึ่งไม่น่าใช่แค่เรื่องภาษีเพียงเรื่องเดียว แต่รวมถึงความไม่แน่นอนจากลักษณะระบบความคิดของรัฐบาลสหรัฐฯ ปัจจุบันที่พยายามนำแต่ละประเทศมาที่โต๊ะเจรจาให้ได้ และพยายามเจรจาเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสหรัฐอเมริกาเอง เพราะฉะนั้นต่อให้เราเจรจาเรื่องภาษีผ่านไปได้ ก็อาจจะมีเรื่องอื่นเกิดขึ้นมาอีก ทุกประเทศในโลกรวมถึงประเทศไทยจึงต้องเผชิญความไม่แน่นอนสูงมาก เพราะไม่รู้ว่าสหรัฐฯ จะไปทิศทางใด และเกมที่เราเคยรู้จักในอดีตก็อาจไม่ใช่เกมที่เราสามารถเล่นต่อไปได้ในอนาคต
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องปรับตัว ซึ่งประเทศไทยเองก็มีปัญหาเชิงโครงสร้างเดิมอยู่แล้ว เรื่องนี้จึงเป็นช็อกที่เข้ามากดดันให้เรายิ่งต้องปรับตัวไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คือเราต้องหา ‘เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจ’ (growth engine) ใหม่ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และก็ต้องปรับตัวเข้าสู่ภาวะที่การค้าจะไม่ได้เปิดกว้างหรือมีพื้นที่ให้เรามากเท่าเดิม
แล้วแนวทางการปรับตัวของเศรษฐกิจไทยที่คุณคิดเป็นแบบไหนท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้
อันดับแรกคือเราต้องหาให้ได้ว่าต้องปรับไปทางไหนหรือปรับในภาคส่วนไหนบ้าง แต่แน่นอนว่าเราก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของดีที่เรามีอยู่แต่เดิม เช่น ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม หรือเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรม โดยเราต้องต่อยอดสิ่งเหล่านี้ให้มีมูลค่าเพิ่ม
แต่ที่สุดแล้วไม่ว่าเราจะไปทิศทางไหน การจะไปถึงจุดนั้นได้ก็ต้องอาศัยการประสานกัน (coordination) ของหลายๆ ส่วน ตั้งแต่การสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งผู้ประกอบการเองต้องรู้สึกว่าอยากปรับตัวก่อน ต่อมาแน่นอนว่ารัฐต้องช่วย เช่น ถ้าผู้ประกอบการต้องการเปิดตลาดใหม่หรือต้องการยกระดับมาตรฐานสินค้าเพื่อเจาะตลาดใหม่ รัฐก็ต้องช่วยในเรื่ององค์ความรู้ และต้องมีชุดมาตรการออกมาเลย
ภายใต้โจทย์นี้ซึ่งเป็นสภาวะที่ประเทศไทยต้องปฏิรูปหลายอย่าง ถึงอย่างไรฝั่งภาคการคลังก็ต้องมีบทบาทมากขึ้น ซึ่งการคลังก็ไม่ใช่แค่เรื่องของการเก็บภาษีหรือการใช้จ่ายงบประมาณเพียงอย่างเดียว แต่ต้องชี้นำด้วยว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงในทิศทางใด ต้องช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจใดมากหรือน้อย เพราะแต่ละภาคก็เผชิญผลกระทบทางเศรษฐกิจไม่เท่ากัน แต่ขณะที่ภาคการคลังมีบทบาท ภาคการเงินก็ต้องเข้าไปเสริมด้วย อย่างในเรื่องสินเชื่อ เราก็อยากเห็นสินเชื่อที่ไม่ได้แค่เพื่อเยียวยาคนที่บาดเจ็บทางเศรษฐกิจ แต่เข้าไปช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือปรับตัวของอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อให้ตอบโจทย์โลกที่ไปข้างหน้าได้มากขึ้นด้วย สรุปแล้วต้องทำให้ครบกระบวนและทั้งภาคการเงินและภาคการคลังก็ต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้มีนโยบายไปในทางเดียวกัน
เราเห็นว่าระเบียบการค้าโลกเปลี่ยนไป แต่เรายังเห็นไม่ชัดว่าระเบียบการเงินของโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร เพราะฉะนั้นสำหรับประเทศไทยที่ถือเป็นประเทศที่เล็กและเปิด ในแง่ภาคการเงิน ต้องมีโจทย์ในการจัดวางตัวเองในโลกแบบนี้อย่างไร
นี่คือประเด็นที่ไม่มีใครรู้ได้แน่ชัด แต่มันก็มีความเสี่ยงจริง เพราะสหรัฐฯ มีบทบาทในการเงินโลกสูงมาก เขามีอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่นในเรื่องสกุลเงินดอลลาร์ และระบบการชำระเงินต่างๆ ซึ่งหมายความว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้
ดังนั้นในฐานะประเทศเล็ก เราก็คงไม่ใช่ตัวเดินเกมตัวแรก แต่อย่างแรกที่เราต้องทำคือเตรียมพร้อมและลดความเสี่ยงของเราเอง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยก็ทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว และเราต้องทำให้มั่นใจว่าระบบการชำระเงินของเราจะเดินต่อเนื่องได้ บางส่วนอาจต้องลดการพึ่งพิงระบบจากต่างประเทศ หรือถ้าส่วนไหนที่ยังต้องพึ่งพิงต่างประเทศ เราก็ต้องทำให้มั่นใจว่าเราจะมีทางเลือกและมีความสามารถในการบริหารจัดการความเสี่ยง รวมถึงว่าเราก็ต้องพร้อมรับกับสถานการณ์อย่างคนที่ตื่นรู้

แล้วธนาคารแห่งประเทศไทยเองตีโจทย์ใหม่ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนไปนี้อย่างไร ให้ความสำคัญกับเรื่องไหนบ้าง
ส่วนตัวคิดว่าคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ SMEs และภาคแรงงานในส่วนที่มีความเสี่ยงสูง เพราะคนกลุ่มนี้ไม่เพียงเปราะบางกว่ากลุ่มอื่น แต่โอกาสในการปรับตัวของเขาก็มีน้อยกว่าบริษัทใหญ่ ที่สำคัญคนกลุ่มนี้แต่เดิมก็เข้าถึงสินเชื่อยากอยู่แล้ว เมื่อเขาต้องมาเจอช็อกแบบนี้ทำให้ยิ่งปรับตัวยากขึ้นและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจึงยิ่งลำบากขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามทำมาตลอดสามปีที่ผ่านมาก็คือการทำให้คนกลุ่มที่เราเรียกว่า ‘คนตัวเล็ก’ ซึ่งไม่ใช่แค่ลูกหนี้รายย่อย แต่รวมถึงลูกหนี้ SMEs และกลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น
ภายใต้ภูมิทัศน์เศรษฐกิจใหม่นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมีนโยบาย ‘3 Open’ ซึ่ง Open แรกที่เราต้องการให้มีคือ Open Data (เปิดข้อมูล) เพราะที่ผ่านมาข้อมูลของคนตัวเล็กกระจัดกระจายอยู่หลายแห่ง ทำให้ธนาคารผู้ปล่อยกู้มีต้นทุนสูงในการรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินความเสี่ยง การปล่อยสินเชื่อเพียงเล็กน้อยจึงไม่คุ้มทุน เราต้องลดต้นทุนของการได้มาซึ่งข้อมูลเพื่อจะมองเห็นข้อมูลคนกลุ่มนี้ชัดขึ้นและทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อให้คนกลุ่มนี้ง่ายขึ้น จึงนำมาสู่โครงการ Your Data ซึ่งให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของข้อมูลสามารถส่งข้อมูลข้ามสถาบันการเงินและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ได้ เช่น ข้อมูลภาครัฐ อย่างภาษี หรือค่าน้ำค่าไฟ
เรื่องที่สองคือ Open Competition (เปิดการแข่งขัน) คือต้องมีการแข่งขันกันในภาคการเงินมากขึ้น ปกติเรามีผู้เล่นใหญ่คือธนาคาร ที่มักเน้นลูกค้ารายใหญ่ และมีสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) ซึ่งยอมรับความเสี่ยงได้ (risk appetite) มากกว่าธนาคาร แต่เมื่อเทียบกับหลายประเทศ ถือว่า non-bank ของเราไม่ได้ใหญ่นัก ดังนั้น สิ่งที่เราอยากเห็นคือการมี non-bank ในระบบเศรษฐกิจไทยใหญ่ขึ้น สามารถแข่งขันได้เสมอภาคขึ้น และผลักดันให้ non-bank เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานบางประการได้มากขึ้น เช่น ระบบพร้อมเพย์ ที่ปกติแล้วเข้าถึงได้ผ่านธนาคารเท่านั้น ซึ่งนี่ก็คือเรื่อง Open Infrastructure (เปิดโครงสร้างพื้นฐาน) หาก non-bank เข้ามาแข่งขันได้มากขึ้นแล้ว ก็ควรอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มข้นในลักษณะใกล้เคียงกับธนาคารมากขึ้นเช่นกัน เพื่อให้สมเหตุสมผลกับโมเดลธุรกิจและความเสี่ยงต่างๆ
นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปิดให้มีธนาคารที่ไม่มีสาขาหรือที่เรียกว่า virtual bank ซึ่งเป็นกลุ่มที่เราคาดหวังว่าจะทำให้ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลได้คล่องตัวมากขึ้น เพราะธนาคารดั้งเดิมมี core banking (ระบบเทคโนโลยีหลักที่ธนาคารใช้ดำเนินธุรกรรมพื้นฐาน) ของตัวเองที่ต้องให้บริการตั้งแต่ลูกค้ารายใหญ่ไปจนถึงลูกค้ารายย่อย การเปลี่ยนระบบจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น การสร้างระบบใหม่จึงง่ายกว่าและจะช่วยกลุ่มคนตัวเล็กได้มากขึ้น จากนั้นเมื่อ virtual bank มีความคล่องตัวมากขึ้นแล้ว เราก็คาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้นธนาคารให้พัฒนาเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะอยู่คนละกลุ่มซึ่งไม่ได้แข่งขันกันโดยตรงก็ตาม เหมือนอย่างในต่างประเทศ เมื่อ virtual bank ทำแอปพลิเคชันให้บริการได้ดีเพราะไม่มีสาขา ก็ทำให้ธนาคารพยายามออกแบบแอปพลิเคชันให้ดีและเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากขึ้นเช่นกัน
นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเนื่องจากโลกบังคับให้ไทยเราต้องเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังด้วย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยคาดหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คนตัวเล็กสามารถมีโอกาสทางการเงินที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ความท้าทายของการทำ ‘3 open’ นี้คืออะไร
การดำเนินการแต่ละด้านมีความท้าทายแตกต่างกัน ถ้าเป็นเรื่อง Open Data ความท้าทายคือข้อมูลที่จะเปิดให้ส่งหากันต้องมีมากพอ รวมถึงว่าตอนนี้ข้อมูลก็อยู่กระจัดกระจายหลายแห่ง และคนที่มีข้อมูลก็ไม่ได้อยากให้ข้อมูลเพราะเป็นสิ่งที่เขาหวงแหน เราก็ต้องใช้แนวทางที่เหมาะสมเพื่อให้เขาแชร์ข้อมูลออกมา อีกประเด็นคือการกำหนดมาตรฐานของช่องทางที่จะใช้ในการรับส่งข้อมูลเพื่อสร้างถนนข้อมูลที่ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และมีประสิทธิภาพ เมื่อถนนมีมาตรฐานลูกค้าก็จะให้ความยินยอมแชร์ข้อมูล และที่สำคัญคือเรื่องค่าบริการต้องสมเหตุสมผล ถ้าสูงไปก็จะเป็นอุปสรรคในการใช้งาน หรือถ้าต่ำไปผู้ให้บริการก็อาจจะไม่สนใจเข้ามาร่วมเลย เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการคุยและตกลงกันเยอะในการทำเรื่องนี้ ซึ่งถ้าเป็นส่วนข้อมูลภาครัฐ เช่น ค่าน้ำค่าไฟ ก็คิดว่าภายในปีนี้ประชาชนจะเริ่มใช้สิทธิส่งข้อมูลส่วนนี้ของตนได้เพราะเป็นการเชื่อมต่อของระบบข้อมูลภาครัฐซึ่งสามารถทำได้ แต่ถ้าเป็นข้อมูลประชาชนที่อยู่กับภาคเอกชน คาดว่าจะดำเนินการได้ในปีหน้า
ส่วนในเรื่อง virtual bank ความท้าทายของการผลักดันเรื่องนี้คือ ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะทำอย่างไรให้ virtual bank มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์สร้างการแข่งขันสร้างนวัตกรรมทางการเงินเพื่อช่วยคนตัวเล็กได้จริง โดยในช่วงที่เริ่มเปิดให้บริการนั้นก็ต้องอนุบาลเขา ซึ่งเราก็หวังจะให้เขาเก่งในระดับหนึ่งเพื่อสร้างอะไรใหม่ๆ ได้ และกระตุ้นการแข่งขันเพื่อทำให้ธนาคารดั้งเดิมมีความกระฉับกระเฉง แข่งขันกันมากขึ้น ในการเดินหน้าเรื่อง virtual bank นี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยเองก็ต้องเรียนรู้เหมือนกัน ด้วยความที่ไม่มีสาขา จึงต้องใช้ระบบไอทีเยอะ แปลว่าเราต้องเก่งเรื่องไอทีมากขึ้นเหมือนกันเพื่อนำไปใช้กำกับดูแลเขา
พูดถึงเรื่องการเปิดการแข่งขัน เราเปิดแข่งขันเสรีกับต่างประเทศไปเลยได้ไหม
ในช่วงที่ผ่านมาไทยเราก็ออกใบอนุญาตให้กับสถาบันการเงินต่างประเทศ แต่นั่นเป็นใบอนุญาตแบบเก่า ยังไม่ใช่แบบ virtual bank แต่ต้องบอกว่าประเทศไทยเราตอนนี้เป็นสังคมสูงวัย ทำให้การเจริญเติบโตของเราไม่ได้ซู่ซ่าแบบเก่า ขณะเดียวกันเมื่อแบรนด์ต่างประเทศเข้ามาในไทย เขาก็เริ่มรู้แล้วว่าเขาสู้แบรนด์ไทยไม่ได้ในเรื่องการรู้จักลูกค้ารายย่อยหรือ SMEs เพราะฉะนั้นจะสังเกตได้ว่าธนาคารต่างชาติเริ่มขายหรือถอนตัวออกไป ซึ่งไม่ใช่เพราะเขาไม่เก่ง แต่เขามุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าในระดับองค์กรมากกว่า เช่น ไปเน้นเรื่องการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ และการทำตราสารอนุพันธ์
เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งคำถามก่อนว่าประเทศไทยต้องการอะไร ซึ่งท้ายที่สุดแล้วคำตอบของเราคือ เราก็ต้องหาสมดุลระหว่างการที่มีการแข่งขันที่ดุเดือดเลือดพล่านกับการที่เราได้ในสิ่งที่เราต้องการ สำหรับประเทศไทย ปัญหาก็น่าจะอยู่ที่คนตัวเล็ก อย่าง SMEs และลูกค้ารายย่อย แต่ธนาคารต่างชาติก็อาจไม่ค่อยได้สนใจกลุ่มนี้นัก เราก็เลยยังไม่ได้เปิด แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นเขา เพราะเราก็เล็งเห็นว่าเขามีเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์เรื่องนี้ ถ้าเขาจะเข้ามาในลักษณะการร่วมทุนก็เข้ามาได้ เพราะฉะนั้นสรุปคือเราเปิดให้เขาเข้ามาแบบกำลังพอดี โดยที่เราก็จะได้ในสิ่งที่ประเทศไทยต้องการด้วย เช่น เทคโนโลยีที่จะเข้ามาตอบโจทย์สิ่งที่ไทยต้องการ
มันมีประเด็นที่หลายคนกำลังไม่เข้าใจว่าภาคธนาคารของไทยมีกำไรปีละสองแสนล้านบาท แต่กลับแทบไม่มีใครเข้ามาพยายามแย่งก้อนเค้กมูลค่าสองแสนล้านนั้น?
เราถึงต้องพยายามให้มีการแข่งขันโดย non-bank ซึ่งมีระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (risk appetite) แตกต่างออกไป ถ้าจะเจาะกลุ่มไปที่คนตัวเล็กอย่าง SMEs ธนาคารต่างชาติก็คงไม่สนใจ แต่ก็จะเป็นที่สนใจสำหรับกลุ่ม non-bank เพราะฉะนั้นเราจึงมุ่งเป็นไปยังกลุ่มนี้มากขึ้นเพื่อให้เขาแข่งขันได้มากขึ้น โดยที่เราไม่ได้ปิดกั้นสถาบันการเงินต่างสัญชาติ ตราบใดที่เขามาตั้งบริษัทที่สามารถอยู่กับเราได้ แต่ก็ต้องแข่งขันในลักษณะที่เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานได้ใกล้เคียงกันและอยู่บนกฎกติกาที่ใกล้เคียงกันด้วย อีกอย่างที่สังเกตเห็นได้คือ non-bank ของเรามีลักษณะเป็น monoline คือทำธุรกิจได้เฉพาะในวงแคบ ดังนั้นในแง่การกำกับดูแลของเราก็ต้องเปลี่ยนเหมือนกัน คือต้องเปิดให้มีใบอนุญาตที่ให้เขาสามารถทำอะไรได้หลากหลายมากขึ้นเพื่อให้เขาแข่งขันได้มากขึ้น

การดำเนินการทั้งหมดเท่าที่คุณเล่ามามีเป้าหมายหลักเพื่อให้คนตัวเล็กเข้าถึงภาคการเงินและสินเชื่อมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันประเทศไทยก็มีปัญหาเรื่องหนี้ครัวเรือนที่สูงอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆ ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้ภาคการเงินของไทยไม่กล้าที่จะปล่อยสินเชื่อมากนักในตอนนี้ คุณคิดว่าต้องทำอย่างไรกับเรื่องนี้
ยกตัวอย่างตอนที่เราให้ใบอนุญาตแก่ virtual bank องค์ประกอบหนึ่งที่เราต้องดูคือดูว่าเขาจะไม่ไปแข่งขันในภาคส่วนที่จะทำให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มมากเกินไป คือไม่ใช่ไปมุ่งแข่งอยู่ในกลุ่มที่เข้าถึงสินเชื่อได้อยู่แล้ว แต่ควรมุ่งไปคนที่ยังเข้าถึงได้น้อยเกินไปหรือยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ
แล้วเราก็ต้องตั้งคำถามด้วยว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนของเรามีต้นตอมาจากอะไร อย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือรายได้ที่น้อยหรือโตช้า โดยเฉพาะหลังวิกฤตโควิด-19 ที่ประเทศของเราฟื้นตัวช้า และรายได้ของคนก็ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะออกจากกับดักนี้ได้โดยที่เราไม่มีรายได้สูงขึ้น นั่นคือสาเหตุที่ต้องทำมาตรการออกมามากมายเพื่อยืดหรือผ่อนให้คนที่เกิดความตะกุกตะกักในชีวิตสามารถไปต่อได้ อีกสาเหตุหนึ่งก็คือระบบประกันสังคมของประเทศเราอาจมีน้อยไปและไม่ครอบคลุม ทำให้ประชาชนอาจต้องไปหยิบยืมเงินมาอาจจะจากแหล่งนอกระบบ ซึ่งก็เป็นปัญหา เพราะฉะนั้นต้องทำให้ระบบประกันสังคมเหล่านี้ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นที่เราก็กำลังพยายามแก้ไข คือการที่สถาบันการเงินให้ข้อมูลกับลูกหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งเราเคยไปตรวจสอบเรื่องการโฆษณาว่าทำถูกต้องตามมาตรฐานกี่เปอร์เซ็นต์ โดยช่วงต้นปี 2567 ซึ่งเราเพิ่งเข้าไปทำงานด้านนี้ใหม่ๆ พบว่ามีเพียง 3% เท่านั้นที่เป็นไปตามมาตรฐาน ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่ากังวลมาก นี่จึงเป็นสาเหตุให้ธนาคารแห่งประเทศไทยผลักดันเรื่องการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ (responsible lending) ซึ่งไม่ใช่การไปบีบว่าต้องไม่ให้สินเชื่อ แต่ต้องให้ข้อมูลที่มากขึ้น โดยหลังจากที่เรายกระดับความเข้มข้นเรื่องนี้ขึ้นมาก็พบว่ามีการโฆษณาถูกต้องตามมาตรฐานเพิ่มขึ้นมาเป็น 70% แต่ถ้าถามว่าพอใจหรือยัง ก็ยังไม่พอใจ เพราะว่าเราต้องการ 100%
อีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนก็คือการเพิ่มความรู้ทางการเงินให้กับประชาชน เพราะเมื่อลูกหนี้เข้าใจในบริบทต่างๆ ดีพอก็จะช่วยให้บริหารจัดการหนี้ได้ดีขึ้น การให้ความรู้กับลูกหนี้จึงมีความสำคัญ เช่นเรามีโปรแกรมชื่อ ”แก้หนี้ DIY” ที่ให้ลูกหนี้เข้ามาใส่ข้อมูลเบื้องต้นและโปรแกรมก็จะนำเสนอว่าหนี้ใดที่ควรจะจัดการก่อนหลังอย่างไร และต้องเพิ่มเติมด้วยว่าต้องมีการให้ความรู้กับประชาชนตั้งแต่ระดับในโรงเรียน เด็กนักเรียน นักศึกษาต้องมีความรู้ในการเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ก่อนจะเข้าสู่โลกการทำงาน
สรุปคือการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนต้องทำอย่างครบวงจร ไม่ใช่แค่การยืดอายุหนี้หรือให้เขาสามารถกู้เพิ่มได้ แต่ต้องทำอะไรที่ตอบโจทย์หลายข้อไปพร้อมกัน โดยเฉพาะในช่วงนี้ถ้าเป็นเรื่องรายได้ ยิ่งไปเจอกับการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ การฟื้นตัวของรายได้ก็ยิ่งเลื่อนออกไป นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราต้องออกมาตรการมาเพื่อประคับประคอง เช่น โครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ ที่เราตั้งใจว่าถ้าเป็นคนที่ยังสู้เพื่อปลดหนี้อยู่และยังสามารถสู้ได้ในช่วง 2-3 ปีนี้ หนี้ของเขาก็ควรจะลด แต่ต้องเข้าใจว่ามาตรการนี้ไม่ใช่การแก้หนี้แบบเบ็ดเสร็จทั้งระบบ เป็นเพียงการประคับประคองเท่านั้น
ถ้าลองประเมินการทำมาตรการบรรเทาหนี้ครัวเรือนที่ผ่านมาแล้ว คิดว่าพึงพอใจกับผลลัพธ์ไหม
ตัวเลขวงเงินที่เราช่วยได้ตอนนี้อยู่ที่ 50% ของยอดเงินที่เข้าเงื่อนไขโครงการ ซึ่งหลายๆ คนอาจกลุ้มใจและมองว่าไม่ประสบความสำเร็จ แต่เราไม่เคยคาดหวังว่าจะเป็น 100% อยู่แล้ว เพราะโครงการมีเงื่อนไขต่างๆ ที่ลูกหนี้อาจไม่สามารถทำตามได้ จึงเลือกที่จะไม่เข้าโครงการ อย่างไรก็ตามตัวเลข 50% ก็ไม่ใช่ตัวเลขที่แย่ แต่เราก็อยากได้มากกว่า 50% อยู่แล้ว ซึ่งเราก็ต้องมาดูว่าทำไมคนจำนวนหนึ่งที่แจ้งความจำนงขอสมัครเข้าร่วมโครงการแต่สุดท้ายไม่สามารถเข้ามาได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเรามีเกณฑ์เรื่อง Days Past Due (จำนวนวันที่เกินกำหนดชำระหนี้) ซึ่งเราก็อาจเพิ่มความยืดหยุ่นเรื่องนี้ให้ได้ แต่จากข้อมูลของเราคือลูกหนี้ที่หายไปนานมักจะไม่กลับไปติดต่อธนาคารแล้ว เพราะฉะนั้นก็อาจยากที่มาตรการจะสำเร็จได้ 100%
เนื่องจากปัจจุบันคุณกำลังดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ตั้งแต่ที่คุณเข้ามารับตำแหน่งนี้ คุณมองคำว่า ‘เสถียรภาพสถาบันการเงิน’ และคำว่า ‘เสถียรภาพ’ เปลี่ยนไปจากเดิมบ้างไหม
จริงๆ ต้องย้อนไปตั้งแต่สามปีที่แล้วที่รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายสถาบันการเงิน ตอนนั้นเราเคยพูดว่าเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินจะเปลี่ยนไป และมันก็เปลี่ยนไปจริงๆ จนทำให้เราต้องออกเอกสาร ‘ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทย’
เดิมเรามองว่าเสถียรภาพคือ ‘ความทนทาน’ แปลว่าถ้าพายุลมพัดมา สถาบันการเงินต้องไม่ล้ม แม้ว่าลูกเห็บจะตกก็อยู่ได้ แต่เราก็ต้องพิจารณาด้วยว่าในโลกยุคใหม่ การเปลี่ยนแปลงมีเยอะและรวดเร็วขึ้นมาก ยังไม่ต้องพูดถึงประเด็นทรัมป์ที่เพิ่งมาใหม่ แต่ ณ วันนั้น มันมีเทคโนโลยีที่เป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงเข้ามาแล้ว อย่างเรื่องภัยการเงินก็เป็นความเสี่ยงด้านหนึ่งของเทคโนโลยี แต่ในอีกมุมหนึ่งเทคโนโลยีก็สามารถเข้ามาช่วยพัฒนางานได้ เราก็ต้องใช้ให้เป็น และตอนนั้นยังมีเรื่องความยั่งยืน ซึ่งเศรษฐกิจไทยจริงๆ ก็ยังไม่ได้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากนัก โดยเฉพาะในภาคการผลิต เราก็อยากให้ประเทศไทยพัฒนาด้านนี้เพราะมันจะเป็นการดำเนินเศรษฐกิจที่ยั่งยืนสำหรับประเทศได้มากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้หมายความว่าภาคธุรกิจเองก็ต้องมีความสามารถในการปรับตัว สถาบันการเงินเองก็ต้องปรับตัว และที่สำคัญคือช่วยให้ลูกค้าของเขาสามารถปรับตัวได้ ซึ่งแปลว่าสถาบันการเงินก็ต้องมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวมากขึ้น นั่นคือเสถียรภาพที่แท้จริง
และสิ่งสำคัญคือไม่ใช่แค่สถาบันการเงินเท่านั้นที่ต้องปรับตัว แต่ตัวผู้กำกับดูแลก็ต้องปรับเปลี่ยนด้วย คือการให้ความสำคัญกับความมั่นคงก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่เราก็ต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมถึงเปิดกว้างและทำความเข้าใจความเสี่ยงใหม่ๆ มากขึ้นเพื่อพัฒนาภาคการเงินไทยให้แข็งแกร่งและยั่งยืน
ในเมื่อความหมายและโจทย์ของคำว่าเสถียรภาพเปลี่ยนไปแบบนี้ แล้วคุณคิดว่าภาคการเงินไทย รวมถึงสถาบันการเงินไทยในวันนี้มีเสถียรภาพแล้วหรือยัง
มีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง เพราะอย่างน้อยเราก็เห็นว่าเขามั่นคง เขามีกำไร แต่ถ้าถามในเรื่องความยืดหยุ่นหรือความสามารถในการปรับตัว ก็คิดว่ายังมีพื้นที่ที่ทำได้อีก นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเราถึงอยากจะเพิ่มการแข่งขัน เพื่อให้เขากระฉับกระเฉงขึ้นและตอบโจทย์คนไทยให้มากกว่านี้

ธนาคารแห่งประเทศไทยมักบอกเสมอว่าวางตัวเองเป็นเหมือนกองหลังที่สนับสนุนกองหน้า แต่ในภาวะที่เศรษฐกิจเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนแบบนี้ จะยังเป็นกองหลังเหมือนเดิมได้อยู่ไหม
กองหลังก็ยังคงต้องเป็นกองหลัง แต่ไม่ใช่กองหลังที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเพียงอย่างเดียว ในสถานการณ์นี้กองหลังเองก็ต้องดันออกมาข้างหน้ามากขึ้น คือเราก็ต้องมีบทบาทและขับเคลื่อนในการคิดเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจไทย รวมถึงการหาเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ แต่ไม่ใช่ว่าจะพลิกไปเล่นเป็นกองหน้า
ที่ผ่านมามีหลายคนตั้งคำถามว่าธนาคารแห่งประเทศไทยมุ่งเน้นเรื่องเสถียรภาพเศรษฐกิจมากไปไหมในภาวะแบบนี้ที่เราก็กำลังต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนกัน และหลายคนก็ตั้งคำถามไปถึงว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจเป็นอิสระมากเกินไปไหม คุณคิดอย่างไร
คำถามแรกคือทำไมธนาคารกลางต้องมีความเป็นอิสระ เพราะโดยหลักแล้วก็เพื่อให้ธนาคารกลางเป็นหน่วยงานที่สามารถทำงานเพื่อประโยชน์ระยะยาวของประเทศได้ โดยที่ไม่ได้ถูกฝ่ายรัฐบาลซึ่งอาจมีภารกิจในระยะสั้นกว่าครอบงำ คือเราต้องยอมรับว่าอย่างน้อยเราต้องมีคนที่ดูอะไรในระยะยาว และโดยส่วนตัวแล้วคิดว่าคำว่า ‘ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง’ คือความเป็นอิสระที่จะทำงานภายใต้กรอบหรือข้อตกลงได้ เพียงแต่เราไม่ได้ทำงานในลักษณะที่เป็นอิสระหรือเป็นเอกเทศ โดยไม่ต้องสนใจใครเลย
ในประเด็นนี้ ส่วนตัวคิดว่าข้อถกเถียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเรื่องของมุมมองระยะสั้นและระยะยาวที่ไม่ตรงกัน เช่น ฝั่งหนึ่งเน้นเรื่องเสถียรภาพ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเน้นเรื่องการเจริญเติบโต แต่ ณ วันนี้ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต้องทำทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ถ้าเราจะทำให้ประเทศจะต้องไปต่อได้ เสถียรภาพก็ยังต้องมี แต่อาจจะต้องให้น้ำหนักกับเรื่องการเติบโตมากขึ้น เพราะว่าถ้าเราไม่มีการเติบโตเลย ท้ายสุดเสถียรภาพก็ไปไม่ได้ เหมือนกับเรื่องหนี้ครัวเรือน คือถ้าคุณไม่มีรายได้ ท้ายที่สุดแล้วคุณก็ทำได้แค่ประคับประคองเหมือนกินยาพาราเซตามอล แต่ไม่ได้แข็งแรงจริงๆ เพราะฉะนั้นบทบาทของทั้งสองด้านจึงสำคัญ เพียงแต่อาจต้องปรับวิธีการทำงานให้ทำงานร่วมกันได้มากขึ้น มันยังมีพื้นที่ที่เราจะประสานงานกันได้ ถ้าทุกฝ่ายอยู่บนความตั้งใจเดียวกันที่จะให้ประเทศไทยไปรอดและเจริญได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ที่ผ่านมาความไม่เข้าใจกันในบางเรื่องอาจเกิดจากหลายปัจจัย อย่างแรกคือเราอาจจะพบปะหารือกันน้อยเกินไป สองคืออาจจะคุยกันช้าเกินไป เพราะหลายครั้งกว่าที่จะมีการคุยกัน เรื่องก็ดำเนินไประยะหนึ่งแล้ว จึงอยากให้มีการพูดคุยกันแต่เนิ่นๆ ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเดินหน้าโครงการใดๆ เพราะจะทำให้เราร่วมกันคิดได้มากขึ้นและเข้าใจมุมมองของกันและกันได้ดียิ่งขึ้น และอีกอย่างคือเราอาจคุยกันดังเกินไป บางทีการหารือกันเงียบๆ อาจทำให้ตกผลึกทางความคิดได้ง่ายขึ้น นำไปสู่ข้อสรุปที่ชัดเจนและลงตัว
คำว่าความเป็นอิสระก็ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ (accountability) เช่นกัน แล้วในมุมมองของคุณคิดว่าความรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทยควรเป็นอย่างไร
เราต้องทำงานแบบโปร่งใสและอธิบายได้ ถ้ามีคนถามว่าทำไมเราถึงคิดแบบนี้ เราต้องตอบได้ เราต้องมีข้อมูล เราต้องมีหลักคิด และเราต้องมองไกล ถึงจะได้รับความไว้วางใจจากสาธารณชน
แล้วในสถานการณ์เศรษฐกิจแบบนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเปลี่ยนกรอบเป้าหมายอะไรไหม โดยเฉพาะที่ผ่านมาที่ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (inflation targeting) เป็นสำคัญ ตรงนี้ต้องมีการปรับเปลี่ยนอะไรไหม
ในแง่การทำงาน เราก็มีความยืดหยุ่น ที่จริงเราก็ไม่ได้มองแต่ดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ยังใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ด้วย เช่น การดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเราก็มีความยืดหยุ่นในกรอบเหล่านี้เพิ่มขึ้น อย่างในเวลาแบบนี้ ถ้าเราลดดอกเบี้ยอย่างเดียวแต่ไม่มีมาตรการทางการเงินเข้ามาเสริม ผลดีของการลดดอกเบี้ยก็จะจำกัด บางครั้งเราจึงต้องออกมาตรการเสริมมาควบคู่กัน เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) นี่คือการพยายามขยายผลเพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการใช้นโยบายต่างๆ แต่ถ้าถามว่าเราทำได้มากขึ้นหรือดีขึ้นอีกหรือไม่ ก็มั่นใจว่ายังมีพื้นที่ที่สามารถทำได้เพิ่มอีก

ถ้าสมมติธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นคนสักคนหนึ่ง คุณคิดว่าตอนนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นคนแบบไหน
เป็นคนที่ค่อนไปทางอนุรักษนิยม แต่ก็อาจเป็นอนุรักษนิยมน้อยลงได้ คือเป็นอนุรักษนิยมที่ทันสมัย เข้าใจคนอื่น ถ้าเป็นภารกิจส่วนที่เป็นกระดูกสันหลังของเราซึ่งก็คือเรื่องเสถียรภาพนั้น แน่นอนว่าต้องอนุรักษนิยม แต่ต้องมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเป็นกองหลังที่ดันตัวเองขึ้นมาสนับสนุนกองหน้ามากขึ้น
แล้วคิดว่าเป็นอินโทรเวิร์ต (introvert: ชอบเก็บตัว) หรือเอ็กซ์โทรเวิร์ต (extrovert: ชอบเข้าสังคม)
น่าจะเป็นอินโทรเวิร์ต แต่ภายใต้บริบทใหม่ที่เปลี่ยนแปลงเร็วและมีความท้าทายเพิ่มขึ้น การเป็นอินโทรเวิร์ตอาจจะตอบโจทย์น้อยลง ดังนั้นเราอาจจะต้องหาสมดุลใหม่ คืออาจไม่ถึงขั้นเปลี่ยนตัวเองเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ต แต่ต้องเปิดรับและก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับทุกๆ คนมากขึ้น
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าคุณได้สมัครลงชิงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนถัดไป อะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจเช่นนี้
ด้วยตำแหน่งปัจจุบัน เราก็สามารถทำงานได้ แต่ในการจะทำให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการกำหนดทิศทางและบรรยากาศขององค์กร ผู้ว่าฯ เป็นคนเดียวที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้คิดว่าคนของธนาคารแห่งประเทศไทยทั้งสามพันกว่าคนต้องเป็นไปตามผู้ว่าฯ ทุกคน และความเป็นสถาบันของเราก็ควรที่จะยังคงอยู่ เพราะเรามีของดีเยอะ เรามีพื้นฐานที่ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าผู้ว่าฯ มีบทบาทในเรื่องการกำหนดทิศทางและบรรยากาศมาก ขณะเดียวกัน เราก็อยากยกระดับและทำให้องค์กรนี้มีประสิทธิภาพขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ในการจะเปลี่ยนทิศทางและบรรยากาศของสถาบันไปจากเดิม ต้องทำอย่างไร
ผู้บริหารต้องทำเป็นแบบอย่างให้ดู เช่น ถ้าอยากให้องค์กรมีความเป็นอินโทรเวิร์ตหรือเอ็กซ์โทรเวิร์ต ผู้บริหารก็ต้องแสดงออกให้ชัด เขาก็คือคนที่ต้องเป็นเช่นนั้นคนแรก เขาต้องทำให้ดูและต้องสื่อสารกับพนักงานว่าต้องมีการปรับ ไม่ได้หมายความว่าต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ปรับบางเรื่องให้ดีขึ้นและตอบโจทย์ประเทศมากขึ้น แกนของเรายังเป็นสิ่งเดิมคือเราต้องทำงานเพื่อประเทศ เพียงแต่ด้วยบริบทที่เปลี่ยนไปและซับซ้อนมากขึ้น มันไม่ได้มีเพียงหนึ่งหรือสององค์กรที่จะจัดการได้ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องร่วมมือกันมากขึ้น
ถ้าสมมติคุณได้เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คิดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยในการบริหารของคุณน่าจะปรับไปในทิศทางใด
อยากกระตุ้นให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับคนข้างนอกเร็วขึ้น มากขึ้น และบ่อยขึ้น เพื่อแก้ปัญหาความไม่เข้าใจกัน ที่ผ่านมาคนในธนาคารแห่งประเทศไทยอาจมีแนวคิดอยู่บ้างว่าไม่อยากปฏิสัมพันธ์กับคนที่อยู่ในกำกับของเรามากนัก เพราะเกรงกลัวว่าจะทำให้เราขาดความเป็นกลาง แต่จากประสบการณ์ของตัวเองที่มีโอกาสได้ทำงานข้างนอก แล้วได้ใช้ความสัมพันธ์ ความคุ้นเคย และความเข้าใจในการทำงาน ก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ทำให้เราตัดสินใจเอียงเข้าข้างใคร แต่มันทำให้เราเข้าใจเขามากขึ้นมากกว่า คือธนาคารแห่งประเทศไทยมีเป้าหมายที่ดีและตรงก็จริงอยู่ แต่ในบางเรื่องเราก็ไม่ใช่คนทำงานจริง เราก็อาจไม่รู้ดี เพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องได้มุมมองจากเขาในการทำงาน จึงอยากให้คนของธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดกว้างรับประสบการณ์และความคิดเห็นจากคนอื่นมากขึ้น และได้ออกไปชมโลกภายนอกมากขึ้น ซึ่งที่จริงแล้วคนของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไร ส่วนใหญ่ถ้าได้รับข่าวสารหรือมุมมองอื่นๆ ก็จะนำมาฉุกคิดได้ แต่ประเด็นคือเรื่องการเข้าหากัน (exposure) มากกว่า
นอกจากนี้ก็อยากให้ผู้บริหารระดับกลางหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ ได้ทำงานร่วมกัน เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) รวมถึงสี่องค์กรหลักทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ ซึ่งเหล่านี้เป็นหน่วยงานที่ต้องทำงานด้วยกันอยู่แล้ว ถ้าทำให้เขารู้จักคุ้นเคยกัน และร่วมคิดร่วมทำโปรเจกต์ที่สำคัญกับชาติบ้านเมือง จะช่วยให้สามารถคิดวิเคราะห์และออกแบบนโยบายหรือพัฒนาโครงการที่สำคัญ ต่อเศรษฐกิจการเงินของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น

หมายเหตุ บทสัมภาษณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของความตั้งใจที่จะให้สาธารณะมีส่วนในการติดตามการสรรหาผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดย ‘วันโอวัน’ ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์แคนดิเดตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยหลัก 4 ท่าน จากผู้สมัครทั้งหมด 7 ท่าน โดยแจ้งจุดประสงค์ในการขอสัมภาษณ์ชัดเจน และมีแคนดิเดตตอบรับการสัมภาษณ์ในประเด็นนี้ 2 ท่านได้แก่ ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ และ ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส