ท่ามกลางยุคสมัยแห่งความเกลียดชัง ความรุนแรงระดับฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก เทคโนโลยีที่ถูกคิดค้นขึ้นมาในฐานะความก้าวหน้าของมนุษยชาติถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือให้ความเกลียดชังแพร่กระจายได้ไวขึ้น
เลวร้ายกว่านั้น เทคโนโลยีถูกนำมาใช้เพื่อให้ฆ่าคนได้มากขึ้นและแม่นยำขึ้น
จากบทเรียนในประวัติศาสตร์ ก่อนเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนชาติหนึ่งใดมักมีการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อ ปล่อยข้อมูลเท็จที่สร้างความเกลียดชัง เหยียดหยามลดคุณค่าให้ต่ำกว่ามนุษย์ ความชิงชังที่ก่อตัวนำไปสู่ใบอนุญาตให้เกิดการฆ่าระดับมหกรรม
ปัจจุบันใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อแปลงกายเป็นโพสต์ในโซเชียลมีเดีย ข้อความบิดเบือนยุยงให้เกลียดชังสามารถกระจายไปทั่วได้ในพริบตา เมื่อบริษัทเทคโนโลยีผู้เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มไม่ทำอะไร การฆ่าในโลกจริงก็เกิดขึ้น
ระหว่างที่เกิดความรุนแรงต่อชนพื้นเมืองและชุมชนชายขอบหลายแห่งในปัจจุบัน คำถามสำคัญคือบริษัทเทคโนโลยีควรรับผิดรับชอบอย่างไรต่อการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ
คำถามสำคัญนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในวงเสวนา Tech giants and genocide: indigenous struggles for digital justice ใน RightsCon 2025 ที่ไทเป ไต้หวัน โดยสะท้อนประสบการณ์จากชาวปาเลสไตน์ โรฮิงญา ทิเกรย์ และอุยกูร์ ซึ่งทำให้เห็นบทบาทของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทำให้ความรุนแรงต่อกลุ่มชาติพันธุ์ขยายวงกว้าง จนถึงบทบาทของเทคโนโลยีที่ทำให้มีการสอดแนม การกดขี่ทางดิจิทัล และการเพิ่มศักยภาพทางการทหารในการทำลายล้าง
และนี่คือโลกใหม่ที่เราต้องรับมือร่วมกัน

ไฟความเกลียดชังออนไลน์และปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปาเลสไตน์
บทบาทของบริษัทเทคโนโลยีที่มีต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในพื้นที่ฉนวนกาซา จาลาล อะบูคาเตียร์ (Jalal Abukhater) ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์ที่ 7amleh หรือศูนย์อาหรับเพื่อความก้าวหน้าของโซเชียลมีเดีย (The Arab Center for the Advancement of Social Media) เล่าว่าบริษัทเทคโนโลยีที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเอื้อให้เกิดอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่กาซานั้นไม่ใช่เพียงผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย แต่ยังรวมถึงผู้ให้บริการคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วย
“นี่ถือเป็นครั้งแรกที่บิ๊กเทคเข้ามามีบทบาทสำคัญในการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เพราะเมื่อกองทัพอิสราเอลก่ออาชญากรรมสงคราม บริษัทเอกชนก็เข้ามาให้บริการระบบและเครื่องมือต่างๆ ที่เอื้อให้เกิดการละเมิดชาวปาเลสไตน์”
ในฐานะผู้ที่ทำงานผลักดันสิทธิทางดิจิทัลของชาวปาเลสไตน์ จาลาลชี้ว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ มีการเลือกปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์ มีการเซ็นเซอร์ผู้ที่ส่งเสียงต่อต้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการปิดกั้นผู้ที่พยายามบันทึกและเผยแพร่ความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่
“แพลตฟอร์มดิจิทัลหลายแห่งเปิดช่องให้มีการเผยแพร่คำพูดยั่วยุและถ้อยคำสร้างความเกลียดชัง โดยเฉพาะเนื้อหาในภาษาฮีบรูซึ่งลดทอนความเป็นมนุษย์และสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ คำพูดในโลกออนไลน์เหล่านั้นส่งผลโดยตรงต่อความรุนแรงกับผู้คนในโลกจริง
“บริษัทเทคโนโลยียังมีส่วนในการให้บริการคลาวด์และ AI ที่ทำให้อิสราเอลสามารถกำหนดเป้าหมายโจมตีชาวปาเลสไตน์เป็นพันๆ แห่ง ทำให้คนในกาซาเสียชีวิตมหาศาล” จาลาลกล่าว
เขายกตัวอย่างว่าบริษัทเทคโนโลยี อย่างแอมะซอน (Amazon), กูเกิล (Google), ไมโครซอฟต์ (Microsoft) ฯลฯ มีการทำสัญญากับรัฐบาลอิสราเอล โดยให้บริการเทคโนโลยีหลายรูปแบบซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถของกองทัพอิสราเอล โดยเฉพาะช่วงสงครามกาซา อย่างโปรเจ็กต์นิมบัส (Project Nimbus)
“เรามีหลักฐานเป็นเอกสารจากพนักงานในบริษัทเหล่านี้ที่แจ้งเบาะแสว่า ทางบริษัทให้บริการเครื่องมือที่ส่งผลโดยตรงให้เกิดความเสียหายกับคนในพื้นที่ นี่คือสถานการณ์ใหม่ที่เทคโนโลยีมีส่วนเอื้อให้เกิดอาชญากรรมสงคราม คำถามสำคัญคือเราจะรับมือและจัดการปัญหานี้อย่างไร ผมเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในกาซาจะส่งผลกระทบไปทั่วโลกในไม่ช้า”
จาลาลเล่าว่า ก่อนที่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซาจะปะทุตัว ทาง 7amleh เคยเก็บข้อมูลว่าแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ (Twitter) มีการส่งเสริมให้ใช้ความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์
“เราพบว่ามีการใช้คำพูดยั่วยุในรูปแบบคล้ายๆ กันในปริมาณมหาศาล มีเนื้อหาเป็นพันๆ โพสต์ที่สนับสนุนให้มีการเผาหมู่บ้าน ให้ทำลายสถานที่ต่างๆ ยังไม่รวมถึงโพสต์อีกนับพันนับหมื่นที่กระตุ้นให้ใช้ความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ โดยที่ไม่มีการควบคุมเนื้อหาจากแพลตฟอร์มเลย หลังจากนั้นก็เกิดปฏิบัติจริงตามหมู่บ้านต่างๆ
“เนื้อหายั่วยุในภาษาฮีบรูเหล่านี้ถูกแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่อย่างเอ็กซ์ (X) และเมตา (Meta) มองว่าเป็นเรื่อง ‘ไม่สำคัญ’ จนถึงตอนนี้เบนจามิน เนทันยาฮู ผู้มีหมายจับจากข้อหาอาชญากรสงครามจากศาลอาญาโลกก็ยังมีโปรไฟล์อยู่บนเฟซบุ๊ก (Facebook) รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิสราเอลคนอื่นๆ ก็ยังใช้เฟซบุ๊กโพสต์ยั่วยุให้ใช้ความรุนแรงกับคนปาเลสไตน์ พวกเรารู้ดีว่าบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ไม่จริงจังในการรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้น” จาลาลกล่าวสรุปถึงปัญหาที่ชาวปาเลสไตน์เผชิญ
บทเรียนจาก ‘โรฮิงญา’ และโจทย์ถึงคนทั้งโลก
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียกลายเป็นพื้นที่สำคัญที่ทำให้ความเกลียดชังระหว่างชาติพันธุ์ถูกกระตุ้นจนนำไปสู่ความรุนแรง ตัวอย่างหนึ่งจากประเทศเพื่อนบ้านคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญาในเมียนมา
ไท่ ไท่ อ่อง (Htaike Htaike Aung) ผู้อำนวยการบริหารองค์กร MIDO (Myanmar ICT for Development Organization) เล่าว่าคนเมียนมาใช้เฟซบุ๊กกันเยอะมาก เฟซบุ๊กจึงกลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความรุนแรงทางชาติพันธุ์ต่อชนกลุ่มน้อย โดยเฉพาะคนโรฮิงญา มีการใช้เฮตสปีชและปล่อยข้อมูลเท็จเกี่ยวกับคนโรฮิงญาจนข้อมูลแพร่ไปทั่ว
“ในปี 2018 คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงวิกฤตโรฮิงญาของสหประชาชาติเผยแพร่รายงานที่ระบุว่าเฟซบุ๊กมีบทบาทสำคัญในการเปิดทางให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และถูกใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มที่ต้องการสร้างความเกลียดชังในประเทศ หลังจากนั้นเมตาก็เริ่มจ้างผู้คัดกรองและผู้ตรวจสอบเนื้อหามากขึ้น แต่การจัดการคอนเทนต์เหล่านี้ก็ยังช้าอยู่ ส่วนใหญ่เราต้องกดรีพอร์ตไปก่อนเท่านั้น ซึ่งมันไม่สม่ำเสมอและขาดความโปร่งใส”
ปีเดียวกันนั้น MIDO จึงร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมอื่นเขียนจดหมายเปิดผนึก ‘Dear Mark’ ซึ่งระบุถึงปัญหาที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กโดยจ่าหน้าถึงมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก นับเป็นก้าวสำคัญที่คนในเมียนมาสื่อสารกับสาธารณะว่าเมตามีส่วนร่วมในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างไรและการดำเนินการป้องกันนั้นล้มเหลวอย่างไร
ไท่ ไท่เห็นว่าการใช้เฟซบุ๊กปล่อยข้อมูลเท็จและเฮตสปีชในเมียนมายังเกิดขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังรัฐประหารเมียนมาในปี 2021 ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบคือกลุ่มการเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ยังสะท้อนถึงความอ่อนแอในการบังคับใช้กฎหมายของเมียนมาด้วย
ที่ผ่านมาชาวโรฮิงญาพยายามหาทางสู้กลับด้วยการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากเฟซบุ๊กในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา ซึ่งไท่ ไท่มองว่าแม้ภาคประชาสังคมจะเสียเปรียบมากในการต่อสู้ฟ้องร้องบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่อย่างน้อยก็เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อให้สังคมตระหนักถึงปัญหา
“การฟ้องร้องครั้งนี้มีความไม่สมดุลทางอำนาจอย่างมากระหว่างภาคประชาสังคมและบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเมตา แต่อย่างน้อยก็เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความรับรู้ในสังคมและเพื่อกระตุ้นให้เมตาจัดการปัญหาให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ การต่อสู้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเป็นเรื่องยาก ถ้าบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เหล่านั้นไม่เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาอย่างจริงจัง”
เธอสรุปบทเรียนสำคัญจากกรณีโรฮิงญาและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไว้สามประเด็น
1. กรณีโรฮิงญา ภาคประชาสังคมพยายามเตือนเฟซบุ๊กมาหลายปี แต่มีการตอบสนองช้าเกินไป ดังนั้น ในพื้นที่อื่นๆ ควรเรียกร้องให้มีการดำเนินการเชิงรุกก่อนที่ความเสียหายจะบานปลาย โดยเฉพาะในสังคมที่มีการเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบ เช่น อินเดียและเอธิโอเปีย
2. การส่งเสียงเรียกร้องความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มถือเป็นการต่อสู้ร่วมกันระดับโลก เพราะรัฐบาลและบริษัทต่างๆ มักปล่อยให้คอนเทนต์ที่สร้างความเกลียดชังเกิดขึ้น ตราบใดที่พวกเขายังได้ประโยชน์และสร้างกำไรได้ ดังนั้น ‘คนส่วนใหญ่ของโลก’ ที่ได้รับผลกระทบควรร่วมมือกันเรียกร้องให้มีนโยบายที่ครอบคลุมมากขึ้นและความรับผิดชอบที่มากขึ้น
3. หลายแพลตฟอร์มตรวจสอบเนื้อหาด้วย AI ซึ่งส่วนใหญ่พัฒนาในกลุ่มประเทศโลกเหนือ (global north) ดังนั้น การมีคนที่เชี่ยวชาญและเข้าใจบริบทท้องถิ่นอยู่ในแวดวงที่มีการถกเถียงเรื่องนโยบายและเทคโนโลยีเหล่านี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ
4. สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญาในเมียนมาเป็นบทเรียนสำคัญว่าข้อมูลเท็จจะถูกส่งต่อได้อย่างรวดเร็วถ้าแพลตฟอร์มไม่มีการควบคุม และสุดท้ายจะนำไปสู่ความรุนแรง
ความรุนแรงใน ‘ทิเกรย์’ และการละเลยของแพลตฟอร์ม
“พวกคุณเคยได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในทิเกรย์ไหมคะ?”
ทิมนิต เกบรู (Timnit Gebru) ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการบริหารสถาบันวิจัย DAIR (Distributed Artificial Intelligence Research Institute) กล่าวเปิดประเด็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศบ้านเกิดของเธอ
ทิมนิตเคยเป็นหัวหน้าทีมวิจัยด้านจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ของกูเกิล แต่เธอถูกไล่ออกหลังพยายามตีพิมพ์งานวิจัยเรื่องความเสี่ยงของโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (large language models – LLMs) ซึ่งระบุผลกระทบแง่ลบหลายด้าน หนึ่งในนั้นคือการชี้ถึงอคติทางเพศ เชื้อชาติ และความไม่โปร่งใสของโมเดล
ทิมนิตถูกไล่ออกจากกูเกิลในเดือนธันวาคม 2020 ก่อนหน้านั้นหนึ่งเดือนเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในภูมิภาคทิเกรย์ เอธิโอเปีย ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของเธอ การสู้รบระหว่างรัฐบาลกลางเอธิโอเปียและแนวร่วมปลดปล่อยประชาชนทิเกรย์ (TPLF) ทำให้เกิดการปิดล้อมเมืองที่ยาวนาน การเดินทางและการติดต่อสื่อสารถูกตัดขาดจนประชาชนขาดแคลนอาหาร เชื้อเพลิง ยา และสิ่งของจำเป็น
“ฉันเคยอ่านเรื่องที่เกิดขึ้นในเมียนมาว่าคนสร้างความเกลียดชังจนนำไปสู่ความรุนแรงอย่างไร แต่พอฉันเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในภาษาของตัวเองมันคนละความรู้สึกเลยนะ ตอนที่คอนเทนต์สร้างความเกลียดชังต่อคนทิเกรย์เริ่มมีมากขึ้น ฉันถามคนในบริษัทที่เคยทำงานว่า ‘คุณพอจะมีเทคโนโลยีอะไรที่ใช้ตรวจจับคอนเทนต์ในภาษาติกริญญา (Tigrinya) ไหม?’ เช่นถ้าจะวิเคราะห์ว่ามีการใช้คำว่า ‘แมลงสาบ’ กี่ครั้ง เพราะมันเป็นคำที่มีเจตนานำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่เราก็ไม่มีเทคโนโลยีทางภาษาแบบนั้นเลย ฉันจึงบอกว่าเราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเครื่องมือทางภาษาที่จะใช้ตรวจสอบนะ คำตอบที่ได้กลับมาคือ ‘สำหรับภาษาที่มีทรัพยากรน้อยก็ถือว่าเรามีเครื่องมือพอแล้วนะ’ โลกนี้มี 7,000 ภาษา ถ้าพวกเขามีเครื่องมือสำหรับ 5 หรือ 10 ภาษามันก็ไม่ครอบคลุมหรอก”
ทิมนิตยกตัวอย่างกรณีของอับราฮัม มีอาเร็ก (Abrham Meareg) ชาวทิเกรย์ ในช่วงที่มีความรุนแรงในทิเกรย์พ่อของอับราฮัมซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยถูกฆ่าที่บ้านของตัวเอง หลังมีคนโพสต์ยั่วยุและสร้างความเกลียดชังพร้อมระบุที่อยู่บ้าน แพลตฟอร์มปล่อยโพสต์เหล่านั้นไว้โดยไม่มีการควบคุม มีเพียงบางโพสต์ที่ถูกแพลตฟอร์มลบออกหลังจากพ่อของอับราฮัมเสียชีวิตไปหลายวันแล้ว หลังจากนั้นอับราฮัมจึงยื่นฟ้องเมตาว่าเฟซบุ๊กมีอัลกอริทึมที่ส่งเสริมคอนเทนต์ที่ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังและความรุนแรงในเอธิโอเปีย
“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับฉันคือในเดือนตุลาคม 2021 อาบีย์ อาเหม็ด (Abiy Ahmed) (นายกฯ เอธิโอเปียผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ) พร้อมกับคนในเครือข่ายของเขาโพสต์ข้อความส่งสารชัดเจนว่า คุณต้องฆ่าพวกเขาตอนนี้ คุณต้องทำมันตอนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนบ้านก็ต้องทำ แม้จะทำให้คุณรู้สึกแย่ก็ต้องทำตอนนี้ ทำมันเลย ข้อความนั้นถูกส่งต่อออกไปรวดเร็วเหมือนไฟป่า เราจึงติดต่อทุกแพลตฟอร์ม เช่น ทวิตเตอร์, เฟซบุ๊ก, ยูทูบ และอื่นๆ พวกเขาตอบกลับมาว่ามันไม่ละเมิดกฎชุมชน ที่จริงมันไม่ใช่ข้อความที่ซ่อนนัยอะไรซับซ้อน ไม่ได้มีปัญหาต่อการแปลเลย วิธีเดียวที่ฉันจะทำให้พวกเขาลบมันได้คือบอกนักข่าว แล้วก็มีนักข่าวหลายคนไปถามบริษัทว่า ‘ทำไมมันถึงไม่ละเมิดกฎชุมชนของคุณ?’ หลังจากนั้น 36 ชั่วโมงพวกเขาก็ลบมันออก ถามว่าในช่วงเวลานั้นมีคนทิเกรย์ถูกฆ่าตายไปแล้วกี่คน”
ทิมนิตให้ความเห็นว่า การสร้างความเกลียดชังโดยปราศจากความรับผิดชอบจากแพลตฟอร์มจะนำไปสู่การเกิดความรุนแรงซ้ำในสังคมอื่น โดยเฉพาะสังคมที่คนใช้ภาษาซึ่งถูกมองว่าไม่มีความสำคัญนัก เช่นที่เกิดขึ้นกับคอนเทนต์ในภาษาติกริญญา จึงควรมีความร่วมมือในการแก้ปัญหานี้ก่อนที่ความโหดร้ายจะเกิดอีก
กรณีอุยกูร์: อะไรเกิดขึ้นที่จีน จะไม่หยุดอยู่ที่ชายแดนจีน
อีกหนึ่งกลุ่มชนซึ่งถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงด้วยเหตุจากชาติพันธุ์คือชาวอุยกูร์ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีน
ไฮยูเออร์ เคอร์บาน (Haiyuer Kuerban) ผู้อำนวยการสำนักงานกรุงเบอร์ลินของสภาอุยกูร์โลก (World Uyghur Congress) เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นใน ‘เตอร์กิสถานตะวันออก’ ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวอุยกูร์ใช้เรียกดินแดนตนเองว่า รัฐบาลจีนมีนโยบายจับชาวอุยกูร์เข้าค่ายกักกันตั้งแต่ปี 2016 โดยคาดว่ามีผู้ถูกจับมากถึง 1-1.8 ล้านคนถูกส่งไปกักกันตามค่ายที่ถูกสร้างกระจายไว้ทั่วพื้นที่
ที่ผ่านมามีองค์กรสิทธิมนุษยชนรายงานเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในค่ายกักกัน เช่น Human Rights Watch และ Amnesty International โดยเหตุผลที่รัฐบาลจีนใช้อ้างเพื่อจับกุมชาวอุยกูร์ นอกเหนือจากข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายแล้ว ยังมีเหตุผลแปลกๆ อีกมากที่เจ้าหน้าที่ใช้บ่งชี้ว่าเป็นพวกหัวรุนแรง ไฮยูเออร์ยกตัวอย่างเช่น กักตุนอาหารจำนวนมาก, มีเข็มทิศ, งดดื่มแอลกอฮอล์, งดสูบบุหรี่, ไปมัสยิด, ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่สแกนม่านตา, พูดภาษาอุยกูร์ในโรงเรียน, สวมเสื้อผ้าที่มีตัวอักษรอาหรับ, ไม่เข้าร่วมการอบรมโฆษณาชวนเชื่อ, ทำพิธีศพแบบดั้งเดิม, โต้แย้งเจ้าหน้าที่, บอกคนอื่นว่าไม่ให้ทำบาป, ส่งหนังสือร้องเรียนเจ้าหน้าที่, ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่เก็บดีเอ็นเอ, อดอาหาร, ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ดาวน์โหลดข้อมูลทุกอย่างในโทรศัพท์, มีหนวดเครายาว, ใช้ VPN, มีลูกมากเกินไป, คุยกับคนที่เดินทางไปต่างประเทศ, ใช้ WhatsApp, ดูวิดีโอที่ถ่ายในต่างประเทศ, ฟังการบรรยายทางศาสนา, ไม่ยอมบันทึกเสียงเพื่อให้เจ้าหน้าที่ระบุตัวตน, คุยกับคนที่อยู่ต่างประเทศผ่าน Skype หรือ WeChat ฯลฯ
“แค่คุณทำอะไรเพียงข้อเดียวก็เพียงพอให้ถูกนำตัวไปกักขังในค่ายที่น่าสยดสยองแล้ว ค่ายที่สร้างขึ้นเพื่อขังคนชนชาติเดียวนี้นับว่าใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ชาวอุยกูร์ที่นั่นถูกล้างสมอง ทรมาน ข่มขู่ มีผู้หญิงถูกข่มขืนและจำนวนมากถูกทำหมัน”
ไฮยูเออร์เล่าว่าการเก็บข้อมูลคนอุยกูร์ดำเนินการโดยบริษัทสตาร์ตอัปเล็กๆ จำนวนมากที่ตั้งขึ้นเพื่อให้บริการในพื้นที่ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปที่แพลตฟอร์มกลางคือ Integrated Joint Operations Platform หรือ IJOP
นอกจากการเก็บข้อมูลคนในค่ายกักกันแล้ว รัฐบาลจีนยังส่งคนไปเดินเคาะประตูบ้านคนอุยกูร์ทุกหลังเพื่อถ่ายภาพ สแกนลายนิ้วมือ และสแกนม่านตา นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของคนในพื้นที่ รวมถึงข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์อื่นๆ พร้อมมีเทคโนโลยีที่สามารถจดจำใบหน้าของผู้คนจำนวนมากได้
ด้วยข้อมูลที่มีการจัดเก็บอย่างละเอียดนี้ทำให้บริษัทเอกชนสามารถระบุตัวตนจากใบหน้าหรือเสียงพร้อมเชื่อมโยงกับ ‘กิจกรรมต้องสงสัย’ ตามที่รัฐบาลระบุไว้ได้
“ประชากรชาวอุยกูร์มากกว่า 90% ถูกบันทึกข้อมูลด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ ทำให้เตอร์กิสถานตะวันออกกลายเป็นพื้นที่ซึ่งมีการจับตาสอดส่องอย่างสมบูรณ์แบบด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย รวมถึงมีด่านตรวจกระจายทั่ว โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างอุรุมชีมีด่านตรวจแทบจะทุก 500 เมตร ชาวอุยกูร์ต้องผ่านด่านตรวจเหล่านั้นแล้วข้อมูลจะถูกส่งไป IJOP เพื่อวิเคราะห์และแจ้งเตือนอย่างรวดเร็วหากมีกิจกรรมต้องสงสัยเกิดขึ้น ซึ่งตำรวจและผู้บังคับใช้กฎหมายก็จะไปตามจับชาวอุยกูร์เข้าค่ายกักกัน”
แม้บริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่ตั้งในพื้นที่ แต่ไฮยูเออร์บอกว่ามีบริษัทจากตะวันตกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่มีเปิดเผยทางสาธารณะไม่กี่บริษัท เช่น บริษัท Thermo Fisher จากสหรัฐอเมริกาซึ่งให้บริการเทคโนโลยีเก็บข้อมูลดีเอ็นเอ โดยต่อมาทางบริษัทประกาศหยุดขายอุปกรณ์ให้รัฐบาลจีนหลังเจอเสียงต่อต้าน (สามารถดูข้อมูลบริษัทที่มีส่วนร่วมกับการจับตาสอดส่องและหากำไรจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั่วโลกได้ที่ Surveillance Watch)
“มีกรณีอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับชาวอุยกูร์ เช่น กูเกิลเคยพัฒนาเสิร์ชเอนจินชื่อ Dragonfly โดยยอมทำตามข้อกำหนดการเซ็นเซอร์ของรัฐบาลจีน แต่ต่อมาโครงการนี้ก็ถูกระงับ
“สุดท้ายการที่บริษัทอย่างกูเกิลและยาฮู (Yahoo) ถอนตัวออกจากประเทศจีน ผมก็ไม่แน่ใจว่าทำด้วยความตั้งใจดีของตัวเองหรือเปล่า เพราะบริษัทเหล่านี้ทำเพื่อผลประโยชน์ของนักลงทุนและผลกำไร ไม่ใช่เพื่อความเป็นธรรม” ไฮยูเออร์กล่าว
ประเด็นสำคัญที่ไฮยูเออร์เห็นว่าคนทั่วโลกควรสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวอุยกูร์คือ เทคโนโลยีสอดส่องเหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้แค่ในประเทศจีนเท่านั้น แต่ยังถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในต่างประเทศด้วย
“เทคโนโลยีสอดส่องเหล่านี้พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับชาวอุยกูร์โดยเฉพาะ มีการเก็บข้อมูลจนสามารถสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่มหึมาแบบที่บริษัททั่วไปไม่สามารถทำได้ ข้อมูลที่ลึกและหลากหลายทำให้เขาสามารถนำมาใช้พัฒนาเทคโนโลยีให้มีความแม่นยำสูงกว่าเทคโนโลยีจากตะวันตก แล้วเทคโนโลยีที่ใช้ควบคุมสังคมเหล่านี้ก็ถูกส่งออกไปยังหลายประเทศ เช่น ปากีสถาน ไทย ซิมบับเว หลายประเทศในแอฟริกา รวมถึงคองโก
“หลายประเทศในแอฟริกามีประชาชนถูกจับกุมเพียงเพราะโพสต์ข้อความวิจารณ์รัฐบาล ประเทศเหล่านั้นเคยต้อนรับการลงทุนจากจีนด้วยความหวังและเชื่อมั่นว่าจีนจะสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าชาติตะวันตก แต่ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
“ในความเป็นจริง หลังผ่านไปไม่กี่ปีพวกเขาจะเริ่มรู้ตัวว่าจีนไม่ได้เพียงแค่นำเงินลงทุนเข้ามาเท่านั้น แต่ยังส่งออกโมเดลระบอบเผด็จการอันโหดร้ายของตัวเองในฐานะ ‘ทางเลือกที่ดีกว่า’ จากโลกตะวันตก ผลที่ตามมาก็คือเสรีภาพในประเทศเหล่านั้นถดถอยลงเรื่อยๆ”
เขาเห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่เพียงแต่มีเจตนากดขี่เสรีภาพภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังต้องการส่งออกโมเดลการควบคุมสังคมไปยังประเทศอื่นๆ
“เราเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นชัดเจนแล้วในฮ่องกง หากเราไม่เฝ้าระวัง ไม่ลุกขึ้นต่อต้าน จุดหมายต่อไปก็คือเสรีภาพของไต้หวัน” ไฮยูเออร์กล่าวและย้ำว่า “อะไรที่เริ่มต้นในประเทศจีน จะไม่หยุดอยู่แค่ที่ชายแดนจีน”
ลงมือก่อนที่ไฟจะลามต่อ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับชาวปาเลสไตน์, โรฮิงญา, ทิเกรย์ และอุยกูร์เป็นหลักฐานยืนยันความเลวร้ายที่บริษัทเทคโนโลยีเข้าไปมีส่วนร่วม คำถามสำคัญคือจะทำอย่างไรให้เกิดความรับผิดรับชอบจากบริษัทเอกชนมากขึ้น
ไท่ ไท่ บอกว่าเรื่องความรุนแรงที่เกิดจากความเกลียดชังในเมียนมาถือเป็นการแจ้งเตือนว่า ถ้าเราไม่ทำอะไร แพลตฟอร์มเหล่านี้ก็จะถูกใช้เป็นอาวุธนำไปสู่ความโหดร้ายได้
“การต่อสู้กับแพลตฟอร์มและการผลักดันให้มีความรับผิดรับชอบไม่ใช่แค่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง สิ่งสำคัญคือเราจะป้องกันวิกฤตครั้งถัดไปได้อย่างไร นี่คือเป้าหมายที่เราควรจะทำงานร่วมกัน” ไท่ ไท่กล่าว
สำหรับจาลาล เขามองว่าเหล่าบิ๊กเทคยินดีที่จะปฏิบัติตามกฎหมายเฉพาะของประเทศสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปเท่านั้น แต่ผู้ได้รับผลกระทบคือประเทศอื่นที่เหลือซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของโลก
“ที่ผ่านมามีคดีที่ทางชาวโรฮิงญาและชาวทิเกรย์ฟ้องร้องเฟซบุ๊ก ถือเป็นการเริ่มสร้างพื้นฐานสำหรับการฟ้องร้องบริษัทที่สนับสนุนความรุนแรงและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นอกจากการฟ้องร้องแล้วเราควรมีมาตรการอื่นๆ ที่สร้างผลกระทบต่อบริษัทเหล่านี้ เพราะเรื่องที่เขาห่วงที่สุดคือผลกำไร เราจึงจำเป็นต้องมีการร่วมมือกัน
“การรณรงค์เชิงนโยบายกับทางบริษัทมีความสำคัญน้อยลง เมื่อเทียบกับการรวมพลังเป็นแนวร่วมเพื่อต่อต้านการกดขี่ทางดิจิทัลโดยบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ สิ่งสำคัญคือเราต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกันในฐานะ ‘ประเทศส่วนใหญ่ของโลก’ เราต้องแสดงพลังว่าบริษัทเหล่านี้ไม่เป็นที่ต้อนรับในพื้นที่ของเรา เว้นแต่พวกเขาจะสนใจชีวิตและศักดิ์ศรีของเรา” จาลาลกล่าว
ด้านทิมนิตไม่แน่ใจว่าการฟ้องร้องแพลตฟอร์มที่ตั้งบริษัทในอเมริกาจะนำไปสู่ผลอย่างที่หวัง เพราะอเมริกากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ส่วนการส่งรายงานปัญหาไปยังเฟซบุ๊กก็เปล่าประโยชน์ ซึ่งเธอเคยทำมาก่อนและพบว่าทางแพลตฟอร์มไม่สนใจเลย
“ส่วนตัวฉันไม่หวังกับ UN นะ เพราะเหมือนพวกเขาต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีในการประชุมแล้วทำอะไรสักเรื่องหนึ่ง แต่ฉันเห็นตัวอย่างที่มีความหวังคือการผลักดันกฎหมายในรัฐแคลิฟอร์เนีย (เป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง) เช่น การผ่านกฎหมาย ‘The Silence No More’ ที่ห้ามบริษัทบังคับพนักงานเซ็นข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูล (NDA) ซึ่งไม่ให้พนักงานพูดเรื่องการเลือกปฏิบัติของบริษัท ก่อนหน้านั้นมีคนเยอะมากที่ถูกไล่ออกเพราะออกมาพูดว่าบริษัทของเขาเลือกปฏิบัติอย่างไรบ้าง ตอนนี้วอชิงตันก็มีกฎหมายนี้แล้ว ถ้าเราหวังเรื่องการต่อสู้ทางกฎหมาย การโฟกัสไปที่แคลิฟอร์เนียก็น่าจะให้ผลดี” ทิมนิตบอก
ส่วนไฮยูเออร์ยอมรับว่าการสร้างการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลา แต่ทุกคนต้องเชื่อว่าคนธรรมดาสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง
“การใช้กฎหมายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบริษัทเหล่านี้คงไม่ขยับตัวทำอะไรเพียงเพราะมีการรณรงค์ หรือเพราะทางบริษัทเกิดมีความปรารถนาดีด้วยตัวเองหรอก พวกเขามีเป้าหมายเรื่องผลกำไร หากไม่มีกฎหมายมาบังคับก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลง
“คนมักบ่นว่าสหภาพยุโรปมีขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อนยุ่งยากเกินไป แต่บางส่วนของกระบวนการเหล่านั้นก็สามารถหยุดยั้งปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นได้ ดังนั้น เราต้องมีการปรับใช้ทั้งกรอบกฎหมาย การสร้างความตระหนักรู้ และการรณรงค์ มันอาจไม่ให้ผล 100% แต่อย่างน้อยจะเกิดผลดีแน่นอน” ไฮยูเออร์กล่าว
ประสบการณ์เลวร้ายจากทั้งสี่ชนชาตินี้เป็นหลักฐานสำคัญถึงความผิดพลาดของมนุษยชาติที่ปล่อยให้ความเกลียดชังลุกลามสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทั้งเป็นหลักฐานสำคัญที่บอกพวกเราว่าต้องร่วมกันหาทางออกก่อนที่ความรุนแรงจะเกิดขึ้นซ้ำในสังคมอื่น