ในเช้าวันแรกของเทอมใหม่ โฟร์มด ขอแม่ขึ้นรถไฟฟ้าไปโรงเรียนเองแทนที่จะนั่งรถแม่ไป เขาไลน์บอก บ้าบิ่น เพื่อนสนิทชาวบลิงค์ให้ขึ้นรถไฟฟ้าไปพร้อมกัน ระหว่างทางเขาเจอ เชียร หนุ่มรุ่นพี่เข้ามาจีบด้วยการบอกว่า ถ่ายรูปแล้วติดเขามา เห็นว่าน่ารักดี อยากส่งให้เขา และแม้จะปฏิเสธแต่โฟร์มดก็สนใจเชียร ตามสืบจนรู้ไอจี และรู้ว่าเชียรมักไปเต้นติ๊กต่อกกับ บัว หนุ่มรุ่นน้องที่มียอดผู้ติดตามมากมาย เขาชอบเชียรมากขึ้นเรื่อยๆ และไปลองเดตกับเชียร ทำเล็บเจลตามเชียร และค่อยๆ รู้ว่าเชียรมาจีบเขาเผื่อเลือก เพราะคนที่เชียรชอบคือบัว แต่บัวก็มีเชียรไว้เผื่อเลือกเหมือนกัน บัวเป็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่เป็นบลิงค์และชอบอยู่กับเชียร เชียรอาจจะเป็นเพื่อนเต้นติ๊กต่อกที่ดีที่สุดของบัว แต่ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น หากสำหรับบ้าบิ่น เพื่อนสนิทของโฟร์มดที่ยอมทำทุกอย่างให้ นอกจากลิซ่าแล้ว เขาก็ไม่เผื่อเลือกใครอีกนอกจากโฟร์มด ทั้งหมดอยู่ในความสัมพันธขั้นตอนที่ไร้ชื่อเรียก คุยแต่ไม่ได้คบ คบอื่นได้แต่ยังคุยอยู่ รักและแอบรัก และก็นอยด์ตัวเองวนไป หากทั้งตั้งใจและช่วยไม่ได้ทุกคนต่างยินดีกระโดดลงไปทุกข์ทรมานอยู่ในความสัมพันธ์แบบนั้น เรียนรู้ที่จะเจ็บปวดจากรักและที่จะรัก
คาดเดาได้ไม่ยากว่าหนังทั้งเรื่องจะขับเคลื่อนโดยรักสี่เส้า วงจรของการรักคนที่เขาไม่รักเราวนกันไปมาจนกว่าจะรู้ใจตัวเอง เราอาจจะกล่าวได้ว่า โดยพล็อตของเจลบอยก็มีเท่านี้ เป็นเพียงเรื่องรักวุ่นๆ กระนั้น มันก็เป็นโลกที่พิเศษและน่าสนใจ เพราะนี่คือเรื่องรักชายล้วนที่มีสายตาอีกแบบ ในโลกของหนัง สิ่งที่เคยเป็นไคลแมกซ์ของหนังรักเพศเดียวกันอย่างการยอมรับว่าชอบเพศเดียวกัน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปก่อนหน้าหนังจะเริ่มขึ้น การเปิดตัว (come out) หรือการไม่เปิดตัวไม่ใช่หมุดหมายหรือสิ่งสำคัญอีกต่อไป เราสามารถรักใครก็ได้ เพศใดก็ได้ จะเรียกหรือไม่เรียกตัวเองว่าชอบเพศเดียวกันก็ได้ พ้นไปจากนั้น พวกเขายังก้าวพ้นบทบาททางเพศแบบขนบรักต่างเพศไปแล้วด้วย เราจึงไม่มีคนที่แมนกว่าสาวกว่า คนที่เป็นพระเอกนางเอก ก้าวพ้นไอเดียของพระเอกนายเอกในแง่ที่นายเอกต้องรับบทเป็นนางเอกเพียงเปลี่ยนเพศกำเนิดจากหญิงมาเป็นชาย บทบาทที่ติดตัวมาของขนบแบบชายหญิงที่ยังคงเป็นผู้ปกครองที่แท้แม้ในอาณาจักรของความวาย มันจึงงดงามที่ตัวละครทุกตัวจะออกสาวได้เท่าๆ กับที่แมน ทุกตัวละครถือครองเพศแบบ androgynous ที่เป็นทั้งหญิงและชายโดยไม่ตายตัว และหนึ่งในสัญญะของความ androgynous ก็คือไอ้การทำเล็บเจลที่กลายเป็นชื่อเรื่องนี้เอง

หากพล็อตที่มีเพียงเล็กน้อยของหนัง เปิดโอกาสให้กับสองสิ่ง อันแรกคือการใส่ฉากง้องอน ฉาก โรมานซ์ ‘ขายจิ้น’ ที่ดูจะเป็นเป้าหมายหลักหนึ่งในการดูซีรีส์วาย การให้คนดูสังเกตสังกาความสัมพันธ์ต้องห้าม แม้ตัวละครจะอยู่ในโลกที่สิ่งนี้ไม่ต้องห้าม แต่ผู้ชมนั้นกลับมองมาจากสายตาของอีกโลกหนึ่ง ที่ยังคงหลงเหลือความแฟนตาซีของการได้ก้าวพ้นรักต้องห้าม ขณะเดียวกัน การครองความสัมพันธ์แบบแอบรัก หรือรักไร้สถานะ ความสัมพันธ์แบบครึ่งๆ กลางๆ ก็ให้แฟนตาซีต้องห้ามอีกแบบสำหรับผู้ชมด้วย
อีกสิ่งดูเหมือนจะสำคัญและน่าตื่นตากว่า คือการทำตัวเป็นสารคดีเชิงมานุษยวิทยาที่เฝ้าสังเกตการณ์ชีวิตของวัยรุ่นชนชั้นกลางในสยาม (ที่ไม่ใช่ชื่อประเทศ) ในปี 2025 หนังให้เวลากับการสำรวจการแต่งกาย การแต่งห้อง การใช้ชีวิตนอกรั้วโรงเรียน ในลานสำหรับซ้อมเต้น หรือเล่นดนตรีเปิดหมวก ในร้านทำเล็บ และในโลกออนไลน์ ที่ชีวิตครึ่งหนึ่งของพวกเขาอยู่ในนั้น บนหน้าจออินสตาแกรม, ไลน์และติ๊กตอก (อาจกล่าวได้ว่า สามสิบเปอร์เซนต์ของเรื่องราวเกิดขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์) โลกของพวกเขามีตัวตนสองแบบที่เชื่อมกันและแยกขาดจากกัน ตัวตนหนึ่งอยู่ในโลกจริงที่พวกเขาพบปะ ออกไปเดินเที่ยว ไปเล่นดนตรี ไปติวหนังสือ ไปทำเล็บ ไปซ้อมเต้น แต่ในอีกตัวตนหนึ่ง พวกเขาสาละวนอยู่กับการเปิดเผยและปกปิดผ่านวงเขียวในสตอรี่และการแอดหรือลบเฟรนด์ การกดไลค์หรือข้าม ตลอดจนรูปแบบของการใช้สติกเกอร์ การตอบหรือไม่ตอบและระยะเวลาของการตอบข้อความ การขึ้นหรือไม่ขึ้นรูปคู่ กระทั่งชื่อในแอร์ดร็อปก็มีความหมายในโลกดิจิทัล ทุกอย่างในนั้นกลายเป็นสัญญะทั้งสิ้น การไม่พบหน้ากันยังไม่เจ็บปวดเท่ากับการถูกกันออกจากวงเขียว การอยู่ข้างๆ กันสำคัญไม่เท่าแชตที่บันทึกภาพเก็บไว้ เราอาจบอกได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาอยู่บนโลกเสมือนมากกว่าโลกจริง
การบันทึกชีวิตในโลกดิจิทัลอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ชวนให้นึกถึงอีกหนึ่งซีรีส์เรื่องดังจากอังกฤษอย่าง Adolescene (2025) ที่ติดตามคดีเด็กวัยรุ่นฆ่าเพื่อนร่วมห้องของตัวเองโดยแบ่งเป็นสี่ตอนย่อย เริ่มตั้งแต่สำรวจการทำงานของตำรวจในการจับกุมและสอบสวน สำรวจความล้มเหลวของระบบการศึกษาผ่านทางการไปยังโรงเรียนของทั้งเหยื่อและฆาตกร สำรวจจิตใจของฆาตกรผ่านสายของนักจิตวิทยา และสำรวจบาดแผลในใจของพ่อแม่ ในตอนที่สองของซีรีส์ ข้อมูลที่นายตำรวจได้รับ (จากลูกชายของตัวเองที่เป็นเพี่อนร่วมโรงเรียนกับทั้งคู่) ชี้ให้เห็นว่า ไม่มีอะไรที่พวกเขาจะสอบสวนได้จากความสัมพันธ์ซึ่งหน้า เพราะทุกอย่างถูกซ่อนเอาไว้ในโลกออนไลน์ ในอีโมจิของการตอบกลับ การโพสต์รูป และจำนวนไลค์ จนเรากล่าวได้ว่า สำหรับเด็กและวัยรุ่นที่เกิดมาในยุคหลังกำเนิดอินเตอร์เน็ต การสร้างตัวตนของพวกเขาจะไม่มีอะไรเหมือนกับคนรุ่นก่อนหน้าอีกต่อไป พ่อแม่ ครู เพื่อน อาจยังมีอิทธิพล แต่ความกดดันของพวกเขาคือก่อร่างตัวตนต่อหน้าคนทั้งโลกโดยไม่ตั้งใจ สายตาที่จับจ้องตัวตนของพวกเขามาจากทั้งคนที่พวกเขารู้จักและไม่รู้จัก คนที่พวกเขาอยากให้จับจ้อง และไม่อยากให้จับจ้อง ขณะที่คนรุ่นก่อนหน้าอาจมีแรงกดแค่จากเพื่อนร่วมรุ่นและป้าข้างบ้าน แต่คนรุ่นนี้อยู่ในแรงกดจากโลกทั้งใบ โลกที่มีทั้งผู้จ้องมองที่รู้จัก ผู้จ้องมองที่แปลกหน้า ไปจนถึงผู้จ้องมองในจินตนาการที่พวกเขาคิดว่าจ้องมองและตัดสินพวกเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งอย่างลับๆ โซเชียลมีเดียจึงมีอิทธิพลต่อความคิดมากกว่าที่คิดว่ามันจะมี โฟร์มดรอให้เชียรเห็นสตอรี่ของเขาในวงเขียว บัวรอให้บ้าบิ่นมากดไลค์คลิปเต้น บ้าบิ่นแคปแชตของตัวเองกับโฟร์มดไว้เป็นร้อยรูป และแม้แต่การเคลียร์ใจครบคนยังเกิดขึ้นผ่านซูมไม่ใช่ต่อหน้า ในโลกแบบนี้ ยอดวิว ยอดฟอล วงเขียว คอมเมนต์ หัวใจ จึงมีความหมายในระดับเป็นตายต่อตัวตนภายในของเด็กวัยรุ่นอย่างพวกเขา

สุนทรียศาสตร์ของโลกยุคอินเตอร์เน็ต 5G ก็เช่นกัน ในโลกที่ทุกอย่างสั้น เร็ว กระชับ ล้นเกินและไหลบ่า สิ่งที่น่าสนใจที่ปรากฏอยู่ในสุนทรียะของซีรีส์นี้ ตั้งแต่ภาพไตเติ้ลที่เต็มไปด้วยการทับซ้อนของสติกเกอร์ รูปวาด ข้อความ โลโก้ ทั้งหมดใช้สีสันฉูดฉาด สะเปะสะปะ ล้นทะลักและไหลบ่า เราอาจให้ชื่อเรียกอย่างลำลองกับสุนทรียะแบบนี้เอาเองว่าสุนทรียะแบบสติกเกอร์หรือแบบกราฟฟิติ มันปรากฏทั้งในไตเติ้ล ไปจนถึงการแต่งกาย ข้าวของ ห้องหับ และโซเชียลมีเดียของเด็กๆ ในเรื่อง ทุกสิ่งถูกทำให้ปรากฏโดยไม่เลือก เมื่อเบื่อก็ซ้อนเพิ่มเข้าไป การไม่จัดวางกลายเป็นการจัดวาง การไม่เลือกคือการเลือก ทุกอย่างว่องไวถึงในระดับที่เพลงประกอบซีรีส์เรื่องนี้ยังมีเวอร์ชั่นสปีด (และเป็นเวอร์ชั่นที่ติดหูกว่าเวอร์ชันปกติ) และสิ่งนี้ลามไปถึงความสัมพันธ์ในชีวิตจริงที่เปราะบางแตกหักง่าย เมื่อบ้าบิ่นไม่ยอมกดไลค์ หรือเชียรหลับไปจนไม่ตอบแชต ทุกอย่างที่รวดเร็วและได้รับการตอบสนองทันทีทำให้การรอคอยเป็นเรื่องที่เหลือทนจนความสัมพันธ์เป็นปัญหา ภายใต้ความขัดแย้งของการปรารถนาจะครอบครองโดยไม่อยากผูกมัดตัวเองรวมเข้ากับความรอไม่ได้ นั่นกลายเป็นตัวตนรูปแบบหนึ่งของยุคสมัย
เราอาจกล่าวได้ว่านี่คือเด็กรุ่นติดกันหลังจากรุ่นม็อบเยาวชน (อาจจะคาบเกี่ยวกันเลยด้วยซ้ำ) และการประท้วงใหญ่ในปี 2020 ยุคหลังจากการชุมนุมจบลง รัฐบาลเผด็จการสิ้นสุด มีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลใหม่ เด็กๆ เติบโตในยุคที่การเมืองไม่ใช่เรื่องเท่ประจำยุคอีก ทุกคนกลับมาอยู่ในโลกของปัจเจกอีกครั้ง แน่นอนว่าความปราศจากการเมืองของหนังเป็นทั้งความตั้งใจที่จะเป็นหนังรักวัยรุ่นมากกว่าหนังการเมือง แต่ในขณะเดียวกันมันก็เปิดเผยให้เห็นว่าในที่สุด การเมืองได้กลับออกนอกปริมณฑลของชีวิต สภาวะการตื่นรู้ทางการเมืองที่ผ่านไปนั้นมีความเป็นแฟชั่นเท่าๆ กับความจริงจัง ในแง่หนึ่งมันเป็นที่น่าสนใจพอๆ กับชวนตั้งคำถาม ย้อนกลับไปถึงความเป็นการเมืองในงานสายป๊อปก่อนหน้าว่า สำหรับงานบางชิ้น ความสนใจการเมืองเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของเช็คลิสต์ของความเป็นการเมือง เป็นเพียงคำใหญ่โตในอากาศที่ตัดขาดออกจากเนื้อหนังของตัวละคร เพียงถูกหยิบยัดใส่มือคนเขียนบทและตัวละคร เพื่อให้มันสมสมัยตอบสนองความต้องการของผู้ชมมากกว่าจะถกเถียงลึกลงไป
เพราะสำหรับเจลบอย นี่คือเรื่องของเด็กชนชั้นกลางที่ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องใดๆ มากไปกว่าชีวิตตรงหน้า ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เรียนต่อ ฉลาดพอจะไม่ออกนอกลู่นอกทาง ปราศจากปัญหาภาระหนี้สิน มีเงินจับจ่ายใช้สอยไม่ขาดมือ ในโลกแบบนี้การเมืองเป็นเรื่องไกลตัวแน่แท้ เด็กๆ กลุ่มนี้จึงต่างกันอย่างยิ่งกับเด็กๆ จากบ้านโนนหินแห่ใน ‘หน่าฮ่าน เดอะซีรีส์’ (2022) ซีรีส์อีกเรื่องที่พูดถึงชีวิตวัยรุ่นในชนบทที่เติบโตอย่างยากลำบาก อยู่ในระบบการศึกษาพังๆ และพยายามดิ้นรนที่จะมีชีวิตเท่าที่ชีวิตอนุญาตให้
‘หน่าฮ่าน เดอะซีรีส์’ (ซึ่งรีเมคมาจากหนังเรื่องเดียวกันโดย ฉันทนา ทิพย์ประชาติ ผู้กำกับคนเดียวกัน ตัวซีรีส์ออกฉายในปี 2022 ซึ่งพูดได้ว่าเกิดขึ้นในยุคสมัยของการชุมนุมโดยแท้) เล่าเรื่องชีวิตวัยรุ่นมัธยมปลายของยุพินและเพื่อนๆ ของเธอจากหมู่บ้านโนนหินแห่ ประกอบด้วยตัวละครที่เป็นทั้งเด็กไม่รักเรียนเพราะการเรียนไม่ตอบโจทย์ชีวิต ระบบอำนาจนิยมในโรงเรียนยิ่งทำให้อยู่ยาก เด็กที่ไม่ได้เรียนเพราะไม่สามารจะจ่ายค่าเทอมได้ การเรียนมหาลัยกลายเป็นความฟุ่มเฟือยของชีวิตกระเบียดกระเสียร เด็กๆ ที่มุ่งหวังไปเป็นผีน้อยทำงานเมืองนอก เด็กท้องในวัยเรียน เด็กหนุ่มคนเดียวที่ดูเหมือนจะไปต่อได้ตามเส้นทางของเด็กดี คือลูกหลานของคนชั้นกลาง ข้าราชการในหมู่บ้าน เรากล่าวให้ถูกต้องได้ว่า ชีวิตของเด็กๆ เหล่านี้ผูกติด แปรผัน ขึ้นลงอยู่กับสภาพทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ขณะเดียวกัน พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนักทั้งในการสมยอมและต่อต้านสภาวะอำนาจนิยมในโรงเรียน (โรงเรียนใน ‘เจลบอย’ แทบเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เป็นสถานที่ที่ไม่ได้กดขี่เด็ก ไม่มีความหมาย หรือกล่าวให้ถูกต้องว่าโรงเรียนไม่ได้มีความสำคัญต่อชีวิตที่เต็มไปด้วยทางเลือกของเด็กๆ ในหนัง ซึ่งเราอาจจะได้เห็นโรงเรียนกวดวิชามากกว่าโรงเรียนตามแบบแผน) ความเป็นการเมืองของพวกเขาจึงไม่เคยออกนอกปริมฑลของชีวิต และตัวซีรีส์เองก็ลงลึกไปถึงระดับของการสร้างข้อถกเถียงที่น่าสนใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเด็กๆ ใน ‘หน่าฮ่าน’ จะเป็นนักต่อสู้ทางการเมืองมากกว่าเด็กๆ ใน ‘เจลบอย’ เพราะที่พวกเขาทำคือการรักๆ เลิกๆ กับคนรัก และใชัชีวิตบันเทิงไปตามงานบุญ เพื่อหลบหนีความจริงที่โหดร้าย ดังเช่นที่ในฉากหนึ่งของหนัง หลังพ่อของยุพินตายในสงกรานต์ปี 2010 แม่ยังคงอนุญาตให้ยุพินไปเต้นหน้าฮ่าน แม่บอกว่าให้เข้าไปสนุกในงาน “กลับบ้านไป เดี๋ยวเราก็ร้องไห้ด้วยกันเหมือนเดิมอยู่ดี”
การดูงานสองชิ้นนี้ไปพร้อมกันจึงน่าสนใจอย่างยิ่ง ทั้งจากบริบทของยุคสมัย (ขณะและหลังการชุมนุมใหญ่) บริบทของพื้นที่ (ต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ) บริบทของสุนทรียศาสตร์ (ไลฟ์สไตล์หน่าฮ่านและแรนด้อมแดนซ์) ทั้งหมดคือโลกสองใบในประเทศเดียวกันที่เสมือนอยู่คนละจักรวาล โดยฝ่ายหนึ่งอาจได้อำนาจนำเหนือกว่า แต่ไม่ใช่ว่าทั้งสองโลกนี้จะไม่มีปัญหาร่วมกันของความเป็นเด็กวัยรุ่นในยุคสมัยของตน
หากสิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือความเหมือนของเด็กๆ ที่แตกต่างกันในซีรีส์สองเรื่องนี้ สิ่งที่ทั้งสองเรื่องมีร่วมกันจริงๆ มันคือสิ่งที่อยู่นอกโซเชียลมีเดีย นอกตัวตนดิจิทัล สิ่งนั้นคือตัวตนที่เป็นตัวตนที่จับต้องได้จริงๆ ของร่างกาย นั่นคือการ ‘เต้น‘

สำหรับ ‘หน่าฮ่าน’ การเต้นหน่าฮ่านกลายเป็นการสร้างตัวตน (เป็นสิ่งเดียวที่ยุพินบอกในการสอบสัมภาษณ์เข้าศึกษาต่อว่าทำได้ดีจริงๆ) เป็นการต่อต้านกับระบบระเบียบที่กำหนดพวกเขาไว้ ผ่านการเต้นที่ไร้ระเบียบและบ้าคลั่ง ปัจเจกของการเต้น การเต้นไม่พร้อมกัน เต้นฟรีสไตล์ตัวใครตัวมัน นั่นกลายเป็นรูปแบบของการปลดปล่อย หลบหนี ต่อต้านในตัวมันเอง ในทางตรงกันข้าม การเต้น แรนด้อมแดนซ์ของเด็กๆ ใน ‘เจลบอย’ กลับเต็มไปด้วยการฝึกฝน ระเบียบแบบแผน และจุดสุดยอดอยู่ในการเต้นไปพร้อมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นการสร้างตัวตนร่วมขึ้นมาในชุมชนที่ไม่ได้เป็นชุมชนในโลกจริง ปัจเจกอันล้นเกินของเด็กๆ ถูกทำให้มีความเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนอย่างชั่วครูชั่วคราวในชีวิตปกติพวกเขามีแค่ตัวเอง เชื่อมโยงกับกลุ่มเพื่อนอย่างไม่เหนียวแน่น บ่อยครั้งกล้องจ้องจับตัวละครแต่ละตัว ‘เดียวดายในฝูงชน’ ที่ไม่ได้โรแมนติก แต่เป็นการปิดล้อมตัดขาดตัวเอง มองอย่างไม่อคติ การเป็นอันหนึ่งอันเดียวนี้ก็คืออีกรูปแบบของการปลดปล่อย หลบหนี และต่อต้านในตัวของมันด้วย แม้ว่าสิ่งที่พวกเขา ปลดปล่อยออกมา หลบหนีไปจาก และต่อต้านมันนั้นอาจจะเป็นคนละสิ่งกัน
แต่ถึงที่สุดมันก็เป็นเรื่องรัก และเรื่องรักสามสี่เส้าแสนสามัญยังคงเป็นแกนใหญ่ในชีวิตวัยรุ่นไม่ว่าจะต้องดิ้นรนมากน้อยแค่ไหน ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง วัยรุ่นยังคงเป็นวัยรุ่นมีแก่นแกนที่เหมือนกันมีรายละเอียดที่แตกต่าง และหนังรักเหล่านี้ที่ดูเหมือนจะไม่ได้พูดอะไรใหม่ แต่ดิ่งลงไปในโลกของตัวละครของพวกเขา กลับกลายเป็นบันทึกประจำยุคสมัยที่น่าตื่นตา รอให้มันถูกกลับมาอ่านซ้ำในกาลอนาคต