คงไม่เกินจริงนักหากจะกล่าวว่าโลกกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนที่เปราะบางและท้าทายที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ความขัดแย้งปะทุถี่ขึ้นในหลายภูมิภาค สงครามกลายเป็นความจริงในชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก ความตึงเครียดที่ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดเหล่านี้เป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่สะท้อนว่า ‘ระเบียบโลกแบบเสรีนิยม’ ซึ่งเคยเป็นกรอบหลักในการจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกำลังเสื่อมถอยลงอย่างช้าๆ
การหวนคืนสู่ทำเนียบขาวในสมัยที่สองของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เป็นอีกหนึ่งแรงกระแทกสำคัญที่เร่งให้รอยร้าวของระเบียบโลกเสรีนิยมชัดเจนยิ่งขึ้น นโยบายต่างประเทศที่ถอยห่างจากความร่วมมือ มุ่งเน้นผลประโยชน์แห่งชาติเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการตัดงบประมาณความช่วยเหลือระหว่างประเทศ การใช้มาตรการภาษีแบบตอบโต้กับประเทศต่างๆ ไปจนถึงการแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อชาติที่เป็นเสาหลักของพันธมิตรตะวันตก ล้วนตอกย้ำว่าสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์กำลังรื้อถอนโครงสร้างที่ตัวเองเคยสร้างและเป็นหลักประกันให้มานานกว่า 80 ปี
“ผมไม่ได้มีลูกแก้ววิเศษที่ทำนายอนาคตได้” คือประโยคที่ มาร์ค ศักซาร์ (Marc Saxer) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท (Friedrich Ebert Stiftung: FES) ย้ำกับเราหลายครั้งระหว่างการสนทนา เพราะในห้วงเวลาที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่าน ยากจะชี้ชัดได้ว่าระเบียบโลกใหม่จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร หรืออำนาจในเวทีโลกจะถูกจัดวางใหม่ในแบบไหน แม้ยังไม่อาจฟันธงถึงอนาคตได้ แต่มาร์คก็พูดอย่างมั่นใจว่า “เราไม่ได้อยู่ในโลกใบเดิมอีกต่อไป” เพราะโลกกำลังเคลื่อนเข้าสู่ฉากใหม่ – ฉากที่อาจไม่ได้ ‘ใหม่’ โดยสิ้นเชิง แต่เป็นการย้อนกลับไปสู่ระบบเดิมที่ขับเคลื่อนด้วยตรรกะของอำนาจและการต่อรองระหว่างมหาอำนาจ
เมื่อเทียบกับสองปีก่อนที่วันโอวันเคยสนทนากับมาร์ค สถานการณ์วันนี้มีบริบทที่แตกต่างไปจากเดิมมาก รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ขยับเข้าใกล้ประเทศคู่แข่งอย่างรัสเซีย ในขณะเดียวกันกลับแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรต่อพันธมิตรดั้งเดิมอย่างยุโรป ยุโรปที่เคยถูกผลักให้ต้องใช้ ‘แว่นภูมิรัฐศาสตร์’ มากขึ้น เพื่ออ่านความเปลี่ยนแปลงของโลก กำลังเผชิญความท้าทายชุดใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม นั่นคือการเตรียมรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่อาจมาถึงโดยปราศจากร่มความคุ้มกันจากสหรัฐฯ
ในห้วงเวลาที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นความปกติใหม่และระเบียบโลกกำลังสั่นคลอนอย่างไม่มีใครคาดเดาได้ วันโอวันจึงชวน มาร์ค ศักซาร์ กลับมาสนทนาอีกครั้ง เพื่อร่วมสำรวจปรากฏการณ์ของโลกที่กำลังแปรเปลี่ยนอย่างไร้ทิศทาง และตั้งคำถามใหม่ต่ออนาคตของระเบียบโลก

ตั้งแต่ทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่งในสมัยที่สอง มีหลายเหตุการณ์สะเทือนโลกเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตัดงบความช่วยเหลือระหว่างประเทศ การขยับเข้าหารัสเซีย แต่ถอยห่างจากยุโรปซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุด รวมถึงใช้มาตรการภาษีแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) กับหลายประเทศทั่วโลก และยังขู่จะยึดพื้นที่ต่างๆ มาเป็นของอเมริกา สถานการณ์เหล่านี้เกินกว่าที่คุณคาดไว้หรือไม่ เราจะทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร
การทำความเข้าใจเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับเลนส์ที่คุณใช้ในการตีความ ตอนนี้เรากำลังเห็นความไม่เข้าใจและความงุนงงมากมาย เกือบจะถึงขั้นตื่นตระหนกก็ว่าได้ในมุมของยุโรป ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นเพราะยุโรปยังพยายามตีความสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านเลนส์หรือกรอบคิดของระเบียบโลกแบบเสรีนิยม แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้คือระเบียบโลกแบบเสรีนิยมกำลังสิ้นสุดลง สิ่งที่ทรัมป์กำลังทำอยู่คือการยกเลิกระเบียบที่สหรัฐฯ เป็นผู้สร้างและให้หลักประกันมาเกือบ 80 ปี ซึ่งสิ่งที่ทรัมป์กำลังทำอยู่จะสมเหตุสมผลก็ต่อเมื่อคุณมองผ่านเลนส์ของระเบียบโลกที่แตกต่างออกไป
ระเบียบที่ว่านี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างกรอบคิดใหม่เกี่ยวกับอำนาจ โดยที่มหาอำนาจมีเขตอิทธิพลเฉพาะของตนเอง (sphere of influence) หากกรอบคิดนี้คือฐานของระเบียบโลกใหม่ สหรัฐฯ จะดีลแค่กับมหาอำนาจที่เป็นคู่แข่งในระดับโลกอย่างรัสเซียและจีน และจะมองประเทศที่เหลือเป็นมหาอำนาจรอง นั่นหมายความว่าสหรัฐฯ และรัสเซียจะยอมรับเขตอิทธิพลของกันและกัน ในกรณีของรัสเซียก็คือเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียตในอดีต และหากมีจีนถูกรวมอยู่ในความตกลงนี้ด้วย จีนก็จะอ้างสิทธิเขตอิทธิพลในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ขณะที่สหรัฐฯ จะถอยร่นไปยังซีกโลกตะวันตกเหมือนที่เคยมีมาตั้งแต่ยุคลัทธิมอนโร (Monroe Doctrine)
ดังนั้น การที่ทรัมป์บอกว่าจะผนวกกรีนแลนด์ ผนวกปานามา หรือการทำให้แคนาดาเป็นมลรัฐที่ 51 จึงเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลสำหรับชาวยุโรป และอาจจะรวมถึงผู้คนทั้งโลก แต่มันจะเริ่มสมเหตุสมผลหากคุณมองว่านี่เป็นความพยายามสร้างเขตอิทธิพลภายในซีกโลกตะวันตกของสหรัฐฯ
หากเรามองสถานการณ์ในยูเครนผ่านกรอบคิดใหม่นี้ ยูเครนก็จะต้องมีสถานะเป็นรัฐกันชน ซึ่งอาจจะถูกทำให้เป็นเหมือนฟินแลนด์ (Finlandization)[1] แต่ยูเครนจะต้องไม่เข้าร่วมนาโต จะคงความเป็นกลาง และจะมีกองกำลังแค่ประมาณหนึ่ง แต่ในทางหลักการแล้ว มหาอำนาจทั้งสองคือรัสเซียและสหรัฐฯ จะไม่สามารถควบคุมยูเครนอย่างเบ็ดเสร็จได้ เพราะจำเป็นต้องมีพื้นที่กั้นกลางระหว่างทั้งสองขั้วอำนาจ
ไม่ว่าแนวคิดแบบแบ่งเขตอิทธิพลจะเป็นความคิดของทรัมป์ในตอนนี้หรือไม่ก็ตาม แต่กรอบคิดแบบนี้จะเป็นสิ่งที่ทั้งชาวยุโรปและชาวอเมริกันในปัจจุบันไม่สามารถเห็นตรงกันหรือยอมรับได้
คุณมองว่าในตอนนี้ระเบียบโลกแบบเสรีนิยมที่นำโดยอเมริกานั้น ‘จบลงไปแล้ว’ หรือ ‘แค่ถดถอย’
เป็นคำถามที่ดี เพราะตอนนี้มีหลายแนวคิด หลายการวิเคราะห์ถูกโยนรวมกันจนสับสนไปหมด เราจึงจำเป็นต้องนิยามกันให้ถูก สิ่งที่พอจะพูดได้อย่างมั่นใจในตอนนี้ก็คือเรากำลังเห็นจุดจบของ ‘Pax Americana’ ในด้านความมั่นคง ทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง กล่าวคือสหรัฐฯ ไม่ได้มีอำนาจในการยับยั้งหรือข่มขวัญมหาอำนาจที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงระเบียบ (revisionist powers) ได้อย่างที่เคยเป็นมาอีกต่อไป จนทำให้มหาอำนาจเหล่านี้กล้าจะเริ่มสงคราม เราจึงได้เห็นสงครามกลับมาในภูมิภาคยุโรป เห็นความขัดแย้งปะทุขึ้นในหลายพื้นที่ของแอฟริกา และยังเห็นความเป็นไปได้ในการเกิดสงครามใหญ่ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในเอเชียตะวันออกด้วย เหตุการณ์เหล่านี้หมายความว่า Pax Americana ได้จบลงแล้ว
ต้องขยายความก่อนว่าเมื่อเราพูดถึง Pax Americana เราหมายถึงระเบียบโลกเสรีนิยมที่สหรัฐฯ สถาปนาขึ้นหลังเป็นผู้กุมชัยชนะในสงครามเย็น ระเบียบนี้มีหัวใจอยู่ที่การส่งเสริมประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วระเบียบแบบนี้ก็มีอายุแค่ประมาณ 30 ปีเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่ทรัมป์กำลังทำอยู่ในตอนนี้คือการประกาศว่าระเบียบโลกแบบนี้ล้าสมัยไปแล้ว ส่วนสิ่งที่เรายังไม่รู้คือรูปแบบการจัดวางอำนาจในอนาคตจะเป็นอย่างไรและระเบียบโลกแบบไหนที่จะสามารถรักษาเสถียรภาพในโลกใหม่ได้จริง
มีความเป็นไปได้สูงว่าระเบียบโลกในอนาคตอาจจะเป็นหลายขั้ว (multipolarity) โดยที่สหรัฐฯ และจีนจะยังคงเป็นสองขั้วอำนาจหลัก อาจมีรัสเซีย อินเดีย และอียูเข้ามาเป็นขั้วอื่นด้วย แต่ประเทศเหล่านี้ก็ยังมีความท้าทายภายในอยู่มาก ซึ่งหมายความว่าแต่ละขั้วอำนาจต้องเอาชนะจุดอ่อนภายในของตนให้ได้เสียก่อนจึงจะสามารถสถาปนาเป็นมหาอำนาจอย่างแท้จริงได้ หากประเทศเหล่านี้ทำไม่สำเร็จ เราก็อาจจะเข้าสู่ระยะใหม่ของระเบียบโลกแบบสองขั้ว (bipolarity) คล้ายกับช่วงสงครามเย็น โดยที่สหรัฐฯ และจีนจะอยู่ในระดับชั้นอำนาจที่เหนือจากประเทศอื่นๆ อย่างชัดเจน
แต่หากมีมหาอำนาจหลายขั้ว คำถามที่ตามมาก็คือเราจะใช้ระเบียบแบบไหนในการรักษาเสถียรภาพเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสงครามครั้งใหญ่แบบสงครามโลกขึ้นมาอีก เพราะเมื่อสิ้นสุดระเบียบที่มีเพียงขั้วอำนาจเดียว เราจำเป็นต้องมีระเบียบโลกแบบใหม่ที่สามารถรับมือกับโลกที่เต็มไปด้วยหลายขั้วอำนาจได้ จนถึงตอนนี้ โมเดลเดียวที่เราพอจะนึกถึงได้ก็คือ ‘concert of powers’ หรือการประสานความร่วมมือระหว่างขั้วอำนาจต่างๆ ซึ่งถูกใช้ในช่วงศตวรรษที่ 19 หลังสิ้นสุดสงครามนโปเลียน

ขยับมาพิจารณานโยบายต่างประเทศของทรัมป์ในปัจจุบัน คุณคิดว่าทรัมป์มีนโยบายต่างประเทศที่เป็นระบบและมีทิศทางชัดเจนไหม หรือจริงๆ แล้วเป็นแนวทางที่คิดแบบวันต่อวัน ซึ่งอาจมองผ่านการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เป็นครั้งๆ มากกว่า
ทั้งหมดที่พูดมาเลย สำหรับผม โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นคนที่มองเรื่องต่างๆ ผ่านการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์อย่างชัดเจน ดังนั้นนโยบายของเขาจึงดำเนินไปแบบการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์เป็นรายครั้ง ซึ่งเป็นธรรมชาติของคนที่มองการเมืองในเชิงธุรกิจ แต่อีกด้านหนึ่ง อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้คือทรัมป์อาจมีวิสัยทัศน์ที่ใหญ่กว่านั้นอยู่เบื้องหลัง คือการประสานกันของมหาอำนาจโลกแต่ละขั้วเพื่อแบ่งเขตอิทธิพลของตัวเองอย่างชัดเจน ผมคิดว่ากรอบคิดนี้เองคือสิ่งที่รัฐบาลทรัมป์ 2.0 ใช้เป็นหลักนำทาง
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องตระหนักไว้คือกลุ่มพันธมิตรของทรัมป์เองก็มีความคิด ความเชื่อ และผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันอยู่หลายกลุ่ม เช่น กลุ่มมหาเศรษฐีเทคโนโลยี (tech oligarchs) ก็มีอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ที่เข้ามามีบทบาทในการกำหนดแนวทางของรัฐบาล อีกกลุ่มหนึ่งคือพวก MAGA (Make America Great Again) ที่มีสตีฟ แบนนอน (Steve Bannon) เป็นผู้นำทางความคิด แม้ทั้งสองฝ่ายจะมีเป้าหมายร่วมกันในขณะนี้คือการรื้อระเบียบโลกเสรีนิยมที่มีอยู่เดิม แต่หลังจากนั้นล่ะ? ผมมองว่าพวกเขามีวิสัยทัศน์และผลประโยชน์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงว่าจะสร้างระเบียบแบบไหนขึ้นมาแทน
ถ้าให้ขยายความคือ กลุ่มเทคโนโลยีไม่ต้องการให้สหรัฐฯ ถอยกลับมาอยู่ในเขตอิทธิพลใดๆ พวกเขายังต้องการทำธุรกิจกับยุโรป รัสเซีย และจีนต่อไป ในขณะที่กลุ่ม MAGA เชื่อว่าระเบียบแบบเดิม ทั้งการเข้าไปเกี่ยวพันในสงครามที่ไม่มีวันจบและการโยกย้ายงานของชาวอเมริกันไปแผ่นดินจีน คือสิ่งที่ทำลายชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงานของอเมริกา ดังนั้นพวกเขาต้องการรื้อระบบนี้อย่างถึงที่สุด ซึ่งนี่เป็นแค่หนึ่งตัวอย่าง เพราะภายในกลุ่มพันธมิตรของทรัมป์ ยังมีอีกหลายฝ่ายที่มีมุมมองไม่ตรงกันและบางฝ่ายก็เรียกได้ว่าไม่สามารถเห็นพ้องกันได้เลย
เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าความปั่นป่วนหรือความไร้ทิศทางที่เรามองเห็นจากภายนอกอาจไม่ได้เป็นแค่เรื่องของบุคลิกส่วนตัวของทรัมป์เท่านั้น แต่มันสะท้อนถึงการต่อสู้กันภายในของกลุ่มอำนาจต่างๆ ว่าท้ายที่สุดแล้วจะพาอเมริกาไปทางไหน ซึ่งการเห็นไม่ตรงกันนั้นเกิดขึ้นแล้ว อย่างน้อยก็ในประเด็น ‘นโยบายคนเข้าเมือง’ ซึ่งเป็นประเด็นที่กลุ่ม MAGA ผลักดันการคุมเข้มอย่างหนักหน่วง แต่ฝั่งอีลอน มัสก์ออกมาแสดงความเห็นทำนองว่าภาคเทคโนโลยีทั้งหมดจะเดินหน้าต่อไปได้ก็ต่อเมื่อมี ‘แรงงานอพยพทักษะสูง’ เข้ามา และนั่นก็กลายเป็นการปะทะกันอย่างเปิดเผยระหว่างมัสก์และแบนนอนในเรื่องนี้ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจมาก เพราะมันเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของรัฐบาล ผมคิดว่าเราจะได้เห็นอะไรแบบนี้เกิดขึ้นอีกแน่นอน
ความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้เป็นแค่วัฏจักรทางการเมืองหรือเปล่า สมมติว่าสหรัฐฯ ได้ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตในสมัยหน้า จะสามารถยกเลิกนโยบายของทรัมป์และพาสหรัฐฯ กลับไปสู่ยุคก่อนทรัมป์ได้หรือไม่
ทำไม่ได้หรอก เพราะดุลอำนาจของโลกได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เรามักจะมองข้ามความจริงที่ว่าระเบียบโลกแบบขั้วเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องปกติของมนุษยชาติเลย ประวัติศาสตร์ทำให้เห็นแล้วว่าช่วงเวลาที่โลกมีเพียงขั้วอำนาจเดียวนั้นเกิดขึ้นได้ยากมากๆ
ตั้งแต่จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจและรัสเซียกลับมายืนในฐานะมหาอำนาจได้ระดับหนึ่ง รวมถึงอินเดียและประเทศอื่นๆ ในกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) โครงสร้างอำนาจในระดับโลกก็แบนราบลงมาก ไม่ได้มีศูนย์กลางแบบเดิมอีกต่อไป ดังนั้นไม่ว่าผู้นำในทำเนียบขาวจะเป็นใคร พวกเขาก็ไม่สามารถ ‘ย้อนคืน’ สภาวะนี้ได้อยู่ดี ตอนนี้สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายต่อการเป็นเจ้าโลกในระเบียบโลกแบบขั้วเดียว หรือที่บางคนเรียกว่า ‘จักรวรรดิอเมริกัน’ ความเสื่อมถอยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี้ทำให้ไม่มีใครสามารถย้อนกลับไปจุดเดิมได้
ถ้าสหรัฐฯ ได้รัฐบาลจากเดโมแครตกลับมา เราอาจเห็นการออกแบบระเบียบโลกใหม่ที่ตั้งอยู่บนโครงสร้างอำนาจแบบใหม่ แต่ก็ต้องย้ำว่าไม่ว่ารัฐบาลไหนก็ไม่สามารถลบล้างโครงสร้างอำนาจใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นได้ ผมคิดว่าประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือหลังจากนี้โลกจะเดินไปทางไหน ซึ่งแน่นอนว่ามีทิศทางที่หลากหลายแน่ๆ
แบบนี้เราสามารถพูดได้ไหมว่าสิ่งที่ทรัมป์กำลังทำสร้างความเสียหายต่อบทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีโลกในระดับที่ไม่สามารถย้อนกลับได้
ผมมองว่าจริงๆ แล้ว ความเสียหายเกิดขึ้นก่อนที่ทรัมป์จะเข้าสู่ทำเนียบขาวนานแล้ว เราสามารถพูดได้ว่าความถดถอยโดยสัมพัทธ์ (relative decline) ของตะวันตกเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2008 ในช่วงวิกฤตการณ์การเงินโลก เพียงแต่ทรัมป์อาจจะเป็นตัวเร่งที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดเร็วขึ้น พูดตามตรงก็คือทำให้เกิดความปั่นป่วนมากขึ้น ดังนั้นความถดถอยเริ่มมาก่อนยุคทรัมป์และจะยังดำเนินต่อไปหลังทรัมป์พ้นไปจากตำแหน่งด้วย
ท่าทีของทรัมป์ต่อสงครามรัสเซีย-ยูเครนกำลังสะท้อนว่าทรัมป์ต้องการยุติสงครามไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม แม้แต่การละทิ้งหลักการเรื่องบูรณภาพแห่งดินแดน สิ่งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่แนวทาง realpolitik มากกว่าการดำเนินนโยบายตามหลักศีลธรรมหรือเปล่า
แนวคิดแบบ realpolitik คือฐานของทุกอย่างอยู่แล้ว เพราะการเมืองเป็นสิ่งที่ไหลตามโครงสร้างอำนาจ สิ่งแรกที่ผมอยากให้โฟกัสคือสถานการณ์ที่กำลังขึ้นจริงในพื้นที่ ซึ่งในตอนนี้ดูเหมือนจะบ่งชี้ว่ายูเครนอาจไม่สามารถต้านทานการโจมตีของรัสเซียได้นานกว่านี้แล้ว ดังนั้น ผมเชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใดก็ตาม ณ เวลานี้ ก็คงจะผลักดันให้เกิดการเจรจาเพื่อยุติสงครามในยูเครน นี่คือเรื่องที่มีความเร่งด่วนสูงมาก เพราะถ้าเป้าหมายคือการที่ยูเครนอยู่รอดในฐานะรัฐเอกราชได้ เวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อใดที่ยูเครนเริ่มอ่อนกำลังลงหรือแนวรบพังทลายมากขึ้น เป้าหมายนี้ก็อาจไม่สามารถรักษาไว้ได้อีกต่อไป
คุณมองว่าท่าทีแบบนี้ของทรัมป์จะนำไปสู่การยุติสงครามในยูเครนได้จริงไหม ถ้าได้มันจะเกิดขึ้นในรูปแบบใด
ผมคิดว่าเป็นไปได้มากทีเดียวที่เราอาจได้เห็นข้อตกลงบางอย่างเกิดขึ้นในไม่ช้า เพราะสงครามก็ดำเนินมาเป็นเวลานานแล้ว จริงๆ เราควรพูดว่าสงครามนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2014 ที่รัสเซียผนวกไครเมียด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่มีลูกแก้ววิเศษที่จะทำนายอนาคตได้หรอกว่าหลังจากมีข้อตกลงเกิดขึ้นแล้วสถานการณ์จะสงบจริงหรือไม่ หรือสงครามจะปะทุขึ้นอีกในอนาคต ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐฯ และรัสเซียจะสามารถบรรลุข้อตกลง หรืออย่างน้อยมีการ ‘ปรับความสัมพันธ์’ (rapprochement) กันได้หรือเปล่า
ถ้าการเจรจานำไปสู่ข้อตกลงเชิงยุทธวิธีเพื่อหยุดยิงเฉยๆ ก็มีโอกาสที่การสู้รบอาจกลับมารุนแรงอีกครั้ง แต่ถ้าเป็นการจัดสมดุลใหม่ในเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่กำลังอยู่บนโต๊ะเจรจา ก็เป็นท่าทีที่อาจเรียกได้ว่าการกลับด้านแนวทางแบบคิสซินเจอร์ (Kissinger-in-reverse) คือสหรัฐฯ อาจโน้มน้าวให้รัสเซียมาเข้าข้างตัวเองในการแข่งขันที่ยืดเยื้อกับจีน
ต้องอธิบายก่อนว่าในสมัยสงครามเย็น เฮนรี คิสซินเจอร์ (Henry Kissinger) เคยใช้โอกาสจากรอยร้าวระหว่างสหภาพโซเวียตกับจีน ชักชวนให้จีนเข้าร่วมกับฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งท้ายที่สุดการที่จีนใกล้ชิดกับสหรัฐฯ มากขึ้นถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยชี้ขาดผลลัพธ์ในสงครามเย็น ดังนั้น หากเกิด Kissinger-in-reverse ขึ้นจริง ผมคิดว่านั่นจะเปลี่ยนกลุ่มอำนาจ (power constellation) ในยุโรปและทั่วโลก ส่วนยูเครนก็จะกลายเป็นแนวรบรองทันที สุดท้ายแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นในระดับยุทธวิธีมันขึ้นอยู่กับว่าเกิดอะไรขึ้นในระดับยุทธศาสตร์ก่อน

ขยับมาที่เรื่องความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ยุโรป หลายท่าทีของวอชิงตันทั้งการกล่าวสุนทรพจน์โจมตียุโรปของแวนซ์ที่การประชุมความมั่นคงมิวนิก การเจรจากับรัสเซียโดยปราศจากการมีส่วนร่วมของยุโรป หรือการเรียกร้องการแบ่งภาระที่มากขึ้นจากพันธมิตรนาโต เหตุการณ์เหล่านี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของพันธมิตรทรานส์แอตแลนติกหรือไม่
ประเด็นนี้ต้องพูดให้ตรงไปตรงมาสักหน่อย สิ่งที่เราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจในตอนนี้คือ “นี่คือจุดจบของพันธมิตรทรานส์แอตแลนติกในรูปแบบที่เราเคยรู้จัก” ส่วนจะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือรูปแบบใหม่ระหว่างสหรัฐ-ยุโรปหรือไม่นั้น ยังคงต้องติดตามดูต่อไป
ถ้าให้ขยายความว่าผมหมายถึงอะไร คือผมกำลังบอกว่าสหรัฐฯ แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วว่าสหรัฐฯ จะไม่ยอมแบกภาระในฐานะผู้ประกันความมั่นคงในยุโรปที่เป็นมาตลอด 80 ปี อีกต่อไป รัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ (Pete Hegseth) ตอกย้ำเรื่องนี้ในการประชุมที่กรุงบรัสเซลส์ ซึ่งเขาเรียกร้องให้มี ‘การเปลี่ยนถ่ายภาระ’ โดยยุโรปจะต้องรับผิดชอบความมั่นคงในภูมิภาคตัวเอง รวมถึงการรักษาเสถียรภาพของเพื่อนบ้านรอบๆ ด้วย
นอกเหนือจากมิติด้านความมั่นคง สิ่งที่ เจ.ดี. แวนซ์ (J.D. Vance) พูดไว้ที่การประชุมความมั่นคงมิวนิก ก็ตอกย้ำความเปลี่ยนแปลงที่ลึกยิ่งกว่า นั่นคือสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงกรอบคิดของระบอบภายในประเทศ นั่นไม่ใช่แค่การสะสางบัญชี เช่น การที่ทรัมป์เล็งเป้าไปยังศัตรูภายในสถาบันต่างๆ เท่านั้น แต่สิ่งที่คนอย่างอีลอน มัสก์กำลังทำอยู่สะท้อนความพยายามที่ใหญ่กว่านั้น คือ ‘การอัปเกรดระบบปฏิบัติการของสหรัฐฯ’ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การแข่งขันเชิงระบบกับจีนอย่างจริงจัง
โดยพื้นฐานแล้ว ระบบราชการแบบตะวันตกที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 นั้นเชื่องช้าหรือเรียกได้ว่ายังเป็นแบบแอนะล็อก แต่การอัปเกรดที่ว่านี้กำลังทำให้ระบบที่คร่ำครึถูกแทนที่ด้วยการบริหารจัดการที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงและเอไอ โดยระบบใหม่นี้แทบจะไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลจากประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยอีกต่อไป ซึ่งมันสะท้อนว่าสิ่งที่ทีมของทรัมป์กำลังผลักดันคือ ‘เทคโนเครซีสมรรถนะสูง’ (high-performance technocracy) ไม่ใช่ระบบราชการที่อยู่ภายใต้การควบคุมของประชาชน
ดังนั้น ท่าทีของมัสก์และแวนซ์ต่อยุโรปถือเป็นการส่งสารที่ชัดเจนมาก คือ ถ้ายุโรปไม่ปรับตัวตามทิศทางใหม่นี้ ความเชื่อพื้นฐานที่มีร่วมกัน ความเชื่อที่หล่อเลี้ยงสายสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างสหรัฐฯ-ยุโรปมาตลอดก็จะสูญสลายไป และเมื่อไม่มีสิ่งนั้น การรับประกันความมั่นคงจากสหรัฐฯ ก็จะไม่เหลืออีกต่อไปด้วย เมสเสจนี้เลยไม่ต่างจากการยื่นคำขาด และนั่นก็สร้างความวิตกอย่างรุนแรงให้ยุโรป เพราะยุโรปตระหนักดีว่าในระยะสั้น พวกเขายังไม่สามารถหาอะไรมาทดแทนระบบประกันความมั่นคงจากสหรัฐฯ ได้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมย้ำอยู่เสมอว่าเราไม่ควรด่วนตัดสินว่าพันธมิตรทรานส์แอตแลนติกได้ตายจากไปแล้ว เพราะในเชิงยุทธศาสตร์ ระเบียบโลกใหม่ยังไม่ได้ปรากฏเป็นรูปเป็นร่างอย่างสมบูรณ์ หากสหรัฐฯ ตัดสินใจจะกลับไปจำกัดบทบาทของตนเองให้อยู่แค่ในซีกโลกตะวันตกและดำเนินนโยบายในเขตอิทธิพลที่แคบลง เช่นนั้นพันธมิตรทรานส์แอตแลนติกก็อาจถึงจุดจบ แต่หากสหรัฐฯ ยังต้องการรักษาอิทธิพลในยุโรปไว้ สายสัมพันธ์นี้ก็จะเป็นเรื่องของการเจรจาต่อรองกันใหม่มากกว่า
สหรัฐฯ กำลังรื้อถอนโครงสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรต่างๆ ก็จริง แต่ขณะเดียวกัน พวกเขาอาจกำลังเสนอพันธมิตรทรานส์แอตแลนติกเวอร์ชันใหม่อยู่ก็ได้ เพราะฉะนั้น มันก็อาจเป็นจุดจบของพันธมิตรในรูปแบบเดิม แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นจุดจบของพันธมิตรสหรัฐฯ ยุโรปไปเลย ผมก็ยังไม่กล้าฟันธงขนาดนั้น
เรามักจะเห็นข้อโต้แย้งที่ว่ายุโรปยังไม่พร้อมที่จะดูแลความมั่นคงของตัวเอง หากสหรัฐฯ ถอยออกไป ซึ่งความไม่พร้อมนี้มีสัญญาณเตือนมาหลายครั้งแล้วด้วย คุณมองเรื่องนี้อย่างไร
โดยพื้นฐานแล้วยุโรปไม่มีความพร้อมเลยอย่างที่ว่า แต่ถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมา เราต้องยอมรับว่าความไม่พร้อมนี้เป็นสิ่งที่ถูกออกแบบมาโดยโครงสร้าง ถ้าคุณไปดูตัวเลขการใช้จ่ายทางการทหารของยุโรปโดยรวมจะเห็นว่าไม่ได้ต่ำขนาดนั้นใช่ไหม แต่ปัญหาคือโครงสร้างกองทัพของยุโรปถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับระบบของนาโตและสหรัฐฯ อย่างยากจะแยกขาด
ดูจากกรณีอัฟกานิสถานเป็นตัวอย่างก็ได้ ตอนที่สหรัฐฯ ถอนกำลังออก ยุโรปเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอนกำลังตาม เพราะพวกเขาพึ่งพาสหรัฐฯ เกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านข่าวกรอง ดาวเทียม ระบบขนส่ง การวางยุทธวิธีเฉพาะ หรือแม้กระทั่งโครงข่ายการบริการทางการแพทย์ในยุทธบริเวณ ทุกอย่างถูกผูกไว้กับสหรัฐฯ ทั้งนั้น ในระดับที่ว่าถ้าสหรัฐฯ ถอยออกไป ยุโรปแทบจะไม่สามารถปฏิบัติการอะไรได้เลย ซึ่งสิ่งนี้เป็นผลพวงจากการวางโครงสร้างตั้งแต่ต้น และแนวทางนี้ก็ไม่ได้เกิดจากยุโรปเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นข้อเสนอจากรัฐบาลสหรัฐฯ หลายชุดด้วยซ้ำ โดยเฉพาะหลังสิ้นสุดสงครามเย็นที่สหรัฐฯ แนะนำให้ยุโรปลดขนาดกำลังพลด้านการป้องกันดินแดนลง แล้วไปเน้นการสร้างกองกำลังเคลื่อนที่เร็ว (quick in, quick out) เพื่อภารกิจรักษาสันติภาพหรือปฏิบัติการเฉพาะภารกิจแทน ซึ่งแนวทางนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยคุกคามขนาดใหญ่หรือสงครามเต็มรูปแบบ
ดังนั้น ถึงแม้เราจะพูดได้เต็มปากว่ายุโรปไม่มีความพร้อมเอาเสียเลยในตอนนี้ แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นคือทำไมถึงไม่มีความพร้อมล่ะ? ซึ่งคำตอบส่วนหนึ่งนั้นเกี่ยวพันโดยตรงกับนโยบายของสหรัฐฯ ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา
แต่หากพิจารณาผ่านงบทางการทหาร หลายประเทศที่เป็นสมาชิกนาโตมักถูกครหาว่าไม่สามารถจะแตะเป้าหมาย 2% ต่อ GDP ได้ นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเป้าหมายใหม่ 3% ที่มาร์ค รุตเต (Mark Rutte) เลขาธิการนาโตเตรียมเสนอในการประชุมนาโตที่จะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้
ผมคิดว่าสิ่งที่ยุโรปจำเป็นต้องมีอย่างเร่งด่วนจริงๆ ก็คือการวางท่าทีทางภูมิรัฐศาสตร์หรือนโยบายต่างประเทศที่สอดคล้องกับขีดความสามารถที่ยุโรปมีจริงๆ เพราะตอนนี้มีความสับสนในหมู่ประเทศยุโรปอยู่มากว่าเราแข็งแกร่งหรืออ่อนแอแค่ไหน ในมุมมองของผม ช่วงเวลาแบบนี้ยุโรปจะต้องรวมพลังทั้งหมดที่มีเพื่อสร้างขีดความสามารถในการป้องกันดินแดนและยับยั้งภัยคุกคามขึ้นมาใหม่ ซึ่งนั่นจะใช้เวลาค่อนข้างนาน อย่างน้อย 10 ปี หรืออาจจะถึง 15 ปีเลยก็ได้ และในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ยุโรปก็จะมีความเปราะบางอย่างมาก
ดังนั้น ผมคิดว่าการเปลี่ยนแปลงแรกที่จะสะท้อนการวางท่าทีทางภูมิรัฐศาสตร์ของยุโรปคือต้องเลิกออกไปผจญภัยในพื้นที่ที่ไม่ได้มีผลประโยชน์ด้านความมั่นคงหลักๆ ของยุโรป เช่น อินโด-แปซิฟิก ยุโรปจำเป็นต้องมุ่งเน้นไปที่การป้องกันตัวเองและภูมิภาคใกล้เคียงอย่างจริงจัง นั่นยังหมายความว่าต่อให้มีพันธมิตรทรานส์แอตแลนติก 2.0 ยุโรปก็ไม่ควรเป็นแค่กำลังเสริมให้กับการขยายอำนาจและอิทธิพลของสหรัฐฯ อีกต่อไป ยุโรปจำเป็นต้องมีความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ แต่นั่นก็ถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มากเหมือนกัน
ผมอยากจะอธิบายว่าทำไมถึงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ตอนนี้เรากำลังพูดถึงตัวเลข 2% หรือ 3% ของ GDP ในยุโรปใช่ไหม แต่อเมริกาพูดไปถึง 5% แล้ว ถ้าคุณดูกรณีเยอรมนีซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป คุณจะเห็นว่า ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็นในปี 1990 การลงทุนขนานใหญ่ที่พอจะเทียบเคียงตัวเลข 2-3% ของ GDP ได้มีเพียงแค่การรวมชาติของเยอรมนีเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในทางการเมืองตลอด 30 ปีที่ผ่านมามีการใช้จ่ายเพียงประมาณ 0.1 ถึง 0.2% ของ GDP เท่านั้น แต่หากจะเพิ่มรายจ่ายสาธารณะขึ้นอีก 1%, 2% หรือแม้แต่ 3% ของ GDP คำถามก็คือใครจะเป็นคนจ่าย?
ถ้าภาระนี้ตกอยู่กับประชากรในกลุ่มล่าง 1 ใน 3 ของประเทศ ก็ต้องหั่นงบสวัสดิการทางสังคมลงอย่างมหาศาล ถ้าตกอยู่กับคนชนชั้นกลาง การเก็บภาษีรายได้ก็ต้องเพิ่มขึ้นอย่างมาก และถ้าตกไปอยู่กับกลุ่มบนสุดของสังคมซึ่งเป็นมหาเศรษฐีหรือกลุ่มทุน ก็ต้องมีการจัดเก็บภาษีความมั่งคั่งเพิ่ม ซึ่งดูจะไม่มีทางเลือกใดที่เป็นไปได้ภายใต้สัญญาประชาคมแบบที่ยุโรปใช้มาจนถึงปัจจุบัน
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เรากำลังจะได้เห็นความขัดแย้งด้านการจัดสรรทรัพยากรที่รุนแรงและการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลในหลายประเทศในยุโรปถึงลดต่ำลง เพราะเรากำลังเผชิญหน้ากับความขัดแย้งภายในอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับระเบียบใหม่ที่ไม่ได้รับการรองรับจากสัญญาประชาคมแบบเดิม ดังนั้นหน้าตาของยุโรปที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 ถึง 15 ปีข้างหน้าจะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากยุโรปที่เรารู้จักในวันนี้ และระบบพรรคการเมืองก็จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน การเพิ่มรายจ่ายทางการทหารจึงไม่ใช่แค่คำถามเรื่องเจตจำนงทางการเมืองเท่านั้น แต่หัวใจหลักของมันอยู่ที่โครงสร้างเศรษฐกิจการเมืองด้วย
หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าเมื่อสหรัฐฯ เริ่มลดบทบาทต่อพันธมิตรดั้งเดิม อาจเป็นแรงผลักให้ประเทศนั้นๆ และจีนใกล้ชิดกันมากขึ้น คุณมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปกับจีนในอนาคตจะมีลักษณะอย่างไร จะเป็นความร่วมมือในเชิงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หรือมีแนวโน้มที่จะขยายไปสู่มิติทางการเมืองและความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ด้วย
อย่างที่บอกไปว่าผมไม่ได้มีลูกแก้ววิเศษที่จะรู้ได้แน่ชัดว่าความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะจบลงอย่างไร แต่สมมติว่าโลกกลับไปสู่ระเบียบแบบ concert of powers จริง และมีมหาอำนาจห้าขั้ว คือ สหรัฐฯ รัสเซีย จีน อียู และอินเดีย หากมหาอำนาจหนึ่งถอนตัวออกไป (เหมือนที่สหรัฐฯ กำลังทำกับยุโรป) แน่นอนว่าย่อมมีอีกฝ่ายหนึ่งพยายามเข้าใกล้และสร้างพันธมิตรกับมหาอำนาจอีกขั้วหนึ่ง นี่คือแก่นของระเบียบแบบ concert of powers คือคุณต้องปรับสมดุลอำนาจอยู่ตลอดเวลาเพื่อรักษาสมดุล ดังนั้น หากสหรัฐฯ และรัสเซียร่วมกันกดดันยุโรป ยุโรปก็จะต้องงัดไพ่อินเดียและจีนออกมาใช้
เพราะฉะนั้น สมมติฐานของคุณก็อาจจะถูกต้องว่ายุโรปน่าจะพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นปฏิปักษ์กับจีน และมีแนวโน้มว่าจะพยายามทำให้ความสัมพันธ์นั้นมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์มากขึ้น ผมคิดว่ามันน่าจะเริ่มต้นจากมิติทางเศรษฐกิจ ซึ่งจีนก็เผชิญปัญหาอยู่แล้วหลายเรื่อง โดยเฉพาะการผลิตล้นเกินความต้องการของคนในประเทศ นอกเหนือจากมิติทางเศรษฐกิจ ถ้าจีนแสดงท่าทีว่าอยากมีบทบาทเป็นคนกลางในการยุติสงครามยูเครน นั่นก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางการเมืองที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้เช่นกัน
นอกจากเรื่องความตึงเครียดระหว่างพันธมิตรทรานส์แอตแลนติก ถ้ามองเรื่องการเมืองภายใน เราเริ่มเห็นการเติบโตของขั้วการเมืองฝ่ายขวาในยุโรปมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างในการเลือกตั้งล่าสุดของเยอรมนี พรรค AfD ก็ได้รับคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเมื่อปีที่ผ่านมา พรรคฝ่ายขวาก็ได้คะแนนค่อนข้างสูงในการเลือกตั้งสภายุโรป แม้พรรคเหล่านี้จะยังไม่ได้เป็นรัฐบาลแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นพลังทางการเมืองที่ทรงพลัง ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนอะไร
ผมมองว่าการผงาดขึ้นของกระแสประชานิยม ซึ่งในหลายกรณีเป็นประชานิยมขวาจัด ควรถูกเข้าใจว่าเป็น ‘การตอบโต้’ ต่อความสุดโต่งของระเบียบโลกเสรีนิยมในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สิ่งที่เราเพิ่งพูดถึงในเชิงภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ล้วนเป็นเงื่อนไขเชิงโครงสร้างที่เอื้อต่อการเกิดขึ้นของประชานิยมโดยตรง
หากมองเรื่องทั้งหมดนี้จากมุมของชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงาน จะเห็นได้ชัดว่า 30 ปีที่ผ่านมาเป็นห้วงเวลาแห่งความยากลำบากและวิกฤต พวกเขาตกอยู่ในสภาวะเปราะบางกว่าที่เคยเผชิญมา ความมั่นคงทางเศรษฐกิจถูกสั่นคลอน สถานะทางสังคมลดต่ำลง และต้องใช้ชีวิตภายใต้ความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากเรื่องภายในประเทศและระหว่างประเทศ
แล้วประชานิยมเกิดขึ้นได้อย่างไร? ประการแรก ‘populist moment’ คือห้วงเวลาที่ผู้คนจำนวนมากมีความรู้สึกชัดเจนว่าสิ่งที่เป็นอยู่มันไปต่อไม่ได้และมีแนวโน้มจะแย่ลงเรื่อยๆ ประการที่สอง คือตอนที่ประชาชนมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าชนชั้นนำกำลังไม่บอกความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นเพราะชนชั้นนำเองก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถ่องแท้หรือเพราะพวกเขาตั้งใจโกหก ประการที่สาม คือประชาชนรู้สึกได้ว่าตนเองจะกลายเป็นฝ่ายที่ต้องแบกรับต้นทุนของความเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการรื้อถอนรัฐสวัสดิการหรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาก็เป็นความรู้สึกที่ไม่ผิดนัก เพราะสุดท้ายพวกเขาก็จะเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ ความรู้สึกเหล่านี้เองที่ก่อให้เกิดความโกรธมหาศาล
พวกเขายังรู้สึกว่าเสียงโหวตในระบบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจต่อรองเดียวที่มีอยู่ กลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริง อย่างในสหรัฐฯ ระบบสองพรรคใหญ่ก็ทำให้ไม่มีทางเลือกมากนัก หรือในยุโรป นโยบายบางอย่างก็ไม่ได้ผ่านการตัดสินใจตามกระบวนการทางประชาธิปไตยเสียทีเดียว
ตอนนี้จึงเกิดกระแสการลุกฮือขึ้นจากคนจำนวนมากในหมู่ชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงาน พวกเขาไม่เพียงแค่ต้องการระบายความไม่พอใจเท่านั้น แต่ยังต้องการผลักให้สังคมหันไปในทิศทางใหม่อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายคนเข้าเมือง นโยบายต่างประเทศ นโยบายเศรษฐกิจ และอื่นๆ นี่คือเหตุผลที่พลังฝ่ายขวาเพิ่มสูงขึ้น
สมมติว่าวันหนึ่งเกิดมีรัฐบาลขวาจัดขึ้นมาบริหารประเทศ โดยเฉพาะในประเทศใหญ่ๆ ของยุโรป อย่างเยอรมนีหรือฝรั่งเศส หากรัฐบาลนั้นตัดสินใจนำประเทศออกจากสหภาพยุโรป เป็นไปได้ไหมว่าอาจนำไปสู่การล่มสลายของอียู?
ถ้าย้อนมองสิ่งที่จอร์เจีย เมโลนี (Giorgia Meloni) นายกรัฐมนตรีอิตาลีทำหลังจากขึ้นสู่อำนาจ จะเห็นว่าเธอหยุดพูดเรื่องการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปไปเลยทันที พรรค AfD ของเยอรมนีก็กำลังทำในลักษณะเดียวกัน และพรรคของมารีน เลอ เปน (Marine Le Pen) ในฝรั่งเศสก็เริ่มขยับไปในทิศทางนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญตอนนี้คือทรัมป์กําลังทําลายระเบียบเสรีนิยมลง ดังนั้นระเบียบแบบใหม่ที่กําลังเกิดขึ้นก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อการชี้ชะตาทิศทางของยุโรปเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ผมก็ยังยืนยันว่าถ้าสหภาพยุโรปยังยึดติดกับแนวทางแบบเสรีนิยมใหม่ต่อไปก็อาจอยู่รอดได้ยาก แต่ก็ยังพอมีทางเปลี่ยนได้ คือเปลี่ยนในระดับคณะกรรมาธิการยุโรปและในระดับประเทศสมาชิกเอง อียูยังสามารถกลับมาเป็นผู้พิทักษ์ของยุโรปได้และผมคิดว่าคนยุโรปจำนวนมากยินดีจะยอมรับบทบาทนี้ของอียู เพราะโลกทุกวันนี้นั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน หากอียูสามารถยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง คอยปกป้องพวกเขาจากความปั่นป่วนของโลกภายนอกก็จะได้รับแรงสนับสนุนอย่างมากแน่นอน ตัวกำหนดความอยู่รอดของอียูจึงขึ้นอยู่กับว่าอียูเลือกทำอะไรในตอนนี้นั่นเอง

คุณเคยกล่าวว่าการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจกำลังเกิดขึ้นในสามเวทีหลักของโลก เมื่อพิจารณาจากท่าทีล่าสุดของสหรัฐฯ ที่ดูจะถอยห่างจากพันธมิตรและเพิ่มแรงกดดันต่อชาติต่างๆ ผ่านการขึ้นภาษีและมาตรการอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะส่งผลต่อพลวัตและความตึงเครียดในทั้งสามเวทีอย่างไรบ้าง
ก่อนอื่น ผมคิดว่ามีความเข้าใจผิดอยู่พอสมควรกับการมองว่าทุกภูมิภาคมีความสำคัญเท่ากันเพราะการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจกำลังเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะในอาร์กติก แอฟริกา แปซิฟิก ฯลฯ แน่นอนว่ามหาอำนาจกำลังแข่งขันกันในหลายพื้นที่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเรากำลังเห็นลำดับชั้นความสนใจ (hierarchy of interests) ของแต่ละมหาอำนาจ เช่น ในกรณีของยุโรป ยุโรปก็อยากจะโฟกัสอยู่แค่ในภูมิภาคของตนเอง ไม่ได้มีความสนใจจะขยายอิทธิพลของนาโตไปถึงแปซิฟิก จีนเองก็ให้ความสำคัญกับอิทธิพลรอบบ้านในเอเชียเป็นหลัก และไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรมากนักในยุโรป ส่วนรัสเซียก็เน้นอยู่กับการจัดการเขตอิทธิพล near abroad หรือประเทศรอบข้างตนเป็นหลัก สมรภูมิอื่นๆ จึงไม่ได้มีผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์มากนักต่อรัสเซีย
ดังนั้น ผมมองว่ามีสามภูมิภาคหลักที่ต้องจับตามอง คือ ยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย ซึ่งเราได้เห็นการท้าทายต่ออำนาจนำของสหรัฐฯ จากรัสเซียในยุโรป จากอิหร่านในตะวันออกกลาง และจากจีนในเอเชียตะวันออก ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิภาคเหล่านี้มีประเทศที่เป็นหรือใกล้จะเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงในทางทฤษฎีว่าอาจเกิดการขยายตัวของสงครามนิวเคลียร์ นอกจากนี้ยังเป็นภูมิภาคที่ความขัดแย้งส่งผลกระทบกระจายไปทั่วโลก ผมจึงคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำความเข้าใจพลวัตและการแข่งขันแบบ zero-sum games ในภูมิภาคเหล่านี้
ตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ในซีเรีย ที่กลุ่มติดอาวุธซึ่งได้รับการสนับสนุนจากตุรกีสามารถโค่นล้มการปกครองของบาชาร์ อัล-อัสซาด (Bashar Al-Assad) ได้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้เพราะทั้งอิหร่านและรัสเซียซึ่งหนุนอัสซาดเข้าไปเกี่ยวพันอยู่ในความขัดแย้งอื่นๆ ด้วย (อิสราเอลสู้รบกับอิหร่าน และรัสเซียสู้กับยูเครน) เมื่อมองบนฐานคิดแบบนี้ หากมีการเพิ่มความตึงเครียดในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านก็จะมีผลกระทบทันทีต่อความสามารถของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนยูเครน การพัวพันในสงครามถึงสองแนวรบทั้งในยุโรปและตะวันออกกลาง และอาจมีสงครามที่สามที่กำลังจะเกิดขึ้นในเอเชียกับจีน ทำให้สหรัฐฯ ต้องจัดลำดับความสำคัญและจัดสรรทรัพยากรของตน
ดังนั้น ทุกครั้งที่ความสนใจและทรัพยากรของสหรัฐฯ มุ่งไปที่ยุโรปและตะวันออกกลางก็จะเกิดความกลัวในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และออสเตรเลียว่าจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ในทางกลับกัน เมื่อสหรัฐฯ พูดถึงการหันไปสู่เอเชีย พันธมิตรในยุโรปและตะวันออกกลางก็กลัวว่าจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังเช่นกัน สภาวะเช่นนี้จึงทำให้เกิดเกมการเมืองที่มีผลได้-เสียในสามภูมิภาคนี้
คำถามที่ว่าพลวัตเหล่านี้จะเปลี่ยนไปไหม? ผมสามารถตอบได้แค่เพียงว่าผมไม่มีลูกแก้ววิเศษเห็นอนาคต แต่หากมีการตกลงกันบางอย่างหรือมีการประสานความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ ขึ้นจริงๆ ก็จะมีผลกระทบต่อภูมิภาคยุโรปแน่นอน แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมาหลังจากนั้น
ผมคิดว่าการวิเคราะห์หลักๆ ที่พูดถึงกันมากในตอนนี้คือ สหรัฐฯ ต้องการที่จะถ่ายโอนภาระด้านความมั่นคงของยุโรปไปสู่บ่าของยุโรปเอง เพราะสหรัฐฯ ต้องการเปลี่ยนทิศทางยุทธศาสตร์และทรัพยากรไปสู่การแข่งขันกับจีนในเอเชียตะวันออก แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะสร้างข้อตกลงบางอย่างกับจีน ซึ่งบางคนอาจเรียกว่า G2 World (Group of Two) คือสหรัฐฯ และจีนเป็นมหาอำนาจร่วมกัน ซึ่งในกรณีนี้สหรัฐฯ ก็อาจหาทางปรับความสัมพันธ์กับจีน
ดังนั้น ผมคิดว่าคงเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าสถานการณ์นี้จะพัฒนาไปในทิศทางไหน แต่ในฐานะที่เป็น transformative realist ผมค่อนข้างจะตั้งแง่กับแนวคิดที่ว่าการแข่งขันทางยุทธศาสตร์จะหายไปจากพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งโดยง่าย แน่นอนว่าหมากในกระดานอาจจะย้ายไปมาได้ แต่การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจจะยังคงอยู่ในระดับโครงสร้าง และตราบใดที่มันยังคงอยู่ ผมเชื่อว่ายุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออกจะยังคงเป็นภูมิภาคหลักของการแข่งขัน
หากเราตีกรอบมามองภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงกันว่าภูมิภาคนี้คงถูกมองข้ามหรือไม่ได้รับการพิจารณาเป็นลำดับต้นๆ ในแผนยุทธศาสตร์ต่างประเทศของทรัมป์ ตอนนี้เราเริ่มเห็นทิศทางที่ชัดเจนจากสหรัฐฯ แล้วหรือยัง
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับประเด็นที่เราพูดถึงก่อนหน้านี้ คือหากสหรัฐฯ ถอนตัวกลับไปสู่ซีกโลกตะวันตกอย่างแท้จริง ก็เท่ากับว่าจะไม่มีแรงต้านต่ออำนาจนำของจีนในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกต่อไป ท้ายสุดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็จะถูกดึงเข้าสู่เขตอิทธิพลของจีน แต่ถ้าสหรัฐฯ ตัดสินใจทุ่มทรัพยากรทั้งหมดไปยังเอเชีย เพื่อยกระดับการแข่งขันกับจีน นั่นจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันที่จะฉีกอาเซียนออกจากกัน อันที่จริง อาเซียนในปัจจุบันก็มีความแตกแยกอยู่แล้ว ในด้านหนึ่งฟิลิปปินส์กำลังเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ลาวและกัมพูชาก็เลือกจะอยู่ฝั่งเดียวกับจีน เมียนมาเองก็แทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเอนเอียงไปหาจีน
นั่นหมายความว่ามหาอำนาจทั้งสองฝ่ายต่างมีอำนาจยับยั้ง (veto power) อยู่ในอาเซียนแล้วเรียบร้อย เนื่องจากหลักการตัดสินใจภายในอาเซียนตั้งอยู่บนความเป็นเอกฉันท์ การจะตัดสินใจเรื่องใดก็ตามจึงเป็นไปได้ยากมาก เช่น เรารู้กันว่าบูรณภาพแห่งดินแดนถือเป็นหนึ่งในหลักการที่สำคัญสูงสุดในการเมืองระหว่างประเทศ แต่หากบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐสมาชิกอาเซียนถูกคุกคามในทะเลจีนใต้ แล้วอาเซียนไม่สามารถหาข้อสรุปหรือแนวทางร่วมกันได้เพราะมีความแตกแยกภายใน นั่นก็จะทำให้อาเซียนหมดความหมายหรือหมดประโยชน์ไปโดยปริยายในสายตาของชาติสมาชิก
ท่าทีเช่นนี้ค่อยๆ เผยออกมาแล้วในอินโดนีเซีย เราเห็นท่าทีของรัฐบาลปราโบโวที่พยายามมองไปนอกกรอบของอาเซียนและต้องการผลักดันให้อินโดนีเซียก้าวขึ้นเป็นตัวแสดงระดับโลก ซึ่งในมุมมองของผม เรียกว่าเป็นมหาอำนาจระดับภูมิภาคจะเหมาะสมกว่า ทั้งหมดนี้เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากความไร้ประสิทธิภาพของอาเซียน ซึ่งก็มีต้นตอมาจากการที่อาเซียนกำลังแตกแยกกันภายในนั่นเอง
แม้คุณจะย้ำอยู่เสมอว่าเราไม่มีลูกแก้ววิเศษที่จะมองเห็นอนาคตได้ แต่ถ้าให้คาดการณ์อนาคตของระเบียบโลก คุณเห็นความเป็นไปได้ในฉากทัศน์ไหนบ้าง
เมื่อเราอยู่ในห้วงเวลาของประวัติศาสตร์ที่กำลังเปลี่ยนผ่าน การคิดแบบวางฉากทัศน์เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปได้ต่างๆ คือสิ่งจำเป็นมาก แต่ผมคิดว่าเราควรจะระแวดระวังความเห็นจากใครก็ตามที่อ้างว่ารู้อนาคตแน่นอน เพราะความไม่แน่นอนต่างหากคือธรรมชาติของยุคสมัยนี้ อย่างไรก็ตาม เรายังสามารถสังเกตเห็นแนวโน้มและความเป็นไปได้บางอย่างของระเบียบโลกผ่านโครงสร้างของประวัติศาสตร์ได้ ซึ่งกรอบคิดที่ว่าคือโลกอาจอยู่ภายใต้ระเบียบแบบ ‘แนวนอน’ หรือ ‘แนวตั้ง’ ได้
ในกรณีระเบียบโลกแบบแนวนอน คุณจะมีรัฐเล็กๆ จำนวนมากที่มีสถานะทางกฎหมายเท่าเทียมกันหมด ซึ่งระระบบระหว่างประเทศในสภาวะนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นอนาธิปไตย (anarchy) ถ้าคุณไม่อยากให้มันกลายเป็นสภาวะตามธรรมชาติที่ใครก็ตามล้วนมีสิทธิทำร้ายกันและกันได้อย่างเท่าๆ กัน หรือที่โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) เรียกว่า war of all against all คุณก็ต้องมีกติกาบางอย่างที่ทำให้รัฐเหล่านี้อยู่ร่วมกันได้ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลังสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย ซึ่งวางหลักการสำคัญของระเบียบโลกแบบนี้ไว้ คือ อธิปไตยแห่งรัฐ (sovereignty) บูรณภาพแห่งดินแดน (territorial integrity) และการไม่แทรกแซง (non-interference) ทั้งหมดนี้คือเงื่อนไขพื้นฐานสำหรับโลกที่ไร้ศูนย์กลางอำนาจ แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้หากทุกคนยึดกติกาเดียวกัน
ตรงข้ามกันคือระเบียบโลกแบบแนวตั้ง จะมีโครงสร้างลำดับชั้นชัดเจน คือมีมหาอำนาจหนึ่งเดียวอยู่บนสุด ซึ่งก็คือสิ่งที่เราเรียกว่า ‘จักรวรรดิ’ หรือในวัฒนธรรมจีนเรียกระเบียบนี้ว่า Tianxia (ใต้หล้า) มหาอำนาจที่อยู่บนสุดจะเป็นฝ่ายกำหนดกติกาจากบนลงล่าง (top-down) ว่าใครควรทำอะไร และลงโทษผู้ที่ละเมิดกฎ ทุกจักรวรรดิเคยทำแบบนี้ อย่างน้อยก็ในโลกที่พวกเขารู้จักในเวลานั้น
แต่ในประวัติศาสตร์จริงๆ เราแทบไม่เคยมีระเบียบแบบใดแบบหนึ่งอย่างสมบูรณ์เลย อย่างในระบบเวสต์ฟาเลียก็มีมหาอำนาจอยู่ในระบบเสมอ และในโลกของจักรวรรดิเองก็ไม่เคยมีจักรวรรดิไหนที่สามารถปกครองโลกทั้งใบได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาต้องอยู่ร่วมกับจักรวรรดิอื่นเสมอ
แต่ยุคสมัยปัจจุบันนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เราทุกคนอยู่ในโลกใบเดียว เป็นโลกที่เชื่อมโยงและเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งแบบไม่เคยมีมาก่อน แม้เราจะได้ยินคำว่า decoupling หรือการแยกตัวของห่วงโซ่อุปทานอยู่บ่อยครั้งก็ตาม แต่ความเป็นจริงคือโลกยังคงเชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ไม่มีผู้ชนะคนใดสามารถกำหนดกติกาจากเบื้องบนได้อีกต่อไป ดังนั้น มหาอำนาจทั้งหลายจำเป็นต้องหันหน้ามาเจรจากันเพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่ร่วมกัน นี่คือโจทย์ใหญ่ที่สุดของยุคสมัยเรา
อีกหนึ่ง ‘ครั้งแรก’ ในประวัติศาสตร์ก็คือ ครั้งนี้มีมหาอำนาจนอกเหนือจากโลกตะวันตกเข้าร่วมบนโต๊ะเจรจาด้วย ต่างกับยุคของการประชุมที่เวียนนา แวร์ซายส์ หรือพอตส์ดัม มหาอำนาจในยุคนี้มีประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน รวมถึงมีความคิดทางวัฒนธรรมต่อเรื่องระเบียบโลกที่ไม่เหมือนกัน และนั่นทำให้การหาหลักการร่วมในการจัดระเบียบโลกใหม่เป็นเรื่องที่ยากมาก
แค่คำถามว่า “ระเบียบโลกที่เหมาะสมควรเป็นแบบไหน?” ก็ไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินได้ง่ายอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อมีการช่วงชิงอำนาจระหว่างมหาอำนาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราก็ยิ่งไม่รู้แน่ชัดว่าโครงสร้างอำนาจหรือลำดับชั้นในโลกใหม่นี้จะเป็นอย่างไร แต่ถ้าลองถามประเทศส่วนใหญ่จากกว่า 200 ประเทศทั่วโลกว่าพวกเขาอยากได้ระเบียบโลกแบบไหน คำตอบก็คือพวกเขาอยากได้ระบบเวสต์ฟาเลีย พวกเขาอยากได้กฎเกณฑ์ที่ชัดเจน อยากได้อธิปไตย ความมั่นคงทางพรมแดน และการไม่แทรกแซงกิจการภายในระหว่างรัฐ
เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาอยากเห็นองค์การสหประชาชาติที่ได้รับการปฏิรูป เพราะพวกเขาต้องการให้มีระบอบการปกครองระดับโลกในบางรูปแบบ (ซึ่งไม่ใช่ในรูปแบบของปี 1945 แน่นอน) แต่เป็นระบบที่สอดรับกับโครงสร้างอำนาจของศตวรรษที่ 21 และพวกเขาไม่ต้องการเห็นระเบียบที่เป็น sphere of influence เพราะนั่นหมายความว่าประเทศที่เล็กกว่าจะถูกกลืนเข้าไปอยู่ภายใต้อำนาจของประเทศที่ใหญ่กว่า และจะไม่สามารถรักษาอธิปไตยของตนเองไว้ได้อีกต่อไป
แต่การที่ประเทศขนาดเล็กและกลางจะปฏิรูประเบียบที่ตั้งอยู่บนฐานของกฎกติการะหว่างประเทศได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจว่าจะพัฒนาไปในทิศทางไหน ถ้ามหาอำนาจยังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือด ก็ยังพอมีทางให้ประเทศเล็กๆ ใช้กลยุทธ์ถ่วงดุลระหว่างฝ่ายต่างๆ ซึ่งนั่นจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศเล็ก แต่ถ้ามหาอำนาจสามารถตกลงกันได้ กล่าวคือจัดระเบียบโลกกันเอง เช่น ในรูปแบบ G2, G3 หรือ G5 นั่นก็จะกลายเป็นเรื่องยากมากๆ ที่ประเทศเล็กจะสามารถรักษาผลประโยชน์ของตัวเองได้
เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่ามีฉากทัศน์ใดบ้างที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด ผมคิดว่ามีสองแบบ นั่นคือ 1. ระบบเวสต์ฟาเลียที่มีองค์การสหประชาชาติซึ่งได้รับการปฏิรูปเป็นแกนกลาง หรือกล่าวได้ว่าเป็นฉากทัศน์ระเบียบโลกที่มีโครงสร้างแบบแนวนอน และ 2. ระบบข้อตกลงระหว่างมหาอำนาจสามฝ่ายหรือห้าฝ่าย เป็นระเบียบโลกแบบแบ่งเขตอิทธิพลที่มีลักษณะเป็นลำดับชั้น หรือมีโครงสร้างแบบแนวตั้ง
↑1 | Finlandization คือการที่ประเทศหนึ่งยอมปรับท่าทีหรือนโยบายต่างประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศมหาอำนาจเพื่อนบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งหรือแรงกดดันทางการเมือง โดยที่ประเทศนั้นยังคงรักษาระบอบการปกครองและอำนาจอธิปไตยของตนเองไว้ได้ แนวคิดนี้มาจากกรณีของฟินแลนด์ในช่วงสงครามเย็นที่ต้องดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวังต่อสหภาพโซเวียต |
---|