การผงาดของ ‘ความขวาจัด’ ผ่านพรรค AfD และประวัติศาสตร์บาดแผลในเยอรมนี: ดร.คัททิยากร ศศิธรามาศ

ผลการเลือกตั้งใหญ่ในเยอรมนีเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา พรรคอนุรักษนิยมอย่างสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (Christlich Demokratische Union Deutschlands -CDU) อาจเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะได้ หากแต่ที่ถูกพูดถึงไม่แพ้กัน -หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป- คือการผงาดขึ้นของพรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี (Alternative for Germany -AfD) พรรคขวาจัดที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีนโยบาย ‘สุดโต่ง’ แต่กลับมีฐานเสียงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในระยะเวลาเพียงสองปี และหนึ่งในนโยบายที่ถูกจับตามากที่สุดของพรรคคือการ remigration หรือการส่งตัวผู้อพยพ -โดยเฉพาะผู้ที่ก่อคดีอาชญากรรม- กลับไปยังประเทศต้นทาง 

ก่อนหน้านี้ ศาลเยอรมนีเคยตัดสินให้พรรค AfD จัดอยู่ในกลุ่มพรรคการเมืองหรือองค์กรที่มีแนวคิดขวาสุดโต่ง สอดคล้องกับมาตรการ Brandmauer หรือ ‘ปราการไฟ’ อันเป็นมาตรการของเยอรมนีในการป้องกันพรรคขวาจัดที่มีแนวโน้มสร้างความรุนแรงและความเกลียดชังเข้ามามีบทบาทในรัฐบาล จนซ้ำรอยประวัติศาสตร์ยุคนาซีสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งถือเป็นบาดแผลใหญ่ของประเทศ ยังไม่ต้องพูดถึงว่า สมาชิกพรรคบางคนอย่าง บียอร์น ฮ็อกเกอร์ (Björn Höcke) ก็เคยหาเสียงด้วยประโยคว่า ‘Alles für Deutschland’ ซึ่งเป็นสโลแกนของพรรคนาซีในอดีต ยังผลให้หลายสายตาจับจ้องไปยัง AfD ด้วยความเคลือบแคลงระคนกังวลใจ

และแม้ว่า อลิซ ไวเดล (Alice Weidel) หัวหน้าพรรค AfD จะปฏิเสธว่าพรรคไม่ได้เป็นฝั่งขวาสุดโต่ง หากแต่ท่าทีของพรรค นับตั้งแต่นโยบายสนับสนุนการส่งผู้อพยพกลับประเทศ, การโจมตีชาวมุสลิม (เช่น ป้ายหาเสียง ‘Burkas? Wir steh’n auf Bikinis’ ที่แปลได้ว่า ‘เราเลือกบิกินี่ ไม่ใช่บุรกา’) ไปจนถึงการประกาศสโลแกน ‘Unser Land zuerst!’ หรือ ‘แผ่นดินของเราต้องมาก่อน’ ก็ทำให้ยากจะปฏิเสธว่าพรรคมุ่งหน้าที่จะประนีประนอมน้อยลง เท่ากันกับที่จะ ‘หันขวา’ มากขึ้น 

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพรรค AfD ดูจะได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็พบว่า อีลอน มัสก์ (Elon Musk -ผู้นำกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล) เปิดตัวสนับสนุน AfD อย่างออกหน้าออกตา รวมถึง เจดี แวนซ์ (JD Vance -รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ) นัดพบไวเดลเป็นการส่วนตัวก่อนหน้าการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์จะมาถึงเพียงเก้าวัน 

ไม่ว่าจะอย่างไร เห็นด้วยหรือไม่ AfD ก็เพิ่งคว้าคะแนนจากการเลือกตั้งจนเป็นพรรคที่มีเสียงมากเป็นอันดับสองของสภา

เยอรมนีกำลัง ‘ขวาหัน’ หรือไม่ ไกลไปกว่านั้น เป็นไปได้ไหมว่า ‘อินทรีเหล็ก’ กำลังบินหวนกลับเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์ในอดีตที่หลายคนหวั่นกลัว เมื่อกระแสแห่งความรุนแรงและการสร้างความเป็นอื่นลุกโหมอยู่ในเวลานี้

วันโอวัน สนทนากับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.คัททิยากร ศศิธรามาศ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สำรวจสังคมการเมืองหลังเลือกตั้งของเยอรมนี ทิศทางความน่าจะเป็นในอนาคต รวมทั้งการหวนมองประวัติศาสตร์เลือดที่โลกหลีกเลี่ยงจะไม่ทำซ้ำรอย

มองการได้คะแนนที่เพิ่มแบบก้าวกระโดดของพรรค AfD อย่างไร

ก่อนหน้ามีการเลือกตั้งในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เราเองค่อนข้างตามข่าวที่เกิดขึ้นในเยอรมนีพอสมควร เห็นโพยการเมืองต่างๆ ที่ออกมาทำนายเสียงว่าพรรคไหนจะได้กี่คะแนน และมีหลายโพยที่วิเคราะห์ว่า AfD จะได้คะแนนเสียงค่อนข้างมาก แต่ตอนนั้นเรายังไม่ค่อยเชื่อมากเท่าไหร่ว่าจะได้มากขนาดที่ทายกัน แต่พอผลออกมา พบว่าพรรคได้คะแนนเสียงตั้ง 20.8 ถือว่าขึ้นมาจากปี 2021 เกือบเท่าตัว เราก็แปลกใจอยู่เหมือนกันนะว่าทำไมในช่วงเวลาแค่สี่ปี พรรคโตจึงเร็วขนาดนั้น ทั้งได้คะแนนเสียงทั้งจากฝั่งตะวันตกและตะวันออกด้วย 

ทำไมอาจารย์ถึงไม่คาดคิดว่าพรรคจะได้คะแนนมากขนาดนี้

คนเยอรมันอาจยังไม่กล้าจะบอกว่าตัวเองสนับสนุนพรรคฝ่ายขวาขนาดนั้น โดย AfD เองเป็นพรรคฝ่ายขวาหลักๆ ในเยอรมนี 

ถ้ามองในฐานะที่เราเป็นอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ เรามองรากของพรรค AfD ตั้งแต่ต้น จะพบว่าตอนที่เขาก่อตั้งคือราวๆ ปี 2012 เปิดตัวอย่างเป็นทางการช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2013 

ทั้งนี้ AfD เปิดตัวมาในฐานะ Soft Euroscepticism มีเป้าหมายคือเพื่อต่อต้านการใช้เงินสกุลยูโร (Euro) ของเยอรมนี ประกอบกับราวๆ ปี 2012-2013 สหภาพยุโรปเองก็ยังมีวิกฤตเศรษฐกิจอยู่ ถ้าเรายังจำกันได้ ตอนนั้นประเทศยุโรปตอนใต้เผชิญปัญหาเศรษฐกิจหนักมาก เช่น กรีซ ตอนปี 2010 มีคนมาประท้วงนโยบายของรัฐบาลในการตัดเงินช่วยเหลือคนที่เกษียณอายุ และตอนนั้น ในฐานะประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปก็ตกลงกันว่าจะต้องลงขันกันให้ประเทศทางตอนใต้เหล่านี้หยิบยืมเงิน

พรรค AfD เกิดขึ้นมา เพราะการที่เราต้องช่วยเหลือประเทศทางตอนใต้ ซึ่งก็ไม่ใช่แค่กรีซที่ประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีอิตาลี, สเปนและโปรตุเกสด้วย ทำให้ทาง AfD ออกมาตั้งคำถามว่าเราสมควรช่วยเหลือประเทศยุโรปทางตอนใต้เยอะขนาดนี้หรือเปล่า แม้ว่าจริงๆ ตอนนั้นเศรษฐกิจของเยอรมนีจะยังดีอยู่ก็ตาม และตัวพรรคก็ตั้งคำถามอีกว่าเราควรจะใช้เงินสกุลยูโรจริงๆ หรือเปล่า หรือควรจะกลับมาใช้มาตรฐานทองคำเหมือนเดิม แต่ว่าตอนนั้นสโลแกนพรรคยังเป็น Mut zu D*EU*TSCHLAND (Courage to stand up for Germany) จะพบว่าเขามีคำว่า EU หรือสหภาพยุโรปตรงกลาง เพื่อไม่ให้ดูว่าพรรคนี้ต่อต้านสหภาพยุโรปเกินไป

จริงๆ พรรค AfD ไม่ได้เรียกร้องให้เยอรมนีออกจากสหภาพยุโรป แค่เรียกร้องให้ทบทวนว่าเราควรใช้เงินสกุลยูโรจริงไหม และนโยบายที่เราต้องให้เงินกู้ยืมแก่ประเทศทางตอนใต้เป็นจำนวนมากขนาดนี้ มันดีจริงหรือเปล่า แต่ไม่ได้เรียกร้องให้ออกจากสหภาพยุโรป

ข้างต้นคือข้อเรียกร้องแรกๆ ของพรรค AfD ซึ่งคนเยอรมันหลายคนเขาฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลแหละ ว่าการที่เรานำเงินจำนวนมากไปให้ประเทศทางใต้กู้ยืม ก็อาจเป็นสิ่งที่หลายคนกังวล แต่ชาวเยอรมันบางส่วนก็อาจไม่ได้พูดออกมาตรงๆ หรอก อย่างไรก็ตาม ตอนที่พรรค AfD เปิดตัวใหม่ๆ มีนักเศรษฐศาสตร์หรือเจ้าของธุรกิจใหญ่ๆ ที่เขาโอเคกับข้อเสนอของพรรค ทั้งยังมีนักวิชาการจำนวนหนึ่งที่เห็นด้วยและสนับสนุนพรรค

ป้ายผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านพรรค AfD บนป้ายระบุว่า “ไม่เอา AfD” (ภาพจาก / AFP)

แต่พรรคก็เริ่มเปลี่ยนทิศทางราวๆ ปี 2015 เป็นต้นมา เฟราเคอ เพทรีย์ (Frauke Petry -อดีตผู้นำพรรค AfD) ขึ้นมาเป็นผู้นำพรรค สื่อมักบอกว่าเธอทำให้ AfD หันขวามากๆ และมีคนจับภาพพรรคไปโยงกับนาซี ซึ่งจริงๆ ตอนแรกของการก่อตั้งพรรค ก็ยังไม่เคยมีใครเอา AfD ไปเทียบกับนาซีเลยนะ แต่หลังจากเฟราเคอ เพทรีย์ เข้ามาบริหารพรรคนี่แหละที่เริ่มมีคนเอาพรรคไปเทียบเคียงกับพรรคนาซี ตัวเพทรีย์เองดำเนินนโยบายหลายอย่างที่นำพรรคไปสู่ความขวามากขึ้น แต่มันก็ประจวบเหมาะกับบริบททางการเมืองด้วย เพราะช่วงปี 2015 ซึ่งปีนี้ก็ครบสิบปีพอดี รู้สึกเป็นประวัติศาสตร์ระยะสั้นมากเลย (ยิ้ม) เราอาจจะเห็นข่าววิกฤตผู้อพยพในยุโรป อาจเคยเห็นภาพผู้ลี้ภัยจากสงครามในตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นสงครามซีเรียหรือสงครามในอัฟกานิสถาน หรือเป็นผู้ลี้ภัยจากแอฟริกาที่ขัดแย้งกันภายใน

จำได้ว่าตอนนั้นมีภาพผู้ลี้ภัยนั่งเรือมาจากประเทศต้นทาง แล้วขึ้นบกที่กรีซหรืออิตาลี โดยมีหน่วยงานต่างๆ พากันไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเหล่านี้ให้ขึ้นฝั่ง จากนั้นก็จะมีภาพเขาเดินเท้าเข้ามายังประเทศที่เขามั่นใจว่าจะให้ชีวิตที่ดีแก่พวกเขาได้ เช่น ฝรั่งเศส, เยอรมนี, สวีเดน เป็นต้น ประกอบกับตอนนั้น รัฐบาลเยอรมันคือรัฐบาลของ อังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel -อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมนี) ที่พูดประโยคหนึ่งว่า “Die Welt sieht Deutschland als ein Land der Hoffnung und der Chancen… Wir haben so vieles geschafft, wir schaffen das.” (โลกมองเยอรมนีเป็นดินแดนแห่งความหวังและโอกาส เราทำสำเร็จมามาก และเราทำได้) ซึ่งเป็นเสมือนการเชื้อเชิญให้ผู้ลี้ภัยที่หลีกหนีสงคราม ความวุ่นวายและความยากจนในประเทศตนเองให้เดินทางมาลี้ภัยมายุโรป

โดยคำว่า “Wir schaffen das.” หรือคือ เราทำได้ We can do this หมายถึงว่าเยอรมนีในตอนนั้นพยายามทำให้ประชาคมโลกและประชาคมต่างๆ ในสหภาพยุโรปเห็นว่าตัวเองสามารถขึ้นมามีบทบาทเป็นผู้นำของประเทศในยุโรปได้นะ และสิ่งหนึ่งที่แมร์เคิลทำในตอนนั้นคือเยอรมนีประกาศรับผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ เรียกว่ามาเท่าไหร่ก็รับหมด หากดูสถิติผู้ลี้ภัยกับผู้อพยพที่เข้ามายังเยอรมนีในปี 2015 ก็น่าจะเป็นจำนวนราวสองล้านกว่าคน เยอรมนีต้องตั้งที่พักพิงชั่วคราวให้ผู้ลี้ภัยกับผู้อพยพเหล่านั้น 

ช่วงนั้นประจวบเหมาะกับที่เพทรีย์ขึ้นมาเป็นผู้นำพรรค AfD พร้อมกันกับที่รัฐบาลของแมร์เคิลก็ไม่ได้บอกว่าจะจำกัดจำนวนผู้อพยพอย่างไร มันมีความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนขึ้นในประเทศ ตัวพรรค AfD เองก็มักหยิบเอาประเด็นนี้มาโจมตีแมร์เคิลกับรัฐบาลอยู่เรื่อยๆ รวมทั้งประเด็นที่ว่ารัฐบาลใช้เงินไปกับการดูแลผู้อพยพกับผู้ลี้ภัยเยอะ เพทรีย์จึงเรียกร้องว่าผู้ลี้ภัยกับผู้อพยพส่วนใหญ่ที่เข้ามาในเยอรมนียังไม่เคยทำงานอะไรเลย ทำไมจึงได้รับสวัสดิการจากรัฐด้วย ดังนั้น มันจึงมีความกังวลเรื่องเงินอยู่ตลอดเวลา และอีกความกังวลหนึ่งของหลายคนคือวัฒนธรรมเยอรมันอาจผสมไปกับวัฒนธรรมที่มาจากผู้อพยพเหล่านี้ เพทรีย์พูดประเด็นนี้อย่างไม่อ้อมค้อมว่า มันคือวัฒนธรรมมุสลิมและศาสนาใหม่คือศาสนาอิสลาม และพรรค AfD ก็ออกมาเรียกร้องว่า เราไม่ควรอนุญาตให้ผู้หญิงมุสลิมใส่บุรกา (Burka) ซึ่งปิดคลุมร่างกายหมด เห็นแต่ดวงตา 

ตอนนั้นแหละที่เพทรีย์เริ่มโจมตีศาสนาอิสลาม และทำให้การเคลื่อนไหวของเธอเริ่มเป็นสิ่งน่ากลัวในสายตาหลายๆ คน เพราะมันก็เป็นสิ่งที่นาซีทำกับชาวยิวในประวัติศาสตร์บาดแผลของเยอรมนี 

เทียบเคียงกันในยุโรป ทัศนคติของ AfD น่าจะใกล้เคียงกับพรรคชุมนุมแห่งชาติ (Rassemblement national -RN) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดในฝรั่งเศสหรือไม่

(พยักหน้า) จำได้ว่า มารีน เลอ แปน (Marine Le Pen -อดีตหัวหน้าพรรคชุมนุมแห่งชาติ) ก็เคยออกมาเรียกร้องในทำนองเดียวกัน และชูเป็นนโยบายเหมือนกันด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าการที่พรรค AfD ออกมาประกาศต่อต้านอิสลามถือเป็นสิ่งใหม่มากๆ ของเยอรมนีในตอนนั้น เพราะก็เป็นผลมาจากปัญหาผู้ลี้ภัยกับผู้อพยพ 

อีกเรื่องที่พรรค AfD มักยกมาโจมตีแมร์เคิลคือข่าวอาชญากรรมที่เกิดจากผู้ลี้ภัยกับผู้อพยพ ในปี 2016 เกิดข่าวที่ครึกโครมมากๆ คือคดีฆาตกรรม มาเรีย ลาเดนบัวร์เกอร์ (Maria Ladenburger) นักศึกษาแพทย์ซึ่งถูกข่มขืนและฆ่าโดยหนึ่งในผู้ลี้ภัย คดีนี้เป็นข่าวใหญ่มาก พรรค AfD บอกว่าแมร์เคิลมีส่วนในการตายของลาเดนบัวร์เกอร์ด้วย และกรณีเหล่านี้ก็ถูกพรรค AfD หยิบมาใช้โจมตีอยู่บ่อยครั้ง กรณีการฆาตกรรมของลาเดนบัวร์เกอร์อาจเป็นกรณีแรกๆ หรือเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็มีข่าวว่าชาวอัฟกันขับรถเข้าไปชนกลุ่มคนที่มิวนิค สร้างความกังวลตามมามากมาย พรรค AfD เองก็พูดประเด็นนี้เหมือนกัน 

พรรค AfD มีฐานเสียงอยู่ฝั่งตะวันออกเป็นหลัก เพราะประเด็นเรื่องเศรษฐกิจด้วยหรือเปล่า

ใช่ จริงๆ แล้วเศรษฐกิจฝั่งเยอรมนีตะวันออกค่อนข้างแย่ ตอนรวมประเทศเมื่อปี 1990 เศรษฐกิจฝั่งตะวันออกยังพัฒนาไม่เท่าฝั่งตะวันตก ทำให้รัฐในตะวันตกหลายๆ รัฐต้องใช้เงินไปอุ้มชูฝั่งตะวันออก หลายครั้งชาวตะวันตกก็ดูถูกฝั่งตะวันออกนิดหน่อย เพราะเขารู้สึกว่าต้องใช้เงินของรัฐตัวเองไปอุ้มชูรัฐทางตะวันออกช่วงต้นๆ หลังการรวมประเทศ แต่เศรษฐกิจฝั่งตะวันออกก็ยังพัฒนาไม่ทันฝั่งตะวันตกอยู่ดี ด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะอุตสาหกรรมหลักของเยอรมนีอย่างเหล็กและรถยนต์ มีฐานอยู่ทางฝั่งตะวันตกเป็นส่วนมาก 

แม้แต่ในปัจจุบันเอง ฝั่งตะวันออกก็แทบไม่มีอุตสาหกรรมหลักๆ เลย ถ้าจะมีก็อาจจะเป็นอุตสาหกรรมทำแก้ว ซึ่งมันก็แข็งแรงไม่เท่าอุตสาหกรรมเหล็กแน่ๆ ทำให้ประชากรรุ่นเยาว์จากฝั่งตะวันออกอยากย้ายออกมาอยู่ฝั่งตะวันตก รัฐหลายรัฐ เมืองหลายเมืองในตะวันออกมีแต่คนแก่ 

หลายคนบอกว่าการที่ฝั่งตะวันออกเทคะแนนให้ AfD เหมือนบรรยากาศยุคสงครามเย็นเลย เห็นด้วยไหม

(คิดนาน) ไม่กล้าตอบขนาดนั้น

ในเยอรมนีมีการเลือกตั้งสามระดับ มีการเลือกตั้งระดับรัฐ แต่ละรัฐมีรัฐสภาเป็นของตัวเอง และมีการเลือกตั้งระดับประเทศ กับการเลือกตั้งระดับรัฐสภายุโรปด้วย เพื่อเลือกผู้แทนเข้าไปนั่งในรัฐสภายุโรป

ก่อนปี 2025 คะแนนพรรค AfD ในระดับประเทศอาจไม่ได้ดีมาก อยู่ที่ราวๆ 10 เปอร์เซ็นต์ ตกจากการเลือกตั้งปี 2017 ซึ่งอยู่ราวๆ 12 เปอร์เซ็นต์ด้วยนะ แต่ในการเลือกตั้งระดับรัฐ เราจะเห็นเลยว่ารัฐฝั่งตะวันออก เช่น แซกโซนี, ทัวร์ริงเจีย หรือแม้แต่ในเบอร์ลิน ซึ่งเมื่อก่อนแบ่งเป็นเบอร์ลินตะวันตกกับตะวันออก ในฝั่งตะวันออก คนก็เทคะแนนเสียงให้ AfD ก็ถือเป็นจุดสังเกตว่าแม้คะแนนในระดับประเทศอาจลดลง แต่คะแนนฝั่งตะวันออกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราคิดว่ามีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจไม่ดี และผู้อพยพ ผู้ลี้ภัยก็เข้ามาด้วย อาจทำให้คนในพื้นที่ยิ่งกังวลเรื่องเงิน เพราะเขาก็ต้องจ่ายภาษีเพิ่มนะ 

คนเยอรมันจ่ายภาษีประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของรายรับ บางคนเขากังวลว่าถ้ามีผู้ลี้ภัยหรือผู้อพยพเข้ามา เงินที่จะเอาไปใช้ก็จะมาจากภาษีพวกเขา เศรษฐกิจก็ไม่ดีอยู่แล้ว และนี่ก็อาจเป็นเหตุผลให้ AfD ได้ฐานเสียงจากฝั่งตะวันออกค่อนข้างมาก และมาได้เพิ่มจากฝั่งตะวันตกช่วงที่มีสงครามยูเครน-รัสเซีย ซึ่งเยอรมนีมีนโยบายสนับสนุนยูเครน มีการส่งทั้งเงินช่วยเหลือ ทั้งอาวุธบางประเภทไปให้ คนก็เริ่มกังวลเรื่องการเงินมากขึ้น ก็อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ชาวตะวันตกคิดว่าเราต้องเริ่มกังวลเรื่องภาระทางการเงินที่อาจมากขึ้นแล้ว

คิดว่าที่ผ่านมา อะไรทำให้รัฐบาลผสมหรือที่เรียกว่ารัฐบาลไฟจราจรชุดก่อนหน้าไม่ประสบความสำเร็จจนต้องล่มไป

รัฐบาลสามสีไฟจราจรก็มีความขัดแย้งภายในกันค่อนข้างมาก สหรัฐฯ เองก็จับตามองประเด็นนี้พอสมควร โดยเฉพาะเรื่องการใช้เงินของรัฐบาลเยอรมันในส่วนงบประมาณทางการทหาร เพราะพอมีสงครามรัสเซีย-ยูเครนเข้ามา ตัวรัฐบาลเยอรมนีเองก็สนับสนุนยูเครนด้วย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะรัฐบาลเยอรมนีชุดก่อนมองว่ายูเครนเป็นเหมือนด่านหน้า ป้องกันไม่ให้สงครามเข้ามาทางตะวันตก และเยอรมนีเองคงคิดว่า ท่าทีของสหภาพยุโรปในตอนนั้นก็สนับสนุนยูเครนเหมือนกัน เยอรมนีในฐานะประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรปที่อยากมีบทบาทสำคัญ แข่งเป็นพี่ใหญ่กับฝรั่งเศส ก็ต้องช่วยเหลือยูเครนทางอาวุธและการเงินบางส่วน และแม้จะให้ความช่วยเหลือด้านการเงินมากเท่าไหร่ก็ยังไม่ถึงสามเปอร์เซ็นต์ของ GDP ตามที่สหภาพยุโรปกับ โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเวลานั้นอยากให้เป็น เพื่อจะได้มั่นใจว่าพรมแดนด้านที่ติดกับยุโรปตะวันออกต้องปลอดภัย 

เยอรมนีใช้จ่ายงบประมาณด้านการทหารราวๆ สองเปอร์เซ็นต์ รัฐบาลชุดที่แล้วก็อยากเพิ่มงบทางด้านการทหารขึ้นมา ทำให้เกิดรอยร้าวระหว่างรัฐบาลไฟจราจรที่ว่านี้ จนนำมาสู่การที่รัฐบาลล่มเมื่อปลายปีก่อน และทำให้เลือกตั้งครั้งใหม่

AfD ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นพรรคนาซี อย่าง บียอร์น ฮ็อกเกอร์ ก็เคยหาเสียงว่า ‘Alles für Deutschland’ ซึ่งเป็นสโลแกนของนาซี ทำให้กลายเป็นความอื้อฉาวอยู่พักหนึ่ง คิดว่านี่เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้ AfD ถูกเอามาเทียบกับพรรคนาซีไหม หรือมีเหตุผลอื่นด้วย

มันมีนโยบายหลายอย่างที่คนอาจจะมองว่าสองพรรคนี้คล้ายกัน พรรคนาซีต่อต้านชาวยิว พรรค AfD ต่อต้านมุสลิม เป็นต้น แต่แน่นอนว่า AfD ไปไม่ถึงขั้นที่นาซีทำหรอก เพราะสิ่งที่นาซีทำคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ มีชาวยิวเสียชีวิตหกล้านคนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ AfD ไม่ได้ทำถึงขั้นนั้น เขาโจมตีด้วยวาจาเป็นหลัก การจะเทียบสองพรรคนี้จึงอันตรายมาก

มีนักการเมืองสังกัด AfD ชอบเสนอว่าตัวเองมีสายสัมพันธ์บางอย่างกับนาซี เช่น ตัวฮ็อกเกอร์ที่ใช้คำว่า Alles für Deutschland มาหาเสียง แล้วมันเป็นคำที่อันตรายมากในสังคมเยอรมัน เพราะชวนให้นึกถึงยุคนาซี นึกถึงแผลประวัติศาสตร์ รวมถึงมันมีข่าวว่า ประโยคหลายๆ ประโยคที่เขาชอบพูดก็ถูกนำมาจากหนังสือ Mein Kampf ของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler -ผู้นำนาซี) นอกจากนั้น เขายังเคยพูดไว้ในปี 2024 ว่า ปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งก็คือการที่คนชอบสร้างภาพให้ฮิตเลอร์เป็นปีศาจ (the big problem is that one presents Hitler as absolutely evil) หรือเคยบอกว่าอนุสรณ์สถานแด่ชาวยิว (holocaust monument) ที่อยู่ในเบอร์ลินคือสัญลักษณ์ของความน่าอับอายของชาวเยอรมัน เราฟังยังรู้สึกหนักมาก เป็นการแสดงความเห็นที่รุนแรงมาก

และเอาจริงๆ ตอนที่ฮ็อกเกอร์กับเพทรีย์ออกมาประกาศว่าตัวพรรคเป็นขวา ก็มีสมาชิกพรรค AfD ที่รู้สึกว่าพรรคมันขวาเกินไปแล้วและลาออกจากพรรคไปเลย เช่น ผู้ก่อตั้งพรรคคนแรกเมื่อปี 2013 ก็ลาออกจากพรรคเพราะไม่เห็นด้วยที่พรรคดูจะไปไกลมาก อันจะเห็นจากการออกมาโจมตีชาวมุสลิมแม้จะด้วยวาจาก็ตาม สมาชิกพรรคบางส่วนจึงลาออกจากพรรคแล้วไปตั้งพรรคใหม่คือ Die blaue Partei พรรคสีฟ้า 

ขณะเดียวกัน พรรค AfD ก็ต้องสังกัดกลุ่มการเมืองในระดับยุโรปด้วย กลุ่มการเมืองเหล่านั้นก็พยายามผลักให้ AfD ออกไป เนื่องจากพรรคเป็นขวามากเกิน 

การที่มีคนโยงตัวพรรค AfD เข้ากับพรรคนาซี มันส่งผลต่อตัวพรรคเองเหมือนกัน อย่างไวเดลเอง นับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา ก็ใช้สโลแกนว่า “Unser Land zuerst!” หรือคือประเทศเราต้องมาก่อน ซึ่งเป็นสโลแกนที่ยืมมาจาก ฌ็อง-มารี เลอ แปน (Jean-Marie Le Pen -นักการเมืองพรรคขวาจัดในฝรั่งเศส) คุณพ่อของมารีน เลอ แปน ที่ว่า “Franzosen zuerst” สะท้อนว่าพรรคมีความเป็นขวามากขึ้น คิดถึงตัวเองมากขึ้น และด้านหนึ่ง มันก็อาจเสียภาพลักษณ์แหละ แค่ว่าในการเลือกตั้งที่ผ่านมานี้ มันอาจมีบริบทของสงครามยูเครน-รัสเซียเข้ามาเกี่ยว คนกังวลเรื่องเศรษฐกิจว่าจะย่ำแย่ลงหรือไม่ เพราะยังมีสงครามอิสราเอล-ฮามาสให้ต้องจับตาด้วย ช่วงแรกๆ ของสงคราม AfD ก็ดูจะสนับสนุนอิสราเอลพอสมควร มันจึงมีบริบทอื่นๆ เสริมมาด้วย 

โดยส่วนตัวแล้ว เราคิดว่าการที่ AfD หันมาเป็นขวาจัดนั้น ดูทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคเสียเหมือนกัน แต่บังเอิญว่าครั้งนี้ได้คะแนนเสียงมากเพราะมีบริบทอื่นๆ ด้วย ประเด็นผู้ลี้ภัยกับผู้อพยพก็ยังสามารถคลี่คลายได้ คนเยอรมันก็ยังรอความชัดเจนอยู่ว่าจะจำกัดจำนวนผู้อพยพไหม หรือจะมีนโยบายกับผู้อพยพผิดกฎหมายอย่างไรบ้าง และค่าใช้จ่ายในสงครามยูเครน-รัสเซียด้วย สหรัฐฯ เองก็เพิ่งเปลี่ยนประธานาธิบดีอีกต่างหาก ก็ต้องดูว่านโยบายของสหรัฐฯ จะส่งผลต่อสหภาพยุโรปอย่างไรบ้าง มันมีหลายเรื่องประเดประดังเข้ามา เราจึงคิดว่านี่แหละที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งล่าสุด AfD ได้คะแนนเยอะ แต่ในระยะยาว ส่วนตัวเราคิดว่าการที่พรรคหันขวาเกินไปจะเป็นเสียต่อพรรคมากกว่าผลดี

ในยุค 1960s เยอรมนีก็มีพรรค National Democratic Party of Germany (NPD) ที่เชิดชูอุดมการณ์คล้ายๆ นาซี แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเลย ด้านหนึ่งเพราะคนยังฝังใจกับบาดแผลจากสงครามโลกอยู่ คิดว่า NPD กับ AfD เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

NPD ดำเนินนโยบายขวาจัดชัดเจน มีหลายส่วนที่คล้ายกันกับพรรค AfD เช่น การต่อต้านชาวต่างชาติ แค่ว่ากับ NPD อาจไม่ได้หมายถึงชาวมุสลิมชัดเจนเพราะตอนนั้นยังไม่มีประเด็นเรื่องผู้อพยพ ก็อาจมีการโจมตีชาวต่างชาติตามถนนบ้างโดยเฉพาะในตะวันออกที่พรรค NPD เขามีฐานเสียงอยู่ เป็นบรรยากาศที่คนต่างชาติอาจต้องระวังตัวนิดหน่อย 

พรรค NPD อาจเป็นพรรคที่ดูอันตรายสำหรับชาวต่างชาติ แต่คนเยอรมันคงไม่ได้ให้ความสนใจตัวพรรคมากมาย เพราะในช่วงทศวรรษ 60 ทุกคนมุ่งไปสู่ความก้าวหน้าและความมั่นคงทางเศรษฐกิจมากกว่า ไม่ใช่กลับไปสู่อดีตอันเจ็บปวดที่เต็มไปด้วยความรุนแรง

ไวเดลให้สัมภาษณ์ในแง่ของการถูกกลั่นแกล้งรังแกโดยผู้อพยพ ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยได้ยินคนขาวพูดถึงประเด็นนี้เท่าไหร่ โดยเฉพาะในยุคของ political identity (การเมืองเชิงอัตลักษณ์) มีอิทธิพล คิดว่าบรรยากาศนี้สร้างความกดดันให้คนขาวแค่ไหน

ชาวเยอรมันมีบาดแผลเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง หลังสงครามจบลงในปี 1945 จนถึงประมาณช่วงปี 1970s การศึกษาของเยอรมนีก็ไม่ตรงไปตรงมากับชาวเยอรมัน กล่าวคือพยายามจะปกปิดอาชญากรรมที่บรรพบุรุษตัวเองสร้างไว้ ไม่จริงใจและไม่พูดเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างตรงไปตรงมา อาจเป็นเพราะอยากให้เรื่องนี้ถูกลืม แต่รัฐบาลเยอรมันและสังคมเยอรมันเองก็พบว่า เราไม่สามารถลบสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกไปโดยการหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงมันได้ แต่การที่เราจะทำความเข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คือการพูดถึงมันอย่างซื่อตรงว่าเกิดอะไรขึ้น หลังปี 1970 เป็นต้นมา โรงเรียนทุกระดับชั้นในเยอรมนีก็สอนเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างตรงไปตรงมา และก็ได้สร้างอัตลักษณ์บางอย่างของชาวเยอรมันว่า คุณต้องไม่สนับสนุนความรุนแรง ต้องรู้สึกผิดกับสิ่งที่บรรพบุรุษทำ ต้องรู้สึกถึงความรับผิดชอบ 

กรณีของไวเดลนี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีคนเยอรมันรู้สึกแบบเขาเยอะไหม แต่ถ้ามี ก็เป็นไปได้ว่าหลายคนอาจจะเครียดที่ไม่อาจพูดอะไรอย่างตรงไปตรงมาได้เพราะรู้สึกผิด เช่น เราเห็นผู้อพยพเข้ามาในประเทศและรู้สึกว่ารัฐบาลอาจต้องใช้เงินกับพวกเขาเป็นจำนวนมาก เราก็กังวลเพราะเป็นห่วงเศรษฐกิจ แต่ถ้าไปบอกคนอื่นว่าเราไม่สนับสนุนการโอบรับผู้อพยพเลย ก็พูดไม่ได้นะ คนจะมองว่าเราเป็นขวา คือเราอาจไม่ได้เป็นขวาหรอก เราเคารพทุกคนเท่าเทียมกันแหละ แต่เราเป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจ หรือเราอาจกังวลว่าผู้อพยพบางคนก็มีความสามารถสูง เป็นแพทย์ เป็นวิศวกร ก็อาจกลัวว่าเขาจะมาแย่งงานทำหรือเปล่า นี่ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่คนเยอรมันกังวลนะ เราเชื่อว่ามีคนเครียดจากบรรยากาศเหล่านี้ แต่คิดว่าความเครียดที่ว่านี้ไม่ใช่สาเหตุหลักที่เขาไปเลือกพรรค AfD หรอก 

คิดว่าคนเยอรมันที่เกิดยุคหลังสงคราม หรือโตไม่ทันเห็นแผลสดของมัน รู้สึกเหนื่อยกับการต้องแบกความรู้สึกผิดเหล่านี้ไหม 

(คิดนาน) ไวเดลเขาพูดว่าคนเยอรมันมีความรู้สึกผิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่สองมากๆ เสียจนลืมว่าชาวเยอรมันเองก็ถูกกระทำ ชาวเยอรมันทั่วไปพูดว่าชาวเยอรมันถูกกระทำไม่ได้ ไวเดลพยายามชี้ว่า ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก็มีชาวเยอรมันที่เจ็บปวดเหมือนกัน ตัวเธอเองมาจากปรัสเซียตะวันออก ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเยอรมนีแล้ว กลายไปเป็นส่วนหนึ่งของยุโรปตะวันออกแทน ตอนที่เยอรมนีแพ้สงครามโลก คนจากปรัสเซียตะวันออกก็ถูกขับไล่ ต้องอพยพเดินทาง ถ้าอ่านประวัติศาสตร์เยอรมัน เราจะพบว่าคนจากปรัสเซียตะวันออกต้องอพยพเพราะโดนผู้ชนะสงครามไล่ออกมาจากประเทศให้กลับเข้ามาในเยอรมนี มีภาพคนเอาของใส่เกวียนแล้วเดินเท้าข้ามประเทศ เข้ามาถึงเยอรมนียุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็พบกับซากปรักหักพัง ไวเดลคงพยายามชี้ประเด็นว่าทำไมไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งที่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เยอรมันเหมือนกัน เป็นความเจ็บปวดที่ชาวเยอรมันต้องเผชิญมาในอดีต แต่ไม่มีใครพูดถึง

เราคิดว่าในสังคมเยอรมัน ความรู้สึกผิดมันท่วมท้นมากเพราะมันเป็นบาดแผล ถ้าเราพูดเรื่องแบบนี้ว่าทำไมไม่มีใครพูดถึงความทุกข์ยากของชาวเยอรมันเลย ก็เพราะในสังคมเยอรมันเขาค่อนข้างระมัดระวังที่จะพูดเรื่องแบบนี้ หรือแม้แต่การให้ภาพฮิตเลอร์ โดยให้ภาพเขาต่างไปจากฐานะผู้นำแห่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ก็ไม่ได้นะ จะบอกว่าเขาเป็นคนรักหมา ใจดีกับศิลปิน ก็อาจเป็นสิ่งที่ต้องระวังมากๆ 

สมัยไปเรียนที่เยอรมนี เรามีเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นคนเยอรมัน ครอบครัวเขาอินกับเรื่องความรู้สึกผิดนี้มากจนย้ายไปอยู่อิสราเอล เพื่อไปทำงานบริการสังคม แล้วย้ายไปทั้งครอบครัวเลย เพื่อนเราบอกว่าเขาจะไปโดยไม่กลับมาเยอรมนีอีกแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่านะ แต่แค่จะชี้ให้เห็นว่าบางทีความรู้สึกผิดมันท่วมท้นมาก

เราเคยไปค่ายกักกันเอาช์วิตซ์ที่โปแลนด์ในปี 2004 เราเรียนสาขาวิชาประวัติศาสตร์และได้ไปทัศนศึกษาของภาควิชา มีคนไปเป็นกลุ่มเล็กๆ ราวยี่สิบคน แต่ตอนเราไปถึงค่ายกักกัน เราพบว่าความรู้สึกผิดมันท่วมท้นใจเพื่อนเรามากเลย เพราะป้ายบอกทางในค่ายกักกันมีประมาณ 30 กว่าภาษาทั่วโลก แต่ไม่มีภาษาเยอรมันเลย เพื่อนทุกคนรอบๆ ตัวเราเริ่มเงียบเพราะหาป้ายภาษาเยอรมันไม่เจอ แต่มีป้ายภาษาญี่ปุ่น ภาษาอื่นๆ เต็มไปหมด แล้วพอเดินไปถึงทางเข้า ก็เห็นกลุ่มชาวอิสราเอลที่มาเยือนค่ายกักกันเหมือนกัน และพวกเขาก็ชี้มาที่กลุ่มเรา บอกว่า “Deutsch!” หรือคนเยอรมัน เพื่อนเราก็เริ่มซีดและเงียบลงเรื่อยๆ 

ห้องแรกที่เราเห็นในค่ายกักกัน เราเห็นกองผมคนจำนวนมากเพราะชาวยิวที่ถูกนำมาเข้าค่ายกักกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจะถูกโกนผม และกะเทาะฟันปลอมที่ทำจากทองออกเพื่อเอาทองมาหลอมใช้ต่อ พอเห็นกองภูเขาเส้นผมและกระเป๋าเดินทางของชาวยิววางกองกันไว้ เพื่อนเราทุกคนเดินเงียบมาก ตัวเราเป็นคนไทย เราอาจไม่ได้รู้สึกว่าเรารู้สึกผิดร่วมไปกับเขา ในฐานะนักศึกษาประวัติศาสตร์คนหนึ่งก็อยากยกกล้องดิจิทัลขึ้นมาถ่ายรูปบันทึก แต่เพื่อนเงียบมาก เงียบจนเราไม่กล้ายกกล้องเลย 

อลิซ ไวเดล หัวหน้าพรรค AfD (ภาพจาก AFP)

คิดว่าคนรุ่นหลังๆ เริ่มห่างไกลจากความรู้สึกผิดเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน

(คิดนาน) ไม่แน่ใจเลย แต่พวกเขายังเรียนประวัติศาสตร์บาดแผลของเยอรมนีในโรงเรียนนะ และคิดว่าคงสืบทอดความรู้สึกที่ต้องรับผิดชอบบางอย่างอยู่เหมือนกัน เพราะเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นแผลใหญ่มากๆ

สหรัฐฯ เข้าไปสนับสนุน AfD อยู่เนืองๆ ทั้ง เจดี แวนซ์ และ อีลอน มัสก์ คิดว่าท่าทีแบบนี้ส่งผลต่อพรรคในแง่บวกหรือลบมากกว่ากัน อย่างแวนซ์เองก็นัดเจอไวเดลก่อนการเลือกตั้งไม่กี่สัปดาห์

พรรคเองคงยินดี เพราะถ้าเราพูดถึงฝ่ายขวาในปัจจุบัน ก็จะพบว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกจัดให้อยู่ในสเปกตรัมทางขวาด้วย แต่ถามว่ามันส่งผลต่อคะแนนเสียงจนขึ้นมาเป็นสองเท่าตัวไหม เราคิดว่าอาจจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เราคิดว่าคนที่ลงคะแนนเสียงให้ AfD ก็ลงคะแนนเสียงเพราะอยากได้ความชัดเจนเรื่องปัญหาผู้อพยพกับผู้ลี้ภัยมากกว่า

แวนซ์ออกมาแสดงความเห็นว่าเยอรมนีและยุโรปกำลังสูญเสียเสรีภาพในการแสดงความเห็น (free speech) คิดว่าอย่างไร เห็นด้วยไหม

(หัวเราะ) ตอบยากจังเลยค่ะ เรารู้สึกว่าตัวพรรคฝ่ายขวาอย่าง AfD และไวเดลคงคิดว่าตัวเองเสียฟรีสปีชมานานแล้ว อย่างน้อยก็ฟรีสปีชเรื่องความรู้สึกผิดของคนเยอรมัน เขาอาจรู้สึกว่าเยอรมนีเสียฟรีสปีชไป หรืออาจมีคนเยอรมันบางคนที่อยากเห็นการจำกัดจำนวนผู้อพยพ หรืออยากเห็นจำนวนการรับผู้อพยพเข้าประเทศที่ชัดเจน แต่อาจไม่กล้าพูดตรงๆ เพราะกลัวถูกมองว่าเป็นขวา 

แต่เรามองไม่เห็นประเด็นอื่นๆ ในยุโรปเรื่องการเสียฟรีสปีชนะคะ 

คิดว่าจากนี้ไป บทบาทพี่ใหญ่ของเยอรมนีในสหภาพยุโรป จะเป็นอย่างไรต่อ 

ลำบากอยู่เหมือนกัน เพราะตอนนี้เยอรมนีดูสูญเสียบทบาทในสหภาพยุโรปไป ไม่ว่าจะเป็นนโยบายด้านไหนเยอรมนีก็ดูไม่ใช่ผู้นำเลย ผู้นำในเวลานี้ดูจะเป็นฝรั่งเศสมากกว่า เอ็มมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron -ประธานาธิบดีฝรั่งเศส) ก็มาแรงมากในเวทีสหภาพยุโรป มีไปพบ โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelenskyy -ประธานาธิบดียูเครน) และบอกว่าเราอาจอยากส่งกองทัพของสหภาพยุโรป หรือตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือยูเครน ซึ่งแม้จะยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมแต่ก็มีการพูดคุยกันแล้ว แต่ก็ให้ภาพว่าฝรั่งเศสถือเป็นผู้นำในสหภาพยุโรปมากกว่า แต่เยอรมนีอาจต้องจัดการเรื่องการเมืองในประเทศตัวเองให้มั่นคงก่อน แล้วจึงกลับมามีบทบาทได้ 

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save