รุ่นน้องคนหนึ่งเก็บเงินซื้อรถ เขาเก็บเงินก้อนได้ราวห้าแสนบาท แต่สิ่งที่เขาทำกลับไม่ใช่การกำเงินห้าแสนบาทไปซื้อรถด้วยเงินสด แม้ว่าในปัจจุบันจะมีรถ (โดยเฉพาะรถไฟฟ้า) ที่ขายในราคาประมาณนั้นและมีคุณภาพดีอยู่หลายยี่ห้อ
สิ่งที่เขาทำคือการใช้เงินก้อนห้าแสนบาทไป ‘ดาวน์’ รถหรูราคาหลายล้านบาท
ตอนแรกๆ เขามีความสุขมากที่ได้ใช้รถหรูคันนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ เขากลับมาบ่นให้ฟังว่ารู้สึกเหมือน ‘ติดกับดัก’ อะไรบางอย่าง เช่น เบื่องานจนอยากลาออกก็ทำไม่ได้ เพราะต้องคอย ‘หาเงิน’ มาผ่อนรถคันนั้น ไม่นับรวมการผ่อนบ้านอีก
เขาบอกผมว่า การผ่อนรถหรูคันนั้น เป็นความผิดพลาดใหญ่อย่างหนึ่งในชีวิตเลย
“ผมดันไปคิดซื้อรถที่ผม ‘ผ่อนได้’ แทนที่จะซื้อรถที่ผม ‘ซื้อได้’ เพราะเห็นว่าใครๆ เขาก็ทำกัน” เขาพูดในทำนองนั้น
คำพูดของเขาน่าสนใจมาก เพราะมันเหมือนกับเขาเลือกมีชีวิตอยู่เพื่อไต่บันไดทางสังคม โดย ‘แลก’ เศรษฐฐานะในอนาคต เอามันมาวางไว้ในปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาอะไรถ้ายังมีรายได้ในระดับเดิมหรือมากกว่าเดิมเข้ามาเรื่อยๆ และถ้าไม่ได้รู้สึกชีวิตในแบบที่เป็นอยู่นี้ไม่ใช่ชีวิตที่พึงปรารถนา และต้องการจะเปลี่ยนแปลงมัน
คนจำนวนมากไม่ได้มีเงินมากมายอะไร ดังนั้นกว่าจะได้ครอบครองอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะของที่มีราคามากหน่อย อย่างรถ บ้าน (หรือในบางรายอาจเป็นมือถือ) จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากการผ่อน ซึ่งในหลายกรณีเป็นเรื่องจำเป็น แต่คำถามก็คือถ้าเราเลือกใช้ชีวิตโดยวางทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่ ‘ฐาน’ ของการผ่อนจนปริ่มศักยภาพของตัวเอง ชีวิตจะเป็นอย่างไร
เพื่อนอีกคนหนึ่งแม้จะมีรายได้สูงมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานทั่วไปในสังคมไทย แต่เธอกลับขับรถอีโคคาร์ราคาไม่กี่แสนบาท โดยซื้อรถด้วยเงินสดเสมอ ไม่ว่าจะเปลี่ยนรถมากี่คันก็ตาม เธอบอกว่าถ้าเลือกได้ ย่อมไม่อยากเลือกจ่ายดอกเบี้ยแพงๆ เพียงเพื่อทำให้ตัวเอง ‘ดูดี’ โดยใช้ ‘เงินในอนาคต’ มาซื้อ เพราะถ้ามองในอีกด้านหนึ่ง การใช้เงินในอนาคต (ผ่านการจ่ายดอกเบี้ยแพงๆ) มาซื้อรถ แท้จริงอาจเป็นการ ‘ขายอิสรภาพ’ ในอนาคตของตัวเธอเองไปก็ได้ เพราะแทนที่จะใช้เงินที่มีเพื่อซื้อสิ่งที่เหมาะกับตัวเองในปัจจุบัน เรากลับใช้เงินก้อนนั้นเป็น ‘ตัวล่อ’ เพื่อก่อหนี้ในระยะยาวแทน และคนจำนวนหนึ่ง (เช่นรุ่นน้องของผมคนที่ว่า) ก็สามารถ ‘เลือกได้’ ที่จะไม่เป็นหนี้
ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่าใครผิดใครถูกนะครับ เพราะชีวิตของแต่ละคนมีเงื่อนไขต่างๆ ไม่เหมือนกัน เมื่อชีวิตเปิดทางให้เราเลือกได้ เราย่อมมีสิทธิที่จะเลือก แต่เลือกแล้วจะเสียใจในภายหลังหรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อย่างไรก็ดี ชีวิตของเพื่อนทั้งสองคนที่เล่ามานี้ ทำให้ผมนึกถึงคำคำหนึ่งขึ้นมา คำนี้อาจไม่ได้ใหม่มากนัก เพราะมีการใช้กันมาตั้งแต่ทศวรรษ 1990s แล้ว แต่ในปัจจุบันเริ่มกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง
คำคำนั้นก็คือ Downshifting
ที่จริงแล้ว รากของคำว่า Downshifting หมายถึงการ ‘เปลี่ยนเกียร์’ คือแทนที่จะใช้เกียร์สูง (ซึ่งหมายถึงการใช้ชีวิตที่มีความเร็วสูง) ก็กลับค่อยๆ ลดเกียร์ให้ต่ำลง รถจึงมีความเร็วลดลง ซึ่งหมายถึงความสิ้นเปลืองพลังงาน การใช้แรงม้าแรงบิดอะไรของเครื่องยนต์ก็จะต่ำลงไปด้วย คนที่มีวิถีชีวิตแบบ Downshifing เลยถูกเรียกว่าเป็น Downshifter หรือ ‘นักลดเกียร์’ ไปโดยปริยาย
ในเชิงการเปรียบเทียบ Downshifting หมายถึงการ ‘ปรับลด’ มาตรฐานการครองชีพหรือการทำงาน แต่ไม่ใช่เพื่อ ‘ลดคุณภาพ’ ของการใช้ชีวิตนะครับ กลับกัน คนเหล่านี้ลดมาตรฐานในการใช้จ่ายลง ไป ‘เพิ่ม’ คุณภาพการมีชีวิตให้สูงขึ้นต่างหาก
มีผู้ที่เรียกคนเหล่านี้อีกแบบว่าเป็นคนที่รับเอา ‘ความเรียบง่าย’ แบบ ‘สมัครใจ’ (Voluntary Simplicity) เข้ามาไว้ในชีวิตของตัวเองในระยะยาวด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้อยากทำตัวเป็นนักบวชหรืออยากเป็น ‘คนดี’ เหนือคนอื่นๆ ในสังคมหรอกนะครับ เพราะสิ่งที่เหล่า Downshifter อยากจะหนีไปให้พ้น คือสิ่งที่เรียกว่า ‘วงจรการทำงานเพื่อจ่ายเงิน’ (Work-and-Spend Cycle) ต่างหากเล่า
ในทางพฤติกรรมสังคม เทรนด์ Downshifting คือแนวโน้มที่คนจำนวนหนึ่ง (ที่มากขึ้นเรื่อยๆ) หันมาเลือกใช้ชีวิต ‘เรียบง่าย’ มากขึ้น แทนที่จะพาตัวเองไปติดอยู่ในสังคมแข่งขันกัน ‘โชว์สถานภาพ’ ไม่ว่าจะเป็นบ้านใหญ่ๆ รถหรูๆ นาฬิกาแพงๆ เสื้อผ้าหน้าผม ฯลฯ คือแข่งกันบริโภค ซึ่งในอีกด้านหนึ่งแปลว่าต้องแข่งกัน ‘ทำมาหากิน’ ด้วย ผลลัพธ์ก็คือคนจำนวนมากต้องไปติดกับดักของสังคมที่แข่งขันกันเอาเป็นเอาตายอย่างที่เรียกว่า Rat Race Society
Downshifting นั้น ดูเผินๆ คล้ายๆ การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย หรือเทรนด์ประเภท ‘ฉันจะเป็นชาวนา’ ที่ฮิตในบ้านเราเมื่อหลายปีก่อนไม่น้อย แต่ที่จริงแล้วมันต่างกันพอสมควรเลย เพราะเทรนด์ประเภท ‘ฉันจะเป็นชาวนา’ หมายถึงการเปลี่ยนตัวเองอย่างฉับพลันทันที ทิ้งชีวิตในเมืองออกไปสู่ชนบท ไปทำนา ทำเกษตร ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่ก็อย่างที่เรารู้กันอยู่ว่าความปรารถนาใน ‘ชีวิตเรียบง่าย’ แบบนั้นไม่ได้ ‘ง่าย’ เอาเลย เพราะโครงสร้างสังคมไทยต้องพึ่งพิงระบบทุนมหาศาล ไปทำเกษตร สุดท้ายก็ต้องหันมาพึ่งยาฆ่าแมลง พึ่งปุ๋ย ทำให้มีต้นทุนมากเสียจนคนจำนวนมากอยู่ไม่ได้ ต้องกลับเข้าเมืองมาหางานทำอยู่ดี
Downshifter หรือ ‘นักลดเกียร์’ จำนวนมาก ไม่ได้เปลี่ยนตัวเองกะทันหันแบบนั้น จำนวนมากยังคงอยู่ในเมือง ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนที่เป็นมาตลอด แต่ ‘ค่อยๆ’ เปลี่ยนแปลงตัวเอง ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น แทนที่จะเลือกผ่อนรถหรูราคาแพง ก็หันมาซื้อรถที่ตัวเอง ‘ซื้อได้’ ในทันที แม้จะเป็นอีโคคาร์ที่ขับไปไหนก็ไม่สามารถใช้ ‘อวด’ สถานภาพใดๆ ได้ แต่คนเหล่านี้กลับอุ่นใจใน ‘ความมั่นคงทางการเงิน’ ซึ่งเป็นฐานรองรับชีวิตมากกว่า
แนวคิดเรื่อง Downshifter นั้นปรากฏมาตั้งแต่ทศวรรษ 1990s (ซึ่งเป็นยุคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง) โดยเฉพาะในสังคมอุตสาหกรรมหรือประเทศพัฒนาแล้ว อย่างอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย หรือกระทั่งในรัสเซีย โดย ‘นักลดเกียร์’ เหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การ ‘ทำงานน้อยลง’ ซึ่งถ้าต้องการทำให้สำเร็จ ก็แปลว่าพวกเขาต้อง ‘บริโภคให้น้อยลง’ ด้วย โดยหันมาให้ความสำคัญกับชีวิตที่มีสมดุลมากขึ้น
แน่นอน แนวคิดเรื่อง Downshifting นี้ รัฐใดๆ ที่มีลักษณะเป็น ‘รัฐพ่อค้า’ ย่อมไม่ปลื้ม เพราะรัฐพ่อค้าย่อมมีนิพพานของตัวเองอยู่บนการเพิ่มผลิตภาพในนามของ GDP ให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้นการเป็น ‘นักลดเกียร์’ จึงอาจถูกมองจากรัฐว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่มีศักยภาพ หรือแม้กระทั่งถูกมองว่าเป็นคนเกียจคร้าน หรือเป็น ‘เนื้อร้าย’ ของสังคมไปได้เลย เพราะเหมือนกับคนเหล่านี้ได้ ‘ละวาง’ เป้าหมายร่วมของรัฐคือการเติบโตทางเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ ไป
แต่คำถามก็คือถ้าเรามีผลิตภาพหรือ Productivity เป็นนิพพานเพื่อนำไปสู่ GDP ที่สูงขึ้นแล้วละก็ การเป็นนักลดเกียร์มันทำให้ผลิตภาพลดต่ำลงด้วยจริงหรือ?
คำตอบคือ อาจไม่เป็นจริงดังนั้นเสมอไปหรอกครับ
เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยการ ‘แข่งขัน’ เพื่อ ‘โอ้อวด’ (อย่างที่เป็นอยู่) เราจะเห็นได้เลยว่าคนจำนวนมากทำงานหนัก แต่ก็รู้อยู่แก่ใจนะครับว่าการทำงานหนักเหล่านั้นไม่ค่อยเติมเต็ม ‘ความหมาย’ หรือ ‘เป้าหมาย’ แห่งชีวิตของตัวเองมากนัก โดยเฉพาะในสังคมไทยที่มีลักษณะ ‘ชนชั้นนิยม’ สูง บ่อยครั้งเราเลยกลายเป็นคนทำงานหนักเพียงเพื่อตอบสนองคนที่อยู่เหนือกว่าเท่านั้น หลายคนจึงยินยอม ‘แบก’ ผู้มีอำนาจเหนือกว่าตัวเอง เพียงเพราะเขาเจือจานผลประโยชน์บางส่วนมาให้ เช่นยอมทำตามคำสั่งของลูกค้าที่มีเงินทุกอย่างราวกับเห็นลูกค้าเป็นพระเจ้า ซึ่งเมื่อทำไปนานๆ ก็อาจเกิดสภาวะ Burnout ขึ้นมา ก็หวังแค่ว่าสักวันพอมีเงินมากพอก็จะหยุด แต่แล้วก็พบว่าตัวเองหยุดไม่ได้ เพราะในอีกด้านก็บริโภคมากเสียจนการหยุดหาเงินอาจทำให้ชีวิตพังทลายลง
กลับกัน มีงานวิจัยจำนวนมากที่บ่งชี้ว่า ผู้คนในประเทศที่มีสมดุลในชีวิตมากกว่า เช่นมี ‘วันลา’ (อย่างถูกต้องตามกฎหมาย) มากกว่า มักเป็นประเทศที่สร้างผลิตภาพได้มากกว่า ซึ่งเป็นไปได้ด้วยหลายเหตุผล เช่น คนเหล่านี้มักทำงานอย่างมีเป้าหมายในชีวิต เห็นคุณค่าใน ‘เนื้องาน’ ของตัวเองจริงๆ และเมื่อไม่ได้เสียเวลาไปกับการหาเงินเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ก็สามารถทำงานสร้างสรรค์ได้มากกว่า
เพราะฉะนั้น การเป็น ‘นักลดเกียร์ชีวิต’ จึงไม่ใช่การ ‘ละวาง’ ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหนีเข้าป่าไปเป็น ‘สันยาสี’ ทั้งเนื้อทั้งตัว ทว่าคือการ ‘เลือก’ ละวางในสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่ยังทำงานที่มีความหมาย ไม่ได้ทำงานเพื่อแข่งขันกับคนอื่นหรือกดดันตัวเองมากเกินไป แต่ทำงานเพราะต้องการ ‘สร้างคุณค่า’ ที่แท้จริงขึ้นมา
แล้วผลิตภาพก็จะกลายเป็นเพียง ‘ผลพลอยได้’ ไม่ใช่ ‘เป้า’ ที่ต้องวิ่งรี่ตามมันไปจนแทบหมดสภาพความเป็นมนุษย์!
จะว่าไป การเป็น Downshifter นั้น อาจเรียกได้ว่าเป็น ‘สันยาสี’ แบบใหม่ก็น่าจะได้ เพราะในความหมายดั้งเดิมของสันยาสีนั้น มีลักษณะที่ออกจะ ‘สุดโต่ง’ อยู่สักหน่อย นั่นคือการ ‘สละชีวิตทางโลก’ อย่างสิ้นเชิงเพื่อไปแสวงหาความจริงและความหลุดพ้น (หรือโมกษะ) ซึ่งตามแนวคิดแบบพราหมณ์-ฮินดู มักจะเกิดขึ้นในขั้นตอนสุดท้ายของชีวิต แต่การเป็น ‘สันยาสียุคใหม่’ นั้น เราสามารถรับเอาแนวคิดดั้งเดิมของสันยาสีมาปรับใช้กับวิถีชีวิตในเมืองใหญ่ได้ พบว่าแนวคิดการเป็น ‘สันยาสีในเมือง’ (แทนที่จะออกสู่ป่า) หรือการแสวงหาความสงบภายในและความหมายของชีวิตโดยไม่ต้องละทิ้งชีวิตในเมือง กำลังได้รับความสนใจในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในอเมริกา อังกฤษ จีน อินเดีย และในยุโรป
แนวคิดหลักของสันยาสี คือการไม่ ‘ยึดติด’ กับเงินทอง อำนาจ ชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งครอบครัว แต่สันยาสีในเมืองหรือ Downshifters ไม่จำเป็นต้องไปไกลถึงขนาดเปลี่ยนแปลงรูปแบบชีวิตของตัวเองขนาดนั้นก็ได้ แค่ยึดเพียง ‘หลักคิด’ เรื่องของการไม่ยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ให้มั่น โดยใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่สะสมของเกินจำเป็น ลดการพึ่งพาเทคโนโลยี ใช้เวลากับตัวเองมากขึ้น รวมทั้งใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่เร่งรีบตามกระแสโลก และไม่ปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจหรือโซเชียลมีเดียครอบงำ แต่ที่สำคัญก็คือต้องไม่เป็นสันยาสีประเภท Ignorant หรือละเลยเพิกเฉยต่อสังคมด้วย
พูดอีกอย่างหนึ่งคือสันยาสียุคใหม่สามารถแสวงหาความหมายของชีวิตได้โดยไม่ต้องปฏิเสธโลก และแทนที่จะละทิ้งทุกอย่าง อาจเลือก ‘ลด’ การพึ่งพาสิ่งที่อยู่ภายนอก เช่น ลดการเสพสื่อดิจิทัล ลดการเสพข้อมูลที่ไม่จำเป็น เพื่อให้ยังอยู่ในสังคมแต่ไม่ถูกครอบงำ และไม่จำเป็นต้องยึดติดกับอุดมการณ์ใดอุดมการณ์หนึ่ง แต่มีความสามารถในการวิเคราะห์และเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ โดยอาจมีเป้าหมายอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงสังคมได้ด้วยซ้ำ
ซึ่งก็แน่นอนว่าที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย!
นั่นเพราะเราอาศัยอยู่ในโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรา ‘บีบ’ ให้เราต้อง ‘เร่งเกียร์’ แทนที่จะ ‘ลดเกียร์’ การจะมานั่งทำเป็นช้าเชือนสโลว์ไลฟ์อยู่ในท่ามกลางที่ทำงานอันเร่งรีบย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะโลกปัจจุบันนั้นถูกออกแบบมาให้เรา ‘ติดยึด’ อยู่กับมัน ทั้งระบบเศรษฐกิจ ระบบวัฒนธรรม ระบบสังคม ซึ่งถ้าเราทำตาม มันจะเกิดผลลึกลงไปถึงการทำงานของสมอง เพราะหากเราได้คำชมว่าขับรถหรู เงินเดือนสูง ฯลฯ สมองของเราจะให้รางวัลตัวเองด้วยสารสื่อประสาทบางอย่าง เราจึงรู้สึกว่าต้อง ‘เสพ’ มันตลอดเวลา
แต่ถ้าเรารู้ว่าเป้าหมายในชีวิตที่เราต้องการคืออะไร ต่อให้ภายนอกทำงานอย่างเร่งรีบรวดเร็ว เราก็สามารถมี ‘ภายใน’ ที่สงบนิ่งและเข้าใจทั้งตัวเองและสังคมภายนอกได้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันขัดแย้งกับการอบรมบ่มเพาะมาตลอชีวิตให้ต้องไขว่คว้าและแข่งขัน
การพยายามมี ‘เสรีภาพภายใน’ ในโลกที่ไม่เคยต้องการให้เรามีเสรีภาพเลยนั้น ย่อมเป็นเรื่องยาก
แต่ถึงจะยาก ก็ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ เพราะเราไม่จำเป็นต้อง ‘เปลี่ยนตัวเอง’ ในแบบที่ต่อต้านขัดแย้งกับระบบเหล่านั้น เราสามารถ ‘สร้างระบบ’ ซ้อนเข้าไปอีกที เป็นระบบที่ช่วยให้เราอยู่กับโลกนี้ได้โดยไม่ถูกมันกลืนกิน เช่น อย่าพยายามตัดขาด แต่ให้ค่อยๆ ลดการพึ่งพา, การปรับวิธีคิดและวิธีทำงานให้สมดุลมากขึ้นทีละนิด, การสร้าง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้กับตัวเอง เช่น พื้นที่สงบใจในยามเช้าหรือขณะเดินทางไปทำงาน รวมถึงการ ‘ยอมรับ’ ว่าตัวคุณไม่มีทางทำทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบในคราวเดียวหรอก แต่เราสามารถค่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองได้
ที่สำคัญคือต้องมีความรู้ทางการเงินหรือ Financial Literacy ไม่ใช่เพื่อเป้าหมายจะร่ำรวย แต่เพื่อให้คุณสามารถ ‘เอาชนะ’ กลไกที่เป็นอยู่ เช่น ตั้งกองทุนเล็กๆ ของตัวเอง เป็น Freedom Fund และศึกษาเรื่องการออมเพื่อที่วันหนึ่งคุณจะมีอิสรภาพที่จะมีชีวิตอยู่ได้จริงๆ เพราะไม่มีใครสามารถหนีจากโลกทุนนิยมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ เว้นแต่คุณจะออกไปอยู่ในป่าหรือกลายเป็นนักบวชแบบสันยาสีไปเลย