ภาษาสูญหาย หลากหลายน้อยลง? อนาคตภาษามนุษยชาติกับการสร้างหอคอยบาเบลด้วย ‘วุ้นแปลภาษา’

ทางแยกในเก้าเดือนแรกและตำนานหอคอยบาเบล

ในวินาทีแรกที่มนุษย์เกิดและส่งเสียงร้อง ‘อุแว้’ ในห้องคลอด ไม่ว่าเด็กที่ลอนดอน เตหะราน โตเกียว หรือกรุงเทพฯ พวกเขาล้วนส่งเสียงร้องเหมือนกัน – ในภาษาเขียน อาจแสดงเสียงร้องนี้ด้วยตัวอักษรคนละแบบ แต่เสียงที่ออกมาจากลำคอของเด็กแรกเกิดทุกคนนั้นคล้ายกันอย่างน่าอัศจรรย์

เสียงร้องแรกเกิดอันเป็นสากลนี้มีข้อพิสูจน์เป็นงานวิจัย เมื่อมีการทดลองอัดเสียงร้องของเด็กทารกในตอนที่พวกเขาร้องเพราะหิว เจ็บ และพึงพอใจในแถบต่างๆ ทั่วโลก แล้วจึงค่อยนำเทปมาสลับ ก่อนนำไปให้คนฟังทายว่า “บอกได้ไหมว่าเด็กคนไหนคือเด็กประเทศอะไร” คำตอบคือ “บอกไม่ได้”

เสียงร้องของทารกทั่วโลกจะยังฟังดูเหมือนกันจนกระทั่งพวกเขาอายุได้ประมาณสามเดือน แล้วความแตกต่างจะค่อยๆ เผยตัวขึ้นหลังจากทารกเหล่านี้ซึมซับเอา ‘ภาษาแม่’ จากคนรอบตัวที่ค่อยๆ พูดกับพวกเขา จนเมื่อทารกอายุราวเก้าเดือน ความแตกต่างด้านภาษาระหว่างเด็กลอนดอนกับกรุงเทพฯ ก็จะปรากฏให้เห็นเด่นชัด เมื่อเด็กทารกเริ่มออก ‘กลุ่มเสียง’ ที่ดูคล้าย ‘ภาษา’ ออกมา

ในหนังสือ A Little Book of Language โดยเดวิด คริสตัล (David Crystal) อธิบายไว้ว่า สาเหตุที่ทารกพัฒนาจากเสียงร้องอ้อแอ้จนกลายเป็นสิ่งที่ดูเหมือน ‘คำพูดจริงๆ’ มาจากการเรียนรู้ลักษณะสำคัญที่สุดของภาษาสองประการ คือ จังหวะ (rhythm) และทำนอง (intonation) จังหวะคือบีตสั้น-ยาวของภาษา ส่วนทำนองคือเมโลดี้หรือดนตรีของภาษา ซึ่งหมายถึงการพูดขึ้นเสียงสูงหรือทอดเสียงลงต่ำ

จังหวะและทำนองที่แตกต่างนี้เป็นมรดกที่พวกเรารับเอามาจากบรรพบุรุษหลายพันปีก่อน พัฒนาจนกลายมาเป็นภาษาที่เราใช้ แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เด็กไทยจะเริ่มจดจำเสียงของวรรณยุกต์ได้ และท้ายที่สุดพวกเขาจะแยกออกว่า ‘สวย’ กับ ‘ซวย’ ต่างกันอย่างไร ในขณะที่เด็กลอนดอนอาจแทบแยกความแตกต่างเล็กน้อยนี้ไม่ได้

เมื่อผู้คนเริ่มสื่อสารด้วย ‘คลื่นเสียง’ ที่แตกต่างกัน สิ่งนี้จึงค่อยๆ ถ่างแยกผู้คนออกจากกัน เสียงที่เกิดจากอวัยวะในการออกเสียงอย่างปุ่มเหงือก ริมฝีปาก หรือฟัน ประกอบกับการให้ความหมายต่อเสียงและระบบไวยากรณ์ ทำให้มนุษย์ที่พูดคนละภาษาจากต่างซีกโลกมีบุคลิกและโลกทัศน์แตกต่างกัน หลายครั้งนำมาสู่การแบ่งแยกชิงชังจนกลายเป็นสงคราม – ไม่ใช่แค่สีของดวงตา สีผิว หรือความหยักของเส้นผมเท่านั้น แต่ภาษาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด ‘พวกเขา-พวกเรา’ ในหมู่มนุษยชาติ ขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงถึง ‘ความอิสระของโลกทัศน์’ ที่มีหลากหลายบนโลกใบนี้ด้วย

เรื่อง ‘ทางแยก’ ของภาษาเชื่อมโยงกับตำนานการสร้างหอคอยบาเบล มีเรื่องเล่าขานว่าในนครโบราณแห่งบาบิโลน มีหอคอยสูงตระหง่านเสียดฟ้า เหล่ามนุษย์มุ่งหมายจะสร้างหอคอยนี้ให้ทอดสูงขึ้นไปถึงสวรรค์ แต่เมื่อพระเจ้าเห็นมนุษย์กำลังทำสิ่งนั้นจึงออกมาหยุดยั้ง และเห็นว่า ‘การพูดภาษาเดียวกัน’ จะเป็นพลังของมนุษย์ที่ทำให้ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้ เพราะเหตุนี้เอง พระเจ้าจึงทำให้มนุษย์กระจัดกระจายไปทั่วโลกและพูดคนละภาษา เพื่อทำให้สื่อสารกันไม่ได้จนสร้างหอคอยไม่สำเร็จ

มนุษย์หลอมรวมและแบ่งแยกกันด้วยภาษา สร้างเรื่องเล่าและระบบความรู้เพื่อดึงหมู่คนให้ทำสิ่งใดร่วมกัน ขณะเดียวกันก็สร้างความแตกต่าง เข้ารหัสความลับไว้ด้วยภาษาเฉพาะกลุ่มจนเกิดเป็น ‘ความเป็นอื่น’ ต่อกันในท้ายที่สุด

คำถามคือ ‘สวรรค์’ ที่ว่านั้นคือสิ่งใดกันแน่ มนุษย์จะตกอยู่ใต้ข้อกำหนดของพระเจ้าจนไม่อาจสร้างหอคอยบาเบลได้ตลอดไปหรือไม่ เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นตลอดช่วงการวิวัฒน์ของมนุษย์จะทำให้เราทลายข้อจำกัดนี้ลงได้ไหม หรือเทคโนโลยีจะสร้างข้อจำกัดใหม่ขึ้นมาเองหรือเปล่า

เราอาจต้องเริ่มกลับไปที่จุดเริ่มต้น นั่นคือจากนับหนึ่งสู่ความแตกต่างของภาษา

จาก 1 สู่ 7,000

จาก 7,000 สู่สิ่งที่มองไม่เห็น

อาจเริ่มต้นจากที่ไหนสักแห่ง ที่มนุษย์อยากส่งเสียงออกมาจากลำคอเพื่อสื่อสารเรื่องราวอันซับซ้อนจากสมอง อยากบอกข้อมูลที่ละเอียดมากกว่าการร้องและโบกมือเพื่อบอกว่าข้างหน้าอันตราย อยากเล่าความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนให้ได้ออกมาอย่างใจคิด และนั่นเองอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘ภาษา’ ที่ตอนนี้ไม่มีใครทันเห็นวินาทีแรกที่มันเกิดขึ้น

ตลอดการเดินทางของมนุษย์กว่าแสนปี มนุษย์วิวัฒน์ภาษาจนสามารถสื่อสารได้อย่างยืดหยุ่น และที่สำคัญคือสามารถถ่ายทอด ‘สิ่งที่มองไม่เห็น’ ออกมาผ่านรูปประโยคได้ด้วย ในหนังสือ Sapiens: A Brief History of Humankind โดยยูวัล โนอาห์ แฮรารี (Yuval Noah Harari) ระบุว่าโฮโมเซเปียนส์ครอบครอง ‘ทักษะภาษาใหม่’ ที่แตกต่างจากลิงหรือสัตว์อื่นๆ เมื่อประมาณ 70,000 ปีที่แล้ว ในขณะที่หนังสือ A Little Book of Language ระบุว่าช่วง 8,000 ปีก่อนคริสตกาล (ราว 10,000 ปีที่แล้ว) มีหลักฐานชัดเจนว่ามนุษย์มีความสามารถด้านภาษาแล้ว จากร่องรอยแรกๆ ของการเขียนในส่วนต่างๆ ของโลก

เมื่อการพูดเป็นเพียงการส่งคลื่นเสียงในอากาศ จึงไม่มีหลักฐานหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน (แต่เราอนุมานการมีอยู่ของภาษาได้จากสิ่งก่อสร้างในอดีตที่จำเป็นต้องใช้การสื่อสารอย่างเป็นระบบจึงจะทำสำเร็จได้) ภาษาเขียนจึงเป็นหลักฐานยืนยันการมีอยู่ของภาษา พูดให้เจาะจงกว่านั้นคือ ‘ภาษาที่เป็นระบบ’

เท่าที่หลักฐานบอกให้เรารู้ ระบบการเขียนน่าจะเริ่มขึ้นเมื่อราว 3,000 ปีก่อนคริสตกาล พบการเขียนคูนิฟอร์มยุคต้นๆ ที่ซากเมืองอุรุกโบราณบนชายฝั่งแม่น้ำยูเฟรทีสในประเทศอิรักปัจจุบัน คูนิฟอร์มหรืออักษรลิ่มถูกนับเป็นระบบการเขียนที่แท้จริงระบบแรกของโลก เมื่อมีการขีดเขียนเครื่องหมายบนแผ่นดินเหนียวเอาไว้ระบุตัวเลขและประเภทผลผลิต ก่อนจะมีการพัฒนาภาษาให้เป็นระบบอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงพันปี หลังจากนั้นก็มีการพัฒนารูปแบบภาษาเขียนในหลายพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งตลอดการเติบโตและแตกแขนงของภาษา หลายพื้นที่ใช้เพียงภาษาพูดโดยไม่มีภาษาเขียนแต่อย่างใด

ในปัจจุบัน แม้ไม่สามารถระบุเป็นตัวเลขที่แน่ชัดได้ แต่ประเมินว่ามีกว่า 7,000 ภาษาทั่วโลกที่มีคนใช้อยู่ ขณะเดียวกัน ด้วยความเปราะบางของ ‘คลื่นเสียงในอากาศ’ ทำให้ตอนนี้มีภาษาที่ตายไปทุกๆ 2-3 สัปดาห์ เพราะหากไม่มีตัวอักษรจดบันทึกไว้ ภาษาก็ย่อมล้มหายตายจากตามมนุษย์คนสุดท้ายที่ครอบครองมัน

ประเด็นเรื่องการตายของภาษาเกี่ยวเนื่องกับ ‘สุขภาพ’ ของภาษาอย่างแยกไม่ออก ภาษาที่สุขภาพดีคือภาษาที่มีคนใช้จำนวนมาก มีการกำหนดทั้งรูปแบบภาษาเขียน ภาษาพูด และภาษามือ และมีการส่งต่อภาษาสู่ลูกหลาน ภาษาที่เราคุ้นหูกันเช่น อังกฤษ จีน หรือสเปน ล้วนเป็นภาษาที่มีสุขภาพดี ปัจจุบันมีคนใช้อยู่เกินร้อยล้านไปจนถึงพันล้านคนทั่วโลก ในทางกลับกันก็ยังมีอีกกว่าสิบภาษาที่เหลือคนพูดอยู่เพียงหลักหน่วย

สำหรับประเทศไทย แม้หันไปทางไหนก็เจอแต่คนพูดภาษาไทย แต่ในพื้นที่ทั่วประเทศไทยตอนนี้มีภาษามากกว่า 70 ภาษา และมี 15 ภาษาที่อยู่ในภาวะวิกฤตใกล้สูญ เช่น ภาษาซัมเร ภาษามานิ ภาษาญัฮกุร ภาษาขมุ เป็นต้น ส่วนมากเป็นภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีคนใช้น้อย ไม่ถูกส่งต่อสู่รุ่นลูกหลาน รวมถึงถูกบังคับให้ใช้ภาษาไทยโดยปริยายด้วยสภาพสังคมและปัจจัยในการเข้าถึงฐานะทางเศรษฐกิจที่ดี

การที่ภาษาใดภาษาหนึ่งจะมีคนพูดมากหรือน้อยนั้น มีความสอดคล้องกับอำนาจทางวัฒนธรรมและการเมือง พูดอีกแง่หนึ่ง คือท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายนี้ พลังอำนาจของแต่ละภาษาไม่เท่ากัน เรื่องราวของอำนาจทางภาษาปรากฏให้เห็นตลอดช่วงประวัติศาสตร์ เช่น คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องรับเอาภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสในช่วงล่าอาณานิคม หรือชนเผ่าพื้นเมืองในอเมริกาต้องพูดอังกฤษหรือสเปนเมื่อชาวยุโรปล่องเรือมาถึงแผ่นดินของพวกเขา

กาลเวลาผ่าน อำนาจทางภาษายังคงสอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและการเป็น ‘มหาอำนาจ’ ของแต่ละประเทศ การรู้ภาษาใหม่นอกเหนือจากภาษาแม่สามารถมอบชีวิตที่ดีขึ้นได้ เช่น กลุ่มชนเผ่าที่รู้ภาษาหลักที่ใช้ในอินเดียหรืออินโดนีเซีย หรือคนไทยที่รู้ภาษาอังกฤษย่อมสามารถเข้าถึงโอกาสในการเรียนหนังสือและทำงานมากกว่าคนไทยที่รู้เพียงภาษาเดียว ในขณะที่คนบางส่วนในพื้นที่ภาคอีสานที่พูดและฟังภาษาลาวได้อย่างคล่องแคล่ว กลับไม่อาจเอาความสามารถ ‘bilingual’ นี้ไปยกระดับชีวิตได้ เพราะประเทศลาวไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจ เป็นต้น

ในทางกลับกัน คนจากประเทศเพื่อนบ้านของไทย เช่น เมียนมา ลาว กัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในไทย ก็มี ‘กำแพงภาษา’ ที่หากใครข้ามไปได้ก็จะทำให้มีโอกาสในการเข้าถึงงานที่ใช้ทักษะสูงขึ้น ไม่ใช่เป็นเพียงแรงงานไร้ทักษะได้ค่าแรงถูกเท่านั้น

ประเด็นเหล่านี้สะท้อนผ่านการตัดสินใจจ้างงานของนายจ้างที่มักจ้างคนลาวให้ทำงานบริการหรือต้องพูดคุยกับคนไทยมากกว่า เพราะภาษาลาวกับไทยมีความใกล้เคียงกันมาก รวมถึงคนลาวส่วนมากรู้ภาษาไทยในระดับดีจากการรับสื่อไทยมาโดยตลอด

ไม่ใช่เพียงเรื่องโอกาสในการทำงานเท่านั้น แต่โอกาสในการรับสื่อก็แตกต่างเช่นกัน ทันทีที่ใครรู้ภาษาอังกฤษ หนังสือที่อ่านได้จะขยายจากหมื่นเล่มเป็นล้านเล่มในทันที และถ้าใครรู้ภาษาญี่ปุ่นอีกหนึ่งภาษาก็จะเพิ่มหนังสือที่อ่านได้ไปอีกล้านเล่ม เป็นอย่างนี้ไปไม่รู้จบตามจำนวนภาษาที่รู้เพิ่มขึ้น – กำแพงภาษาที่พูดถึงจึงไม่ใช่เพียงเรื่องนามธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นรูปธรรมที่ปรากฏผ่านสื่อที่เราสามารถ ‘ถอดรหัส’ ได้ด้วย

ความยากก็คือการเรียนรู้ภาษาใหม่ดูไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน คำถามก็คือจะเป็นอย่างไร ถ้าเทคโนโลยีทำให้การ ‘ไม่รู้ภาษา’ ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป หรือในทางกลับกันเทคโนโลยีจะกลายเป็นอุปสรรคของความหลากหลายเสียเอง?

วุ้นแปลภาษาจะมาในหน้าตาแบบไหน

หากคุณไปเที่ยวญี่ปุ่น แล้วไม่มีใครพูดภาษาเดียวกันกับคุณเลย (ในกรณีที่คนญี่ปุ่นไม่พูดภาษาอังกฤษ ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง) คงไม่ยากอะไร ถ้าคุณอยากจะสั่งราเมนสักชามด้วยการชี้ไปที่รูปภาพ แต่ทันทีที่คุณอยากจะคุยกับพ่อครัวถึงวิธีการเคี่ยวน้ำซุปหรือประวัติศาสตร์ของร้านแห่งนี้ การสื่อสารของคุณทั้งคู่จะล้มเหลวทันที นั่นเป็นเพราะเราต่างไม่มีความสามารถมากพอที่จะ ‘ถอดรหัส’ ภาษาที่แต่ละคนใช้เพื่อคุยเรื่องที่ซับซ้อนแบบนั้น

มีความพยายามแก้ไขปัญหานี้ (ในจินตนาการ) มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 โดยสองนักเขียนการ์ตูนชาวญี่ปุ่นนามปากกาว่า ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะ ผู้เขียนโดราเอมอน เมื่อพวกเขาสร้าง ‘วุ้นแปลภาษา’ ออกมาจากกระเป๋าโลกอนาคตของโดราเอมอน ทันทีที่คุณกินวุ้นเข้าไป คุณจะสามารถพูดและฟังภาษาที่คุณไม่เคยมีความสามารถมาก่อนได้ และหลังจากนั้นเรื่องราวมหัศจรรย์และการสื่อสารแบบไร้รอยต่อก็เกิดขึ้น เมื่อมองที่รายละเอียด โดราเอมอนมาจากอนาคตในคริสต์ศตวรรษที่ 22 ซึ่งเรายังเดินไปไม่ถึง ดังนั้นจึงยังสรุปไม่ได้ว่า ‘วุ้นแปลภาษา’ ที่ว่านั้นจะเกิดขึ้นจริงได้ไหม

แต่วุ้นแปลภาษาก็ถูกสร้างขึ้นอีกครั้งในการ์ตูนเรื่อง ขังดวลแข้ง (Blue Lock) ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2018 เมื่อเหล่านักฟุตบอลญี่ปุ่นต้องเข้าแคมป์เตะฟุตบอลกับนักฟุตบอลนานาชาติจากอังกฤษ บราซิล สเปน และเยอรมนี แต่ครั้งนี้วุ้นแปลภาษามาในระบบหูฟังที่จะแปลงเสียงที่ทุกคนพูดให้กลายเป็นภาษาที่ผู้ฟังเข้าใจ แม้ว่าในความเป็นจริงเหล่านักฟุตบอลจะต่างคนต่างพูดภาษาบ้านเกิดของตัวเองก็ตาม

หากกลับมามองที่โลกจริง เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ใช่เรื่อง ‘เหนือจริง’ เลยแม้แต่น้อย เพราะมีสิ่งที่ใกล้เคียง ‘ล่ามพกพา’ อย่าง Google Translate ที่เราสามารถพูดสิ่งที่อยากสื่อสารลงไปในแอปฯ หลังจากนั้นแอปฯ ก็จะปรากฏออกมาเป็นเสียงหรือตัวอักษรให้อีกฝ่ายอ่าน แม้จะยังแปลได้ไม่ค่อยแม่นยำนัก แต่หลายครั้งที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้ต่อราคาสินค้ากับแม่ค้าในต่างประเทศได้อย่างมืออาชีพ ไปจนถึงการถามทาง ขอความช่วยเหลือ หรือขอให้แนะนำเมนูอาหารที่อร่อยได้

ในขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้แปลเรื่องยากๆ ยาวๆ จากหลายภาษาได้ดีขึ้น ทลายข้อจำกัดในการอ่านภาษาที่ไม่เข้าใจหรือไม่เคยผ่านตามาก่อนได้ แม้ในปัจจุบันจะยังทำได้ไม่ดีเลิศก็ตาม

ด้วยการมาของเทคโนโลยีเหล่านี้ ทำให้กำแพงภาษาค่อยๆ ถูกทลายลง โดยไม่จำเป็นต้องเรียน ‘ภาษากลาง’ ที่โลกกำหนดไว้ แต่สามารถข้ามจากภาษาแม่ของทั้งสองฝ่ายได้เลย ในแง่หนึ่งเทคโนโลยีจึงเป็นการทำลาย ‘อำนาจของภาษา’ ที่มาพร้อมกับอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจได้ แต่ในด้านกลับ เทคโนโลยีก็อาจเป็นตัวรวมศูนย์อำนาจของภาษาเอง เพราะอาจมีเพียงไม่กี่ภาษาที่ถูกให้ความสำคัญ จนทำให้ภาษาเล็กๆ ล้มหายตายจากไปอย่างไม่ย้อนคืน คำถามคือในอนาคตถัดจากนี้ เทคโนโลยีจะเข้ามาเปลี่ยนแปลง ‘กำแพง’ เหล่านี้ในรูปแบบไหน

วิโอริกา มาเรียน (Viorica Marian) ผู้เขียน The Power of Language ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์จิตวิทยาให้สัมภาษณ์กับทาง 101 ในประเด็นอนาคตของภาษาและการเปลี่ยนแปลงจากปัญญาประดิษฐ์เอาไว้ว่า

“ที่ผ่านมาหลายทศวรรษเคยมีความพยายามผลักดันการใช้ภาษาที่ไม่ค่อยแพร่หลาย อย่างเอสเปรันโต (ภาษาประดิษฐ์ในกลุ่มภาษาช่วยในการสื่อสารสากล เป็นหนึ่งในภาษาที่มีผู้ใช้น้อยกลุ่มหนึ่งของโลก) และอีกบางภาษา แต่สุดท้ายภาษาเหล่านี้ก็ยังไม่ถูกใช้อย่างกว้างขวางเสียที ทุกวันนี้มีเพียงไม่กี่ภาษาหลักที่ครอบงำโลกและฉันคิดว่าแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไปและจะยิ่งรุนแรงขึ้นจากการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์และโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model-LLM)”

นอกจากนี้ มาเรียนยังกล่าวถึงประเด็นของภาษาที่มีคนใช้น้อยด้วยว่ากำลังจะตายเร็วขึ้น

“ภาษาจำนวนมากกำลังสูญหายไปในทุกๆ ปี และในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้าภาษาที่มีคนพูดน้อยจะตายเร็วขึ้นมาก เอไอเข้ามาเร่งกระบวนการนี้ให้เร็วขึ้น เพราะมันให้ความสำคัญกับภาษาหลักแค่ไม่กี่ภาษา แต่ฉันเชื่อว่าการรู้และพูดได้หลายภาษายังคงเป็นประโยชน์ต่อความหลากหลายทางความคิดและสติปัญญาของมนุษย์” มาเรียนกล่าว

เมื่อถามถึงผลกระทบของเอไอว่าส่งผลทำให้คนไม่อยากเรียนภาษามากขึ้นหรือไม่ มาเรียนตอบว่า “ในบางกรณีใช่ แต่ในบางกรณีก็ไม่ใช่ เอไออาจช่วยให้การเรียนรู้ภาษาใหม่ง่ายขึ้นเพราะมีแอปฯ​ และเทคโนโลยีมากมายที่ช่วยในการเรียน แต่ในขณะเดียวกัน คนอาจไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องเรียนภาษาอื่นเพื่อที่จะเอาไปใช้งานบางอย่าง เช่นในการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ เพราะคุณสามารถพึ่งพาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการแปลภาษาได้ ดังนั้น ในบางด้าน เอไออาจทำให้คนไม่อยากเรียนภาษาเพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็น แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันอาจกระตุ้นให้คนอยากเรียนมากขึ้น เพราะเอไอลดกำแพงในการเรียนรู้”

ถึงที่สุดแล้วมาเรียนมองว่า แรงจูงใจในการเรียนภาษาไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับเอไอเท่านั้น แต่ยังมีเหตุผลอีกมากมายที่ทำให้คนอยากเรียนภาษาอื่น

“คนมักพูดกันว่า ‘ไม่ต้องเรียนภาษาแล้ว ใช้เอไอก็พอ’ แต่เอไอแปลได้เพียงความหมายพื้นฐานสำหรับการใช้งานทั่วไปเท่านั้น มันอาจช่วยให้คุณสื่อสารจากจุดเอไปยังจุดบีได้โดยตรงและมีเหตุผล แต่การทำแบบนั้นไม่เหมือนประสบการณ์การใช้ภาษาแบบมนุษย์จริงๆ การพูดภาษาได้คล่องระดับภาษาแม่ช่วยให้เกิดความรุ่มรวย ความละเอียดอ่อน และความลึกซึ้งทางอารมณ์ที่เอไอไม่สามารถถ่ายทอดได้ คุณจะมีคลังคำมากขึ้นและรุ่มรวยทางความคิดมากขึ้นเมื่อคุณเข้าใจภาษานั้นๆ อย่างลึกซึ้ง”

เรื่อง ‘ความเข้าใจภาษาอย่างลึกซึ้ง’ นับเป็นสมบัติของมนุษย์ อยู่ในเนื้อตัวของผู้คน และสร้างโลกทัศน์เฉพาะของแต่ละพื้นที่เอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าเอไอในปัจจุบันยังห่างไกลจากความลึกซึ้งนั้น แต่เอไอก็พัฒนาขึ้นทุกวันและภาษาที่มีคนพูดน้อยก็กำลังล้มหายตายจากลงไปทุกวัน การเติบโตที่สวนทางนี้อาจส่งผลต่อการอนุรักษ์ภาษาของคนหลายกลุ่ม มาเรียนกล่าวถึงประเด็นนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า

“พูดยากว่าเราจะอนุรักษ์ทุกภาษาไว้ได้หรือไม่ หลายภาษาอาจคงอยู่เพียงในพิพิธภัณฑ์ทางภาษาหรือถูกบันทึกเพื่ออนุรักษ์ไว้สำหรับอนาคต ซึ่งถือเป็นการสูญเสีย เพราะแต่ละภาษามีอิทธิพลต่อวิธีคิดของมนุษย์ เมื่อคุณกำจัดภาษาใดออกไป นั่นหมายความว่าคุณกำจัดวิธีคิดที่มีความเฉพาะตัวของภาษานั้นออกไปด้วย”

ภาพความเปลี่ยนแปลงนี้ชวนให้นึกถึงเรื่องการสร้างหอคอยบาเบลสู่สวรรค์ ที่มนุษย์อาจรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อทำภารกิจร่วมกัน แต่ขณะเดียวกันก็อาจทำให้เราสูญเสียความแตกต่างไปด้วย

“ในบางแง่ เอไออาจทำให้การสื่อสารระหว่างคนที่พูดคนละภาษาง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเอไอก็อาจทำให้มนุษย์เป็นแบบเดียวกันมากขึ้นจนสูญเสียความคิดสร้างสรรค์ เพราะเราจะสูญเสียความหลากหลายทางภาษาและวัฒนธรรมที่มาพร้อมกับการมีภาษาที่ต่างกัน” มาเรียนกล่าวสรุป

หรือภาษาที่ซับซ้อนจะไม่จำเป็นอีกต่อไป?

กล่าวไปให้สุดทางกว่านั้น เอไอในอนาคตอาจไม่ใช่เพียงทำให้เราสูญเสีย ‘ความหลากหลาย’ ไปเลย แต่มันอาจทำให้เราสูญเสีย ‘ความซับซ้อน’ ในการใช้ภาษาไปด้วย

การมาถึงของสมาร์ตโฟน อินเทอร์เน็ต และแอปพลิเคชัน ทำให้เราใช้ชีวิตกันไร้รอยต่อมากขึ้นแต่ก็สื่อสารด้วยการพูดน้อยลง เราสามารถสั่งอาหารผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี จ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต พิมพ์บอกคนขับ (ด้วยข้อความสั้นๆ) ให้วางอาหารไว้หน้าบ้านหรือคอนโดฯ แล้วเราค่อยเดินลงไปรับ

ในด้านการรับสื่อทางโซเชียลมีเดีย มีตัวเลขชี้ว่าในปี 2023 แอปพลิเคชันติ๊กต็อกมียอดการใช้งานมากกว่าหนึ่งพันล้านบัญชีทั่วโลก คนใช้เวลาเฉลี่ยบนแอปฯ 850 นาทีต่อเดือน โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้เข้าถึงแอปฯ ทุกวัน นั่นหมายความว่าผู้คนจำนวนมากกำลังรับสื่อผ่านคลิปวิดีโอสั้น ซึ่งธรรมชาติของการสื่อสารนั้นต้องเร็วเพื่อดึงความสนใจ และสั้นจนต้องลดทอนความซับซ้อนของเนื้อหาลง

กระบวนการทั้งหลายที่กล่าวมานี้เกิดขึ้นโดยมีการสื่อสารผ่านภาษาที่ซับซ้อนของมนุษย์น้อยมาก ในขณะที่มี ‘ภาษาคอมพิวเตอร์’ ทำงานอยู่เบื้องหลังกระบวนการนี้อย่างแข็งขัน – ไม่มากก็น้อย เรื่องนี้ย่อมส่งผลต่อทักษะการสื่อสารทางภาษาของมนุษย์

หากมองจากการถึงพร้อมของศักยภาพเอไอและแนวโน้มในอนาคต อาจกล่าวได้ว่ามนุษย์ในอนาคตอาจไม่ได้ฝึกการคิดซับซ้อน เพราะไม่ใช่เรื่องจำเป็นแล้วเมื่อคำตอบทุกอย่างอยู่ในเครื่องมือเอไอ กระทั่งการอ่านหนังสือเพื่อค้นคว้าก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เพราะเอไอหาให้ได้ในเสี้ยววินาทีเพียงแค่เราป้อนคำถามลงไปไม่กี่ประโยค โดยที่เราไม่ต้องไล่สายตาผ่านตรรกะ การไล่เรียงความคิด และประโยคที่ซับซ้อนในหนังสือเลย

คำถามและการคาดเดานี้อาจเป็นเพียงความคิดของมนุษย์ที่หวาดกลัวการสูญเสียความเป็นมนุษย์ ในขณะที่ความเป็นมนุษย์เองนั้นก็หมายถึง ‘ความเป็นไปได้’ และ ‘การเปลี่ยนแปลง’ โดยตัวเอง

หรือบางทีการเป็นหนึ่งเดียวกันทางภาษาอาจไม่ใช่คำตอบในการไปสวรรค์

เรื่องราวอาจย้อนกลับมายังจุดตั้งต้นว่า การที่ภาษาของมนุษย์แตกแขนงกิ่งก้านออกไปนั้นเป็น ‘ต้นราก’ ของความหลากหลาย อันนำมาสู่ความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เรามีมาตั้งแต่ก้าวแรกของมนุษยชาติ

ดังนั้น คำถามจึงไม่ใช่ว่าเราจะสร้างหอคอยเพื่อมุ่งสู่สวรรค์ได้ไหม แต่คำถามคือสวรรค์แบบไหนต่างหากที่เราอยากจะสร้างขึ้น

MOST READ

Life & Culture

14 Jul 2022

“ความตายคือการเดินทางของทั้งคนตายและคนที่ยังอยู่” นิติ ภวัครพันธุ์

คุยกับนิติ ภวัครพันธุ์ ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรมการส่งคนตายในมุมนักมานุษยวิทยา พิธีกรรมของความตายมีความหมายแค่ไหน คุณค่าของการตายและการมีชีวิตอยู่ต่างกันอย่างไร

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Jul 2022

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Life & Culture

27 Jul 2023

วิตเทเกอร์ ครอบครัวที่ ‘เลือดชิด’ ที่สุดในอเมริกา

เสียงเห่าขรม เพิงเล็กๆ ริมถนนคดเคี้ยว และคนในครอบครัวที่ถูกเรียกว่า ‘เลือดชิด’ ที่สุดในสหรัฐอเมริกา

เรื่องราวของบ้านวิตเทเกอร์ถูกเผยแพร่ครั้งแรกทางยูทูบเมื่อปี 2020 โดยช่างภาพที่ไปพบพวกเขาโดยบังเอิญระหว่างเดินทาง ซึ่งด้านหนึ่งนำสายตาจากคนทั้งเมืองมาสู่ครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้

พิมพ์ชนก พุกสุข

27 Jul 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save