ฤา ‘ดอลลาร์’ กำลังเสื่อมคุณค่าลง? : สงครามอำนาจสกุลเงินตราและการลุกขึ้นมาท้าทายของ ‘BRICS’

“The idea that the BRICS Countries are trying to move away from the Dollar while we stand by and watch is OVER. We require a commitment from these Countries that they will neither create a new BRICS Currency, nor back any other Currency to replace the mighty U.S. Dollar or, they will face 100% Tariffs, and should expect to say goodbye to selling into the wonderful U.S. Economy.”

(แนวความคิดที่ปล่อยให้บรรดาประเทศในกลุ่มบริกส์ลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ โดยที่เรายืนดูเฉยๆ ได้จบไปแล้ว พวกเราต้องการคำมั่นสัญญาจากประเทศเหล่านี้ว่าจะไม่สร้างสกุลเงินใหม่หรือสนับสนุนสกุลเงินอื่นใดมาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐ มิเช่นนั้นจะต้องเผชิญกับการขึ้นภาษีศุลกากร 100% และต้องร่ำลาจากการค้าขายสินค้าเข้าสู่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ)

ข้อความดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์ม X (ชื่อเดิม Twitter) ของว่าที่ผู้นำสหรัฐอเมริกาคนใหม่หน้าเดิมอย่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ภายหลังจากการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศบริกส์ (BRICS) ต่อกระแสข่าวที่พยายามสร้างสกุลเงินสำรองใหม่ เพื่อให้โลกไม่ต้องพึ่งพาเพียง ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ ในฐานะเงินสกุลหลักอีกต่อไป

กลุ่มประเทศบริกส์เป็นการรวมกลุ่มกันของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ (Emerging Markets) ประกอบด้วย บราซิล (Brazil) รัสเซีย (Russia) อินเดีย (India) จีน (China) และแอฟริกาใต้ (South Africa) โดยคำว่า ‘BRICS’ มาจากการนำ ‘อักษรตัวแรก’ ของแต่ละประเทศมาเรียงต่อกัน คำดังกล่าวถูกใช้ครั้งแรกในรายงานในปี 2001 (รายงานฉบับดังกล่าวมีชื่อว่า Building Better Global Economic BRICs) โดยจิม โอนีล (Jim O’Neill) หัวหน้าทีมเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs ในขณะนั้น เขาวิเคราะห์ว่ากลุ่มประเทศเหล่านี้จะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วและอาจมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกได้ในอนาคต

การวิเคราะห์ดังกล่าวกลายเป็นความจริง เพราะกลุ่มประเทศบริกส์กำลังจะเป็นขั้วอำนาจใหม่ที่จะลุกมาท้าทายอำนาจชาติตะวันตกผ่านการเพิ่มกลุ่มประเทศสมาชิก (Members) อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากเมื่อต้นปี 2024 มีการเพิ่มประเทศสมาชิกอีก 4 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์ เอธิโอเปีย อิหร่าน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และพันธมิตรหุ้นส่วน (Partner Countries) จำนวน 13 ประเทศ ส่งผลให้ในปัจจุบันกลุ่มประเทศบริกส์มีขนาดประชากรถึง 58% ของประชากรโลก และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่มากถึง 44% ของ GDP โลก

สำหรับแบรด เซทเซอร์ (Brad W. Setser) นักวิชาการอาวุโส จากสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Council on Foreign Relations) มองว่าท่าทีและการแสดงออกของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ต่อกระแสข่าวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจในดอลลาร์สหรัฐ (“A lack of confidence in the dollar”)[1] จนอาจกล่าวได้ว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วของกลุ่มประเทศบริกส์เช่นนี้ กำลังจะสั่นคลอนชาติตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาและสกุลเงินตราหลักของโลกอย่าง ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ ในลักษณะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

‘Dollarization’ : การสถาปนาสกุลเงินตราหลักของโลก

หากต้องการเข้าใจถึงอิทธิพลของ ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ อาจต้องเริ่มจากคำถามว่าดอลลาร์สหรัฐกลายเป็นสกุลเงินตราหลักของโลกตั้งแต่เมื่อไหร่?

คำตอบคงต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1944 ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในเมืองเบรตตัน วูดส์ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา ได้เกิดข้อตกลงเบรตตัน วูดส์ (The Bretton Woods Agreement) เพื่อสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยระเบียบเศรษฐกิจการเงินโลกชุดใหม่รู้จักภายกันภายใต้ชื่อ ‘Bretton Woods System’

ภายใต้ระบบดังกล่าว สหรัฐอเมริกาตัดสินใจผูกค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเข้ากับทองคำ โดยกำหนดอัตราการแลกเปลี่ยนแบบคงที่ และประกาศว่าประเทศใดที่ถือเงินดอลลาร์สหรัฐสามารถนำมาเปลี่ยนเป็นทองคำได้อย่างไม่จำกัด ภายใต้กลไกนี้ดอลลาร์สหรัฐจึงเทียบเท่ากับทองคำ และทำให้ประเทศอื่นๆ ตกลงที่จะกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินของประเทศตนเองกับดอลลาร์สหรัฐ และใช้ ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ เป็นเงินสำรองให้กับนานาประเทศ (reserve currency) เงินดอลลาร์สหรัฐจึงมีบทบาทค้ำจุนระบบการเงินโลกแทนที่ทองคำในอดีต สาเหตุที่สหรัฐอเมริกกาทำเช่นนี้ได้ เพราะหลายประเทศมองว่าสกุลเงิน ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ เป็นสกุลเงินที่แข็งแกร่งและมีเสถียรภาพมากที่สุดในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

นอกจากนี้ ผลพวงจากการประชุมดังกล่าวยังเกิดองค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกจนถึงปัจจุบัน คือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือทางการการเงินในกรณีประเทศสมาชิกเกิดวิกฤตการเงิน และธนาคารโลก (World Bank) ที่ให้เงินกู้สำหรับการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศต่างๆ ในช่วงหลังสงครามโลก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ‘Bretton Woods System’ ได้สถาปนา ‘สหรัฐอเมริกา’ ให้กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของระบบการเงินโลกตั้งแต่ปี 1944 ผ่านการตั้งองค์กรทางด้านการเงินระหว่างประเทศ และความแข็งแกร่งของสกุลเงิน ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ จนหลายคนเรียกว่า Dollarization

แม้ว่าในปี 1971 ‘Bretton Woods System’ จะล่มสลายลง จากเหตุการณ์ที่ถูกเรียกว่า ‘The Nixon Shock’ กล่าวคือเหตุการณ์การพิมพ์เงินดอลลาร์มากเกินกว่าปริมาณทองคำที่สหรัฐอเมริกาถือครองในช่วงเวลานั้น จนทำให้ความเชื่อมั่นในค่าเงินที่ลดลง ส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐประกาศไม่รับแลกเงินดอลลาร์เป็นทองคำอีกต่อไป แต่ก็ไม่สามารถทำลายระเบียบโลกใหม่ที่ถูกก่อร่างสร้างขึ้นมาและลดทอนความแข็งแกร่งของสกุลเงิน ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ ลงได้

กระบวนการ Dolarlization มีส่วนสำคัญในการทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกอย่างมาก เพราะ โครงสร้างพื้นฐานของระเบียบเศรษฐกิจการเงินโลกไม่ว่าจะเป็น ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ระบบชำระเงิน การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ฯลฯ ก็ล้วนแยกไม่ออกจากการที่เงินดอลลาร์เป็นเงินสำรองหลักในระเบียบการเงินโลก และในหลายกรณีสหรัฐอเมริกาก็ใช้พลังอำนาจของดอลลาร์ในการสร้างความได้เปรียบในการเมืองโลก

ผลพวงของสงครามรัสเซีย-ยูเครน สู่การท้าทายครั้งใหม่จาก ‘BRICS’

หนึ่งในกรณีสำคัญที่ชาติตะวันตกใช้เครื่องมือจากระบบการเงินโลกเพื่อคว่ำบาตรประเทศอื่น คือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยภายหลังที่ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ดำเนิน ‘ปฏิบัติการทางการทหารพิเศษ’ เพื่อบุกโจมตียูเครนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 สหรัฐอเมริกาตัดสินใจคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับประเทศรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงที่ส่งเงินไปยังประเทศรัสเซียหรือการอายัดเงินสำรองคงคลังบางส่วนของธนาคารกลางรัสเซียที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา

นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกายังตัดธนาคารรัสเซียหลายแห่งออกจากระบบ ‘SWIFT’ (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication)(ระบบ SWIFT เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินระหว่างประเทศ โดยในปัจจุบันระบบดังกล่าวเชื่อมโยงธนาคารทั่วโลกกว่า11,696 แห่ง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อการดำเนินกิจกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ) เพื่อไม่ให้บริษัทต่างๆ ของประเทศรัสเซียสามารถดำเนินธุรกรรมทางการเงินได้อย่างทันทีทันใด และธนาคารของประเทศรัสเซียต้องดำเนินการติดต่อกับธนาคารคู่ค้าโดยตรง

การตัดรัสเซียออกจากระบบการเงินโลกนับเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างยิ่ง โดยหลังการใช้มาตรการค่าเงินรูเบิลก็ลดค่าและผันผวนอย่างมากและแทบจะทันที ผู้ประกอบธุรกิจในรัสเซียไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ ส่งผลให้ธุรกิจหยุดชะงักชั่วคราว และในช่วงพีคค่าเงินรูเบิลลดไปถึง 50% (ซึ่งในทางทฤษฎีเท่ากับว่า เศรษฐกิจรัสเซียมีขาดเล็กลง 2 เท่า)

จากการดำเนินนโยบายดังกล่าวส่งผลให้ประเทศรัสเซียต้องหันไปชำระเงินข้ามประเทศในรูปสกุลเงินรูเบิลและเงินหยวนอย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จากการลดลงของสัดส่วนการชำระเงินในรูปของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และการเติบโตขึ้นกว่า 50% ของการใช้ระบบระบบการชำระเงิน CIPS  (Cross-Border International Payments System) ของประเทศจีน สหรัฐอเมริกาเปลี่ยนจากระบบการส่งข้อความระหว่างสถาบันการเงินให้กลายเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจที่สำคัญของชาติตะวันตก

จากกรณีดังกล่าวทำให้กลุ่มประเทศบริกส์ตั้งคำถามกับระบบ ‘SWIFT’ จนเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับสกุลเงินร่วมใหม่ เนื่องจากหลายประเทศต่างกังวลว่าประเทศของตนอาจถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากชาติตะวันตกได้ ตลอดจนอาจยึดเงินสำรองคงคลังในรูปของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเหมือนที่ประเทศรัสเซียกำลังเผชิญ

ภายหลังการประชุม BRICS Summit 2024 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน กล่าวหากลุ่มชาติตะวันตกว่าพยายามกดขี่ประเทศกลุ่มซีกโลกใต้ผ่านการคว่ำบาตร เพราะการกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการกีดกันทางการค้าอย่างโจ่งแจ้งและเป็นการแทรกแซงตลาดค่าเงินกับตลาดหุ้น ส่งผลให้หนึ่งในวาระที่สำคัญของการประชุมครั้งที่ผ่านมาคือการพัฒนาระบบชำระเงินระหว่างประเทศที่เป็นทางเลือกอย่าง BRICS Pay เพื่อเป็นแพลตฟอร์มการชำระเงินดิจิทัลที่สามารถใช้งานได้ในกลุ่มประเทศกลุ่มประเทศบริกส์

จุดประสงค์ของการออกแบบระบบชำระเงินระหว่างประเทศคือ ผู้ใช้สามารถชำระเงินด้วยสกุลเงินท้องถิ่นได้โดยตรง ลดความจำเป็นในการแปลงสกุลเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐเพื่อไม่ต้องผ่านระบบ SWIFT กล่าวคือทำให้การชำระเงินข้ามพรมแดนเป็นเรื่องง่ายขึ้น ตลอดจนเพิ่มประสิทธิภาพการค้าในกลุ่มสมาชิกผ่านการออกแบบกระบวนการชำระเงินที่ง่ายขึ้น เช่น การใช้เงินหยวนหรือเงินรูเบิลในการซื้อขายน้ำมันหรือสินค้าระหว่างจีนกับรัสเซีย เป็นต้น

แม้ว่าปัจจุบันกลุ่มประเทศบริกส์ยังไม่ประกาศถึงรูปแบบโครงสร้างของระบบชำระเงินระหว่างประเทศอย่างชัดเจน อีกทั้งนักวิเคราะห์หลายคนตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ในการขับเคลื่อนและการนำระบบดังกล่าวไปปฏิบัติใช้จริง แต่ท่าทีของกลุ่มประเทศบริกส์เช่นนี้ก็สะท้อนถึงความพยายามเสริมสร้างความแข็งแกร่งสกุลเงินอื่น รวมถึงการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ (De-dollarization) มากขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกในอนาคต

De-dollarization : ฤา ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ กำลังเสื่อมคุณค่าลง?

สภาวะของการลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (De-dollarization) อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากตลอดทศวรรษที่ผ่านมาทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั่วโลกเริ่มลดสัดส่วนของดอลลาร์สหรัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระจายไปยังสกุลเงินอื่นๆ แทน เพราะไม่เป็นผลดีต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจประเทศอื่นๆ หากสะสมปริมาณเงินดอลลาร์สหรัฐไว้มากเกินไป

ทว่า เมื่อสำรวจสัดส่วนของแต่ละสกุลเงินในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ (foreign exchange reserves) ของทั่วทั้งโลกกลับพบว่า สัดส่วนของดอลลาร์สหรัฐและยูโรรวมกันยังมีจำนวนมากถึงเกือบ 80% จากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศทั้งหมด กล่าวคือในปัจจุบันดอลลาร์สหรัฐยังคงครองสถานะความแข็งแกร่งในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นสัดส่วนของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ สัดส่วนของการค้าและการส่งออกระหว่างประเทศ และสัดส่วนของการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ดังนั้นการลดทอนอำนาจของ ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ หรือการเปลี่ยนสกุลเงินของโลกจึงไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

สกุลเงินสัดส่วนของทุนสำรองสกุลเงินต่างประเทศ (ร้อยละ)สัดส่วนของการค้าและการส่งออก (ร้อยละ)สัดส่วนของการทำธุรกรรม (ร้อยละ)
ดอลลาร์สหรัฐ (USD)585488
ยูโร (EUR)203031
ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP)5413
เยน (JPY)6417
หยวนจีน (RMB)247

สัดส่วนของแต่ละสกุลเงินในทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ (foreign exchange reserves) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2024

ข้อมูลจาก Atlantic Council

แม้ว่าการลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เหตุผลที่สหรัฐฯ แสดงท่าทีกังวลและเกรงกลัวต่อความพยายามเช่นนี้ของกลุ่มประเทศบริกส์ เพราะที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาได้รับประโยชน์จากความต้องการดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่มากขึ้น มีการประมาณว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกาสูญเสียรายได้กว่า 35 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หากการลดการพึ่งพิงดอลลาร์สหรัฐเกิดขึ้นจริง เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐอเมริกาสามารถสร้างรายได้จากการพิมพ์ธนบัตรใหม่เพื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าความเป็นจริงมาก

นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ อาจสูญเสียความสามารถในการกู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าประเทศอื่น เพราะสถานะอันมั่งคงของดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จ่ายดอกเบี้ยต่ำกว่าที่ควรจะเป็นประมาณ 1% ของมูลค่าหนี้ หรือคิดเป็นกว่า 80 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อปี

คงไม่เกินจริงหากจะกล่าวว่า ท่ามกลางการแข่งขันด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้มข้นมากขึ้นทุกขณะ การ De-dollarization เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ส่งผลสะเทือนต่ออำนาจนำของสหรัฐอเมริกามากที่สุด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ข้อเสนอของกลุ่มประเทศบริกส์กลายเป็นภัยคุกคามใหม่ในสายตาของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จนทำให้ต้องออกมาปกป้องสกุลเงิน ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ อย่างแข็งขันเช่นนี้


เอกสารอ้างอิง

BRICS Pay as a challenge to SWIFT network. (n.d.). Lowy Institute. https://www.lowyinstitute.org/the-interpreter/brics-pay-challenge-swift-network

Cerullo, M. (2024, December 2). Why is Trump threatening a 100% tariff on the BRICS nations? CBS News. https://www.cbsnews.com/news/trump-tariffs-brics-nations-china-russia-brazil/

Dasgupta, S. (2024, October 27). BRICS’ de-dollarization agenda has a long way to go. Voice of America. https://www.voanews.com/a/brics-de-dollarization-agenda-has-a-long-way-to-go/7840686.html

Dollar Dominance Monitor – Atlantic Council. (2024, June 27). Atlantic Council. https://www.atlanticcouncil.org/programs/geoeconomics-center/dollar-dominance-monitor/

Martin, N. (2024a, September 13). Dedollarization: How the West boosts China’s yuan. dw.com. https://www.dw.com/en/dedollarization-how-the-west-is-boosting-chinas-yuan/a-70118356

Martin, N. (2024, December 3). BRICS currency: Is Trump’s tariff threat justified? dw.com. https://www.dw.com/en/trump-threatens-100-tariffs-on-brics-over-new-currency-plans/a-70934600?mobileApp=true

Morgan, J. (n.d.). De-dollarization: The end of dollar dominance? | J.P. Morgan. https://www.jpmorgan.com/insights/global-research/currencies/de-dollarization

Now, E. (2024, December 3). Trump threat of 100% tariff: Does the US have reasons to worry about de-dollarization or is this a non-sta. The Economic Times. https://economictimes.indiatimes.com/markets/expert-view/trump-threat-of-100-tariff-does-the-us-have-reasons-to-worry-about-de-dollarization-or-is-this-a-non-starter/articleshow/115920405.cms#goog_rewarded

Shkarlat, K. (2024, October 29). Project Putin wanted to use to undermine dollar being shut down – Bloomberg. RBC-Ukraine. https://newsukraine.rbc.ua/news/project-putin-wanted-to-use-to-undermine-1730196030.html

Welle, D. (2024, October 25). Putin ends BRICS summit overshadowed by Ukraine war. dw.com. https://www.dw.com/en/putin-ends-brics-summit-overshadowed-by-ukraine-war/a-70594112

Why the US dollar remains a reserve currency leader | Vanguard UK Professional. (n.d.). https://www.vanguard.co.uk/professional/insights-education/insights/why-the-us-dollar-remains-a-reserve-currency-leader

Wintour, P. (2024, October 23). Putin calls for alternative international payment system at Brics summit. The Guardian. https://www.theguardian.com/world/2024/oct/23/putin-world-economy-bloc-brics-summit

Writer, S. (2023, February 22). Russia speeds shift to ruble and yuan as sanctions bite. Nikkei Asia. https://asia.nikkei.com/Business/Markets/Currencies/Russia-speeds-shift-to-ruble-and-yuan-as-sanctions-bite

รู้จัก BRICS Pay ระบบชําระเงินใหม่ของกลุ่ม BRICS เปิดศึกดอลลาร์ ท้าทายมหาอํานาจการเงินโลก. (n.d.). THAIRATH Money. https://www.thairath.co.th/money/tech_innovation/digital_assets/2823708

References
1 อ่านความคิดเห็นฉบับเต็มได้ที่: https://x.com/Brad_Setser/status/1862968153132703895

MOST READ

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

World

16 Oct 2023

ฉากทัศน์ต่อไปของอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ความขัดแย้งที่สั่นสะเทือนระเบียบโลกใหม่: ศราวุฒิ อารีย์

7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสเปิดฉากขีปนาวุธกว่า 5,000 ลูกใส่อิสราเอล จุดชนวนความขัดแย้งซึ่งเดิมทีก็ไม่เคยดับหายไปอยู่แล้วให้ปะทุกว่าที่เคย จนอาจนับได้ว่านี่เป็นการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ

จนถึงนาทีนี้ การสู้รบระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ยังดำเนินต่อไปโดยปราศจากทีท่าของความสงบหรือยุติลง 101 สนทนากับ ดร.ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงเงื่อนไขและตัวแปรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น, ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและรัฐอาหรับ, อนาคตของปาเลสไตน์ ตลอดจนระเบียบโลกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นมาหลังยุคสงครามเย็น

พิมพ์ชนก พุกสุข

16 Oct 2023

World

17 Jul 2020

ร่วมรากแต่ขัดแย้ง ความบาดหมางระหว่างอินโดนีเซียและมาเลเซีย

อรอนงค์ ทิพย์พิมล เขียนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ที่ทั้งสองประเทศมีรากเหง้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมกันหลายอย่าง จนนำไปสู่ความขัดแย้งในการช่วงชิงความเป็นเจ้าของภาษาและวัฒนธรรมมลายู

อรอนงค์ ทิพย์พิมล

17 Jul 2020

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save