ซีเรีย

อ่านวิกฤตซีเรีย 2024: การโจมตีอเลปโปและการปะทะผลประโยชน์ของมหาอำนาจ

ซีเรีย

ภาพปกโดย AAREF WATAD/AFP

วิกฤตการณ์ในซีเรียที่เริ่มต้นเมื่อปี 2011 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ตะวันออกกลางร่วมสมัย หากจำกันได้ เหตุการณ์นี้เริ่มจากการชุมนุมประท้วงอย่างสงบในช่วงปรากฏการณ์อาหรับสปริง เพื่อเรียกร้องการปฏิรูปประชาธิปไตยและต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด (Bashar Al-Assad) ซึ่งรัฐบาลก็ได้มีการปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง จุดชนวนให้เกิดการต่อต้านด้วยอาวุธ และขยายวงกว้างเป็นสงครามกลางเมืองที่ซับซ้อน ทั้งยังดึงดูดการแทรกแซงจากมหาอำนาจหลายประเทศที่ต่างแสวงหาผลประโยชน์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคนี้

ในระยะแรกของความขัดแย้ง จะเห็นการก่อตัวของกลุ่มต่อต้านหลายกลุ่ม โดยมีกองทัพซีเรียเสรี (Free Syrian Army: FSA) เป็นกำลังหลัก ซึ่งต่อมาได้ขยายตัวเป็นกองทัพแห่งชาติซีเรีย (Syrian National Army: SNA) ประกอบด้วยทหารที่แปรพักตร์จากกองทัพรัฐบาลและพลเรือนที่สนับสนุนการปฏิรูปประชาธิปไตย ในขณะเดียวกัน ชาวเคิร์ดในภาคเหนือของซีเรียก็ได้จัดตั้งหน่วยพิทักษ์ประชาชน (People’s Protection Units: YPG) ในปี 2011 เพื่อปกป้องดินแดนของตน โดย YPG ได้ควบคุมพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียและประกาศเขตปกครองตนเองที่เรียกว่า ‘โรจาวา’ (Rojava)

FSA ได้รับการสนับสนุนจากประเทศตะวันตกนำโดยสหรัฐอเมริกา และตุรกีที่สนับสนุน FSA เพื่อถ่วงดุลกับกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดที่มีปฏิบัติการข้ามพรมแดนเข้าไปในตุรกีหลายครั้ง นอกจากนี้ยังมีซาอุดิอาระเบียที่มีบทบาทหนุนเสริมเพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของอิหร่านในภูมิภาค ส่วน YPG แม้จะไม่ได้มุ่งโค่นล้มรัฐบาลอัสซาดโดยตรง แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านกลุ่มที่มีอุดมการณ์สุดขั้วในมุมมองของสหรัฐฯ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลอัสซาดได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังติดอาวุธที่จงรักภักดีและดำเนินการปราบปรามฝ่ายต่อต้านอย่างเด็ดขาด รวมถึงได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากอิหร่านและรัสเซียในเวลาต่อมา

สถานการณ์ความขัดแย้งเปลี่ยนโฉมหน้าเมื่อกลุ่มมีอุดมการณ์สุดขั้วเริ่มมีบทบาทในฝ่ายต่อต้านรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มญับฮัต อัล-นุสรา (Jabhat al-Nusra) และกลุ่มที่เรียกตนเองว่ารัฐอิสลาม (Islamic State of Iraq and the Levant: ISIL) หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Daesh (al-Dawla al-Islamiya fil Iraq wa al-Sham) ซึ่งเป็นคำย่อภาษาอาหรับ มีความหมายว่า ‘รัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย’ กลุ่มดังกล่าวนี้เริ่มมีบทบาทในปี 2014 กระตุ้นให้เกิดการรวมตัวของกองกำลังนานาชาตินำโดยสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้าย ต่อมา Daesh ค่อยๆ ลดบทบาทลงและมีกลุ่มอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมภายใต้สถานการณ์ที่รัฐบาลมิอาจควบคุมและปกครองพื้นที่ทั้งประเทศได้ เสมือนว่าซีเรียอยู่ในสภาวะสุญญากาศทางอำนาจ

จะเห็นได้ว่าตัวแสดงในซีเรียมีความซับซ้อนและมีพลวัตตามช่วงเวลาของเหตุการณ์ มีตัวแสดงทั้งในและต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งกลุ่มที่ยังคงมีบทบาทในพื้นที่จนถึงปัจจุบัน อาจสรุปโดยคร่าวได้ตามตาราง 1

ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลอัสซาดฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอัสซาดฝ่ายชาวเคิร์ดกลุ่มที่มีอุดมการณ์สุดขั้ว
1. Syrian Arab Army (SAA) – Assad’s official military 2.National Defense Forces (NDF)
3. กลุ่มที่สนับสนุนโดยอิหร่าน คือ IRGC, Hezbollah, และกองกำลังชีอะห์อื่นๆ  
4. กองกำลังสนับสนุนจากรัสเซีย
1. Syrian National Army (SNA) หรือ FSA ในอดีต
2. สภาท้องถิ่นในพื้นที่ที่ตุรกีควบคุม   (ได้รับการสนับสนุนจากตุรกี)
Syrian Democratic Forces (SDF) ประกอบด้วย YPG (People’s Protection Units) และ YPJ (Women’s Protection Units) (ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา)1. Hayat Tahrir al-Sham (HTS)
2. Daesh/ISIL
3.กลุ่มที่มีแนวทางคล้ายคลึงกันอื่นๆ
ตาราง 1 ตัวแสดงหลักในซีเรียปี 2024


รูป 1 แสดงพื้นที่ควบคุมของกลุ่มต่างๆในซีเรียเปรียบเทียบปี  2017 และ 2024
ที่มา: Al-Jazeera, 2017[1] และ Al-Jazeera, 2024[2]

การยึดเมืองอเลปโป

เหตุการณ์ในซีเรียเสมือนกับอยู่ในภาวะคงตัวมานับตั้งแต่ช่วงปี 2020 เมื่อรัสเซีย ตุรกี อิหร่าน และสหรัฐอเมริการ่วมกันรักษาข้อตกลงหยุดยิงและความเข้าใจด้านความมั่นคงหลายฉบับ ยกเว้นแต่ความขัดแย้งระหว่างกองกำลังตุรกีกับพื้นที่ปกครองของชาวเคิร์ดในปี 2023 หรือการโจมตีของอิสราเอลที่เข้ามาในซีเรียตั้งแต่ต้นปี 2024 เหตุการณ์ในเดือนพฤศจิกายน 2024 ที่ผ่านมานับว่าส่งผลให้สถานการณ์ในซีเรียมีแนวโน้มจะกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง ซึ่งนักวิเคราะห์หลายท่านได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้ว เนื่องจากกระบวนการสันติภาพของซีเรียที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้รากของปัญหาได้คลี่คลายไป ประกอบกับปัญหาคอร์รัปชั่น การบังคับผู้คนให้ปฏิบัติที่ขัดแย้งกับความเชื่อ และอย่างทราบกันดีว่าวิกฤตมนุษยธรรมในซีเรียยังคงเป็นประเด็นสำคัญ ชาวซีเรีย 90% อยู่ใต้เส้นความยากจน กว่า 50% พลัดถิ่น และ 75% ต้องการความช่วยเหลือรายวัน เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ยังคงมีโอกาสที่จะปะทุเป็นความรุนแรงได้ตลอดเวลา

ปฏิบัติการยับยั้งการรุกราน (Operation Deter Aggression) ของกลุ่ม HTS และพันธมิตร มีเป้าหมายคือการขยายการควบคุมของฝ่ายต่อต้านในชนบททางตะวันตกของอเลปโป ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กองกำลังของรัฐบาลซีเรียใช้ยิงถล่มพื้นที่พลเรือนอย่างไม่เลือกเป้าหมายมาหลายปี ภายในเวลาเพียงสามวัน กว่า 80 หมู่บ้านและเมืองถูกยึด กระทั่งเข้ายึดอเลปโปได้ในที่สุดเมื่อคืนวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2024 หลังจากนั้นกองทัพแห่งชาติซีเรียหรือ SNA (ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าสนับสนุนโดยตุรกี) กลุ่มร่มใหญ่ของฝ่ายต่อต้านอีกกลุ่มที่มีฐานอยู่ในชนบททางเหนือของอเลปโป ได้ประกาศการโจมตีอีกครั้งโดยมีเป้าหมายคือเมืองเทลริฟัต (Tel Rifaat) ทางเหนือ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลซีเรียและกองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (SDF) ที่นำโดยชาวเคิร์ด

เหตุการณ์นี้นับได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวิกฤตซีเรียที่จะเข้าสู่ปีที่ 14 ในมีนาคม 2025 นี้ เนื่องจากอเลปโปเป็นเมืองที่มีความสำคัญทั้งในเชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ เป็นจุดศูนย์กลางของการสู้รบมาตั้งแต่เกิดวิกฤต แม้ว่าเรื่องราวของผู้คนในซีเรียจะค่อยๆ หายไปจากความสนใจของโลก หลายคนมองว่าสงครามจบไปแล้วหลายปี และอัสซาดได้ชัยชนะไปเมื่อ 6 ปีก่อน หากแต่วิกฤตและความรุนแรงยังคงดำเนินต่อมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดปี 2024 มีผู้เสียชีวิตทั่วซีเรีย 35-100 คนต่อสัปดาห์ ท่ามกลางความขัดแย้งที่ยังคุกรุ่นนี้ กลุ่ม HTS ได้พัฒนาศักยภาพทางทหารและปรับโครงสร้างให้เป็นกองกำลังแบบกองทัพปกติ รวมถึงพัฒนาหน่วยพิเศษสำหรับปฏิบัติการลับ การโจมตีฉับพลัน และปฏิบัติการกลางคืน[3]

การยึดส่วนสำคัญของเมืองโดยกองกำลังฝ่ายต่อต้านเป็นการสร้างความเสียหายให้กับรัฐบาลอัสซาด แม้จะยังได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและอิหร่าน พัฒนาการนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความสามารถของรัฐบาลในการรักษาการควบคุมในพื้นที่ที่มีการแย่งชิง ต่อมาในวันที่ 2 ธันวาคม 2024 Al Jazeera[4] รายงานว่า กองกำลังซีเรียและรัสเซียได้เพิ่มการโจมตีทางอากาศในเมืองอิดลิบและพื้นที่ต่างๆ ในเมืองอเลปโป โดยมีเป้าหมายเพื่อชะลอการรุกคืบของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่กลุ่มต่อต้านยึดพื้นที่สำคัญได้อย่างรวดเร็วในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ส่งผลให้แนวรบในสงครามกลางเมืองซีเรียที่ยืดเยื้อยาวนานเปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่ทั้ง HTS และ SNA ยังคงปฏิบัติการต่อเนื่อง พร้อมเปิดช่องทางให้มีความพยายามทางการทูตเพิ่มขึ้น

ในด้านการสนับสนุนระหว่างประเทศ อิหร่านได้ส่งกองกำลังติดอาวุธจากอิรักเข้าไปเสริมการป้องกันของกองทัพซีเรีย ขณะที่รัสเซียก็ยังคงเป็นพันธมิตรหลักที่สนับสนุนรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ ด้านตุรกีซึ่งสนับสนุนกลุ่ม SNA ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่อง ‘การแทรกแซงจากต่างชาติ’ โดยระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการขาดการเจรจาระหว่างกลุ่มต่อต้านและรัฐบาลอัสซาด ส่วนสหรัฐอเมริกาได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายลดความตึงเครียดและปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรุกของกลุ่มต่อต้าน แต่ยังคงยืนยันจุดยืนที่มีต่อบาชาร์ว่าเป็น ‘เผด็จการที่โหดร้าย’ และเรียกร้องให้ทุกประเทศใช้อิทธิพลของตนผลักดันให้เกิดการลดความรุนแรง การปกป้องพลเรือน และกระบวนการทางการเมือง

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใหม่นี้ได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในซีเรีย สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (Office for the Coordination of Humanitarian Affairs: OCHA) รายงานว่า การสู้รบได้คร่าชีวิตพลเรือน 44 คน และส่งผลกระทบต่อประชาชนอีก 48,500 คน ในช่วงระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน ถึง 1 ธันวาคม 2024 นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในสงครามซีเรียนับตั้งแต่ปี 2020 ที่แนวรบส่วนใหญ่ค่อนข้างคงที่ แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในเวลาเพียงไม่กี่วัน

บทบาทของตัวแสดงต่างประเทศ

บทบาทของตัวแสดงต่างประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งในสงครามซีเรีย เห็นได้จากการแทรกแซงของรัสเซียในปี 2015 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของความขัดแย้ง ด้วยแรงจูงใจทางภูมิรัฐศาสตร์และผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ รวมถึงการรักษาฐานทัพเรือในเมืองตาร์ตุส รัสเซียได้ให้การสนับสนุนทางอากาศที่สำคัญแก่กองกำลังของอัสซาด การเข้ามามีส่วนร่วมทางทหารของรัสเซียได้เปลี่ยนดุลอำนาจ ทำให้อัสซาดสามารถยึดคืนดินแดนสำคัญได้ รวมถึงเมืองอเลปโปในปี 2016 ซึ่งเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของฝ่ายต่อต้านในเวลานั้น

นอกจากนั้น อิหร่านก็เป็นพันธมิตรสำคัญอีกประเทศของรัฐบาลอัสซาด โดยมีบทบาทผ่านกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (Islamic Revolutionary Guard Corps: IRGC) และกองกำลังพันธมิตรอย่างเฮซบุลลอฮฺ (Hezbulloh) การสนับสนุนของอิหร่านมาจากความต้องการรักษาอิทธิพลในซีเรีย ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญของ ‘แกนต่อต้าน’ ในภูมิภาคที่ต่อต้านอิสราเอลและประเทศมุสลิมนิกายซุนนี กำลังภาคพื้นดินของอิหร่านผสานกับกำลังทางอากาศของรัสเซียช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของอัสซาด ทำให้รัฐบาลของเขาสามารถอยู่รอดท่ามกลางการก่อความไม่สงบหลายด้าน

ในขณะที่บทบาทของตุรกีในสงครามซีเรียได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ในช่วงแรกรัฐบาลตุรกีสนับสนุนฝ่ายต่อต้านอัสซาด โดยมองว่ารัฐบาลอัสซาดไม่ชอบธรรมและสร้างความไม่มั่นคง อย่างไรก็ตาม การเติบโตของกลุ่มชาวเคิร์ด โดยเฉพาะหน่วยพิทักษ์ประชาชน (YPG) ซึ่งตุรกีมองว่าเป็นส่วนขยายของพรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (Kurdistan Workers’ Party หรือ PKK) ทำให้ตุรกีเปลี่ยนจุดสนใจ ด้วยกลัวว่าจะเกิดเขตปกครองตนเองของชาวเคิร์ดตามแนวชายแดนทางใต้ ตุรกีจึงหันมาให้ความสำคัญกับการต่อต้านอิทธิพลของชาวเคิร์ดมากกว่าการโค่นล้มอัสซาด

ตุรกีได้เปิดปฏิบัติการทางทหารหลายครั้ง เช่น Operation Euphrates Shield (ปี 2016) Operation Olive Branch (ปี 2018) และ Operation Peace Spring (ปี 2019) รวมถึงปฏิบัติการทางอากาศในปี 2023 ปฏิบัติการเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่พื้นที่ที่ควบคุมโดยชาวเคิร์ด โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเขตกันชนและตั้งถิ่นฐานใหม่ให้กับผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตุรกีได้ขยายอิทธิพลในซีเรียตอนเหนือ โดยสนับสนุน SNA และรักษาฐานทัพในอิดลิบ ซึ่งทำหน้าที่ถ่วงดุลกับกองกำลังของอัสซาดและกลุ่ม HTS

ตุรกีมีบทบาทสำคัญในการรับผู้ลี้ภัยชาวซีเรียกว่า 3.6 ล้านคน ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะรับไว้ได้ แม้ว่าตุรกีจะได้รับคำชื่นชมสำหรับความพยายามให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่แผนการตั้งถิ่นฐานใหม่ให้ผู้ลี้ภัยในซีเรียตอนเหนือซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ ‘เขตปลอดภัย’ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน ที่โต้แย้งว่ามาตรการดังกล่าวอาจเปลี่ยนแปลงลักษณะทางประชากรของภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่มีปฏิบัติการของกลุ่มต่อต้านที่รวมถึง SNA นั้น ตุรกียังคงยืนยันว่าไม่ได้แทรกแซงและยังคงคาดหวังให้มีการพูดคุยเพื่อยุติสถานการณ์

Omer Ozkizilcik นักวิจัยร่วมของ Atlantic Council ระบุว่าว่าตุรกีมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนกับกลุ่ม HTS ซึ่งตุรกีไม่ได้สนับสนุน และพยายามต่อต้านการขยายอิทธิพลของกลุ่ม HTS เข้าไปในเขตความมั่นคงทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรียที่ตุรกีมีบทบาท นอกจากนี้ยังกดดันให้ตัดความสัมพันธ์กับ Al-Qaeda รวมถึงกดดันไม่ให้ HTS โจมตีชนกลุ่มน้อยชาวคริสเตียนและชาว Druze

ตามข้อมูลของ Ozkizilcik ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ Charles Lister ผู้เชี่ยวชาญจาก Middle East Institute ในวอชิงตัน การรุกครั้งนี้มีการวางแผนมาตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม แต่ตุรกีได้หารือเพื่อระงับปฏิบัติการไว้ก่อน กระทั่งความพยายามในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับบาชาร์และการผลักดันให้เกิดทางออกทางการเมืองของตุรกีต่อสถานการณ์ในซีเรียไม่ประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่า แม้ตุรกีจะไม่ได้มีบทบาทโดยตรง แต่ก็มีอิทธิพลต่อสถานการณ์ในซีเรีย[5]

ส่วนสหรัฐอเมริกามีบทบาทที่หลากหลายในความขัดแย้งในซีเรีย แม้ว่าตอนแรกจะสนับสนุนกลุ่มที่มีแนวคิดสายกลาง แต่ได้เปลี่ยนจุดสนใจไปที่การต่อสู้กับ Daesh โดยร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (SDF) ซึ่งเป็นกองกำลังผสมที่นำโดยชาวเคิร์ด แต่การจับมือกับ SDF นี้ก็สร้างความตึงเครียดให้กับตุรกี ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้ลดการมีส่วนร่วมโดยตรง โดยเหลือกำลังทหารจำนวนเล็กน้อยในซีเรียตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อรักษาแหล่งน้ำมันและต่อต้านภัยคุกคามที่เหลืออยู่ของ Daesh ซึ่งการลดบทบาทของสหรัฐฯ ก็ได้เปิดโอกาสให้มหาอำนาจอื่น โดยเฉพาะรัสเซียและตุรกี ขยายอิทธิพลในซีเรีย

ในขณะที่บทบาทของอิสราเอลก็น่าสนใจไม่น้อย เมื่อสื่อของอิสราเอลอ้างว่าปฏิบัติการในเดือนพฤศจิกายน 2024 เกิดขึ้นเพราะความอ่อนแอของอิหร่านและเฮซบุลลอฮฺที่ทำให้กลุ่มต่อต้านมั่นใจในปฏิบัติการ[6] อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่านับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาอิสราเอลได้ปฏิบัติการทางทหารโดยมีเป้าหมายเพื่อโจมตีอิหร่านในอาณาบริเวณของซีเรียหลายครั้ง รวมถึงการโจมตีสนามบินนานาชาติอเลปโป และการโจมตีสถานทูตอิหร่านในดามัสกัสด้วย นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์ว่าสถานการณ์การยึดอเลปโปในปลายปี 2024 อาจได้รับแรงบันดาลใจจากสถานการณ์ในเลบานอนที่มีการสู้รบจนอิสราเอลต้องอนุมัติข้อตกลงหยุดยิง

ในภาพรวมจึงอาจกล่าวได้ว่า ด้วยบทบาทที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มต่อต้านหลายกลุ่มและมหาอำนาจหลายฝ่ายที่ยังคงมีอิทธิพลในซีเรีย จึงยากที่จะคาดหวังให้เกิดขึ้นสันติภาพในเร็ววัน อีกทั้งพลวัตของสถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในสถานการณ์โลกที่กำลังจะเข้าสู่ยุคการปกครองของทรัมป์ 2.0 ในสภาวะที่สงครามอิสราเอลและปาเลสไตน์ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนของจีนที่เริ่มมีบทบาทในซีเรียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้สถานการณ์ยังคงไม่แน่นอน และเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป ซีเรีย

ซีเรีย

ซีเรีย

References
1 Al Jazeera. (2017, December 13). Russian, Syrian jets hit Aleppo, Damascus countryside.
2 Al Jazeera. (2024, December 2). Hayat Tahrir al-Sham and the Other Syrian Opposition Groups in Aleppo.
3 Lister, C. (2024, November 30). Syria’s conflict is heating up once more. The Spectator.
4 Al Jazeera. (2024, December 2). Syria, Russia forces step up air raids in a bid to slow opposition advance.
5 France 24. (2024, December 2). Turkey could benefit from rebel offensive in Syria: Experts.
6 Berman, L. (2024, December 1). Rebels in Syria take advantage of Israel’s successes against a weakened Iran axis. The Times of Israel.

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Spotlights

4 Nov 2020

101 Policy Forum : ประเทศไทยในฝันของคนรุ่นใหม่

101 เปิดวงสนทนาพูดคุยกับตัวแทนวัยรุ่น 4 คน ณัฐนนท์ ดวงสูงเนิน , สิรินทร์ มุ่งเจริญ, ภาณุพงศ์ สุวรรณหงษ์, อัครสร โอปิลันธน์ ว่าด้วยสังคม การเมือง เศรษฐกิจไทยในฝัน ต้นตอที่รั้งประเทศไทยจากการพัฒนา ข้อเสนอเพื่อพาประเทศสู่อนาคต และแนวทางการพัฒนาและสนับสนุนคนรุ่นใหม่

กองบรรณาธิการ

4 Nov 2020

World

9 Sep 2022

46 ปีแห่งการจากไปของเหมาเจ๋อตง: ทำไมเหมาเจ๋อตง(โหด)ร้ายแค่ไหน คนจีนก็ยังรัก

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์ เขียนถึงการสร้าง ‘เหมาเจ๋อตง’ ให้เป็นวีรบุรุษของจีนมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังการทำร้ายผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม

ภัคจิรา มาตาพิทักษ์

9 Sep 2022

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save