ข้อมูลจากงานวิจัยล่าสุดชี้ชัดตรงกันว่า โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตด้านการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพอย่างรุนแรง แม้โดยรวมจะพยายามอนุรักษ์มากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ความพยายามในการอนุรักษ์ธรรมชาติยังคงจำกัดและขึ้นอยู่กับการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐเป็นหลัก จากการประเมินของ the Nature Conservancy พบว่ายังมีช่องว่างทางการเงินกว่า 7 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปีเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพของโลกภายในปีพ.ศ.2573 ดังนั้นจึงมีความพยายามดึงภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนงานอนุรักษ์มากขึ้นผ่านกลไกทางการเงินใหม่ๆ
หนึ่งในกลไกที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากคือ ‘Biodiversity Credit’ หรือ ‘เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ’ ซึ่งเป็นเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่ช่วยให้เกิดการระดมทุนสำหรับกิจกรรมการอนุรักษ์และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพได้ในวงกว้าง เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพถูกคาดหวังว่าจะเป็นกลไกทางการเงินที่ช่วยสร้างแรงจูงใจให้กับเจ้าของที่ดินหรือผู้ที่ดูแลปกป้องธรรมชาติในพื้นที่ตนเอง อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้องค์กรและบริษัทสามารถซื้อเครดิตเพื่อชดเชยผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จากการดำเนินธุรกิจของตนเอง เช่น การใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรหรือการผลิตอาหาร
Biodiversity Credit Alliance (BCA) หรือพันธมิตรเพื่อเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันแนวคิดนี้ในระดับโลก, ป้องกันความสับสนเกี่ยวกับคำจำกัดความและแนวคิด, ให้คำแนะนำในการพัฒนาตลาดและกลไกการซื้อขาย, ช่วยกำหนดเป้าหมายและป้องกันการดำเนินงานที่อาจผิดพลาดและไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
“เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Credits) ได้รับความสนใจและทดลองใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะกลไกตลาดเพื่อเร่งการระดมทุนจากภาคเอกชนสู่การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ ปิดช่องว่างทางการเงิน และเร่งให้บรรลุผลลัพธ์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพ” Gaurav Gupta เลขาธิการ BCA และที่ปรึกษาอาวุโส Nature Finance ของ UNDP อธิบาย
BCA ก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคม ปี 2565 ในช่วงการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพสมัยที่ 15 (CBD COP15) ณ นครมอนทรีออล ประเทศแคนาดา โดยเริ่มแรกเป็นการรวมตัวกันอย่างไม่เป็นทางการของนักอนุรักษ์ นักวิจัย นักวิชาการ และผู้กำหนดมาตรฐาน ต่อมาการประชุมดังกล่าวก็ได้ขยายสมาชิกให้ครอบคลุมตัวแทนชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมือง ซึ่งจัดตั้งเป็นคณะที่ปรึกษา Communities Advisory Panel (CAP) ให้รวมถึงตัวแทนจากภาคเอกชน โดยมีสภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (World Business Council for Sustainable Development – WBCSD) เป็นหุ้นส่วนหลัก
สำนักเลขาธิการของ BCA ได้รับการสนับสนุนจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP), Finance Initiative ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP FI) และสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสวีเดน (SIDA)
เป้าหมายหลักของ BCA คือ สนับสนุนการบรรลุกรอบความหลากหลายทางชีวภาพโลกฉบับใหม่ หรือกรอบงานคุนหมิง-มอนทรีออลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพของโลก โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 19 (c) และ (d) ที่ “ส่งเสริมให้ภาคเอกชนลงทุนในความหลากหลายทางชีวภาพ” ผ่านกลไกต่างๆ รวมถึง “เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ ควบคู่ไปกับการคุ้มครองทางสังคม”
Gaurav เลขาธิการ BCA ย้ำว่าพันธกิจของ BCA มี 2 ประการ คือ “ช่วยกำหนดทิศทางการพัฒนาตลาดเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพผ่านการสร้างกรอบความร่วมมือระดับสูงบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ และให้คำแนะนำ ตลอดจนส่งเสริมแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับผู้มีส่วนร่วมในตลาดสำหรับการนำหลักการเหล่านั้นไปปรับใช้ เพื่อให้สามารถทำธุรกรรมที่มีคุณภาพสูงและมีความครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่เข้มงวด”
BCA ได้จำกัดความหมายของ ‘เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ’ (Biodiversity Credit) อย่างเป็นทางการว่า “ใบรับรองที่แสดงถึงหน่วยผลลัพธ์เชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่ได้รับการวัดผล (measured) มีหลักฐานสนับสนุน (evidence-based) มีความยั่งยืนและมีผลลัพธ์เพิ่มเติม (additional) จากที่ควรจะเกิดขึ้นตามปกติ”
ตามคำจำกัดความนี้ สามารแบ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งสิ้น 4 ประการ ประกอบด้วย
1) ผลลัพธ์เชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity outcome) กล่าวคือต้องเกิดผลกระทบเชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพ อาจเป็นการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพที่มีอยู่เดิม เช่น การเพิ่มความหลากหลายของสายพันธุ์ และการปรับปรุงโครงสร้างของถิ่นที่อยู่ดั้งเดิม หรือช่วยลดภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพ โดยมีหลักฐานเชื่อมโยงสาเหตุกับผลกระทบอย่างชัดเจน เพื่อการป้องกันการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพที่อาจเกิดขึ้นจากแนวโน้มปกติ ผลลัพธ์เหล่านี้แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
- ปกปักรักษา (Maintenance): การคงสภาพความหลากหลายที่สมบูรณ์ของระบบนิเวศเป้าหมายผ่านโครงการอนุรักษ์ เช่น การดำเนินงานตามแผนการจัดการ การเคารพสิทธิของชุมชนท้องถิ่นที่เอื้อให้เกิดการปกป้องระบบนิเวศ หรือลดความรุนแรงของภัยคุกคามรูปแบบต่างๆ
- หลีกเลี่ยงการสูญเสีย (Avoided loss): การหลีกเลี่ยงความเสื่อมโทรมของความหลากหลายจากการดำเนินโครงการ เช่น ป้องกันไม่ให้พื้นที่ถูกเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์
- ยกระดับ (Uplift): การปรับปรุงความหลากหลายจากกิจกรรมโครงการ เช่น การฟื้นฟูนิเวศ การปรับปรุงถิ่นที่อยู่ที่อยู่ในสภาพเสื่อมโทรม
2) การวัดผลได้และมีหลักฐานสนับสนุน (measured and evidence-based) กล่าวคือโครงการต้องรวบรวมข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์เชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพที่เกิดขึ้นจริง อันเป็นผลจากกิจกรรมภายใต้โครงการ และต้องกำหนดพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ตลอดจนมีตัวชี้วัดผลลัพธ์หลายด้าน ทั้งในแง่โครงสร้าง องค์ประกอบ และหน้าที่การทำงานของระบบนิเวศ เช่น ความหลากหลายในหลายกลุ่มทางอนุกรมวิธาน คุณภาพ และโครงสร้างของถิ่นที่อยู่ เป็นต้น หรือบางโครงการอาจมีตัวชี้วัดวัดภัยคุกคามด้วย
หลักฐานที่ใช้อ้างอิงควรมาจากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับ และ/หรือความรู้ด้านนิเวศวิทยาท้องถิ่นดั้งเดิม ซึ่งเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมืองเข้ามามีส่วนร่วม ทั้งนี้ควรเป็นระเบียบวิธีที่ใช้ต้องได้รับการยอมรับในวงกว้าง และผ่านการตรวจสอบ ตลอดจนมีกระบวนการตรวจประเมินและรับรองอย่างอิสระ
สิ่งสำคัญคือตัวชี้วัดผลลัพธ์ที่ครอบคลุมหลากหลายมิติ เพื่อให้สะท้อนผลกระทบเชิงบวกที่แท้จริง อีกทั้งช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงในทางลบโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น มาตรการบางอย่างอาจเป็นการปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อมบางด้าน แต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเฉพาะ หรือมาตรการเพิ่มจำนวนชนิดหรือความหลากหลายทางชีวภาพที่อาจส่งผลเสียต่อความสมดุลของระบบนิเวศโดยรวม ดังนั้นการมีชุดตัวชี้วัดที่หลากหลายรอบด้าน จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกระบวนการออกเครดิตที่น่าเชื่อถือ และสามารถสะท้อนผลลัพธ์สุทธิต่อความหลากหลายทางชีวภาพโดยรวมได้อย่างแท้จริง
3) ความยั่งยืน (durability) กล่าวคือผลลัพธ์เชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพจะต้องคงอยู่ได้ในระยะยาว ดูได้จากความน่าเชื่อถือของมาตรการคุ้มครองทางกฎหมายและทางการเงินที่มีการจัดทำขึ้น เช่น การเพิ่มสถานะการคุ้มครองป้องกันตามกฎหมาย ข้อจำกัดการใช้ประโยชน์ที่ดิน การจัดตั้งกองทุนเพื่อความยั่งยืนทางการเงิน การปรับปรุงประสิทธิภาพของการจัดการของพื้นที่คุ้มครอง การรับรองสิทธิของชนพื้นเมืองหรือชุมชนท้องถิ่น ความเป็นอยู่ทางสังคมเศรษฐกิจ และการปรับปรุงมาตรการบังคับใช้กฎหมาย เป็นต้น
ระยะเวลาขั้นต่ำของโครงการควรอยู่ที่อย่างน้อย 20 ปี แต่ผู้ซื้อควรได้รับหลักฐานยืนยันว่ากลไกต่างๆ สามารถรักษาผลลัพธ์ได้นานที่สุดเท่าที่กฎหมายอนุญาต บางประเทศอาจมีการคุ้มครองได้นานถึง 99 ปี เมื่อโครงการมีระยะเวลายาวนานขึ้น ประโยชน์ต่อความหลากหลายทางชีวภาพก็มักจะมากขึ้นตามไปด้วย
4) ผลลัพธ์เพิ่มเติม (additionality) กล่าวคือ Biodiversity Credit จะออกให้กับกิจกรรมที่สร้างผลลัพธ์เพิ่มเติมที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยหากไม่มีโครงการ และรายได้ที่อาจเกิดขึ้นหากไม่มีการขายเครดิต โครงการต้องมีการแสดงให้เห็นทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพว่ามีผลลัพธ์เพิ่มเติมอย่างไร ตามวิธีการที่กำหนดไว้ในระเบียบวิธีการ โดยต้องระมัดระวังเรื่องการนับซ้ำกับกลไกอื่นๆ ด้วย
การประเมินผลลัพธ์เพิ่มเติมอาจพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น
- การเปรียบเทียบกับพื้นที่อ้างอิงที่มีความคล้ายคลึงกันในแง่ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและภัยคุกคามที่มีอยู่
- สถานการณ์อ้างอิงที่ชัดเจนว่าจะเกิดการสูญเสียความหลากหลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่มีโครงการ
- หลักฐานของการเพิ่มเติมทางการเงิน ว่าเงินใหม่ที่เข้ามาไม่ได้แค่มาทดแทนแหล่งเงินเดิมจากภาครัฐหรือเอกชน
- กรณีพื้นที่สาธารณะ ต้องพิสูจน์ว่ารายได้จากการขายเครดิตจะไม่ไปลดทอนความรับผิดชอบของรัฐในการจัดสรรงบประมาณเพื่อการอนุรักษ์
มีตัวอย่างการนำหลักการเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพไปใช้แล้วในหลายพื้นที่ทั่วโลกอาทิ ป่าเมฆ Bosque de Niebla ในเทือกเขาแอนดีส ประเทศโคลอมเบีย ซึ่งเป็นแหล่งอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่สำคัญ แต่ถูกบุกรุกตัดไม้เพื่อทำฟาร์มปศุสัตว์มาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 จนในปี 2020 บริษัท ClimateTrade และ Terrasos จึงริเริ่มโครงการอนุรักษ์ป่า 340 เฮกตาร์ ผ่านการขาย Biodiversity Credit ให้กับบริษัทเอกชน โดยกำหนดราคา 1 เครดิตประมาณ 1,000 บาท (ราว 35 ดอลลาร์) เพื่อช่วยอนุรักษ์หรือฟื้นฟูพื้นที่ 10 ตารางเมตร เป็นระยะเวลา 30 ปี โดยทำงานร่วมกับเจ้าของที่ดินในท้องถิ่น
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เขตอนุรักษ์สัตว์ป่า Tondwa ในแซมเบีย ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่ประสบปัญหาการลดลงของประชากรสัตว์ป่า เนื่องจากขาดงบประมาณและการบังคับใช้กฎหมายที่เพียงพอจากภาครัฐ ชุมชนท้องถิ่นจึงได้ร่วมมือกับ NGO อย่าง Conserve Global ในการดูแลจัดการพื้นที่ และทำงานกับ ValueNature ในการออกเครดิตเพื่อขายให้กับภาคเอกชน เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ 1 เครดิต หรือที่โครงการนี้เรียกว่า ‘ใบรับรองการลงทุนเพื่อธรรมชาติ’ (NIC – Nature Investment Certificate) จะเท่ากับการอนุรักษ์หรือฟื้นฟูพื้นที่ 1 เฮกตาร์ ภายในเขตอนุรักษ์ Tondwa เป็นระยะเวลา 10 ปี
ทั้งสองโครงการนี้เป็นความพยายามในช่วงเริ่มต้นของการใช้กลไก Biodiversity Credit ในการระดมทุนจากภาคเอกชน ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยปิดช่องว่างทางการเงินในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ก็ยังต้องมีการพัฒนากรอบการทำงานและมาตรฐานร่วมกันต่อไป เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ยังคงมีประเด็นท้าทายหลายประการเกี่ยวกับเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพที่ต้องคำนึงถึง อาทิ ความหลากหลายทางชีวภาพมีความซับซ้อนและหลากหลายในแต่ละพื้นที่ ทำให้การสร้างระบบมาตรฐานในการวัดผลกระทบและการซื้อขายค่อนข้างยากกว่าตลาดคาร์บอนเครดิต
สิ่งที่น่ากังวลอีกด้านคือปัญหา greenwashing หากไม่มีระบบติดตามตรวจสอบที่โปร่งใสและเข้มงวดเพียงพอ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการส่งมอบผลลัพธ์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพตามที่สัญญาไว้จริง อีกทั้งยังต้องมั่นใจว่าโครงการต่างๆ จะเคารพสิทธิ ภูมิปัญญา และการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมืองที่ดูแลรักษาธรรมชาติมาโดยตลอด ไม่ใช่กลไกที่อำนวยประโยชน์ให้กับองค์กรภายนอกเพียงฝ่ายเดียว
นอกจากนี้ตลาดซื้อขายอาจมีขนาดจำกัดในระยะแรก เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่ยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็นรูปธรรม จึงไม่น่าจะมีความต้องการซื้อเครดิตสูงนักเมื่อเทียบกับคาร์บอนเครดิต
อนาคตของตลาดเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพเป็นอย่างไร?
แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพจะมีบทบาทสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการระดมทุนเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพของโลกได้แค่ไหน แม้ว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทในกลุ่ม Fortune 500 จะยอมรับถึงการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพในรายงานความยั่งยืนของตน แต่มีบริษัทเพียง 5% เท่านั้นที่ได้กำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ
ตามรายงานของ World Economic Forum แม้จะมีความคืบหน้าและการกำกับดูแลตลาดเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ ความต้องการก็อาจสูงขึ้นเพียงปีละ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ซึ่งคิดเป็นเพียง 1% ของเงินทุนทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้เพื่อบรรลุเป้าหมายของโลกในปี 2573
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ชัดเจนคือเราจำเป็นต้องเพิ่มขนาดของเงินทุนให้ได้ราว 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปีตามที่ให้คำมั่นไว้ในกรอบความหลากหลายทางชีวภาพของโลกอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในขณะที่รัฐบาลหันมาพึ่งพาภาคเอกชนเพื่อช่วยบรรลุเป้าหมายนี้ บางประเทศจึงเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนตลาดเหล่านี้เพื่อช่วยในการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ
สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสได้ประกาศข้อริเริ่มร่วมกันเพื่อเปิดตัวแผนที่นำทางสำหรับเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจะสนับสนุนให้บริษัทต่างๆ มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ส่วนสหราชอาณาจักรก็กำลังพัฒนาแผนการเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพตามกฎหมาย ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ (Environment Act 2021) ซึ่งจะใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายสำหรับผู้พัฒนาที่ดินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพให้ได้ 10% (Biodiversity Net Gain) ในโครงการพัฒนาที่ดินทั้งหมดของประเทศ
ในปี 2566 รัฐบาลกลางออสเตรเลียได้ผ่านร่าง กฎหมายซ่อมแซมธรรมชาติ (Nature Repair Bill) ซึ่งให้กรอบสำหรับการสร้างใบรับรองความหลากหลายทางชีวภาพที่ซื้อขายได้ โดยสามารถออกให้กับเจ้าของที่ดินและขายให้กับบริษัท บุคคล และรัฐบาลได้
ปัจจุบันมีหลายกลุ่มพันธมิตรที่กำลังพัฒนาแนวทางและกรอบการกำกับดูแลเพื่อสร้างตลาดเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพที่มีความโปร่งใสและมีธรรมาภิบาล รวมถึง World Economic Forum, Taskforce on Nature Markets และ Biodiversity Credit Alliance กลุ่มพันธมิตรเหล่านี้ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ผู้ปฏิบัติงานด้านการอนุรักษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายและตลาด รวมถึงสมาชิกจากชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมือง ความหลากหลายของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีกลไกที่เหมาะสม ตลอดจนการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เป็นธรรมในตลาดเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ
แน่นอนว่าจะมีการถกเถียงอย่างกว้างขวางว่าควรใช้เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพหรือไม่ ควรใช้มากน้อยเพียงใด และระบบดังกล่าวจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันคือ มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเพิ่มขนาดของเงินทุนเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ตลาดเครดิตความหลากหลายทางชีวภาพรวมทั้งกลไกการเงินอื่นๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น เราจึงต้องมีส่วนร่วมและช่วยกันติดตามกลไกเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าการระดมทุนที่เกิดขึ้นจะมีประสิทธิภาพและส่งผลเชิงบวกต่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างแท้จริง
อ้างอิง
Biodiversity credits: risks and opportunities
Can ‘Biodiversity Credits’ Boost Conservation?
Definition of a Biodiversity Credit