เคยนึกสงสัยไหมครับ ว่าทำไมคนบางคนจึงโดดเด่นและน่าสนใจมากกว่าคนอื่น?
แม้จะไม่ได้เป็นดารา นักร้อง นักการเมือง หรือเซเลบโด่งดัง แต่บางคนก็มี ‘ออร่า’ บางอย่างที่แม้จะพบเจอกันเพียงครู่เดียว เราก็รู้สึกสนใจในตัวของเขาหรือเธอได้ อาจเพราะรูปลักษณ์ น้ำเสียง กิริยาท่าทาง ไปจนถึงความคิด ความอ่าน และจิตใจอ่อนโยน เอื้อเฟื้อ ฯลฯ
อะไรทำให้คนบางคน ‘น่าสนใจเป็นพิเศษ’ กันแน่?
ในหนังสือ ‘วิธีชนะมิตรและจูงใจคน’ ของเดล คาร์เนกี (Dale Carnegie) อ้างถึงคำกล่าวอันโด่งดังของพับลิเลียส ไซรัส (Publilius Syrus) ที่ว่า “เราสนใจคนอื่นก็ต่อเมื่อพวกเขาแสดงความสนใจในตัวเรา”
แม้อาจจะมีความจริงเจืออยู่มาก แต่ก็ไม่ได้อธิบายกรณีที่เราสนใจใครบางคนที่ไม่ได้รู้จักกันโดยตรงหรือเป็นส่วนตัว
หากตัดกรณีของคนที่มีหน้าตาหล่อเหลาหรือสวยงามแล้ว คนที่น่าสนใจอาจมีบุคลิกที่แตกต่างกันได้อย่างสุดขั้วสองอย่าง อย่างแรกคือเป็นคนที่พูดจาสนุก มีความรู้ พูดเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ได้น่าสนใจ แม้ประเด็นนั้นอาจฟังดูพื้นๆ ก็ตาม เช่น เรื่องรถติดในกรุงเทพ เรื่องการหาห้องน้ำขณะท่องเที่ยว หรือเรื่องการกินอาหารแปลกๆ เป็นต้น
ไม่มีเดี่ยวไมโครโฟนมืออาชีพขึ้นโชว์โดยที่ไม่เคยทดลองหรือทดสอบเรื่องเล่าและวิธีการเล่าของตนกับคนกลุ่มเล็กก่อน เพราะนั่นคือหนทางลัดสู่ความล้มเหลวที่ทุกคนรู้ดี แต่อีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ คือพวกเดี่ยวไมโครโฟนเก่งๆ มักจะมีคลังเรื่องเล่าสั้นๆ หรือโจ๊กฮาๆ ประจำตัวที่รับประกันว่าฮาแน่ติดตัวไว้อย่างน้อย 3 เรื่องเสมอ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ผ่านการทดลองเล่าให้คนอื่นฟังแล้วเวิร์กทุกครั้ง
สกอตต์ อดัมส์ (Scott Adams) นักวาดการ์ตูนและนักเขียนผู้สร้างสรรค์แคแร็กเตอร์ ‘ดิลเบิร์ต’ (Dilbert) ที่หลายคนชื่นชอบ เคยให้เคล็ดลับว่าคนสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนมากกว่าเรื่องอื่นใด (ไม่ว่าจะข้าวของ วิธีการ เทคโนโลยี ฯลฯ) ดังนั้น หากอยากเล่าเรื่องให้ผู้คนประทับใจ ให้เล่าเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตผู้คนนี่แหละครับ
ในมุมกลับ คนอีกแบบหนึ่งที่ผู้คนมักรู้สึกว่าเป็นคนคุยสนุก ดันเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดคุยอะไรเยอะแต่กลับเป็นนักฟังที่ดีมาก บรรดานักข่าวและนักสัมภาษณ์ชื่อดังคงรู้ดีว่าคำถามที่ดีคือคำถามปลายเปิดที่เปิดโอกาสให้คนถูกถามได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง เพราะคนส่วนใหญ่ชื่นชอบและสนุกที่จะเล่าเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟัง
ถ้าไปสแกนสมองของคนพวกนี้ขณะที่พูดเรื่องตัวเอง สมองส่วนความสุขจะทำงานอย่างสนุกเลยครับ เกิดแสงสว่างวาบตรงตำแหน่งต่างๆ ราวกับจุดดอกไม้ไฟ และมีการหลั่งฮอร์โมนความสุขไม่ต่างอะไรจากตอนที่ได้กินอาหารหรือได้รับเงินครับ
หากต้องคุยกับคนแปลกหน้าและไม่รู้จะคุยอะไรดี คำแนะนำยอดฮิตคือให้คุยเรื่องที่อาจมีส่วนแบ่งปันและมีความสนใจร่วมกันได้ง่าย เช่น สัตว์เลี้ยง งานอดิเรก กีฬาที่เล่นหรือดู ดนตรีที่เล่นหรือฟัง หนังที่เพิ่งดูหรือที่ชอบเป็นพิเศษ โดยอาจพ่วงข่าวคราวที่กำลังฮ็อตฮิตเข้าไปด้วยก็ได้
นอกจากคนที่พูดเก่งและคนที่ฟังเก่งแล้ว คนที่ดูน่าสนใจยังมีคุณสมบัติอะไรอื่นอีกบ้าง?
บุคลิกต่อไปคือคนช่างสงสัยและอยากรู้อยากเห็น บุคลิกนี้ทำให้คุณดูเป็นคนน่าสนใจเป็นพิเศษได้ครับ[1] อันนี้อาจขัดความรู้สึกสำหรับคนไทยจำนวนมาก เพราะบางคนอาจรู้สึกรำคาญ แต่สำหรับชาวตะวันตก คนอยากรู้อยากเห็นและหมั่นตั้งคำถามไปเรื่อยนี่มีเสน่ห์ไปอีกแบบนะครับ
แต่คงไม่ใช่ถามเรื่อยเปื่อยเป็น ‘เจ้าหนูจำไม’ แบบในการ์ตูนอิ๊กคิวซังนะครับ เมื่อตั้งคำถามและได้คำตอบแล้ว ก็ต้องมาสังเคราะห์เป็นความรู้ในเนื้อในตัว เพื่อตั้งคำถามที่ยากมากขึ้นหรือน่าสนใจมากขึ้นไปอีก หากทำแบบนี้ได้ คนอื่นก็จะทึ่งในคำถามที่ตั้งขึ้นว่าคิดได้อย่างไร และนั่นจะทำให้คุณดูเป็นคนน่าสนใจมากขึ้นในทันที
นิสัยอีกแบบที่ทำให้ดูเป็นคนน่าสนใจ คือเป็นคนที่เปิดตัวเองออกและแบ่งปัน ‘อากาศหายใจ’ กับคนข้างเคียงครับ
เชื่อว่าแทบทุกคนคงเคยเจอคนที่ทำตัวเป็นศูนย์กลางจักรวาลและอยากให้คนอื่นหมุนรอบตัวเอง คอยดึงดูดเอาพลังงานจากคนรอบข้างเข้าหาตัวเอง แต่ไม่แบ่งปันแม้แต่โอกาสให้แสดงความคิดเห็นเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องใดเลย คนพวกนี้น่าเบื่อสุดๆ เลยนะครับ และแน่นอนว่าถ้าหลีกเลี่ยงได้ ทุกคนก็จะหาทางหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด ซึ่งคนที่หลีกเลี่ยงคนท็อกซิกแบบนี้ไม่ได้ อย่างคนที่เป็นลูกน้องโดยตรง ก็จะน่าสงสารมากครับ
ในทางตรงกันข้าม คนที่น่าสนใจและเป็นคนที่เปิดตัวเองออก มองหาและพร้อมรับประสบการณ์ใหม่ๆ ชอบพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับเพื่อนใหม่หรือใครก็ตามโดยไม่เอาความเห็นตัวเองเป็นใหญ่ แม้ว่าจะเห็นเหมือนหรือเห็นต่าง คนพวกนี้เวลามีปาร์ตี้ก็จะยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงศูนย์กลางของกลุ่ม แตกต่างจากคนที่เห็นตัวเองสำคัญยิ่งใหญ่เหนือใครทั้งปวงที่มักจะหาคนคุยด้วยยากเต็มที บางคนเพียงสนทนาแป๊บๆ พอไม่ให้เสียมารยาท แล้วก็รีบขอตัวแยกย้ายไปคุยกับคนอื่นหรือไปทำอย่างอื่นโดยไม่มัวมาเสียเวลาด้วย
อีกเรื่องที่สำคัญและทำให้ดูเป็นคนน่าสนใจ คือการเป็นคนที่ตระหนักในความสำคัญของ ‘ภาษากาย’ หรือ ‘ภาษาท่าทาง’ ครับ การกวัดแกว่งมือไม้ การยิ้มหัวเราะ การเอียงคอ การสยายผม การกอดอกแน่น ตลอดจนการเอามือมาปิดปากหรือประคบแก้ว ล้วนแล้วแต่มีนัยยะบางอย่างและบางทีก็ส่งสารมาจากจิตใต้สำนึก
บทความจำนวนมากมักอ้างอิงกลับไปที่งานวิจัย[2] ในปี 1967 ที่ชี้ว่าภายใต้ข้อมูลเกี่ยวกับอารมณ์ที่สื่อสารต่อกัน มีเพียง 7% เท่านั้นที่สอดคล้องไปกับความหมายที่แท้จริงในคำพูดที่เราเลือกใช้ ที่เหลือนั้นเราอ่านกันผ่านภาษากายกันเป็นหลัก
คนแบบหนึ่งที่ดูน่าสนใจ จึงเป็นคนที่ส่งนัยยะผ่านภาษาท่าทางเป็น ซึ่งบางคนอาจทำได้ดีตามธรรมชาติ แต่บางคนก็อาจต้องศึกษาและฝึกฝน และในทางตรงกันข้าม คนที่อ่านภาษากายคนอื่นเป็นก็จะสามารถตอบสนองความสนใจของฝ่ายตรงข้ามได้ดีกว่า เช่น รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ฝ่ายตรงข้ามเริ่มเบื่อหรือไม่สนใจในหัวข้อที่คุยอยู่แล้ว
รู้เรื่องพวกนี้แล้วมีประโยชน์อะไร ปกติเราเห็นว่าใครน่าสนใจ เราก็สนใจเองโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ทำไมยังจะต้องมาเรียนรู้วิธีการทำให้ตัวเองน่าสนใจด้วย?
คำตอบง่ายๆ คือมันมีประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมหลายอย่างมากเลยครับ
การที่เราดูโดดเด่นหรือเป็นคนน่าสนใจมากกว่าคนอื่นจะทำให้คนอื่นจดจำเราได้ง่ายและนานกว่า อีกทั้งอาจทำให้คนอยากทำความรู้จักกับเราหรือใช้เวลากับเรามากขึ้น ทั้งหมดนี้ทำให้เรามีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงานหน้าที่มากกว่า และยังอาจนำโชคหรือโอกาสบางอย่างที่คาดไม่ถึงมาให้ได้
ในทางกลับกัน เราอาจมีเพื่อนบางคนที่ ‘โลว์โปรไฟล์’ (low profile) มาก ไม่ค่อยพูดจา แสดงความคิดเห็น หรือร่วมกิจกรรม ในแต่ละรุ่นจะมีคนแบบนี้อย่างน้อย 2-3 คน ให้ต้องคอยนึกอยู่เสมอเวลาไล่ชื่อว่ามีใครบ้างในรุ่น หรือเวลาหยิบรูปถ่ายรวมรุ่นมาดูแล้วพิจารณาว่าคนนี้คือใครนะ
คนที่ทำตัวน่าเบื่อจะทำให้ผู้คนไม่สนใจและไม่อยากเข้าใกล้ จึงยากจะมีเพื่อนหรือสร้างความสัมพันธ์ใหม่ๆ และอาจทำให้เสียโอกาสที่จะได้งานหรือเงิน เพราะคนมองข้ามและไม่สนใจข้องแวะ จนมีโอกาสเป็นคนอับโชคสูงและประตูดวงปิดตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าต้องทำอะไรจนเสียความเป็นตัวเองไปหมด เราก็ยังเป็นเราอยู่วันยังค่ำ แต่เราสามารถเป็นเราในเวอร์ชันที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดเพื่อนและทรัพย์หรือโชคได้
ลองฝึกฝนกันดูนะครับ
↑1 | Huang K, Yeomans M, Brooks AW, Minson J, Gino F. It doesn’t hurt to ask: Question-asking increases liking. J Pers Soc Psychol. 2017;113(3):430-452. doi:10.1037/pspi0000097 |
---|---|
↑2 | Mehrabian, A., & Ferris, S. R. (1967). Inference of attitudes from nonverbal communication in two channels. Journal of Consulting Psychology, 31(3), 248–252. https://doi.org/10.1037/h0024648 |